ปอศ.ออกหมายจับแม่มณีแล้ว

เมื่อวันที่29 ต.ค. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปอศ. สั่งการให้ พ.ต.อ.ภาดล จันทร์ดอน ผกก.5บก.ปอศ. พ.ต.ท.ถิรภัทร ภัททิยธนสาร รองผกก.5บก.ปอศ.เดินทางไปที่ศาลอาญาเพื่อ ขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ นายเมธี ชิณภา และ น.ส.วันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือแม่มณี

โดยในเบื้องต้นศาลได้พิเคราะห์ตามพยานหลักฐานก่อนเห็นควรออกหมายจับน.ส.วันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือแม่มณี และนายเมธี ชิณภา ตามหมายจับ ของศาลอาญาที่ 1623-1624 ลงวันที่ 29 ต.ค. ในฐานความผิด 3 ข้อหา ประกอบไปด้วย ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน,ร่วมกันกู้ยืมอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน

ด้านพ.ต.อ.ภาดล กล่าวว่า สำหรับคดีแชร์ลูกโซ่แม่มณีนั้นทางผู้เสียหายกว่า 120 รายได้เดินทางร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนบก.ปอศ. โดยเบื้องต้นได้เฉพาะที่บก.ปอศ. ทำการสอบปากคำผู้เสียหายกว่า 20 ปาก มูลค่าความเสียหายกว่า 35 ล้านบาท ก่อนรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับ ซึ่งจากการสอบปากคำพบว่าผู้เสียหายนั้นได้มีการโอนเงินเข้าบัญชีของผู้ต้องหาทั้งสองราย ในส่วนของความสัมพันธ์พบว่าทั้งสองรายนั้นเกี่ยวข้องในฐานะเป็นแฟนกัน อย่างไรก็ตามในส่วนของการติดตามจับกุม พล.ต.ต.ไมตรี ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่แกะรอยแล้ว อีกทั้งเร่งรัดคดีนี้โดยเร็ว เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากในหลายท้องที่ได้รับความเดือดร้อนและเกิดความเสียหายจำนวนมาก


 

ร้อง ป. ตามจับอดีตทหารอากาศ หลอกตุ๋นเงิน อ้างพาฝากรับราชการทหาร เสียหายกว่า 2.5 ล้านบาท

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 ต.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายประจักษ์ ทรงเจริญ อายุ 51 ปี ชาว กทม. พร้อมด้วยนางเทริน คนไทย อายุ 49 ปี ชาว กทม. เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ทัพพสาร ปานแสง รอง สว.สอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้ช่วยติดตามจับกุมตัว น.ท.พสิษฐ์ ฝ่ายบุตร อดีตเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองทัพอากาศ และนางราชาวดี หรือ จันทรัสม์ ฝ่ายบุตร สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ในคดีร่วมกันฉ้อโกง หลังหลอกลวงเอาเงินจากนายประจักษ์ และ นางเทริน รวมถึงผู้เสียหายรายอื่นๆ เป็นเงินรวมกว่า 2.5 ล้านบาท

