โครงการ”การแข่งขันแรลลี่การกุศล “TIA Family Rally 2019” ครั้งที่ 1/62​ “เดิมฝัน แต้มสี แบ่งปัน”

สมาคมสมาพันธ์นักข่าว​ (ประเทศไทย)  โดยคุณลัลน์ลลิตฤดี วิเศยศีริ​ นายกสมาคมสมาพันธ์นักข่าว​ (ประเทศไทย)​ พร้อมด้วย​ คุณแสนไชย เค้าภูไทย (คอลัมนิสตต์อาวุโส) และคณะ​ ได้รับการสนับสนุนน้ำดื่ม​ จาก​ คุณกุณสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานกรรมการฝายกิจการบรรษัทเทสโก้ โลตัส​ โดยมอบหมายให้​ คุณ​รัชนี​ อินทศร​ Duty Manager ห้าง​ Tesco​ Lotus​ สาขาถนนจรัญ​สนิท​วงศ์​ เพื่อนำไปใช้ใน โครงการ​ การแข่งขันแรลลี่การกุศล “TIA Family Rally 2019” ครั้งที่ 1/62​ “เดิมฝัน แต้มสี แบ่งปัน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่​ 25-26​ ต.ค.62​ นี้

สมาคมสมาพันธ์นักข่าว​ (ประเทศไทย)  ซึ่งเป็นสมาคมฯ​ ที่มีสื่อสิ่งพิมพ์,สื่อออนไลน์,นักข่าว,นักจัด-รายการ​ วิทยุ​ และโทรทัศน์​ ตลอดจนสื่อมวลชนหลากหลายสาขา​ ร่วมกันก่อตั้งสมาคมฯ​ ขึ้น เพื่อสนับสนุนในด้าน-การข่าว​ และเพื่อเป็นสื่อกลางในการประสานงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ​ชาติ

สมาคมสมาพันธ์นักข่าว​ (ประทศไทย)ได้จัดการแข่งขันแรลลี่การกุศลภายใต้ชื่อ โครงการ TICA แฟมิลี่แรลลี่การแข่งขันแรลลี่การกุศล “TCAFamily Rally 2019” ครั้งที่ 1/62​ “เติมฝัน แต้มสี แบ่งปีน” เพื่อ

ร่วมกิจกรรมทาสีอาคารเรียน​ ช่อมแชมอุปกรณ์การเรียนการสอนที่เสื่อมโทรม​ ณ​ โรงเรียนบ้านหนองแขม​ ตำบลท่ายาง อำเภอท่ายาง​ จังหวัดเพรรบุรี​ และเชื่อมสัมพันธ์พบปะ แลกเปลี่ยนข้อกิดเชื่อมโยงข่าวสาร เพิ่มความสัมพันธ์อันดีงาม ของครอบครัวที่มาร่วมกิจกรรมของสมาคมสมาพันธ์นักข่าว​ (ประเทศไทย)

อีกทั้งยังเป็นการส่งสริมให้ทุกครอบครัวได้ร่วมสนุกทำความรู้จักจังหวัดที่ได้เดินทางผ่านอย่างเข้าถึงโดยการแข่งขันครั้งนี้​ เราจะเดินทางผ่านจังหวัดสมุทรสาคร,สมุทรสงคราม,เพชรบุรี​ และประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่วิถีชุมชน


กรุงไทยเผยพบการก่อกวนลงทะเบียนชิมช้อปใช้

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารได้เฝ้าติดตามการลงทะเบียนมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ชิมช้อปใช้

พบว่า มีผู้ไม่หวังดีเข้ามาก่อกวนระบบการลงทะเบียน โดยนำเทคโนโลยีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการลงทะเบียนมาใช้  ส่งผลให้ประชาชนลงทะเบียนได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งธนาคารต้องขออภัยในความไม่สะดวกในครั้งนี้

ขณะนี้ ธนาคารอยู่ระหว่างการเฝ้าระวังระบบอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประสานงานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อร่วมมือกันหามาตรการในการป้องกันและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนต่อไป


 

บัตรเครดิตธนชาต เอาใจลูกค้าสายสปอร์ตให้ ฟิต แอนด์ เฟิร์ม

ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เอาใจสายสปอร์ตผู้รักสุขภาพ มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าบัตรเครดิตธนชาต ช้อปสินค้าและอุปกรณ์กีฬา รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 30,000 บาท  เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต   ธนชาต 2,500 บาท ขึ้นไป ที่ ซูเปอร์สปอร์ต (Supersports) และร้านค้าในเครือบริษัท CRC Sports       ทุกสาขา พร้อมชำระเงินแบบเต็มจำนวน / เซลล์สลิป โดยลูกค้าสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมรายการ เพียงพิมพ์ SSP ตามด้วยเลขบัตรเครดิต 16 หลัก ส่งมาที่ 4712066 ได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ม.ค. 2563

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเงื่อนไขเพิ่มเติม ได้ ณ จุดขาย และที่ธนาคารธนชาต โทร.1770 กด 0   กด 2 หรือที่เว็บไซต์ www.thanachartbank.co.th


