‘วัฒนา’ ลั่นประชาชน ไม่ใช่ทหาร! พร้อมทวงสิทธิเลือกตั้ง

นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และแกนนำพรรคเพื่อไทยโพสต์เฟซบุ๊กระบุเรื่อง “อย่าดูแคลนประชาชน” โดยอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์โพสต์ข้อความได้ใจความว่าการให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ว่า “ถ้าสถานการณ์ปี 2561 ยังมีความขัดแย้งสูง ตนไม่รับประกันว่าจะมีการเลือกตั้ง” เป็นการพูดโดยไม่ดูกาละเทศะเพราะเป็นช่วงเฉลิมฉลองปีใหม่จึงไม่ควรเอาเรื่องอัปมงคลมาพูดทำให้ประชาชนไม่มีความสุข คำพูดดังกล่าวยังแสดงถึงความอหังการว่าตนมีอำนาจที่จะทำอย่างไรก็ได้โดยประชาชนไม่มีสิทธิหืออือใดๆ

การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวทำให้ผมเริ่มเป็นห่วงพลเอกประยุทธ์ เพราะความเป็นทหารที่เคยสั่งลูกน้องหันซ้ายหรือขวาได้จึงอาจเข้าใจว่าประชาชนเหมือนพลทหาร ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์เพราะประชาชนเป็นนายไม่ใช่ลูกน้องจึงไม่มีทางที่จะใช้คำสั่งหรือปกครองด้วยอาวุธแบบที่ใช้กับทหารได้ การที่คนไทยยังเฉยเพราะรอที่จะเลือกตั้งตามโรดแมปซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน นับแต่วันที่กฎหมายลูก 4 ฉบับมีผลบังคับใช้ ผมเชื่อว่าประชาชนพร้อมที่จะทวงสิทธิเลือกตั้งทันทีที่กฎหมายมีผลบังคับเพราะได้ให้เวลา คสช. มานานพอสมควรแล้ว การใช้เล่ห์เพทุบายออกคำสั่งใดๆ ก็ตามที่จะทำให้จัดการเลือกตั้งไม่ทันตามกรอบระยะเวลาตามรัฐธรรมนูญ อย่าคิดว่าประชาชนไม่รู้เท่าทันรวมทั้งอย่าได้คิดว่าประชาชนจะยอมให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก รีบยกเลิกคำสั่งที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพเพื่อให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมเตรียมตัวเลือกตั้ง อย่าได้ปัดความรับผิดชอบหรือโยนบาปให้ประชาชน ในอดีตนายทหารพลเอกหลายคนที่มีอำนาจมากกว่านี้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเอาตัวรอดเพราะประเมินประชาชนต่ำ ผมจึงเตือนพวกคุณด้วยความหวังดีอีกครั้งว่า “อย่าดูแคลนประชาชน” จำไว้ให้ขึ้นใจ


 

‘มาร์ค’ ควรรังเกียจคนชั่ว ไม่ควรรังเกียจอาชีพที่ทำประโยชน์ให้บ้านเมือง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อกรณีต่อการที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่าวันนี้ต้องเปลี่ยนแปลงเพราะตนไม่ใช่ทหาร แต่เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหารว่า ตนคิดว่าไม่ควรจะมีใครรังเกียจทหาร และไม่ควรจะมีใครรังเกียจนักการเมือง แต่ควรจะรังเกียจคนชั่ว

“ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือเป็นทหาร ถ้าชั่วก็ควรจะรังเกียจ แต่มันไม่ควรจะมีใครไปรังเกียจอาชีพใดอาชีพหนึ่ง ซึ่งโดยหลักแล้วก็เป็นอาชีพที่สามารถทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้ทั้งนั้น แล้วก็ผมว่าก็ถูกของท่านนะครับ ผมก็พูดมานานแล้วว่า เมื่อมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ท่านก็เป็นนักการเมือง แล้วก็ท่านก็ไม่ได้รับราชการทหารแล้ว ไม่ได้อยู่ในกองทัพ ก็ดีครับ มันจะได้เป็นความชัดเจนว่าสถานะของท่านขณะนี้คือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนทหารนั้นเราต้องพูดถึงกองทัพ ซึ่งก็ 3 เหล่าทัพ เขามีภารกิจ เขาปฏิบัติหน้าที่ไป เขาไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมว่าแยกกันอย่างนี้ก็ดีครับ”

ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ได้ให้กำลังใจ คสช. หลังจากมีโหรทำนายนั้น ว่าตนไม่อยากให้ คสช. เสียกำลังใจ อยากให้ คสช. คิดว่า มันจะดี หรือไม่ดี อยู่ที่การกระทำของท่านเอง ถ้าทำถูก ไปในทิศทางที่ถูกต้อง มันก็จะดีเอง อย่าไปหวั่นไหว ถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่ทำดี แล้วทำแล้วดีจริง ไม่ต้องไปหวั่นไหวเลย แม้ใครจะมาบอกว่าดวงไม่ดี ดวงตกอย่างนั้นอย่างนี้

พร้อมกันนี้นายอภิสิทธิ์รู้สึกเสียดายโอกาสที่นายกฯ อุตส่าห์พูดยืนยันเรื่องโรดแมปว่า คสช. ต้องกล้าที่ประกาศว่า คสช. จะดูแลให้มันเป็นไปตามตารางเวลาที่ประกาศไว้ แต่ถ้ามีเหตุสุดวิสัย เหตุจำเป็น ก็จะบอกอย่างตรงไปตรงมา ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกคนก็จะมีทั้งความมั่นใจ แล้วก็เห็นว่าตรงไปตรงมา


 

‘เดอะอ๋อย’ ยิงสามคำถาม นาฬิกา 14 เรือน ‘บิ๊กป้อม’ ปปช. เงียบกริบ

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทยได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก เรื่อง “นาฬิกา พล.อ.ประวิตร เรื่องคาใจแห่งปี” โดยโพสต์ข้อความมีใจความว่า เรื่องนาฬิกาของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์และล้อเลียนเสียดสีกันมากที่สุดเรื่องหนึ่ง และดูจะเป็นเรื่องที่ทำให้คสช.เสื่อมลงอย่างรวดเร็วด้วย การมีนาฬิการาคาแพงๆหลายๆเรือน ถ้าหากได้มาโดยสุจริตและดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่มีปัญหาอะไร อย่างมากก็เป็นเรื่องรสนิยมที่คนอาจรู้สึกชื่นชมหรือหมั่นไส้เท่านั้น แต่กรณีที่เจ้าของนาฬิกามีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าคสช.และรองนายกรัฐมนตรีอย่างพลเอกประวิตรมีปัญหาที่ต้องพิจารณาโดยไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย คือ

1. นาฬิกาที่ปรากฏในภาพอยู่บนข้อมือของพลเอกประวิตรนั้นเป็นนาฬิกาของพลเอกประวิตร จริงหรือไม่ ?

2.พลเอกประวิตรได้นาฬิกาเหล่านี้มาตั้งแต่เมื่อใด ก่อนหรือหลังการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อปปช. ครั้งล่าสุด ซึ่งจะนำไปสู่คำถามอีกหลายคำถาม (บางคนอาจจะถามคำถามง่ายๆก่อนเลยว่า ตกลงเจอนาฬิกากี่เรือนแล้ว)

3. ถ้านาฬิกาเหล่านั้นอยู่ในความครอบครองของพล.อ.ประวิตรจริงและพลเอกประวิตรได้นาฬิกาเหล่านี้ มาก่อนการยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งล่าสุด ย่อมมีคำถามว่า เหตุใดจึงไม่รายงานไว้ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อปปช. จะอ้างว่าลืมหรือเผอเรอคงไม่ได้ เพราะมีหลายเรือนเหลือเกิน หากพลเอกประวิตรชี้แจงไม่ได้ ก็อาจจะถูกตั้งข้อหาจงใจปกปิดทรัพย์สินและร่ำรวยผิดปรกติ

