กรุงศรีเปิดตัว “กรุงศรี นิมเบิล” ดูแลไอทีโซลูชั่นของธนาคารและบริษัทในเครือ

กรุงเทพฯ (1 พฤศจิกายน 2562) – กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ประกาศให้บริษัทใหม่ “กรุงศรี นิมเบิล” (Krungsri Nimble) เป็นฮับในการสร้างและดูแลโซลูชั่นด้าน ไอที (IT solutions hub) สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกรุงศรีด้วยงบประมาณหลายร้อยล้านบาทต่อปี พร้อมหนุนคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีศักยภาพด้านวิศวกรรมไอทีที่มีแรงบันดาลใจในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ (Making innovative changes) พร้อมเติบโตไปกับองค์กรในบรรยากาศการทำงานที่สนับสนุนการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรีมุ่งเน้นให้ความสำคัญในเรื่องนวัตกรรมดิจิทัลมาโดยตลอด ตามกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แนวคิด Think Digital First โดยให้ กรุงศรี นิมเบิล สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างจริงจังของกรุงศรีสู่ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินเพื่อประโยชน์ของลูกค้า ซึ่ง กรุงศรี นิมเบิล จะเป็นพลังสำคัญที่จะสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเงินของธนาคารและบริษัทในเครือกรุงศรีให้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว ตอบกระแส disruption ได้อย่างตรงจุด และยังต่อยอดขีดความสามารถของกรุงศรีได้อย่างครอบคลุม”

ทั้งนี้ กรุงศรีได้แต่งตั้งนายฐากร ปิยะพันธ์ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท กรุงศรี นิมเบิล จำกัด และนางสาวสายสุนีย์ หาญประเทืองศิลป์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป

“คุณฐากรจะนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านดิจิทัลแบงก์กิ้งและนวัตกรรมพร้อมวิสัยทัศน์การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต มาใช้ในการวางกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินงานของกรุงศรี นิมเบิล พร้อมนำทีมคนรุ่นใหม่ยุคมิลเลนเนียลมาร่วมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในกรุงศรี นิมเบิล ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลรับผิดชอบของคุณสายสุนีย์ ที่มีประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษาด้านไอทีให้กับองค์กรชั้นนำทั่วโลกมานานกว่า 24 ปี และเป็นประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกรุงศรี คอนซูมเมอร์ มาตั้งแต่ปี 2559 กรุงศรี นิมเบิล จะเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีทางการเงินในอนาคตของกรุงศรีให้รุดหน้าขึ้นไปอีกขั้น สู่การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ของลูกค้าและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันที่เหนือกว่าของกรุงศรี” นายอาคิตะ กล่าวเพิ่มเติม

โครงสร้างการดำเนินงานของ กรุงศรี นิมเบิล จะเป็นไปโดยอิสระและคล่องตัว เน้นกระบวนการทำงานแบบ Agility เพื่อร่วมกันทำงานเพื่อพัฒนา IT solutions ที่ตอบโจทย์การพัฒนานวัตกรรมการเงิน มีไลฟ์สไตล์การทำงานที่กระชับและรวดเร็ว ในออฟฟิศลักษณะ co-working space ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบวัฒนธรรมองค์กรสมัยใหม่ที่แตกต่างจากธุรกิจธนาคารในรูปแบบเดิม กรุงศรี นิมเบิล พร้อมเปิดรับคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพด้าน IT Architecture และ IT Developer เพื่อรองรับโครงการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินในอนาคตของกรุงศรี

ลูกค้าบัตรธนชาต อิ่มมื้อนี้คุ้มชัวร์ 2 ต่อ

Web

ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) จัดโปรเด็ดให้ลูกค้าบัตรเครดิตและบัตรเดบิตธนชาต คุ้มชัวร์ 2 ต่อ
อิ่มฟินกับสวรรค์ของคนรักบุฟเฟต์สไตล์ปิ้งย่าง ที่ร้านคิงคอง (King Kong) ทุกสาขา คุ้มต่อที่ 1 รับสิทธิ์
มา 3 จ่าย 2 เพียงสแกน QR Code ที่ร้านเพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ตามเงื่อนไข คุ้มต่อที่ 2 ลูกค้าบัตรเครดิต
ธนชาต แลกรับส่วนลดเพิ่ม 18% เมื่อใช้คะแนนสะสมเท่ากับยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป
โดยลูกค้าสามารถใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้ – 15 ม.ค. 2563
ผู้สนใจสามารถตรวจสอบสาขาร้านฯ ที่ร่วมรายการ และสอบถามรายละเอียดเงื่อนไขเพิ่มเติม
ได้ที่ธนาคารธนชาต โทร.1770 กด 0 กด 2 หรือที่เว็บไซต์ www.thanachartbank.co.th