 

“ปธ.ศาลฎีกา”ออกประกาศศาลฎีกา ทำงานวันหยุดพิเศษ 4-5 พ.ย.พิจารณาประกันตัว คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน

ศาลฎีกา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (เมื่อวันที่ 25 ต.ค.) นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ประธานศาลฎีกาได้ออกประกาศศาลฎีกา เรื่องการเปิดศาลฎีกาในวันหยุดราชการกรณีพิเศษ มีเนื้อหาว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ วันที่ 15 ตุลาคม 2562 กำหนดให้วันที่ 4 และวันที่5 พฤศจิกายน 2562 เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนนทบุรี เพื่อบรรเทาปัญหาจราจร และอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ของผู้เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมประกาศให้วันที่ 4 และวันที่ 5 พฤศจิกายน 2562 เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษนั้น


 

‘ประธานศาลฎีกา’ นำข้าราชการ-ประชาชน ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2562 ณ ‘วัดสร้อยทอง’

นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์

ประธานศาลฎีกานำข้าราชการและประชาชน ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2562 ณ วัดสร้อยทอง กรุงเทพมหานคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ตุลาคม 2562)  เวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้ศาลยุติธรรมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดสร้อยทอง แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร โดยมี นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานในพิธีถวายผ้ากระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2562 พร้อมด้วยคณะผู้บริหารศาลยุติธรรมและสำนักงานศาลยุติธรรม ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ตลอดจนประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมพิธี

นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์

สำหรับการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้ มียอดเงินซึ่งข้าราชการฝ่ายตุลาการ ศาลยุติธรรม ลูกจ้าง และพนักงานราชการศาลยุติธรรมในสังกัด รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญ
เพื่อนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2,287,858.43 บาท โดยมอบเงินบำรุงการศึกษาให้แก่โรงเรียนพระปริยัติธรรมสำนักเรียนวัดสร้อยทองและโรงเรียนวัดสร้อยทอง จำนวน 100,000 บาท
นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์
อนึ่ง วัดสร้อยทอง เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เดิมเป็นวัดเล็กๆ ประจำถิ่น ตั้งแต่ก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสร้างมาตั้งแต่เมื่อใด สันนิษฐานว่า เดิมชื่อ “วัดซ่อนทอง” ภายในวัดมีพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะทองเหลือง นามว่า “หลวงพ่อเหลือ” สร้างจากโลหะที่เหลือจากการหล่อพระประธาน ในปี พ.ศ. 2445 ภายในเกศของหลวงพ่อบรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ 5 พระองค์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 ได้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 2 บริเวณที่ตั้งวัดอยู่ในจุดยุทธศาสตร์เป็นผลให้หลายส่วนของวัดได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด แต่ปรากฏว่า หลวงพ่อเหลือ กลับไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด จึงได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากชาวบ้านมาโดยตลอด ปัจจุบันวัดสร้อยทองได้รับการยกฐานะจากวัดราษฎร์เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2545 และเฟื่องฟูทางด้านการศึกษาพระอภิธรรมและวิปัสสนากรรมฐานมาช้านาน จนปัจจุบันถือเป็นสถานที่เรียนพระปริยัติธรรมของสงฆ์ซึ่งมีทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลีที่มีคุณภาพจนได้รับการแต่งตั้งเป็นสำนักเรียนวัดสร้อยทองที่มีชื่อเสียง


 

‘กองปราบฯ’ ฮึ่ม! เตรียมตรวจสอบพยาน-หลักฐานละเอียด กรณีหนุ่มซีวิคเลือดร้อน

พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ
ยังไม่แจ้งหมิ่นเบื้องสูงตี๋แว่นซีวิคเลือดร้อน ขอตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียด หลังความผิดยังไม่ชัดเจน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี นายราเชน ตระกูลเวียง ประธานสหพันธ์คนไทยปกป้องสถานบัน ได้เดินทางเข้ายื่นเรื่องให้ทางกองปราบฯดำเนินคดีเอาผิดกับ นายรชฎ หวังกิจเจริญสุข หรือตี๋แว่น เจ้าของรถยนต์ซีวิคเลือดร้อน ในข้อหาตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และหมิ่นประมาทคนไทยทั้งประเทศ จากกรณีพูดจาดูหมิ่น ดูถูกคนไทย ด้วยถ้อยคำหยาบคาย หลังไม่พอใจคู่กรณีที่ขับรถเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของตนเอง จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสื่อสังคมออนไลน์ ตามที่ได้เคยมีการนำเสนอไปก่อนหน้านี้
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าวล่าสุด เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 ต.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.เนติวงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป. กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีผู้มาร้องขอให้ทางกองปราบเอาผิดกับนายรชฎ ในข้อหาตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และหมิ่นประมาทคนไทยทั้งประเทศ นั้นตนได้ทำการพิจารณาคำให้การของผู้ร้องในเบื้องต้นแล้ว แต่เห็นว่าข้อกล่าวหาที่จะเอาผิดกับนายรชฎ นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงได้ส่งต่อให้กับทาง พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. ซึ่งรับผิดชอบดูแลในส่วนของสำนวนคดีต่างๆเป็นผู้พิจารณาอีกที
รายงานข่าวแจ้งว่า อย่างไรก็ตามสำหรับการพิจารณาหลักฐานและคำให้การของผู้ร้องที่มายื่นเรื่องขอให้เอาผิดกับ นายรชฎ ตามข้อกล่าวหาดังกล่าวนั้น เบื้องต้นพบว่าหลักฐานที่นำมามอบให้ ขณะนี้ยังไม่พบการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาที่ชัดเจน จึงจำเป็นต้องทำการตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะส่งต่อให้กับผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการอีกครั้งต่อไป