นายประจักษ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อปี 2558 ตนและผู้เสียหายรายอื่นได้พบเห็นสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งในพื้นที่สายไหม ซึ่งมี น.ท.พสิษฐ์ และ นางราชาวดี สองสามีภรรยาคู่นี้เป็นเจ้าของ ลงประกาศเปิดสอนพิเศษติววิชาสอบเข้าโรงเรียนจ่าอากาศ ด้วยความสนใจตนจึงส่งบุตรหลานไปเข้าเรียนพิเศษที่สถาบันดังกล่าว แต่เมื่อเรียนไปได้สักพัก สองสามีภรรยา คู่นี้ก็ได้ทำทีมาพูดคุยกับตนพร้อมกับอ้างว่าตนเองสามารถพาบุตรหลานฝากเข้าโรงเรียนจ่าอากาศเพื่อจบออกมาจะได้รับราชการทหารได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องจ่ายเงินค่าดำเนินการฝากเข้าคนละประมาณ 6.5 แสนบาท ทั้งนี้เมื่อตนเห็นว่า น.ท.พสิษฐ์ นั้นเป็นเจ้าหน้าที่ทหารจริง จึงหลงเชื่อนำเงินมามอบให้สองสามีภรรยาคู่นี้ แต่เมื่อประกาศผลการสอบคัดเลือกกลับปรากฏว่าไม่มีรายชื่อของบุตรหลานตนเองสอบติด ทำให้เชื่อว่าถูกหลอก จึงพยายามทวงถามเงินกลับคืน แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ก่อนจะทำการปิดสถาบันแล้วหลบหนีไป อย่างไรก็ตามต่อมาตนได้มาทราบภายหลังอีกว่านอกจากตนแล้วยังมีประชาชนคนอื่นตกเป็นเหยื่อถูกหลอกเช่นเดียวกับตนอีก 4-5 คน รวมมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 2.5 ล้านบาท จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเข้าแจ้งความเอาผิดกับสองสามีภรรยาคู่นี้ จนมีการออกหมายจับดังกล่าว

ด้านนางเทริน ผู้เสียหายอีกรายกล่าวว่า ที่ผ่านมาคดีดังกล่าวอยู่ในชั้นศาล โดยช่วงแรกมีการเจรจาไกล่เกลี่ยให้ยอมจ่ายเงินคืน ซึ่งตกลงกันว่าจะทยอยผ่อนชำระคืนให้กับตนและผู้เสียหายคนอื่น แต่เมื่อถึงกำหนดผู้ต้องหาทั้ง 2 คนกลับขาดหายการติดต่อ ทั้งเมื่อถึงกำหนดนัดศาลก็ไม่ยอมมารายงานตัวต่อศาล ศาลจึงมีคำสั่งพิพากษาตัดสินจำคุกผู้ต้องหา 2 คนนี้ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยงานใดติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คนนี้ ด้วยเหตุนี้จึงได้มายังกองปราบฯเพื่อให้ช่วยติดตามจับกุมตัวมาดำเนินการตามกฎหมายให้ได้

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา ก่อนเตรียมส่งเรื่องต่อให้กับผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป


 

“สมศักดิ์ เทพสุทิน” ประชุมหน่วยภาคี 8 กระทรวง ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดปี 2563

สมศักดิ์ เทพสุทิน

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562 เวลา 10.00 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการการประชุมฯ ผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ และผู้บริหารจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ

สาระของการประชุม ได้มีการรายงานสรุปสถานการณ์ปัญหายาเสพติด ผลการดำเนินงานด้านป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษายาเสพติด ประจำปี 2562 และรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับติดตามผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และคณะอนุกรรมการพัฒนานโยบายและมาตรการด้านการลดอันตรายจากยาเสพติด (Harm Reduction)

การประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการ ฯ ได้ร่วมพิจารณาแนวทางการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ประจำปี 2563 ที่มุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขกลุ่มเสี่ยงสูง ที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี การลดวงจรด้านอุปทาน สกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ปฏิบัติการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ สกัดกั้นจุดเสี่ยงตามแนวชายแดน ปราบปรามเครือข่ายการค้า อาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการแพร่ระบาดยาเสพติดใน 1,694 หมู่บ้านชุมชน และมุ่งสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ในหมู่บ้านชุมชน สถานศึกษา สถานประกอบการ เพื่อป้องกันกลุ่มเสี่ยง ให้ปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด โดยบูรณาการมาตรการป้องกันยาเสพติดและมาตรการบำบัดรักษายาเสพติดเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานการประชุมได้มีแนวนโยบายข้อสั่งการ ดังนี้