“เหยื่อ แชร์ FOREX-3D”อีกนับร้อย จ่อพบ”สมศักดิ์” จี้รับเป็นคดีพิเศษ หลังมีเหยื่อกว่า 3 หมื่นราย สูญ 4 หมื่นล้าน

เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2562 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยกรณีวันนี้(1พ.ย.)ผู้เสียหายแชร์ “FOREX-3D”เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อขอให้รับเป็นคดีพิเศษ กรณีมีบริษัทการลงทุนแห่งหนึ่งมีพฤติกรรมระดมทุนผ่านการมีค่าแนะนำ เสนอผลตอบแทนร้อยละ 10 ต่อเดือน เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่และฉ้อโกงประชาชนและในวันพฤหัสบดีที่ 7พ.ย.นี้เวลา 09.30 น.ได้รับการประสานจากผู้เสียหายในคดีดังกล่าวอีกกว่า 100 ราย จะเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนอีก โดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะรับเรื่องดังกล่าวด้วยตนเอง เพื่อพิจารณาว่ากรณีดังกล่าวเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ และพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่

ขณะนี้ทราบว่ามีผู้เสียหายกว่า 3หมื่นรายและมีมูลค่าความเสียหายกว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ใหญ่กว่าแชร์ออมเงินของแม่มณีที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้มาก

เลขานุการ รมว.ยธ.ฝากเตือนประชาชนอย่างเชื่อและลงทุนกับบริษัทหรือกลุ่มคนที่อ้างว่าให้ผลตอบแทนสูง เพราะมีความเสี่ยงทุกรูปแบบ หรือหากพบการกระทำผิดที่เข้าข่ายเป็นการหลอกลวงประชาชนให้แจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ เพื่อป้องกันการกระทำผิดและตกเป็นเหยื่อ

DSI โร่ หารือ ผบ.ตร.คดีแชร์แม่มณี ขอออกหมายจับตัวการใหญ่ยอดเสียหาย 800 ล้าน

 

เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2562 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และพนักงานสอบดีเอสไอ เข้าพบ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อหารือแนวทางการทำคดีแชร์ออมเงินแม่มณี หลังดีเอสไอ รับเป็นคดีพิเศษโดยเฉพาะการตรวจสอบเส้นทางการเงินและการสืบทรัพย์คืนผู้เสียหาย

อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า หลังจาก ที่ ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ผู้เสียหายยังเข้าแจ้งความกับตำรวจได้ทุกพื้นที่โดยตำรวจจะรวบรวมหลักฐานส่งให้กับ ดีเอสไอในวันที่ 15 พฤศจิกายน ส่วนการสืบสวนสอบสวนดีเอสไอจะเป็นหน่วยหลักในการทำงาน พร้อมจะบูรณาการทำงานกับตำรวจในการสืบสวนติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้เน้นเฝ้าระวังตามแนวชายแดนตามช่องทางธรรมชาติ เพราะการตรวจสอบช่องทางปกติยังไม่พบว่าผู้ต้องหาเดินทางออกนอกประเทศ