โอละพ่อ! ‘ตำรวจ จับ ตำรวจ’ เรียกไถเงินแลกลดข้อหา ก่อนถูกซ้อนแผนจับ!

พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ

เจอตัวแล้ว หนุ่มเลี้ยงวัว ถูกอุ้มซ้อมคาบ้านพักกลางดึก ที่แท้ถูกจับขยายผลคดียา เผยเพื่อนสนิทถูกจับก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมง แต่เรื่องโอละพ่อตำรวจชุดจับนอกรีตเรียกไถเงินแลกลดข้อหา ก่อนถูกซ้อนแผนจับติดคุกตามผู้ต้องหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี นายกำพล เสือดาว อายุ 62 ปี ชาว จ.กาญจนบุรี พร้อมด้วยครอบครัว เดินทางเข้ายื่นเรื่องร้องเรียนยังกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) หลัง นายสุรัช เผือกพันธ์ด่อน อายุ 23 ปี หลานชาย ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้ามาทำร้ายร่างกายภายในบ้านพัก ก่อนพาตัวหายออกจากบ้านพักในพื้นที่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ไปตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากเกรงว่านายสุรัช จะได้รับอันตราย ตามที่ได้เคยมีการนำเสนอไปก่อนหน้าแล้วนั้น

ล่าสุด เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 25 ต.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป. ได้เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า ภายหลังรับเรื่องได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.5 บก.ป. ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นทราบว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) ที่กำลังสืบสวนติดตามพฤติกรรมของนายสุรัช และกลุ่มเพื่อน หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนสาเหตุที่นำตัวนายสุรัช ออกไปจากบ้านพักนั้นก็เพื่อนำตัวไปทำการขยายผลหาผู้ร่วมกระทำผิดและยาเสพติดของกลาง ซึ่งขณะนี้ทราบว่ามีการส่งตัวนายสุรัช ให้กับพนักงานสอบสวน สภ.ท่าม่วง รับตัวไปดำเนินคดีในข้อหาครอบครองยาเสพติดไว้เพื่อจำหน่ายแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังการนำตัวไปขยายผลพบยาเสพติดเป็นยาบ้าของกลางจำนวน 60 เม็ด ส่วนกรณีที่ทางญาติของนายสุรัช ยังคงติดใจเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ใช้ความรุนแรงนั้น ก็สามารถเข้าแจ้งความกับทางตำรวจท้องที่ได้ แต่หากมองว่ากลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถมาเข้าแจ้งความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวกับทางตำรวจกองปราบได้ เพราะพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากกรณีของนายสุรัช แล้ว เมื่อวานที่ผ่านมา(24 ต.ค.) ทางเจ้าหน้าที่ทหาร ชป.ข่าว กกล.สุรสีห์ ยังได้รับเรื่องร้องเรียนจากญาติ ของ นายศราวุฒิ สมศรี เพื่อนสนิทของนายสุรัช ว่า ถูกชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นเจ้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหาครอบครองยาเสพติดไว้เพื่อจำหน่าย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา และมีการเรียกรับทรัพย์สินเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท จากทางญาติ เพื่อต่อรองในการเปลี่ยนข้อหา และของกลาง แต่ทางญาติของนายศราวุฒิ ไม่มีเงินพอและเกรงว่าจะเกิดอันตราย จึงได้มาขอความช่วยเหลือ ทางเจ้าหน้าที่ทหาร ชป.ข่าว กกล.สุรสีห์ จึงได้ประสานไปยัง กก.สส.ภ.จ.กาญจนบุรี เพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า กระทั่งเมื่อทราบว่ามีการเรียกรับเงินวิ่งเต้นคดีจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จ.กาญจนบุรี จึงได้วางแผนจับกุมกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว ด้วยการทำทีให้ญาติของนายศราวุฒิ ยินยอมที่จะนำเงินไปมอบให้กับชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ในเบื้องต้นเป็นจำนวนเงิน 5 หมื่นบาท โดยนัดหมายส่งมอบเงินกันที่บ้านพักของนายศราวุฒิ ในพื้นที่ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี จากนั้นจึงกระจายเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งเมื่อถึงเวลานัดหมายเจ้าหน้าที่กก.สส.ภ.จ.กาญจนบุรี ได้พบเห็น ร.ต.อ.อัศวิน บุนนาค รอง สว.สส.สภ.ท่าม่วง พร้อม จ.ส.ต.อนุสรณ์ เกษมโสต ส.ตทณัฐพษ์ สุนโท สังกัด สภ.ท่าม่วง และนายปัญญา มั่นคง เจ้าหน้าที่อาสาสมัครตำรวจ เดินเข้ามารับเงินดังกล่าวจากญาติผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่ที่ซุ่มสังเกตการณ์อยู่จึงแสดงตัวเข้าทำการจับกุม พร้อมกับแจ้งข้อกล่าว “ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน ประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่ง” แก่ร.ต.อ.อัศวิน ,จ.ส.ต.อนุสรณ์ , ส.ตทณัฐพษ์ และแจ้งข้อกล่าวหา “เป็นผู้สนัสนุนให้เจ้าพนักงานร่วมกัน เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน ประโยชนอื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่ง ” แก่นายปัญญา ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่ามะกา ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