แต่ถ้าพลเอกประวิตรได้นาฬิกาเหล่านี้มาหลังจากการยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งล่าสุด ก็ถือว่ายังไม่ถึงกำหนดต้องชี้แจง แต่ถ้าเรื่องมันแดงขึ้นมาว่า พลเอกประวิตรมีนาฬิกาเหล่านี้ไว้ในครอบครอง ก็จะมีคำถามว่า พลเอกประวิตรได้นาฬิกาเหล่านี้มาอย่างไร ได้มาโดยสุจริตหรือไม่นาฬิกาหลายเรือนแบบนี้จะอ้างว่าเพื่อนให้ยืมมาคงจะไม่ได้แน่ ยิ่งบอกว่าเพื่อนให้ยืมมาและเพื่อนตายไปแล้ว ยิ่งฟังไม่ขึ้นถ้าซื้อมาเอง เอาเงินมาจากไหน ถ้ามีคนให้มา ผู้ให้เป็นใคร ให้กันจริงหรือไม่ถ้าผู้ที่ให้นาฬิกาแก่พลเอกประวิตร ไม่ใช่บุพการีหรือคนในครอบครัวของพลเอกประวิตรแล้วให้นาฬิกามา พลเอกประวิตรก็จะถูกตั้งข้อหารับของขวัญที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเกี่ยวพันกับกฎหมายที่มีไว้เพื่อป้องกันการให้และรับสินบนที่อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นนอกจากนั้น ก็คงต้องมีการตรวจสอบต่อไปด้วยว่า การให้ของขวัญที่มีมูลค่ารวมกันหลายสิบล้านนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการให้สินบนเพื่อให้เกิดการทุจริตในการใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐด้วยหรือไม่จะเห็นได้ว่าเรื่องนาฬิกาของพลเอกประวิตรนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องการชอบใช้ชอบอวดของแพง แต่เป็นเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่นที่ร้ายแรง จึงเป็นเรื่องที่ต้องการคำอธิบายและต้องมีการตรวจสอบ

อดีตรองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่าจนถึงขณะนี้มีคนรวบรวมภาพนาฬิกาที่สงสัยว่าอาจเข้าข่ายคผิดกฎหมายดังกล่าวได้มากถึง 13-14 เรือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีคำชี้แจงใดๆจากพลเอกประวิตรต่อสาธารณชน และยังไม่มีใครทราบว่า พลเอกประวิตรได้ชี้แจงเรื่องนี้ต่อปปช.อย่างไร ก่อนสิ้นปี ปปช.ออกมาชี้แจงเพียงสั้นๆว่า พลเอกประวิตรชี้แจงมาแล้วและปปช.กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ไม่ปรากฏว่า ปปช.มีความกระตือรือร้นในเรื่องนี้และไม่มีใครทราบว่า มีความคืบหน้าในการตรวจสอบอย่างไร มีแต่ข่าวความพยายามกลบเกลื่อนหรือช่วยแก้ต่างให้พลเอกประวิตรทั้งจากอดีตปปช.และปปช.ปัจจุบันบางคน ส่วนพลเอกประยุทธ์นั้น แทนที่จะบอกว่า ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างที่พูดอยู่บ่อยๆ กลับบอกให้ผู้สื่อข่าวรู้จัก “ลดราวาศอก” มิฉะนั้นตนอาจจะใช้อำนาจมากกว่าเดิมเรื่องที่ประชาชนข้องใจสงสัยนั้นมีอยู่หลายเรื่อง เรื่องนาฬิกาของพลเอกประวิตร น่าจะถือได้ว่าเป็น “เรื่องคาใจแห่งปี” อันดับต้นๆ

ปีใหม่นี้ คงต้องติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้กันต่อไป


 