1. ให้หน่วยงานในที่นี้ ยึดนโยบายและถือปฏิบัติตามมติที่ประชุม

2. เน้นการลดอุปทาน ปริมาณการนำเข้าและการค้ายาเสพติดในประเทศให้ได้มากที่สุด

3. เน้นการลดอุปสงค์ การป้องกัน การลดปัจจัยเสี่ยงและการบัดรักษาฟื้นฟูผู้เสพ และการบำบัดรักษาอย่างมีคุณภาพ

4. เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน การสร้างกำลังประชาชนในการป้องกันยาเสพติดในหมู่บ้านชุมชนทุกจังหวัด

5. เน้นการแก้ไขปัญหาในพื้นที่เฉพาะที่มีการค้าและแพร่ระบาด ได้แก่ แผนปฏิบัติการด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือแบบเบ็ดเสร็จ (พ.ศ. 2562-2565) ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างในจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย ตาก และแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2562-2564

6.มอบให้ สำนักงาน ป.ป.ส. จัดระบบติดตามและประเมินผล ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบ

7. ใช้ ศอ.ปส. เป็นกลไกการกำกับบูรณาการและติดตามการดำเนินงานในภาพรวม

8. ให้นำข้อพิจารณาจากที่ประชุมใส่เพิ่มเติมในร่างคำสั่งฯ

โดยหลังจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ จะออกเป็นคำสั่งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการแก้ปัญหายาเสพติดให้เกิดความต่อเนื่อง และบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดต่อไป


กรุงไทยโชว์เทคโนโลยีล้ำสมัย ในงาน Digital Thailand Big Bang 2019

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับนานาชาติ “Digital Thailand Big Bang 2019: ASEAN Connectivity” ซึ่งจัดโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระหว่างวันที่ 28-31 ตุลาคม 2562 ในโอกาสนี้ได้ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธของธนาคารกรุงไทย โดยมี ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองกรรมการผู้จัดการใหญ่  สายงาน Global Business Development and Strategy  พร้อมผู้บริหารและพนักงาน ให้การต้อนรับ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2562

ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส เปิดเผยว่า งาน Digital Thailand Big Bang 2019 ในปีนี้ ธนาคารจัดบูธภายใต้แนวคิด Krungthai Connext Digital Life  ที่เชื่อมทุกจังหวะการใช้ชีวิตในยุค Digital ด้วยนวัตกรรมสุดล้ำที่ทำให้ไม่มีรอยต่อของสภาพแวดล้อมจริงและโลกเสมือน เพื่อมอบประสบการณ์ทางการเงินที่สะดวก รวดเร็ว และครบครัน ด้วย 4  โซนที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ได้แก่

VR Simulator Krungthai Branch จำลองสภาพแวดล้อมหรือโลกเสมือนจริงของสาขา โดยใช้ซอฟท์แวร์และอุปกรณ์ เช่น แว่นตาสามมิติ สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ IOS และ Android ร่วมกับ แอปพลิเคชั่น Cardboard หรืออุปกรณ์อื่นๆ เชื่อมการมองเห็น สัมผัส และเสียง ลูกค้าสามารถดูข้อมูล ทำธุรกรรม และสัมผัสบริการได้เสมือนไปสาขา รวมถึง AR Augmented Reality เทคโนโลยีที่เชื่อมสภาพแวดล้อมจริงเข้ากับโลกเสมือน ทำให้มองเห็นภาพแบบ 3 มิติ ลอยอยู่เหนือพื้นที่จริง เคลื่อนไหวได้ สามารถตอบสนองกับวัตถุเสมือนจริงนั้นได้ ซึ่งธนาคารเตรียมนำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้กับข้อมูลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มความสะดวกให้กับร้านธงฟ้าประชารัฐ  ในการใช้แอปพลิเคชั่นถุงเงินสแกนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถทราบจำนวนเงินคงเหลือของลูกค้าได้ทันที