รายงานข่าวแจ้งอีกว่าสำหรับทั้ง 2 คดีนี้ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 ชุดที่เข้าจับกุมตัว นายสุรัช และ นายศราวุฒิ นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงถึงกันด้วยหรือไม่ เนื่องจากนายสุรัช และนายศราวุฒิ นั้นเป็นเพื่อนสนิทกันและช่วงเวลาที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 ชุดจับกุมก็อยู่ในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน

 


 

‘ป.ป.ส.’ เดินหน้า ปราบปรามพื้นที่แพร่ระบาดของยาเสพติด

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ภายใต้การอำนวยการของ นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) มอบหมายให้ สำนักงาน ปปส.ภ. 3 และ ปปส.ภ.6 ร่วมกับทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กอ.รมน. และแรงงานจังหวัด ลงปฏิบัติการ ใน 2 จังหวัด รวมกำลังเจ้าหน้าที่ 120 นาย พร้อมสุนัขตำรวจ ทำการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายที่ประชาชนร้องเรียนผ่าน สายด่วน 1386 จำนวน 1 แห่ง และเข้าตรวจค้นยาเสพติดในสถานประกอบการ จำนวน 6 แห่ง ตาม “แผนปฏิบัติการปิดล้อมหมู่บ้านชุมชนแพร่ระบาด” เพื่อลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดและผู้ค้า
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสำนักงาน ป.ป.ส. จึงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาคี ทำการปิดล้อมตรวจค้นนักค้ายาเสพติดรายย่อยในชุมชน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากพี่น้องประชาชน ผ่านสายด่วน ป.ป.ส. โทร 1386 รวมทั้ง เข้าตรวจค้นยาเสพติดในสถานประกอบการไปรษณีย์และพัสดุภัณฑ์ 4 แห่ง และโรงงาน 2 แห่ง เพื่อป้องปรามการกระทำความผิด
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสรุปผลการปฏิบัติการฯ ในพื้นที่ 2 จังหวัด ดังนี้ 1.เข้าปิดล้อมตรวจค้น ในพื้นที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ในข้อหาเสพ (ยาบ้า) และ 2.เข้าตรวจค้นยาเสพติดในสถานประกอบการ 6 แห่ง ได้แก่ บริษัทขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก 4 แห่ง ผลการปฏิบัติการไม่พบยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบสถานประกอบการฯ ทั้ง 4 แห่ง ซึ่งได้ปฎิบัติตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2543) เรื่องมาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ พบว่าสถานประกอบกิจการขนส่งสินค้าหรือพัสดุภัณฑ์เอกชนดังกล่าว ได้ปฏิบัติตามประกาศฯ อย่างเคร่งครัด และแต่ละบริษัทได้มีมาตรการในการป้องกันและเฝ้าระวังการลักลอบขนส่งยาเสพติด ทั้งในส่วนของการคัดเลือกพนักงานและปรับปรุงระบบสารสนเทศของบริษัทให้สอดรับกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ นอกจากนี้ ได้เข้าตรวจค้นโรงงานเอกชนในพื้นที่ อ.เมือง จ.พิษณุโลก 2 แห่ง โดยขอเข้าตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของพนักงาน จำนวน 264 ราย ผลการตรวจค้นไม่พบสารเสพติดในร่างกายทั้ง 264 ราย
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสำนักงาน ป.ป.ส. จะเดินหน้าปราบปรามพื้นที่แพร่ระบาดยาเสพติด ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ในหมู่บ้าน/ชุมชน รวมทั้งดำเนินการมาตรการป้องปรามการกระทำความผิด ควบคู่กับการสร้างการรับรู้ให้พี่น้องประชาชนสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฝ้าระวังป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ โดยแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ยาเสพติดผ่านสายด่วน ป.ป.ส. 1386 โดยทุกข้อมูลของผู้แจ้งจะถูกเก็บเป็นความลับและปัญหาของประชาชนจะต้องได้รับการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วน ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