‘อภิสิทธิ์’ ชี้ไม่มีเลือกตั้ง 2561 ‘คสช.’ รับผิดชอบ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2561 ว่า เป็นปีสุดท้ายตามโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กำหนดว่าจะมีการเลือกตั้งปลายปี 2561 รัฐบาลและคสช.ก็ต้องพ้นไป เว้นแต่จะมีการคว่ำกฎหมาย ตนอยากให้คสช.ทบทวนตัวเอง โดยย้อนกลับไปวันที่ 22 พ.ค. 2557 ว่า คสช.บอกคนไทยว่าจะเข้ามาทำอะไรบ้าง และจะสร้างระบบของบ้านเมืองที่ปฏิรูปให้มีความยั่งยืนอย่างไรจะคืนความสุขให้กับประชาชน โดยขอเวลาอีกไม่นาน เมื่อถึงปีสุดท้ายแล้วก็ขอให้ทำตามสิ่งที่เคยบอกกับประชาชนให้สำเร็จ ถ้าจะทำได้ต้องทบทวนอย่างตรงไปตรงมาว่าการปฏิรูปคืบหน้าไปถึงไหน อะไรที่จะทำให้ประชาชนเห็นวิสัยทัศน์ว่าบ้านเมืองจะเดินไปอย่างไร

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ถ้าทำได้ในปี 2561 จะเป็นปีสุดท้ายที่คสช.พูดได้ว่าปฏิบัติภารกิจลุล่วงให้คนไทยทั้งประเทศ แต่ถ้าไม่รีบทบทวนปีสุดท้ายของคสช.ก็จะจบลงด้วยการที่ประเทศสูญเสียโอกาสไปเป็นเวลา 4 ปี ดังนั้นจึงอยู่ที่ คสช. จะเลือกว่าจะให้ประวัติศาสตร์จารึกผลงานคสช.อย่างไร ถ้าทำไม่สำเร็จ คสช. ก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วไม่มีความกังวลใด ๆ แต่อยากให้ประเทศเดินหน้าด้วยการปฏิรูปและบริหารโดยยึดหลักธรรมาภิบาล อย่าหยิบขึ้นมาเป็นเพียงแค่วาทกรรม ต้องเป็นรูปธรรม เพราะคนไทยอยากเห็นการกลับคืนสู่ ภาวะปกติที่ไม่ย้อนกลับไปสู่ปัญหาเดิม ๆ ที่มีการใช้อำนาจไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรมส่วนจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่คสช. ประกาศไว้เอง หากไม่เป็นไปตามนั้น คสช. ก็ต้องรับผิดชอบ

“ผมมีความหวังเสมอว่าคสช. จะทบทวนสิ่งต่างๆ และพูดด้วยความหวังดี เพราะทางเลือกของคสช.จะเป็นตัวกำหนดว่าประวัติศาสตร์จะจารึก คสช. อย่างไร ในปี 2557 น้อยคนจะคิดว่าบ้านเมืองจะตกอยู่ ในภาวะไม่ปกติยาวนานขนาดนี้ แต่สังคมไทยให้โอกาสตลอดทั้งที่ ปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงมาก แต่ประชาชนอดทนและให้โอกาสเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและเห็นแก่ที่นายกบอกจะปฏิรูปอย่าให้สิ่งที่ ประชาชนอดทนและให้โอกาสสูญเปล่าเพราะจะย้อนกลับมาเป็นปฏิกริยาที่ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น ผู้มีอำนาจต้องคิดถึงประเทศในระยะยาว ทำในสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่ดีให้ กับสังคมแล้วทุกอย่างจะเดินหน้าได้ ความนิยมมีขึ้นมีลง เปลี่ยนแปลงได้เร็ว ความได้เปรียบเสียเปรียบการช่วงชิงอำนาจ ต่อรองสืบทอดหรือไม่อย่างไร ทุกยุคทุกสมัยมีคนคิด แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ยั่งยืน ไม่ตอบโจทย์ประเทศ จะตอบโจทย์ได้ต้องยึดประโยชน์ส่วนรวม หลักธรรมาภิบาล” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงผลงานปฏิรูปของ คสช. ตลอดกว่า 3 ปีที่ผ่านมาว่า จนถึงวันนี้คนไทยยังไม่ทราบว่าหลักการปฏิรูปของ คสช.คืออะไร ถ้าจะทำให้สำเร็จต้องมีความชัดเจนก่อน เพราะถ้าจะปฏิรูปต้องลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน สร้างการมีส่วนร่วม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีส่วนไหนเดินหน้าในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ เห็นว่าการปฏิรูปไม่สามารถสำเร็จได้ในรัฐบาลนี้ เพราะการปฏิรูปจะสำเร็จได้ ประชาชนต้องรู้สึกว่าเป็นเจ้าของการปฏิรูปนี้และปกป้อง จึงเป็นเรื่องป่วยการที่จะเอามาตรการหรือกฎหมายใดมาบังคับให้ต้องทำตาม เพราะรัฐบาลใหม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนหวงแหน ดังนั้นปีสุดท้ายนี้ คสช. ต้องทำให้ชัดเจนเรื่องหลักการปฏิรูปและดึงประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อบีบบังคับพรรคการเมืองว่าต้องปฏิรูปต่อเนื่อง