ด้าน นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ผู้อำนวยการกองธุรกิจการเงินนอกระบบ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า ล่าสุด ดีเอสไอ ได้มีการขอศาลอาญาออกหมายจับ น.ส.วันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือ แม่มณี ใน 3 ข้อหาเดียวกันกับตำรวจ คือ ฉ้อโกงประชาชน กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ พร้อมเชื่อว่าคดีนี้ยังมีตัวการร่วม เป็นแม่ข่าย หรือแม่ทีม ที่มีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนเล่นแชร์อย่างชัดเจน ซึ่งจากการรวบรวมหลักฐานและตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพราะพฤติกรรมของแม่ทีมแต่ละคนแตกต่างกัน มีทั้งแอบอ้างชื่อแม่มณีในการระดมทุน โดยไม่มีการส่งเงินให้กับแม่มณี ส่วน น.ส.จุฑาทิพย์ นิ่มนวล หรือมะนาว เจ้าสาวถูกหลอกแต่งงาน 1 ในแม่ทีมของแม่มณี ขณะนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเข้าข่ายกระทำความผิดในลักษณะใด ต้องรอการสอบสวนขยายผลก่อน ส่วนดารานักแสดง รวมทั้งเน็ตไอดอล เบื้องต้นยังไม่พบเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

สำหรับผู้เสียหายคดีแชร์แม่มณี ที่เข้าร้องทุกข์และลงทะเบียนผ่าน QR Code ของดีเอสไอ ขณะนี้มีกว่า 3,000 คนแล้ว ซึ่งรวมมูลค่าความเสียหาย 800 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ตัวแทนกระทรวงยุติธรรม ยังได้ประสานความร่วมมือกับตำรวจ ในการรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนเรื่องต่างๆ ผ่านศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขกว่า 7,000 จุดทั่วประเทศด้วย

ป.รวบเฒ่าแสบ ตุ๋นคนงานไปทำงานโรมาเนีย

เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ กองปราบปราม  พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. สั่งการ พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป.พ.ต.ต.เอกพล ปัญจมานนท์ สว.กก.2 บก.ป. นำกำลังจับกุม นายสันติ วรรณประภา อายุ 72 ปี อยู่บ้านเลขที่ 167/1 ซอยสวนหลวง 2 แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กทม. ตามหมายจับศาลหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานี ที่ จ.57/2562 ลงวันที่ 7 มีนาคม 2562 ข้อหา “ฉ้อโกง ,หลอกลวงคนหางานให้ไปทำงานในต่างประเทศและได้ไปซึ่งเงินและทรัพย์สินของผู้ถูกหลอกลวง” และหมายจับในคดีลักษณะเดียวกันรวม 4 หมายจับ โดยจับกุมได้บริเวณริมถนนรัชดาภิเษก แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม.

ทั้งนี้ นายสันติ ผู้ต้องหาได้ร่วมกับพวกอีก 2 รายที่ยังหลบหนี ก่อเหตุหลอกผู้เสียหายว่า เป็นเจ้าของบริษัทจัดหางานสามารถพาคนไปทำงานที่ประเทศโรมาเนียได้ อีกทั้งยังรู้จักกับเพื่อนซึ่งเป็นคนจัดหางานที่อยู่ในประเทศดังกล่าว โดยมีสัญญาจ้าง 3 ปี มีรายได้เดือนละประมาณ 31,000 บาท แต่จะมีค่าใช้จ่ายในการสมัครคนละ 60,000-185,000 บาท เหยื่อหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ นายสันติ จะได้ส่วนแบ่ง 20,000- 30,000 บาทต่อคน มูลค่าความเสียหายกว่าล้านบาท ต่อมานายสันติ ไม่สามารถพาผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศตามที่ตกลงกันได้ ผู้เสียหายจึงเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สภ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี กระทั่งศาลออกหมายจับไว้ จากนั้นเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าผู้ต้องหาจะมาทำธุระย่านรัชดาฯ จึงนำกำลังจับกุมได้ดังกล่าว

จากการสอบสวน นายสันติ ให้การว่า ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับจัดหาแรงงานไปทำงานในต่างประเทศมากว่า 20 ปีแล้ว และขอให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบประวัติ พบว่า นายสันติ เคยถูกจับกุมในความผิดตาม พ.ร.บ.จัดหางานฯ และฉ้อโกง มาแล้วจำนวน 2 คดี ซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาล แต่ได้รับปล่อยตัวชั่วคราวในขณะพิจารณาคดี เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาตามหมายจับก่อนนำตัวส่ง สภ.หนองวัวซอ ดำเนินคดีต่อไป

‘คลินิกรักษาสัตว์’ ร้อง ‘กองปราบ’ ช่วยตามคดีถูกอดีตสัตวแพทย์กำมะลอยักยอกทรัพย์สิน หลังคดีไม่คืบ!