“บิ๊กเต่า”แถลงผลงาน บก.ตม.6 รวบต่างชาติแฝงตัวกระทำผิดกฏหมาย ในไทย 6 คดีรวด

วันนี้ 25 ต.ค.62 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สวนพลู กรุงเทพมหานคร พล.ต.ต.พรชัย ขันตี รอง ผบช.สตม. พร้อมด้วย     พล.ต.ต.พีรวัส บุญลอย ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.อรุษ แสงจันทร์ รอง ผบก.ตม.6 แถลงข่าวการจับกุมคดีคนร้ายต่างชาติ  รายสำคัญ และคดีที่น่าสนใจในห้วงเดือน ต.ค.2562 จำนวน 6 คดี ดังต่อไปนี้

คดีแรก ตม.จว.ภูเก็ต รวบสาวเขมรแสบ เครือข่ายแก๊งค์ ค้ามนุษย์ หลอกเด็กเร่ขายสินค้าริมหาดป่าตอง บังคับใช้แรงงาน หน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำร้ายร่างกาย ถ้าขายของไม่ได้ตามยอด จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ต.ค.62 เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.ภูเก็ต ได้ทำการจับกุมตัว MS.KIMHANG (นางสาวคิมห่าง หรือ กิมฮาง) อายุ 24 ปี  สัญชาติกัมพูชา ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดภูเก็ต    ที่ 98/2562 ลงวันที่ 18 เมษายน 2562 โดยต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยได้กระทำแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยเป็นธุระจัดหา พามาจากหรือส่งไปที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อบังคับใช้แรงงาน ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับอันตรายแก่กาย ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ และร่วมกันเป็นนายจ้างจ้างเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าปีเป็นลูกจ้าง” หนึ่งในขบวนการค้ามนุษย์ หลอกลวงเด็กชาวกัมพูชา อายุประมาณ 13-16 ปี มาเร่ขายดอกไม้และแว่นตาที่ริมหาดป่าตอง มีผู้ร่วมขบวนการจำนวน 4 คน  โดยนางสาวคิมห่าง ทำหน้าที่ รับ – ส่ง เด็กตามจุดที่ขายของบริเวณริมหาดป่าตอง  และทำหน้าที่ดูต้นทาง เวลามีตำรวจมาตรวจ โดยจะให้เด็กขายของตั้งแต่เวลา 08.00 น. – 21.00 น. ทุกวันไม่มีวันหยุด  ซึ่งหลังเลิกขบวนการดังกล่าวจะรับเด็กกลับมากักขังไว้ที่บ้านเช่า ถนนราษฎร์อุทิศ 200 ปี ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต หากเด็กขายของได้เงินไม่ถึงยอดตามที่กำหนดไว้ประมาณ 2,000 – 3,000 บาท ทั้งสี่คนจะใช้ไม้แขวนเสื้อ   ซึ่งถูกดัดเป็นขดให้มีลักษณะคล้ายไม้เรียว ตี ทำร้ายร่างกายเด็ก โดยจะผลัดกันทำร้ายเด็กสลับกันไปในแต่ละวัน  ถ้าเด็กคนไหนขายของไม่ได้ตามยอดก็จะถูกตี ต่อมา เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2561 มารดาของเด็กจำนวน 2 รายทราบเรื่อง จึงเดินทางมาจากประเทศกัมพูชาและเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ป่าตอง คนร้ายทั้งสี่ได้หลบหนีไปและพนักงานสอบสวนได้ขอศาลจังหวัดภูเก็ตออกหมายจับไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.ภูเก็ต ได้ทำการสืบทราบว่า นางสาวคิมห่าง หนึ่งในผู้ต้องหา ยังซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทยจะทำการหลบหนีออกจากประเทศไทย   โดยเดินทางออกทางจังหวัดสระแก้ว จึงได้ประสานกับ ตม.จว.สระแก้ว และร่วมกันทำการสืบสวน จนสามารถจับกุมตัวนางสาวคิมห่างได้ จากนั้นได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ป่าตอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนคนร้าย รายอื่นๆที่หลบหนีอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.ภูเก็ต จะได้ทำการสืบสวนขยายผลเพื่อติดตามจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2. Biometrics จับพิรุธ 2 ต่างชาติติด Blacklist เปลี่ยนชื่อและหนังสือเดินทาง เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต ได้ทำการตรวจสอบบุคคลต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาอยู่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตด้วยระบบ Biometrics พบคนต่างด้าวจำนวน 2 ราย เป็นบุคคลซึ่งถูกขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้าม หรือ Blacklist ห้ามเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไว้ ซึ่งบุคคลดังกล่าว หลังจากที่ถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร บุคคลเหล่านั้นได้เปลี่ยนชื่อตัวบางส่วน และขอหนังสือเดินทางเล่มใหม่ จากนั้นได้เดินทางกลับเขามาในประเทศไทยอีกครั้ง เป็นสัญชาติปากีสถาน  1 ราย และสัญชาติเบลารุส 1 ราย มีรายละเอียดดังนี้ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.62 ตม.จว.ภูเก็ต ได้ทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ MR.SHEIKH (นายเชรค) สัญชาติปากีสถาน เดิมชื่อ  MR.AJMEL (นายอาจาเมล) สัญชาติปากีสถาน เคยถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหา เคยถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดฐาน อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด เมี่อปี พ.ศ. 2561 มีพฤติการณ์เข้าลักษณะต้องห้าม ติด Blacklist ห้ามเข้าประเทศ 10 ปี ตั้งแต่ ปี  พ.ศ. 2561  ถึงปี  พ.ศ. 2571 ได้เปลี่ยนชื่อกลางของตน และขอหนังสือเดินทางเล่มใหม่ จากนั้นเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผ่านทางสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 5 ก.ค.62 ได้รับการตรวจลงตราประเภท NON-90 อนุญาตให้อยู่ถึงวันที่ 2 ต.ค.62 จากการตรวจสอบบุคคลดังกล่าวสอบด้วยระบบ Biometrics พบว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ถูกขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้ามไว้