 

‘สธ.’ เผย ปีใหม่ยอดเสียชีวิตรวม 317-บาดเจ็บรวม 3,188 ลดลงเทียบปี 60

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวว่า จากรายงานการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน วันที่ 1 มกราคม 2561 เกิดอุบัติเหตุ 677 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 71ราย ผู้บาดเจ็บ 696 คน รวม 5 วัน เกิดอุบัติเหตุ 3,056 ครั้ง เมื่อเทียบกับปี 2560 ในช่วงเวลาเดียวกัน ลดลง 70 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 317 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 3,188 คน จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ศรีษะเกษ 13 ราย บาดเจ็บสูงสุด คือ อุดรธานี 118 คน  ทั้งนี้ สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่เมาสุรา ร้อยละ 46.04 รองลงมาคือขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 24.71 และจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบมีผู้ขับขี่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ดื่มสุรา763 คน คิดเป็นร้อยละ 23.75 ของผู้ขับขี่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีที่เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด

ทั้งนี้ ประชาชนเริ่มเดินทางกลับเข้าทำงานหลังวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ จากปีที่ผ่านมาพบผู้บาดเจ็บจากการจราจร จากการหลับใน เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการง่วงนอน หรือมีอาการเมาค้างจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการขับขี่พาหนะ ทำให้ประสาทสัมผัสช้าลง การตัดสินใจผิดพลาด เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย จึงขอย้ำเตือนผู้ขับขี่ให้เตรียมร่างกายให้พร้อมเดินทาง หากระยะทางไกลควรมีผู้ผลัดเปลี่ยนขับรถ หรือแวะพักตามจุดพักรถ หากเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถโทรขอความช่วยเหลือ ที่หมายเลข 1669 ได้ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง


 

‘วัฒนา’ จวก คณะประยุทธ์ เข้าบ้าน ‘ป๋าเปรม’

นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์เฟซบุ๊กกล่าวถึงกรณีการเปิดบ้านสี่เสาของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพร้อมข้าราชการระดับสูงเข้าอวยพรปีใหม่

นายวัฒนา โพสเฟสบุ๊กโดยมีเนื้อหาใจความดังนี้

“คนดี”

การเปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เจ้าของวลี “เลิกคบค้าและเลิกไหว้คนโกง” ให้พลเอกประยุทธ์และคณะเข้าอวยพรปีใหม่ได้สร้างความสับสนให้สังคม เพราะคนที่มาอวยพรมีทั้งพวกที่ยึดอำนาจที่ประชาคมโลกถือว่าเป็นความเลวขั้นอุกฤษณ์ บางประเทศจึงรังเกียจไม่ยอมให้ทั้งเจ้าตัวและลูกเมียเข้าประเทศ ยังมีพวกไม่รักษาสัจจะ ไม่เคารพกฎหมาย ละเมิดสิทธิมนุษยชน บางคนเกษียณแล้วยังอยู่บ้านหลวง บางคนไม่อาจชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน ทั้งหมดคือ “คนดี” ที่พลเอกเปรมคบค้าเปิดบ้านต้อนรับ