น.ส.ศิริลักษณ์ จุลเจิม

เมื่อเวลา 11.00 น. (วันที่ 1 พ.ย.) ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.ศิริลักษณ์ จุลเจิม อายุ 25 ปี เจ้าของคลินิกรักษาสัตว์แฮปปี้เวทแคร์ พร้อมด้วย สพ.ญ.ธนิภัทร ขจัดภัย อายุ 31 ปี เจ้าของคลินิกธนิภัทร์สัตวแพทย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.หญิง บุญทิวา ลิ้มศิริลักษณ์ สว.สอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้ช่วยติดตามคดีที่ถูก นายธีรวุฒิ สงวนนามสกุล อายุ 48 ปี ยักยอกทรัพย์สินเป็นรถยนต์และเงินมูลค่ารวมหลายล้านบาท หลังก่อนหน้านี้มีการเข้าแจ้งความเอาผิดกับนายธีรวุฒิ ไว้ที่ สน.คันนายาว เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้คดีกลับยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร

สพ.ญ.ธนิภัทร กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อปี 2557 ตนได้ลงทุนเปิดกิจการคลินิกธนิภัทร์สัตวแพทย์ ขึ้นมา และได้ว่าจ้างให้ นายธีรวุฒิ ซึ่งเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทตน ให้เข้ามาช่วยดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายของคลินิก รวมถึงคอยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยตนเวลารักษาสัตว์ กระทั่งเมื่อเปิดกิจการมาได้ถึงปี 61 ตนเริ่มพบเห็นความผิดปกติของบัญชีรายรับรายจ่ายของคลินิก รวมถึงมีสิ่งของจำพวก ยา วัคซีน รักษาสัตว์ ที่สต๊อกเก็บไว้หายไปแบบไม่ทราบสาเหตุ จึงได้ทำการตรวจสอบจนพบว่านายธีรวุฒิ ได้มีการแอบยักเงินของคลินิกออกไปใช้ส่วนตัว รวมถึงแอบขโมยยาวัคซีน ออกไปขายต่อให้กับคนอื่น แต่เมื่อถูกจับได้นายธีรวุฒิ กลับยังไม่ยอมรับ ทั้งยังแสดงพฤติกรมใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายตนเอง ก่อนจะขับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส ซึ่งเป็นของคลินิก หลบหนีไปตนจึงไปแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สน.คันนายาว ก่อนจะมีการติดตามจับกุมตัวได้ในเวลาต่อมา ทั้งนี้ภายหลังถูกจับกุมนายธีรวุฒิ ได้ให้การปฏิเสธและขอรับการปล่อยตัวชั่วคราว อย่างไรก็ตามภายหลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อสู้คดีนั้น นายธีรวุฒิ ก็ได้ไปสมัครงานตามคลินิกต่างๆและก่อเหตุในลักษณะเดียวกับกันคนอื่นๆ ซึ่งเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นในกรณีของตนนั้นก็มีมากถึง 3 ล้านบาทแล้ว