Krungthai Travel card ตอบสนองไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวในต่างประเทศ บัตรแรกและบัตรเดียวที่แลกเงินตราต่างประเทศในอัตราพิเศษด้วยตนเองตลอด 24 ชั่วโมง ได้ถึง 15 สกุลเงินหลัก ผ่านแอปพลิเคชั่น กรุงไทย NEXT โดยลูกค้าสามารถร่วมสนุกกับ Interactive Media สุดล้ำ เที่ยวชมวิวสวยๆ และถ่ายรูปกับ ณเดชน์ใน  15 ประเทศ และเมื่อสมัครบัตรในงาน รับ Cover Passport Krungthai travel Card สุดพรีเมี่ยม

Krungthai Connext  รู้ทุกความเคลื่อนไหวทางการเงินผ่าน LINE ฟรี และ สมาร์ท AI ระบบอัจฉริยะที่รู้ใจ แนะนำรายการธุรกรรมที่สำคัญ ให้ชีวิตง่ายขึ้นในยุคดิจิทัล และพบกับ Feature Chat Bot สัมผัสและทดลองใช้งานได้จริงภายในบูธธนาคาร

นอกจากนี้ ธนาคารยังนำ กรุงไทย SME 4% สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SME 11 ประเภทด้วยอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 4% ต่อปี  ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 4 ปีแรก    สินเชื่อ Robotics and Automation วงเงินสูงสุด 80% ของงบลงทุน ผ่อนนาน 7 ปี สำหรับผู้ที่ต้องการใช้หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ยกระดับกระบวนการผลิต เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน  สินเชื่อธุรกิจ 10 S-Curve  ในกลุ่มอุตสาหกรรม 10 S-Curve ที่เป็นอนาคตของประเทศ วงเงินสูงสุด 3 เท่า ผ่อนนาน 10 ปี สินเชื่อธุรกิจ EEC 4.0 และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง กู้ได้สูงสุด 20 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี และวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน บสย.ค้ำประกันเต็มวงเงิน


 

“กลุ่มธนชาต” ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ปี 2562 วัดชัยมงคล จ.ชลบุรี เผยยอดบุญกว่า 16 ล้านบาท

ธนชาต

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ธนชาตอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานประจำปี 2562 ถวายวัด ชัยมงคล พระอารามหลวง จ.ชลบุรี เพื่อทำนุบำรุงพระอาราม และทางวัดจะได้จัดสรรปัจจัยเพื่อสมทบทุนบริจาคเครื่องไตเทียม ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลน พร้อมชวนทำบุญผ่านกล่องรับบริจาคที่ธนาคารธนชาตทุกสาขา และผ่านช่องทาง e-Donation บนโมบาย แบงก์กิ้ง แอปพลิเคชั่นของทุกธนาคาร สะดวก รวดเร็วพร้อมลดหย่อนภาษีแบบ ไม่ต้องมีเอกสาร เผยยอดทำบุญ 16,027,066.71 บาท

นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหาร พนักงาน พันธมิตร และลูกค้าของกลุ่มธนชาต อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานในพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวาย ณ วัดชัยมงคล พระอารามหลวง ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยมีผู้มีจิตศรัทธาและประชาชนร่วมงานจำนวนมากและมียอดเงินร่วมทำบุญทั้งสิ้น 16,027,066.71 บาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวจะนำไปทำนุบำรุงพระอาราม และทางวัดจะได้จัดสรรปัจจัยเพื่อสมทบทุนบริจาคเครื่องไตเทียมให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลน

พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2562 มีขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 ต.ค. 2562 โดยวันศุกร์ที่ 25 ต.ค. เวลา 19.30 น. พระสงฆ์ 9 รูปเจริญพระพุทธมนต์สมโภชองค์พระกฐินพระราชทาน ณ ศาลาการเปรียญ และวันที่ 26 ต.ค. เวลา 15.00 น. นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ เป็นประธานนำถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พระสงฆ์อนุโมทนา และถวายอดิเรก จากนั้นธนาคารธนชาต จัดมอบทุนการศึกษา 20 ทุนให้กับโรงเรียนในพื้นที่ รวม 40,000 บาท

นายเกรียงไกร ภูริวิทย์วัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มธนชาตอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ พระอารามหลวงในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ภายใต้แนวคิด ลงมือทำเพื่อสังคมก้าวหน้าอย่างยั่งยืน Act for Social Progress โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 14 วัตถุประสงค์เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระอารามหลวง ปูชนียสถานไว้ให้คงอยู่คู่สังคมไทย และตอบแทนสังคม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปณิธานความดีที่ธนชาตดำเนินควบคู่กับการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด
โดยปีนี้ได้เชิญชวนลูกค้าและผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญผ่านกล่องรับบริจาค ที่ธนาคารธนชาต ทุกสาขา หรือโอนผ่านบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารธนชาต เลขที่ 607-6-11000-9 สาขาเทสโก้โลตัสพัทยาเหนือ ชื่อบัญชี “กฐินพระราชทานกลุ่มธนชาต ประจำปี 2562” โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมการโอน รวมทั้งเชิญชวนให้ทำบุญผ่านช่องทาง e-Donation บนโมบาย แบงกิ้ง แอปพลิเคชั่นของทุกธนาคาร ด้วยการสแกน QR code ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว อีกทั้งไม่ต้องขอเอกสารจากหน่วยรับบริจาค แต่ระบบจะยิงข้อมูลใบอนุโมทนาไปให้กรมสรรพากรโดยตรงเพื่อใช้เป็นหลักฐานลดหย่อนภาษีประจำปีได้ทันทีด้วย

วัดชัยมงคล พระอารามหลวงเดิมชื่อว่า วัดทับพระยา สร้างขึ้นเมื่อราวปีพุทธศักราช 2480 โดยมี พระธุดงค์ 5-6 รูป มาปักกลดข้างหมู่บ้านหลังตลาด ประชาชนมีจิตศรัทธาตกเย็นก็เข้ามาพูดคุยด้วย เพราะระยะนั้นไม่มีวัดใกล้เคียงตลาด จะทำบุญ หรือจะบวช ก็ไปที่วัดนาเกลือ (วัดสว่างฟ้า) ประชาชนเห็นว่า พระธุดงค์เคร่งครัด น่าเลื่อมใส ประกอบกับอยากจะมีพระอยู่ใกล้บ้านนานๆ จึงอาราธนาให้จำพรรษาอยู่ที่ป่าพันจำ ท่านก็รับจะสงเคราะห์ จึงพากันสร้างกุฏิจากหลังเล็กๆ ฝาทางมะพร้าวให้อยู่รูปละหลัง ชนิดไม่ต้องยกพื้นกระดานปูติดพื้น ท่านก็นอนได้ แล้วสร้างศาลาสวดมนต์ถวายอีก 1 หลัง ชาวบ้านก็ศรัทธา นำอาหารคาวหวานมาถวายทุกวัน นี่คือจุดเริ่มต้นของวัดชัยมงคล มาถึงทุกวันนี้


ร้องกองปราบจับหนุ่มเปิดเฟซบุ๊คหลอกตุ๋นเงินขายของคนรักสัตว์     

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 28 ต.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายกีรติ เศรษฐภัทร อายุ 29 ปี ชาว จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมผู้เสียหายจากหลายพื้นที่ จำนวน 10 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป. เพื่อแจ้งความเอาผิดกับนายปิยวัฒน์ นามสมมุติ อายุ 29 ปี (นายปิยวัฒน์ ภู่ส่งศรี) เจ้าของเฟซบุ๊กAtomez CH หลังถูกหลอกซื้ออุปกรณ์สัตว์เลี้ยงแต่กลับไม่ได้รับสินค้าตามที่ตกลงกันไว้ โดยนำสลิปการโอนเงินและข้อความสั่งซื้อสินค้ามามอบให้เป็นหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณา

นายกีรติ กล่าวว่า เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาได้มีสมาชิกเฟซบุ๊กที่ชื่อว่าAtomez CH ของนายปิยวัฒน์ เข้าไปโพสต์ลงประกาศขายสินค้าจำพวกอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงหรือสุนัข ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศไม่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป ด้วยความที่ตนเป็นคนชอบเลี้ยงสุนัขจึงสนใจสั่งซื้ออ่างอาบน้ำสุนัขจากประเทศจีนผ่านเฟซบุ๊กดังกล่าวจำนวน 1 อัน มูลค่า 26,000 บาท พร้อมกับโอนเงินค่าสินค้าเข้าไปยังบัญชีของนายปิยวัฒน์ แต่เมื่อถึงกำหนดรับสินค้า กลับไม่สามารถติดต่อนายปิยวัฒน์ จึงรู้ตัวว่าถูกหลอก และพบว่านอกจากตนเองแล้วยังมีผู้เสียหายรายอื่นๆจากหลากรายพื้นที่ถูกหลอกในลักษณะเดียวกันอีก10กว่าคน มูบค่าความเสียหายกว่า 3 แสนบาท จึงได้รวมตัวกันมาแจ้งความกับทางกองปราบในวันนี้

เบื้องต้นพรักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้เสียหาย เพื่อนำไปพิจารณาร่วมกับพยานหลักฐานต่างๆที่นำมามอบให้ก่อนส่งต่อมห้กับทางผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป


 

วันออมแห่งชาติ ออมสินชวนออม รับ “กระปุกคัมภีร์แห่งการออม”

ธนาคารออมสินขอเชิญชวนประชาชนคนไทย ร่วมตระหนักถึงการประหยัดอดออม เนื่องใน “วันออมแห่งชาติ” ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมส่งเสริมการออมของธนาคารออมสินที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้ฝากเงินตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป รับ “กระปุกออมสินคัมภีร์แห่งการออม” (1 ชิ้น ต่อ 1 ราย) ณ ที่ทำการสาขาธนาคารออมสินทุกแห่งทั่วประเทศ ในวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 8.30-15.30 น. หรือในเวลาทำการของสาขานั้นๆ (ของแจกมีจำนวนจำกัด)


กรุงศรีคาดเงินบาทซื้อขายในกรอบ 30.10-30.40 มองตัด GSP ซ้ำเติมส่งออก หลังบาทแข็งต่อเนื่อง

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาท ในสัปดาห์นี้ว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.10-30.40 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ 30.18 ต่อดอลลาร์ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดนับตั้งแต่ 31 พ.ค. 2556  ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 4.3 พันล้านบาท และ 3.3 พันล้านบาท ตามลำดับ  ส่วนเงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ส่วนเงินยูโรยังเผชิญแรงกดดันหลังข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่ย่ำแย่

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ตลาดโลกจะจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 29-30 ต.ค. ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ โดยนักลงทุนจะรอดูสัญญาณจากเฟดเพื่อประเมินนโยบายในระยะถัดไป หากเฟดแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าที่คาด แนวโน้มขาลงของค่าเงินดอลลาร์จะถูกจำกัด และสหรัฐจะประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 และการจ้างงานในสัปดาห์นี้ รวมถึงความคืบหน้าการเจรจาการค้าหลังมีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ และจีนใกล้ที่จะจัดทำข้อตกลงเบื้องต้นแล้วเสร็จ นอกจากนี้ ตลาดจะให้ความสนใจการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) และประเด็นรัฐสภาของสหราชอาณาจักรจะตัดสินใจเรื่องข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีจอห์นสันในการจัดการเลือกตั้งใหม่ หลังสหภาพยุโรป (อียู) มีมติเลื่อนเส้นตาย Brexit ออกไปจาก 31 ต.ค. แต่ไม่ได้กำหนดเส้นตายใหม่

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ คาดว่าตลาดจะระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับท่าทีของทางการหลังเงินบาททดสอบระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 6 ปีครั้งใหม่ ก่อนหน้านี้ ผู้ว่าการธปท.ระบุว่าประเทศตลาดเกิดใหม่เผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนท่ามกลางการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำมากเป็นเวลานานของประเทศพัฒนาแล้ว โดยธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ต้องทำตามประเทศพัฒนาแล้วในการชะลอเวลาปรับนโยบายการเงินกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน ท่าทีดังกล่าวสนับสนุนมุมมองของเราที่ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมวันที่ 6 พ.ย. และจะคงไว้ตลอดปี 2563 ส่วนประเด็นสหรัฐฯ ประกาศจะตัดสิทธิประโยชน์ภาษีศุลกากรทางการค้า(GSP) คาดว่าจะส่งผลต่อการส่งออกอย่างจำกัดแต่ถือเป็นการซ้ำเติมแรงส่งเชิงลบในภาคธุรกิจส่งออกจากภาวะการค้าโลกชะลอตัวและเงินบาทที่แข็งค่ากว่าสกุลเงินคู่แข่งและคู่ค้า


 

ธนาคารกรุงเทพตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อของปี 2563 ไว้ที่ 3% บนการขยายตัวของจีดีพีที่ 2.5%

นายเดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)หรือ BBL เปิดเผยว่า ธนาคารตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อของปี 2563 ไว้ที่ 3% บนการขยายตัวของจีดีพีที่ 2.5% โดยมาจากปัจจัยเสี่ยงทั้งภาวะเศรษฐกิจทั้งจากภายในประเทศไทย สหรัฐ จีน และยุโรป ซึ่งยังผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูงสูงมากกว่าปีนี้ ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับที่ต่ำ ประกอบกับปัจจัยหนุนที่จะทำสินเชื่อโดยรวมเติบโตมาจากการลงทุนโครงสร้างขั้นพื้นฐานของภาครัฐ เช่น สนามบิน รถไฟฟ้า และ ถนน ซึ่งจะทำให้ความต้องการสินเชื่อมีมากขึ้น

“เรามีความระมัดระวังในการทำธุรกิจมากขึ้น เมื่อพบปัญหาเราก็จะรีบเข้าไปดูแลและให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าถือเป็นการบริการและอำนวยความสะดวกรวดเร็วให้กับลูกค้า”สำหรับกรณีที่ประเทศไทยถูกสหรัฐตัดสิทธิ์ทางการค้า หรือ GSP เช่น อาหารแช่แข็งอย่างกุ้งและทูน่า และเน้ือปลา มูลค่า 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยมูลค่า 39,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อลูกค้าธนาคารเช่นกันนอกจากค่าเงินที่แข็งและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน

ส่วนในช่วงไตรมาสที่ 4/62 ธนาคารมีความมั่นใจว่าสินเชื่อจะเป็นไปตามเป้าหมาย 4% แม้ 9 เดือนสินเชื่อรวมจะหดตัวไปที่ 3.9% แต่ก็มีลูกค้าที่รอการเบิกใช้สินเชื่ออยู่หลายราย ซึ่งล่าสุดมีการลงนามรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
ด้านการสร้างการตั้งสำรองของธนาคารในไตรมาสที่ 4/62 ที่อยู่ในระดับปกติ โดยไม่มีความจำเป็นที่ต้องตั้งสำรองเพิ่มเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS9) ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีสำรองส่วนเกินในระดับที่สูง และเพียงพอกับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้น ด้าน (NPL) หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ในไตรมาส 4/62 อาจจะขยับเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย จากปัจจุบันที่ 3.4% แต่ก็เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจซึ่งได้ติดตามและพยายามควบคุมให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปัจจุบัน


 

ทุนธนชาต (TCAP) โชว์ฟอร์ม กำไรไตรมาส 3 โตพุ่ง 30.17% เผย TCAP ยังคงแข็งแกร่ง หลัง ธ.ธนชาตรวมกิจการกับทีเอ็มบี

ธนชาต

บมจ.ทุนธนชาต หรือ TCAP  โชว์ฟอร์ม ไตรมาส 3 กำไรโตขึ้น 30.17% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เผยหลังการรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาตและทีเอ็มบีเสร็จ บริษัทฯ ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตที่แข็งแกร่ง เพราะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารหลังรวมกิจการมากกว่า 20% พร้อมยังมีการลงทุนในบริษัทลูกๆที่ก็มีผลกำไรที่ดีต่อเนื่อง 

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน)  หรือ TCAP เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 ปี 2562 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม จำนวน 4,616 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 573 ล้านบาท หรือ 30.17% จากไตรมาสก่อน  ในส่วนของงวด 9 เดือน กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ มีจำนวน 6,387 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ของธนาคารธนชาตซึ่งเป็นบริษัทลูกของ TCAP ที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) โดยมุ่งเน้นในการเป็นธนาคารหลัก (Main Bank) ของลูกค้า ทำให้ธนาคารธนชาตมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะไตรมาสนี้ที่ธนาคารฯ   สามารถสร้างกำไรสุทธิที่สูงเป็นสถิตินิวไฮได้ด้วย

นายสมเจตน์ กล่าวว่า  หลังบริษัทฯ ปรับโครงสร้างธุรกิจด้วยการซื้อหุ้นบริษัทย่อยและเงินลงทุนจากธนาคารธนชาต และทําการขายหุ้นสามัญของธนาคารธนชาตที่ถืออยู่ทั้งหมดให้แก่ทีเอ็มบี รวมทั้งซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนทีเอ็มบี เพื่อรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาตกับทีเอ็มบี บริษัทฯ จะมีสภาพคล่องเป็นเงินสดเหลือหลังจากทํารายการดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ จะนำไปซื้อหุ้นคืนในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท  และจะจ่ายเงินปันผลพิเศษ ในอัตราหุ้นละ 4 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้น

ซึ่งภายหลังธนาคารธนชาตซึ่งเป็นบริษัทลูกไปรวมกิจการกับทีเอ็มบี ธุรกิจของ TCAP  ก็จะยังคงมีศักยภาพที่แข็งแกร่ง เพราะธนาคารใหม่หลังรวมกิจการมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเกือบเท่าตัว    ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันและสร้างผลกำไรที่ดีขึ้น ซึ่งผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นนี้จะสะท้อนมาสู่ TCAP อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก TCAP เป็น 1 ในผู้ถือหุ้นใหญ่ ด้วยสัดส่วนที่มากกว่า 20%   นอกจากนี้ TCAP จะยังมีรายได้ที่ดีจากบริษัทลูกซึ่งต่างก็โชว์ผลประกอบที่ดีในงวด 9 เดือนของปีนี้ ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต  บริษัท ธนชาตประกันภัย บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง บริษัทบริหารสินทรัพย์ ทีเอส  บริษัทบริหารสินทรัพย์  แม๊กซ์  และ บริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็น เอฟ เอส  รวมทั้ง TCAP ยังมีการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ อีกด้วย เช่น MBK และ PRG

“เมื่อมองภาพรวมแล้วในอนาคต TCAP ถือเป็นบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตสูง ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการถือหุ้นใหญ่ในธนาคารใหม่ที่เกิดจากการรวมกิจการ  การดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ Active เพิ่มขึ้น เมื่อผนวกกับผลการดำเนินงานที่ดีของบริษัทลูก รวมถึงการลงทุนในแขนงอื่นๆ TCAP จึงยังคงมีแนวโน้มที่จะมีผลการดำเนินงานที่ดีและสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไปในอนาคต” นายสมเจตน์ กล่าว