เมื่อวันที่ 10 ต.ค.62 ตม.จว.ภูเก็ต ได้ทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ MR.AKEXANDER (นายอเล็กซานเดอร์) สัญชาติเบลารุส เดิมชื่อ MR.ALIAKSANDR (นายอเล็คซานเดอร์) สัญชาติเบลารุส เคยถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตเมี่อปี พ.ศ. 2561 มีพฤติการณ์เข้าลักษณะต้องห้าม ติด Blacklist ห้ามเข้าประเทศ 100 ปี ตั้งแต่ ปี  พ.ศ. 2561  ถึงปี  พ.ศ. 2661    ได้เปลี่ยนวิธีการสะกดชื่อนามสกุลของตนเอง และขอหนังสือเดินทางเล่มใหม่ จากนั้นเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผ่านทางสนามบินนานาชาติภูเก็ต เมื่อวันที่ 23 เม.ย.62 ได้รับการตรวจลงตราประเภท NON-90 อนุญาตให้อยู่ถึงวันที่ 12 ต.ค.62 จากการตรวจสอบบุคคลดังกล่าวสอบด้วยระบบ Biometrics พบว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ถูกขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้ามไว้

จากการซักถามปากคำเบื้องต้น และให้ดูหลักฐานการขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้าม ทั้งสองจึงให้การรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ตรวจสอบพบจากระบบ Biometrics  เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.ภูเก็ต จึงได้ทำการเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักร ของทั้งสอง จากนั้นจึงได้ควบคุมตัวและดำเนินการส่งกลับออกนอกประเทศต่อไป

คดีที่ 3. ตม.จว.กระบี่ ขยายผลจับกุมเครือข่าย Romance Scam พบหญิงไทยร่วมขบวนการหลอกคนชาติตัวเอง เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2562 เจ้าหน้าที่สืบสวน ตม.จว.กระบี่ และชุดสืบสวน กก.สส.ภ.จว.กระบี่ ได้ร่วมกันจับกุม นายอีเลเล่ (MR.ELELE) สัญชาติ ไนจีเรีย ข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจากการสอบสวนขยายผลทราบว่าเป็นเครือข่ายอาชญากรรม romance scam ทำให้นำไปสู่การจับกุม

1.) เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2562 เจ้าหน้าที่ตม.จว.กระบี่ ได้จับกุม1.MR.UCHECHUKWU อายุ 26 ปี สัญชาติไนจีเรีย
2.) MR.TIMOTHY อายุ 24 ปี สัญชาติไนจีเรีย ข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 3.น.ส.สกุลตรา อายุ 27 ปี สัญชาติไทย ข้อหา “ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือฯเพื่อให้คนต่างด้าวพ้นการจับกุม ” ที่ ต.กระบี่ใหญ่ อ.เมือง จว.กระบี่ อีกคดีเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2562 เจ้าหน้าที่ตม.จว.กระบี่ และชุดสืบสวน ได้จับกุม 1.MR.KINGSLEY อายุ 23 ปี สัญชาติ ไนจีเรีย ข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต “2.น.ส.น้ำเพชร   อายุ 20 ปี ข้อหา “ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือฯ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นการจับกุม”

ที่บ้านเลขที่ 293/41 หมู่ 1 ต.เหนือคลอง อ.เมือง จว.กระบี่ จากการตรวจสอบภายในที่เกิดเหตุทั้งสามคดี พบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงพยานหลักฐานต่างๆ ที่เชื่อมโยงกลุ่มผู้ต้องหากับเครือข่ายอาชญากรรมหลอกรักออนไลน์ หรือ romance scam และพบว่าผู้ต้องหาทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกันในรูปแบบขบวนการ ซึ่ง ตม.จว.กระบี่ ได้สืบสวนขยายผลพบหญิงไทยซึ่งตกเป็นเจ้าทุกข์จำนวนหนึ่ง จึงได้ให้ความช่วยเหลือในทางคดี และการเยียวยามูลค่าความเสียหายอันเกิดจากกระทำของกลุ่มอาชญากรรมนี้ ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการเยียวยาผู้เสียหายไปบางส่วนแล้ว

คดีที่ 4.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี รวบหนุ่มดัตซ์แฝงตัวจากนักท่องเที่ยวก่อเหตุขโมยกล้องโกโปรที่เกาะเต่า จากกรณีเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2562  ตม.จว.สุราษฎร์ธานี บก.ตม.6 ได้รับประสานจาก สภ.เกาะเต่า ให้ติดตามบุคคลต่างด้าว ราย MR.GERHARDUS สัญชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้ถูกแจ้งความร้องทุกข์จากนายรัฐวิทย์ ว่ากระทำความผิด    ลักทรัพย์กล้องโกโปร ฮีโร่ 7 สีดำ พร้อมอุปกรณ์ ราคา 12,490 บาท จากร้านเกาะเต่าเทเลคอมในวันที่ 4 ต.ค. 2562 และมาทราบจากกล้องวงจรปิดว่าคนต่างด้าวรายดังกล่าวได้ลักเอาไป จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน สภ.เกาะเต่า จว.สุราษฎร์ธานี

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้ทำการออกสืบสวนเพื่อทราบตัว MR.GERHARDUS   โดยได้ตรวจสอบข้อมูลการแจ้งการเข้าพักอาศัย ม.38 ในระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (Biometrics) พบว่าคนต่างด้าวรายดังกล่าวได้หลบหนีจากเกาะเต่ามาเข้าพักอาศัยที่โรงแรมนิด บังกะโล เกาะสมุย จึงได้เข้าทำการตรวจสอบพบการเข้าพักจริง แต่ในขณะเข้าทำการตรวจสอบไม่พบคนต่างด้าว จึงได้ร่วมวางแผนกับ จนท.ตำรวจท่องเที่ยวสมุย เพื่อสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของบุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว ต่อมาวันที่ 9 ต.ค. 2562 เวลา ประมาณ 14.30 น. ได้พบตัวคนต่างด้าวรายดังกล่าวในขณะกลับมาจากท่องเที่ยวและจะเข้าห้องพัก เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าแสดงตัวและ     แจ้งเหตุแห่งการตรวจสอบจนบุคคลต่างด้าวเข้าใจดีแล้ว และพาเข้าไปตรวจสอบเพื่อหาของกลาง จนกระทั่งพบของกลางกล้องโกโปรฯ และอุปกรณ์ ใต้บันใดในห้องพัก เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้เชิญตัวมาเพื่อแจ้งให้ทราบถึง รายละเอียดแห่งการร้องทุกข์กล่าวโทษ และประสาน พงส.เจ้าของคดี มารับตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีที่       สภ.เกาะเต่า จว.สุราษฎร์ธานี

คดีที่ 5. ตม.จว.ระนอง จับกุม 5 หนุ่มเมียนมา ใช้หนังสือเดินทางปลอม
เมื่อวันที่ 13 ต.ค.2562 เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง ได้ร่วมกัน
จับกุมตัวผู้ต้องหาสัญชาติเมียนมา 5 ราย ได้แก่
1.นายซาน มอง (SAN MG) อายุ 22 ปี
2.นายลา เต (HLA THEIN) อายุ 30 ปี
3.นายนู ซอ (NU SAW) อายุ 42 ปี
4.นายตาน ท่อ (THAN TUN) อายุ 30 ปี
5.นายอาว ซอ (AUNG SAW) อายุ 36 ปี
ในความผิดฐาน “ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอม (ปอ.มาตรา 269/9)”

ก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม พบผู้ต้องหาทั้ง 5 รายข้างต้น นำหนังสือเดินทางเล่มของกลาง มาแสดงกับ   เจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจาจุดตรวจสะพานปลา จากการตรวจสอบพบพิรุธน่าสงสัยจึงนำหนังสือเดินทาง
เข้าตรวจสอบในระบบ Biometrics พบข้อมูลการเดินทางเข้า-ออก และรูปผู้ต้องหาในระบบกับหนังสือเดินทางไม่ตรงกัน จึงเชิญตัวไปตรวจสอบโดยละเอียดที่ ตม.จว.ระนอง พบว่ามีร่องรอยการลอกแผ่นลามิเนตหน้าข้อมูลส่วนบุคคล  เมื่อตรวจสอบด้วยกล้องขยายไม่ปรากฏข้อความอักษรจิ๋ว(ไมโครเทค) ข้อความซ่อนคาว่า “REPUBLIC OF THE UNION OF MYANMAR” ที่แถบด้านบนและด้านล่างของหน้าข้อมูล จึงเชื่อว่าเป็นหนังสือเดินทางปลอม
เมื่อสอบถามผู้ถูกจับให้การรับสารภาพว่า มีภูมิลาเนาอยู่ที่รัฐยะไข่ ต้องการเดินทางมาหางานำาที่ประเทศไทย จึงว่าจ้างให้นายหน้า (ไม่ทราบชื่อและที่อยู่) เป็นเงิน 1 ล้านจ๊าด (ประมาณ22,000 บาท) เพื่อช่วยเหลือนำพาเข้ามาหางานทำในประเทศไทย โดยในวันเกิดเหตุนายหน้าได้นำหนังสือเดินทางมามอบให้พวกตนซึ่งในหนังสือเดินทาง หน้าที่ 10, 12 และ 13 ปรากฏรอยตราประทับของพนักงานเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ผู้ถูกจับยังไม่เคยเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยมาก่อนแต่อย่างใด

ต่อมาเมื่อมีการสืบสวนขยายผลปรากฎข้อมูลของ คนขับเรือชื่อ นายฉุ่ย ทอ (HTAY MYINT) สัญชาติเมียนมา
ซึ่งขับเรือหางยาวรับจ้างขนคนโดยสารระหว่าง เกาะสอง-ระนอง ในวันเกิดเหตุและทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่าตนได้รับ  การติดต่อจากชายชาวเมียนมา (ไม่ทราบชื่อ) ที่ท่าเรือสะพานปลาแจ้งว่าให้ไปรับชาวเมียนมา จำนวน 5 คน    จากท่าเรือเกาะสอง มาส่งที่ท่าเรือสะพานปลา โดยฝากหนังสือเดินทางไว้ให้ 5 เล่ม พร้อมเงินค่าโดยสาร 350 บาท อนึ่งจากข้อมูลข้างต้นดังกล่าว ตม.จว.ระนองได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการสืบสวนขยายผลหาเครือข่ายการปลอมหนังสือเดินทางดังกล่าวต่อไป

คดีที่ 6.งานสืบสวนสอบสวน บก.ตม.6 จับหนุ่มเมียนมา ศิลปินฟรีแลนซ์รับจ้างเขียนภาพเหมือนริมชายหาดสงขลา จากเมื่อวันที่ 14 ต.ค.62 เวลาประมาณ 13.40 น. เจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการ    ตรวจคนเข้าเมือง 6 ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาสัญชาติเมียนมา MR.MYO อายุ 48 ปี ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต”  โดยมีพฤติการณ์ กล่าวคือ

ก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับ ว่ามีบุคคลคล้ายบุคคลต่างด้าวมีพฤติกรรม     ในลักษณะทำงาน โดยการรับเขียนภาพเสมือนจริง บริเวณชายหาดชลาทัศน์ (รูปปั้นนางเงือก) ต.บ่อยาง อ.เมือง   จว.สงขลา จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบคนต่างด้าวกำลังนั่งเขียนภาพ โดยมีผู้หญิงซึ่งเป็นลูกค้าเป็นแบบ และเมื่อเขียนภาพเสร็จ คนต่างด้าวก็ได้รับเงินจากหญิงคนดังกล่าวเป็นค่าจ้าง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตน   เพื่อขอทำการตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าคนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ประเภทนักท่องเที่ยว และไม่มีใบอนุญาตทำงานแต่อย่างใด จึงได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา นำส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.6 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีนโยบายในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรม ในทุกรูปแบบฐานความผิดอย่างจริงจัง และฝากประชาสัมพันธ์ไปยังเจ้าของสถานที่พักอาศัยหรือประชาชนทั่วไป หากพบบุคคลต่างชาติที่มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมในลักษณะต่างๆหรือคนต่างด้าวที่อยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โทร.1178


 

‘ตำรวจสุราษฎร์ฯ’ จับเมียนมาแอบต้มใบกระท่อม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายใต้การอำนวยการและสั่งการของ พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี พ.ต.ท.ฐนพงศ์ หมกทอง รองผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี นำโดย ร.ต.อ.ดอน เหี้ยมหาญ รองสว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี พร้อมชุดสืบสวน ตม.จว.สุราษฎร์ธานี บูรณาการกำลังกับ จนท.ตร.สส.ภ.8 , กอ.รมน.จว.สุราษฎร์ธานีและ สนง.จัดหางาน จว.สุราษฎร์ธานี ได้ร่วมกันออกตรวจสอบ สถานประกอบการ/การทำงานของคนต่างด้าว ในเขตพื้นที่รับผิดชอบได้ร่วมกันจับกุมตัวนาย ทาน นาย หรือ MR. THAN NAING@ZOR อายุ 46 ปี สัญชาติ เมียนมา หนังสือเดินทางเลขที่ CC 7153973
พร้อมด้วยของกลาง

1.น้ำต้มพืชกระท่อม บรรจุขวดน้ำดื่ม ปริมาตรประมาณ 1ลิตร 1ขวด (ขวดโค้ก 999มล.)
2.น้ำต้มพืชกระท่อม บรรจุขวดน้ำดื่ม ปริมาตรประมาณ 200 มล. 1ขวด (ขวดโค๊ก 999 มล.)
โดยกล่าวหาว่า
1.”เป็นบุคคลต่างด้าว ทำงานนอกเหนือสิทธิที่จะทำได้”
2. “มียาเสพติดให้โทษประเภท5 (น้ำต้มพืชกระท่อม) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฏหมาย”
สถานที่จับกุม โครงการก่อสร้างบ้านสวย กรุ๊ป แกรนด์พารากอน มะปริง ม.3 ต.วัดประดู่ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี
พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้นำตัวผู้ถูกจับส่ง พงส.สภ.เมืองสุราษฎ์ธานีเพื่อดำเนินการตามกฏหมายต่อไป