น.ส.ศิริลักษณ์ จุลเจิม

ด้าน น.ส.ศิริลักษณ์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ นายธีรวุฒิ ถูกไล่ออกจากคลินิกดังกล่าว ก็ได้มาทำทีตีสนิทกับตนก่อนชักชวนให้ตนนำเงินมาลงทุนเปิดคลินิกรักษาสัตว์แฮปปี้เวทแคร์ ขึ้นมา โดยอ้างว่าตัวเองนั้นเป็นสัตวแพทย์ มีใบอนุญาตและใบรับรองวิชาชีพสามารถดำเนินการบริหารกิจการให้ได้ ด้วยความที่ตนเป็นคนรักสัตว์ และอยากมีคลินิกเป็นของตนเอง ประกอบกับเคยเห็นว่านายธีรวุฒิ แต่ก่อนทำงานอยู่ที่คลินิกอื่น จึงหลงเชื่อนำเงินมาลงทุนดังกล่าว แต่พอเปิดกิจการได้ประมาณ 7 เดือน ก็ได้มีเจ้าหน้าที่จากกรมปศุสัตว์ เข้ามาตรวจสอบที่คลินิกและพบว่าไม่มีใบอนุญาตประกอบการรวมถึงยังตรวจสอบพบอีกว่านายธีรวุฒิ นั้นก็ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์จริงตามที่กล่าวอ้าง จึงได้มีคำสั่งปิดคลินิกของตนชั่วคราว เมื่อคลินิกถูกปิดตัวลงตนก็ได้มาทำการตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายของคลินิกย้อนหลังจึงทำให้ทราบความจริงอีกว่าเงินของคลินิกถูกนายธีรวุฒิ ยักยอกไปเป็นจำนวนกว่าล้านบาท จึงได้ติดต่อไปสอบถามข้อเท็จจริงกับนายธีรวุฒิ จนเกิดมีปากเสียงกันขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานนายธีรวุฒิ ก็ได้วกกลับมาที่คลินิก พร้อมกับแอบนำรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ ของคลินิก ขับออกจากคลินิกไป และไม่สามารถติดต่อได้อีก ตนจึงได้เข้าแจ้งความเอาผิดกับ นายธีรวุฒิ ไว้ที่ สน.คันนายาว เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา แต่จนถึงตอนนี้คดีกลับยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จึงได้ตัดสินใจมาเข้าร้องทุกข์กับทางกองปราบในวันนี้เพื่อให้ช่วยติดตามความคืบหน้าทางคดี

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำเพื่อนำไปพิจารณาควบคู่กับพยานหลักฐานอื่น ก่อนจะส่งต่อให้กับผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป


 

กก.4 บก.สส.สตม.ใช้ฐานข้อมูล Biometrics จับกุมชาวจีน ใช้พาสปอร์ตอินโดนีเซียหลบหนีคดี

เมื่อวัน​พุธที่ 30 ต.ค.62 เวลา 14.30 น.ณ ห้องโถงชั้นล่าง อาคาร 2 สตม.(สวนพลู) สาธร​ กทม.​ : พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรชัย ขันตี,พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย,พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์,พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ,พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ปฺฏิพัทธ์ สุบรรณ ณ อยุธยา รองผบช.ตชด. ปฏิบัติราชการ สตม.,พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รองผบก.สส.ภ.2 ปฏิบัติราชการ สตม.,พ.ต.อ.พงษ์นคร นครสันติภาพ รองผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ปฏิญญา จีรชนาสิน ผกก.กก.4 บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผกก.สส. บก.น.4,พ.ต.ท.เอกสิทธิ์ ปานสีทา รองผกก.4 บก.สส.สตม.,พ.ต.ท.จักริน พิริยะจิตตะ รอง ผกก.สส.บก.น.4 และ พ.ต.ต.นนท์สมรรถ โบว์สุวรรณ สว.กก.4 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้

พ.ต.อ.ปฏิญญาฯ​ กล่าว​ว่า​ เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2562 กองกำกับการ 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้รับแจ้งว่า นายลัคแมน (Lukman) ถือหนังสือเดินทางประเทศอินโดนีเซีย มีข้อมูลเอกลักษณ์บุคคลคล้ายกับ นายเหอ (He) สัญชาติจีน จึงได้จัดชุดปฏิบัติการสืบสวนเฝ้าติดตามพฤติกรรม ซึ่งจากการสืบสวน เชื่อว่า นายลัคแมน น่าจะเป็นคนสัญชาติอื่นที่ใช้หนังสือเดินทางประเทศอินโดนีเซียปลอม จึงได้ตรวจสอบข้อมูลหนังสือเดินทางประเทศอินโดนีเซียดังกล่าว ไปยังสถานทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย

ผลการตรวจสอบจากสถานทูตอินโดนีเซีย แจ้งยืนยันว่าเป็นหนังสือเดินทางปลอม โดยหนังสือเดินทางหมายเลขดังกล่าวเป็นของ KARHAN ที่ออกโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง Sumbawa Besar เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการสืบสวน กองกำกับการ 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จึงติดตามจับกุมตัวนายลัคแมน พบตัวนายลัคแมน ที่บริเวณปากซอยพัฒนาการ 54 แขวงและเขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร

สอบถามแจ้งว่าตนเองชื่อ นายลิน (Lin) จึงขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง นายลิน ได้แสดงหนังสือเดินทางประเทศอินโดนีเซีย ให้เจ้าหน้าที่ดู จึงได้ทำการจับกุมตัว นำส่งพนักงานสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อดำเนินคดี โดยจากการขยายผลทราบว่าผู้ต้องหาใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อหลบหนีการกระความผิดจากประเทศจีน และยังพบว่า ผู้ต้องหามีการติดต่อกับกลุ่มปลอมแปลงหนังสือเดินทาง เนื่องจากหนังสือเดินทางประเทศอินโดนีเซียปลอมที่ใช้อยู่ใกล้หมดอายุ โดยกลุ่มปลอมแปลงหนังสือเดินทางได้ส่งภาพตัวอย่างหนังสือเดินทาง 2 ชาติแต่ภาพใบหน้าเป็นบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลต่อไป

พ.ต.อ.ปฏิญญาฯ​ ฝากประชาสัมพันธ์​ให้ทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


ฝูงแร้งรุมทึ้ง.!!!!

หลังการรุมกระหน่ำของสื่อมวลชน ที่ขยายความจากการอภิปรายงบประมาณในสภาผู้แทนราษฎร โดย ส.ส.พรรคเพื่อไทยท่านหนึ่งในฐานะฝ่ายค้าน เปิดโปงบ่อนคาสิโนใจกลางเมืองย่านธนิยะท้องที่ สน.บางรัก ที่กลาย เป็นเรื่องเอิกเกริก เปิดบ่อนไพ่บัคคาร่า มานมนาน ตำรวจท้องที่บอกไม่รู้ไม่เห็นสะเทือนซางไปถึงผู้บังคับบัญชาระดับกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 สั่งตรวจสอบและปิดกิจการบ่อนแห่งนี้ไปแล้วก็ตาม

เมื่อน้ำลด ตอก็ผุดหลังมาตราการปรับเปลี่ยนนโยบาย ตาม ว.0 นายใหญ่บางคน ให้เก็บกวาดเปลี่ยนกงสี ล้างไพ่ใหม่ ออกมาตรการเพิ่มความเข้มงวดมากกว่าเดิม แต่ยอดรายรับจากกงสีกลับเพิ่มขึ้นทวีคูณ มีตำรวจในราชการบางคน อ้างคำสั่งบิ๊กตำวจนครบาล 6 ตั้งชุดเฉพาะกิจ เฉพาะเก็บ น้ำโดย ” ด.ช.”และ “พ.ช.”ออกปูพรมพื้นที่นครบาล 6 ตั้งเป้าจับให้มียอดสถิติ จับกุม แต่มีลีลาแบะท่าเปิดช่องพร้อมเจรจาผ่อนปรนเพื่อล้างกงสีปูพรม ถ.เจริญกรุง เยาวราช สัมพันธวงศ์ ราชวงศ์ พลับพลาชัยแคปปิตอล คลองถม เสือป่า บ้านหม้อ ดิโอลสยาม สำเพ็ง พาหุรัด และพัฒน์พงษ์เน้นความผิดทุกประเภท ต้องจับแล้วเปิดเจรจา เพิ่มยอดรายเดือน 1 เท่าตัวต้องได้ !!

ขยับหมดตั้งแต่บ่อนการพนัน สถานบริการลงไปถึงร้านค้าและผู้ค้าในย่านการค้าดังกล่าว ที่ต้องใช้แรงงานบุคคลต่างด้าวผู้ประกอบการรายใดยอมรับเงื่อนไข เปิดโต๊ะเจรจา ก็จะใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐาน จากหนักเป็นเบา แต่ยึดหลักการต้องจับกุมบ้างเล็กน้อยเพื่อมีสถิติไว้

รายใดอ้างความเดือดร้อนในยุคเศรษฐกิจถดถอยในขณะนี้ และรายได้ประกอบการลดลง ไม่สามารถเพิ่มยอดรายเดือนตามคำขอได้ จะถูกเล่นงานตามกฎหมายเป๊ะ บางรายโดนหนักหลายกระทง”ด.ช.” และ “พ.ช.” คือหัวหมู่ทะลวงฟัน อ้างหนังสือคำสั่งว.0 ผู้บังคับบัญชาแล้วเรียกใช้หน้าเสื่อเดิม ที่เคยเป็นนิ้วเพชรและมือเก็บน้ำโดย”เคต” พร้อมด้วย”กอล์ฟ” และ”หนึ่ง “ช่วยกันปูพรมให้

ขณะนี้ผู้ประกอบการย่านนั้นๆต่างพากันเดือดร้อน จ้องจะรวมตัวกันไปร้องสถานฑูต โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เป็นคนจีนที่อาศัยในประเทศไทยเราอาจประจานความเหลื่อมล้ำ เลือกปฏิบัติ และสวาปามส่วย กระหึ่มสู่ชาวโลก ผู้ประกอบการบางคน ยังมึนงงไม่หาย กับการบริหารรายรับรายจ่ายข้องธุรกิจตัวเอง ยังถูกซ้ำเติมจากวิถี “กงสีใหม่ นโยบายใหม่” ของผู้รักษากฏหมายอะไรกันนักหนา !!

ทำไม ?? ต้องเพิ่มยอดแบบ 1 เท่าตัวในสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยมีแผนกซ้ำเติมเยี่ยงนี้ เข้าตำรา “ทำนาให้นก” คนลงทุนเหนื่อย แต่ผู้รักษากฏหมายบางคนรวย 

ได้แต่ตั้งคำถามไปถึงผู้นำรัฐบาล ทำไม ?? ไม่จัดระเบียบ หรือมอบหมายหน่วยงานรัฐใดโดยตรง ทำหน้าที่จัดเก็บรายได้เข้ารัฐอย่างเป็นระบบ ทำให้เป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องจ่ายใต้โต๊ะ เช่นทุกวันนี้เพราะการทำนาให้นก แบบนี้ กำลังถูกมองว่า ไม่ใช่เลี้ยงนกรรรมดาแล้ว แต่เป็นนกแร้งเป็นฝูงๆ ที่ออกล่าเหยื้อรุมทึ่งผู้ค้า ที่ไม่ต่างจากชากศพ หากินก็ยาก ยังถูกแร้งลงกระหน่ำอีก เหนื่อยทั้งระบบ.

 

 

 

“กนกวรรณ” ควง “ศุภชัย” ลงพื้นที่ดูสถานการณ์แล้งของน้ำโขง นครพนม เตรียมดันเป็นวาระรัฐบาลเสนอในเวทีสุดยอดอาเซียน

วันที่​ 30​ ตุลาคม 2562 เวลา 15.00​ น.​ ณ​ บริเวณศาลาท่าน้ำ แสงสิงแก้ว พ.ศ.2561 อำเภอเมือง จ.นครพนม​ : ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฏร คนที่ 2,นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม,หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนผู้บริหาร ศธ. และคณะ ลงพื้นที่ติดตามดูสถานการณ์แม่น้ำโขง​ ซึ่งลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง วิกฤติสุดในรอบ 10 ปี ต่ำกว่า 2 เมตร เพื่อเตรียมผลักดันเป็นวาระรัฐบาลเสนอในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 (ASEAN Summit) ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน 2562 ณ ประเทศไทย

ดร.กนกวรรณฯ เปิดเผยว่า “วันนี้ลงพื้นที่ติดตามงานตามนโยบายการศึกษาของหน่วยงานในการกำกับดูแล จึงถือโอกาสมาดูสภาพจริงของแม่น้ำโขง ที่ลดระดับเข้าขั้นวิกฤตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังได้รับฟังปัญหาและผลกระทบจากผู้เกี่ยวข้องในจังหวัด ซึ่งพบว่า ปัญหาภัยแล้งเริ่มขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะน้ำโขงลดระดับลงอย่างรวดเร็วทำให้แม่น้ำโขงบางจุดปริมาณลดลงจนเห็นสันทรายเป็นแนวยาว และพื้นที่ริมฝั่งยังคงตื้นเขินจนเห็นเนินทราย ทำให้ดินตลิ่งพังหลายจุด อีกทั้งน้ำสาขาแห้งปริมาณเก็บกักต่ำเพียง 10-20​ % ของความจุ ด้วย