สังคมไทยถูกฉาบด้วยวาทกรรม “คนดี” ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามและยังเป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจ ในขณะที่ประชาชนต้องรับเคราะห์เพราะได้คนไร้สติปัญญามาบริหารประเทศ โชคดีที่เป็นสังคมออนไลน์ทำให้ประชาชนได้เห็นพฤติกรรมของเหล่าคนดีที่เริ่มจนตรอก บางคนลอยหน้าลอยตาอบรมคนอื่นแต่รับเงินจากผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงิน หรือเจ้าของวลีแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน กลายเป็นผู้อบรมข้าราชการให้สร้างความโปร่งใสในการทำงานให้ประชาชนเชื่อมั่น

นักการเมืองคือเป้าหมายที่คนดีสุมหัวจ้องทำลาย ซึ่งต้องยอมรับว่านักการเมืองมีทั้งคนดีและคนไม่ดี มีทั้งกลุ่มคนที่เคยเรียกทหารออกมายึดอำนาจ หรือไม่มีอุดมการณ์ และพวกที่ต่อสู้กับเผด็จการเพื่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตามนักการเมืองจะเข้าสู่อำนาจได้ก็ต้องผ่านการเลือกตั้งและถูกตรวจสอบได้ ต่างจากพวกคนดีที่ยึดอำนาจแล้วนิรโทษกรรมตัวเองหนีการตรวจสอบ รวมทั้งใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการฝ่ายตรงข้ามที่กล้าวิจารณ์ตัวเอง ถึงเวลาหรือยังที่สังคมไทยจะหันมาให้คุณค่ากับประชาธิปไตย เคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพของตนและไม่ยอมให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือ ปีใหม่ 2561 เลิกนับถือคนดีจอมปลอมเป็นของขวัญให้กับตัวเองจะเกิดความเป็นสิริมงคลกับชีวิต โชคดีทุกท่านครับ


 

นายกฯ พร้อมภริยา ลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา ภริยา เดินทางมาลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ณ ห้องแดง ศาลาว่าการพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2561 โดยนายกรัฐมนตรีได้ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมถวายแจกันดอกไม้ ในนามนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และแจกันดอกไม้ในนามหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยาได้ลงนามถวายพระพรชัยมงคลฯ จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยาถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเสร็จภารกิจ


 

นายกฯ ดีใจเศรษฐกิจปีใหม่คึกคัก เงินหมุนเวียน 5.7 หมื่นลบ.


พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานว่า การจับจ่ายใช้สอยของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่เป็นไปอย่างคึกคัก โดยเฉพาะที่ตลาดสดและห้างสรรพสินค้า โดยประชาชนที่กลับไปเยี่ยมบ้านและพักผ่อนในวันหยุดได้ออกไปซื้ออาหารสด เพื่อนำไปปรุงรับประทานกับครอบครัว ซึ่งในปีนี้มีราคาไม่แพง ทั้งเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักและผลไม้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระทรวงพาณิชย์ได้ควบคุมราคาอย่างเหมาะสม

“นายกฯ ดีใจที่เห็นบรรยากาศเช่นนี้ โดยรัฐบาลพยายามออกมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้กับประชาชน เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยสนับสนุนค่าครองชีพและการเดินทาง หรือช้อปช่วยชาติ ที่แม้ว่าในปีนี้จะออกมาเร็วกว่าปีก่อน ๆ แต่ผู้ประกอบการก็มีแนวทางส่งเสริมการขายไปตลอดทั้งช่วงเทศกาล”

นอกจากนี้ ยังพบว่า มีประชาชนเดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดและกลับภูมิลำเนาในสัดส่วนเพิ่มขึ้น เพราะให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่าการทำกิจกรรมที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ โดยนิยมไปทำบุญไหว้พระ สังสรรค์กับญาติมิตร และซื้อของขวัญของฝากให้แก่ผู้อื่น โดยธนาคารออมสินได้คาดการณ์ว่าพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยจะจับจ่ายใช้สอยรวมกันประมาณ 57,000 ล้านบาท เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 3,765 บาท ในช่วงเทศกาลนี้

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงเรื่องการขับขี่ยานพาหนะและการเดินทาง โดยขอให้ทุกคนใช้ความระมัดระวัง ช่วยตักเตือนกันเองภายในครอบครัว และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ เพื่อป้องกันอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา