‘ประชาธิปัตย์’ ขอรัฐบาลปรับตัวรับ SME

นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้องแทนประชาชนว่า ในปี 2561 อยากให้รัฐบาลปรับนโยบายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีด้านเศรษฐกิจปากท้องเนื่องจากปี 2560 ที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายสวยหรูมามากแล้วแต่ประชาชนก็ยังอยู่ในภาวะลำบาก ถูกกดดันจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ แต่การประกอบอาชีพใหม่ทำได้ยากไม่สอดคล้องกลับสถานการณ์ยุคสมัยโลกไอที

นางมัลลิกา กล่าวว่า จากการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทุกพื้นที่สรุปตรงกันว่านอกจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำของแพงขึ้นความเป็นอยู่อัตคัดมากขึ้นช่องทางการประกอบอาชีพที่ควรจะได้รับการตอบสนองเชิงนโยบายจากรัฐบาลในทางปฏิบัติก็ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่รัฐบาลโฆษณาไว้

โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย หรือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยืนยันว่าเข้าถึงโครงการที่รัฐสนับสนุนส่งเสริมค่อนข้างยากและไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังโฆษณาชวนเชื่อโดยเฉพาะ 1. การเข้าถึงสินเชื่อธนาคารยากมาก มีขั้นตอนซับซ้อน 2.การเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ของกระทรวงการคลังก็ไม่สะดวกและครบถ้วน 3.การทำงานระบบราชการไม่ทั่วถึงขาดการประชาสัมพันธ์ระบบราชการและระบบไอทีไม่พัฒนาและไม่สามารถรองรับยุคสมัยได้

นางมัลลิกากล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งหลายซึ่งกำลังขยับขยายธุรกิจการค้าไปในโลกไอทีออนไลน์โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนั้น ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนอย่างจริงจังคือปรับปรุงภาคปฏิบัติขอให้ลดขั้นตอนการติดต่อการเข้าถึงทั้งแหล่งเงิน-แหล่งทุน-แหล่งข้อมูลของกระทรวงที่สนับสนุน ปรับการสื่อสารของข้าราชการให้ใช้ระบบเทคโนโลยีผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ประชาชนใช้ให้เข้าถึงประชาชนให้เกิดความคล่องตัวและประกอบอาชีพได้จริงจังไม่ใช่เพียงโฆษณาชวนเชื่อ


 

‘จุติ’ ขอรัฐบาลมุ่งปราบโกง ทำตามสัญญาให้คนจนหมดได้ จะยืนตบมือเป็นคนแรก

ณ พรรคประชาธิปัตย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงแนวทางการเมืองปี 2561 ว่า มีแนวโน้มจะมีความรุนแรงมากขึ้น เพราะทุกพรรคการเมือง คงมีความคาดหวัง แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น อะไรที่เป็นผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ อะไรที่จะแก้ปัญหาของประชาชนได้ เรารับได้

เลขาธิการพรรคฯ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีการเตรียมก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนั้น เราไม่เคยคำนึงถึงว่าจะต้องเลือกตั้งในวันที่เท่าใดเดือนไหน แต่เราอยากให้ รัฐบาลปัจจุปันแก้ปัญหาที่รัฐบาลเลือกตั้งทำได้ยาก รีบทำให้เสร็จ กฏหมายฉบับไหนที่จำเป็นต้องออก เพื่อลดการผูกขาดต้องแก้ปัญหาการเหลื่อมล้ำอยากให้รีบทำ ก่อนที่จะส่งไม้ผลัดให้กับ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

“ในส่วนของพรรคฯ ท่านหัวหน้าพรรค สมาชิก ส.ส. ของพรรค ได้ออกไปพบปะประชาชนรับฟังความคิดเห็นพวกเขาแล้วจึงได้ทราบว่าโจทย์ใหญ่ของประเทศไทยวันนี้คือความเหลื่อมล้ำ ความยากจน จนทั้งโอกาสจนทั้งเทคโนโลยี จนทั้งองค์ความรู้ต่างๆ โอกาสในการทำมาหากินสารพัดใครมาเป็นรัฐบาลต้องแก้ ความเหลื่อมล้ำและความยากจนให้ได้” นายจุติกล่าว

ต่อในคำถามที่ว่า สำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้น ควรจะให้ความสำคัญกับ เรื่องใดมากที่สุดในการแก้ปัญหาให้ประชาชนนั้นว่า ตนไม่สามารถตอบได้ว่า รัฐบาลใหม่หลังจากการเลือกตั้งจะเป็นใคร แต่บอกได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความตั้งใจว่า สิ่งที่เราต้องทำคือเรื่องปากท้องประชาชนต้องมาก่อนเป็นอย่างแรก

ปัญหาที่ 2 คือเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทั้งทางสังคม ทั้งกระบวนการยุติธรรม และที่สำคัญคือถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปวิธีคิด การทำงานของประเทศไทยใหม่ ไม่อย่างนั้นประเทศไทยจะไม่สามารถต่อสู้ในเวทีโลกได้เลย

พร้อมกันนี้นายจุติได้ฝากถึงรัฐบาล และตัวพล.อ.ประยุทธ์ ว่า ถ้าบอกว่าอยากจะขออะไรจากรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ ก็จะขอดังนี้

1. อยากขอความนิ่ง
2. อยากขอความมุ่งมั่นในการปราบทุจริตคดีค้างคาทั้งหลายจัดการให้เสร็จ ผู้มีอิทธิพล มือปืนมาเฟีย ของเถื่อนทั้งหลาย ช่วยกันให้เสร็จ

และอยากจะขอกับ พล.อ.ประยุทธ์ว่าให้ช่วยเร่งสิ่งที่ทีมเศรษฐกิจรับปากว่าจะทำให้คนจนหมดประเทศภายใน 1 ปี อยากให้รีบทำให้เสร็จ แล้วตนจะเป็นคนแรกที่ยืนปรบมือให้ท่าน


 

‘กรมควบคุมโรค’ ย้ำบุหรี่ไฟฟ้าทำลายระบบหัวใจ-หลอดเลือด

นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ที่ผ่านมานั้น กรมควบคุมโรคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้ามาโดยตลอดและขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีรายงานการศึกษาในต่างประเทศที่ระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นระบบที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการดำเนินชีวิต

ข้อมูลจากวารสารสมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกันยายน 2560 รายงานว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีส่วนประกอบของสารเคมีที่มีพิษและก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งนอกจากจะมีโทษต่อผู้สูบแล้วนั้น ละอองไอของบุหรี่ไฟฟ้ายังก่อให้เกิดโทษและผลกระทบต่อผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ไฟฟ้าอีกด้วย แม้จะเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าระยะเวลาสั้นๆ ผลจากการสูบก็ยังส่งผลเสียต่อเซลล์และระบบของร่างกายได้เช่นกัน อาทิ ระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาทส่วนกลาง ระบบภูมิคุ้มกัน ดวงตา และผิวหนัง เป็นต้น รวมถึงยังก่อให้เกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก และมะเร็งลำคอ เป็นต้น โดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือด จากการศึกษาพบว่า การใช้บุหรี่ไฟฟ้าส่งผลเสียอย่างฉับพลัน คือ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว และเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขึ้น และยังทำให้เซลล์ของหลอดเลือดทำงานผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

สารนิโคติน สารประกอบในกลุ่มคาร์บอนิล และยังมีอนุภาคฝุ่นละอองขนาดเล็ก ที่พบทั้งในน้ำยาเติมบุหรี่ไฟฟ้า และในละอองไอที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า โดยสารนิโคตินที่พบในบุหรี่ไฟฟ้าก่อให้เกิดการเสพติด เป็นสารก่อมะเร็งในปอดและทางเดินอาหาร ขัดขวางพัฒนาการของสมองในผู้เยาว์ ซึ่งสารในกลุ่มคาร์บอนิลที่พบในบุหรี่ไฟฟ้า อาทิ ฟอร์มาลดีไฮด์ อัลดีไฮด์ อะเซตัลดีไฮด์ อโครลีน นอกจากเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย

กรมควบคุมโรค ขอให้เด็ก เยาวชนและผู้ที่สูบบุหรี่ตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าว หากประชาชนที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ สามารถโทรศัพท์ปรึกษาได้ที่ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ หมายเลข 1600 และคลินิกที่ให้บริการเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข

‘พรรคชาติไทยฯ’ ค่ำสั่งปลดล็อคอาจทำเลือกตั้งช้า – ไม่ตอบร่วมพรรคทหาร

นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยถึงประเด็นที่จะมีพรรคการเมืองส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาตรา 44 เกี่ยวกับคำสั่งคสช. ปลดล็อคพรรคการเมือง ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่า หากฝ่ายใดร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอาจส่งผลให้คำสั่งคสช.ที่ออกมาไม่มีผลทางกฎหมายหรือไม่  และจะมีผลกระทบต่อโรดแมบเลือกตั้งปลายปี 61 นอกจากนี้ขอให้จับตาการพิจารณาร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับสุดท้ายที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของสนช. ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่จะมีผลต่อวันเลือกตั้ง โดยเฉพาะร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ(พรป.) สองฉบับสำคัญ พรป. เลือกตั้ง ส.ส และ พรป. ที่มา ส.ว.  ที่จะนำเข้าที่ประชุม สนช.ในเดือนนี้ ทั้งที่ยังไม่เคยนำมาสอบถามความคิดเห็นจากพรรคการเมืองในฐานะผู้ปฏิบัติเลย  จึงขอเรียกร้องให้ สนช.เปิดเผยรายละเอียดร่างพรป. ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ซึ่งตนมีข้อสังเกตในเนื้อหา แต่ไม่กล้าแสดงความเห็น เพราะเกรงจะเข้าทางผู้ที่อยากทำให้เกิดปัญหา ซึ่งจะทำให้เสียการใหญ่

“ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ยอมลำบากและรับสภาพ เพราะเรายอมให้เลื่อนออกไปไม่ได้   ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม เพราะอยากเลือกตั้ง เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน บ้านเมืองจะเดินหน้าไป ไม่อย่างนั้นจะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน” กล่าวโดย ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา

ในประเด็นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าตนเองเป็นนักการเมืองและไม่ปฏิเสธนายกรัฐมนตรีคนนอกนั้น นายนิกร ให้ความเห้นว่า เป็นเรื่องที่ต้องรอดูต่อไปว่า นายกฯ จะยอมรับตอนเสนอชื่อหรือไม่ หรือจะยินยอมให้พรรคใดเสนอชื่อหรือไม่ นายนิกรมองว่าเส้นทางของพรรคฯ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เหมือนกันจึงไม่รู้สึกกังวลกับเรื่องดังกล่าว ท้ายสุด นายนิกร ขอไม่เเสดงความเห็นว่าถ้าพรรคทหารชนะเสียงข้างมากในรัฐสภาและจัดตั้งพรรครัฐบาลแล้วพรรคชาติไทยพัฒนาจะร่วมด้วยหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง


 

‘มาร์ค’ จวกนโยบายปัจจุบัน รวยเฉพาะกลุ่ม

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจปีนี้ว่า คงจะโตเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมองดูว่าการโตก็จะโตในบางภาค บางสาขา ที่จะเติบโตได้เร็ว และยังเป็นห่วงอยู่ว่า ทิศทาง นโยบายในปัจจุบัน ยังไม่เอื้อต่อการกระจาย แต่ที่นายกฯ พูดในช่วงปีใหม่ที่บอกว่าได้มีการสั่งการให้กระทรวงต่างๆ ไปดูในมิติเรื่องความยากจนนี้จะแก้ไขกันอย่างไร ถ้าตรงนี้ทำได้เป็นระบบ เป็นรูปธรรม ก็จะช่วยแก้ปัญหาที่เราวิจารณ์กันอยู่ได้ ในเรื่องกระจุก กระจาย

ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ได้ให้อีกมุมมองอันหนึ่งว่า ตนไม่อยากให้รัฐบาลมองข้าม ในเวลาที่ให้กระทรวงต่างๆ ไปดู เรื่องนโยบายที่จะช่วยเรื่องความยากจนนี้ อย่าไปแยกเรื่องความยากจนออกจากตัวระบบ นโยบายบางอย่างที่ทำให้เกิดการกระจุก แม้จะไม่ได้มีเจตนาให้เป็นอย่างนั้น แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาความยากจน

“ยกตัวอย่างที่เราต่อสู้มา เช่น การนำเข้าข้าวสาลี อย่างนี้ก็อาจจะทำให้ตัวเลขเติบโตขึ้น เพราะอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เติบโตขึ้น แต่เกษตรกรส่วนใหญ่มีปัญหา มันก็เลยเกิดความยากจน หรืออย่างที่บอกว่า เงินสวัสดิการรัฐ การไปบังคับให้ต้องใช้อยู่เฉพาะในบางร้านค้าที่เข้าโครงการ ทำให้เงินไม่หมุนเวียนในชุมชน แล้วทำให้ร้านค้าในชุมชนซึ่งเขาเคยขายของได้กับคนยากคนจน เขาขายไม่ได้แล้ว เพราะคนยากคนจน กำลังซื้อถูกดูดไปอยู่ที่ร้านเดียว อย่างนี้ก็ไปสร้างความยากจนด้วย คือต้องมองให้มันเชื่อมโยงกัน แล้วก็แก้ปัญหานะครับ”


 

‘One Home’ โปรเจ็คเดินหน้าเต็มสูบ ช่วยผู้ยากไร้สี่จังหวัด

นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กล่าวว่า จากกรณีชายวัย 58 ปี มีอาชีพนักการภารโรง ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนขณะปฏิบัติหน้าที่ ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีเลือดคลั่งในสมอง นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา และให้อาหารทางสายยาง โดยอาศัยอยู่กับลูกชายและลูกสาว ที่ต้องผลัดกันหยุดงานเพี่ออยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินเพียงพอค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดอ่างทอง นั้น ตนได้กำชับให้หน่วยงานท้องถิ่น พร้อมทีม One Home จังหวัดอ่างทอง ได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือชายดังกล่าวแล้ว พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของชายดังกล่าวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้คำแนะนำแก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพ
รองปลัดฯ รายงานต่อว่า สำหรับกรณีเด็กชายวัย 13 ปี ประสบอุบัติเหตุหกล้มสะโพกหลุด ส่งผลให้ขาพิการ เดินไม่สะดวก แต่ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินเพียงพอค่ารักษาพยาบาล จึงทำให้ต้องลาออกจากโรงเรียนมาอาศัยอยู่กับพ่อและแม่ ด้านเด็กชายเปิดเผยว่า อยากหายเป็นปกติ และอยากกลับไปเรียนหนังสือกับเพื่อนๆ ที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี และกรณีเด็กหญิงวัย 6 ขวบ พิการตาซ้ายบอดสนิท และมีการอักเสบมีน้ำตาไหลตลอดเวลา และถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อเลียนว่าเป็นคนตาบอด ทำให้เด็กหญิงไม่อยากไปเรียนหนังสือ จนบางครั้งทะเลาะมีปากเสียงกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน โดยเด็กหญิงอาศัยอยู่กับผู้เป็นแม่วัย 45 ปี ที่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป อีกทั้งต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกอีก 3 คน ที่อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก นั้น ตนได้กำชับให้ทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคม เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของเด็กทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิด และช่วยเหลือในเรื่องการศึกษาในระยะยาว พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม
รองปลัดฯ กล่าวต่อ นอกจากนี้ กรณีหญิงชรารายหนึ่ง ต้องนั่งเฝ้าศพสามีแก่ชราที่เสียชีวิตภายในบ้านพัก เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจนไม่มีเงินทำศพ อีกทั้งยังต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกพิการ ที่จังหวัดปทุมธานี นั้น ตนได้กำชับให้หน่วยงานท้องถิ่นพร้อมทีม One Home จังหวัดปทุมธานี ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น พร้อมทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของลูกชายที่พิการอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือต่อไป

ภาพ ‘เสก-ผกก.’ ยิ้มโชว์กดไลค์หลังประกันตัว

จากภาพข่าว พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ผกก.สน.คันนายาว ได้ร่วมถ่ายรูปกับนายเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือเสกโลโซ ภายหลังที่ได้รับการประกันตัวที่ สภ.พรหมคีรีตามหมายจับข้อหาพกพาอาวุธปืนเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2560 พ.ต.อ.สิงห์ ออกมายอมรับว่าภาพดังกล่าวเป็นตนเองจริง ที่ถ่ายรูปกดไลค์คู่ “เสก โลโซ”   พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น. จึงได้ให้เขียนรายงานชี้แจงมาเป็นลายลักษณ์อักษรโดยไม่ได้เข้ามาชี้แจงด้วยตนเอง ภาพที่ปรากฏนี้ถือว่าแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม หากพบข้อบกพร่องทางวินัยก็จะมีการดำเนินการในการปฏิบัติหน้าที่ตำรวจต่อไป

Sek Loso


 

‘นพดล’ โต้กลับ ‘ปู่พิชัย’ ยังไม่ถึงเวลาจับมือ เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์

นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศและแกนนำพรรคเพื่อไทยได้กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จับมือกับพรรคการเมืองใดและพรรคก็ไม่ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้  ตามข้อเสนอของนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะให้พรรคเพื่อไทยจับมือร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็ยังไม่ถึงเวลา ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์การทำงานร่วมกันยังต้องคำนึงถึงทิศทางไปด้วยกันได้หรือไม่ อย่างไรคงต้องฟังเสียงจากสมาชิกพรรค เสียงจากประชาชนในการเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้พรรคฯ เองก็มีงานต้องเร่งแก้ไขจากปัญหาเศรษฐกิจ การสร้างความปรองดอง และนำความสุขให้แก่ประชาชน อีกทั้งพรรคยังต้องปฏิรูปเพื่อให้พรรคนั้นเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป


 

‘ป.ป.ช.’ เตรียมเรียก 4 เอกเชนแจงปมยืม ‘นาฬึกาเพื่อน’

นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ออกมากล่าวถึงความคืบหน้าเรื่อง การตรวจสอบ แหวน นาฬิกาของ พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายวรวิทย์ สุขบุญ เปิดเผยว่า ป.ป.ช. ได้ส่งหนังสือเชิญมาให้ปากคำและนัดหมายที่จะไปทำการตรวจสอบนอกสถานที่กับบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ คาดว่าน่าจะไม่มีความซับซ้อนและใช้เวลาไม่นานนัก  ตามที่ได้มีการเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้ง 4 ท่านมาให้คำชี้แจง ซึ่งตอนนี้ขอยังไม่เปิดเผยรายชื่อ อย่างไรเมื่อคดีวินิจฉัยเสร็จสิ้นจึงจะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบ

นายวรวิทย์ สุขบุญ กล่าวต่อว่า ป.ป.ช. และคณะทำงานที่เกี่ยวข้องนั้นมีวิธีการตามขั้นตอนในการดำเนินงานในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นการนัดหมายมาให้คำชี้แจงและออกไปตรวจสอบนอกสถานที่ ขณะนี้ขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบเพิ่มเติมในประเด็นนาฬิกาเรือนที่ 14 หรือ ที่ 15 ก็ตาม ก็ต้องขออนุญาตเก็บรายละเอียดไว้ก่อน

เมื่อมีการถามถึงการตรวจสอบว่าได้ สอบไปยังบริษัทนำเข้านาฬิกาหรูหรือไม่ นายวรวิทย์ ได้กล่าวว่า “ทาง ป.ป.ช.ยังไม่มีการเรียกบริษัทมาตรวจสอบหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่สอบประเด็นว่ามีความเกี่ยวข้องหรือไม่ และจะต้องดูทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งป.ป.ช. เองนั้นมีหน้าที่เข้าไปตรวจสอบว่ามีความเปลี่ยนแปลงของบัญชีอย่างไรที่เกี่ยวกับบัญชีทรัพย์สินหนี้สินตามแนวทางที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งเรื่องไหนที่เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ เราก็จะเร่งรัดดำเนินการเป็นพิเศษอยู่แล้ว และอย่างที่เรียนคือ เรื่องนี้ไม่มีความซับซ้อนมาก ดังนั้น ระยะเวลาตนคิดว่าไม่นาน เรื่องระยะเวลาเราอาจจะฟิกซ์ลงไปไม่ได้ แม้ว่าสถานะของบุคคลจะอ้างเป็นเพื่อนหรือเป็นอะไรก็ตาม”

ในช่วงท้ายเมื่อ นายวรวิทย์ สุขบุญ ถูกถามถึงการชี้แจงทรัพย์สิน พล.อ ประวิตร ซึ่งนายวรวิทย์ได้กล่าวไว้ว่า ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด ตามข้อมูลที่ระบุว่า พล.อ.ประวิตรนั้น มีรายได้ 1.7 ล้านบาท แต่ที่แจ้ง ป.ป.ช. มาเพียง 8 แสนบาท ซึ่งป.ป.ช.จะต้องเข้าไปตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายการแสดงบัญชีทรัพย์สิน ก็จะต้องนำมาเปรียบเทียบกันว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้อย่างไร ซึ่งเป็นการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินตามปกติของ ป.ป.ช.


 

โซเชียลกระหน่ำ! เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ ขี่มอไซต์ เหน็บปืน

จากที่มีการแชร์กันในโลกโซเชียล มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อว่า Attapol Thongtae ได้โพสต์รูปภาพชายคนหนึ่งซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยราชการแห่งหนึ่ง ขับขี่มอเตอร์ไซต์พร้อมเหน็บอาวุธปืนที่เอว อยู่บนถนนสาธารณะซึ่งมีประชาชนสัญจรอย่างคั่บคั่ง โดยในภาพปรากฏให้เห็นว่าชายดังกล่าวไม่ได้แต่งเครื่องแบบข้าราชการในท่อนบน แต่พบว่าท่อนล่างใส่กางเกงสีกากีซึ่งเป็นลักษณะเครื่องแบบราชการ กรณีดังกล่าวมีผู้ใช้งานโซเชียลมากมายลงให้ความเห็นว่าไม่ควรปฏิบัติเช่นนี้เพราะผิดต่อกฏหมาย

Facebook comment