ทั้งนี้ได้มอบหมายให้จังหวัดนครพนมรวบรวมข้อมูลสภาพปัญหา และผลกระทบที่เกิดกับประชาชนในทุกมิติ เสนอเป็นวาระหารือในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำเสนอในที่ประชุมสุดยอดอาเซียนในนามรัฐบาลไทยต่อไป“


สธ.เข้าถึงการวัดความดันโลหิต ประเมินความเสี่ยงตนเอง

กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ กรมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร ลงนามบันทึกความร่วมมือ เพิ่มการเข้าถึงการวัดความดันโลหิต ให้ประชาชนทราบค่าความดันโลหิต ประเมินความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงได้ด้วยตนเอง บริการในสถานที่ราชการ

เมื่อวันที่​ 28 ตุลาคม 2562 ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล : นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมประชาชนให้เข้าถึงการวัดความดันโลหิต ระหว่างกรมควบคุมโรค กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร โดยมี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารกรมควบคุมโรค กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลง

นายอนุทินฯ​ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งรณรงค์ สร้างความรอบรู้สุขภาพให้กับประชาชน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ป้องกันการเจ็บป่วย ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ โดยเฉพาะจากโรคความดันโลหิตสูง พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะความดันโลหิตสูง เนื่องจากช่วงแรกมักจะไม่แสดงอาการใดๆ จึงไม่ได้เข้ารับการรักษา หรือปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม ส่งผลให้เกิดภาวการณ์แทรกซ้อนตามมาได้ อาทิ โรคหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ โรคไต

สำหรับประเทศไทยมีผู้ป่วยความดันสูงถึงร้อยละ 24.7 หรือประมาณ 13 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญผู้ป่วยร้อยละ 45 ไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะความดันโลหิตสูง จึงได้ร่วมกับกรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร จัดเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติแบบใช้ง่าย สามารถตรวจวัดได้ด้วยตัวเอง พร้อมสื่อให้ความรู้ในการประเมินและการปฏิบัติตน โดยให้บริการประชาชนในสถานที่ติดต่อราชการ เช่น ที่ว่าการอำเภอ ที่ว่าการเขต ศูนย์บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการวัดความดันโลหิตในสถานที่สาธารณะ และทำให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้สุขภาวะของตนเอง นำไปสู่การลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ การขาดการออกกำลังกาย ภาวะอ้วน เครียดสะสม เป็นต้น

ด้านนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีมาตรการเร่งเด่นในการขับเคลื่อนการสร้างความตระหนักสุขภาพ Know Your Number,Khow Your Rish โดยให้มีเครื่องวัดความดันโลหิตในโรงพยาบาล สถานที่ราชการ สถานที่ทำงานทั่วประเทศ และจัดหลักสูตรอบรมอาสามัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นหมอประจำบ้าน เพื่อดูแลสร้างเสริมสุขภาพประชาชน

นอกจากนี้ได้สำรวจพฤติกรรมเสี่ยงโรคไม่ติดต่อและการบาดเจ็บ โดยกรมควบคุมโรค พบว่าในปี พ.ศ. 2561 คนไทยอายุ 15-79 ปี ร้อยละ 68.4 ได้รับการตรวจวัดความดันโลหิตซึ่งร้อยละ 16.52 ทราบว่าตนเองมีภาวะความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ มีผู้สูบบุหรี่ร้อยละ 16.8 โดยเพศชายสูบบุหรี่มากกว่าเพศหญิง 16 เท่า ลดลงจากปี 2557 ร้อยละ 19.5 สำหรับผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์พบรร้อยละ 22.3 เป็นเพศชายร้อยละ 36.2 และเพศหญิงร้อยละ 9.4 การรับประทานผักและผลไม้ได้เพียงพอร้อยละ 33.0 ทั้งเพศหญิงและเพศชาย การออกกำลังกายร้อยละ 42.3 มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน 19 ล้านคน เพศหญิงมากกว่าเพศชาย จึงขอเชิญชวนประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพ ลด ละ เลิก บุหรี่ แอลกอฮอลล์ เพิ่มกิจกรรมทางกาย ไม่รับประทานอาหารหวาน มัน เค็มจัด เพื่อลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง