ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2562 ปล่อยสินเชื่อใหม่ 148,693 ล้านบาท 106,285 บัญชี แบ่งเป็นสินเชื่อปล่อยใหม่วงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท 73,395 ราย เทียบกับ ณ สิ้นปี 2561 มียอดสินเชื่อคงค้างรวม 1,173,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.18% สินทรัพย์รวม 1,229,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.65% เงินฝากรวม 985,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.32% หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 54,451 ล้านบาท คิดเป็น 4.64% ของยอดสินเชื่อรวม ล่าสุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 สินเชื่อใหม่แตะ 165,642 ล้านบาท คิดเป็น 78.94% ของเป้าหมาย 203,000 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปีทำได้ตามเป้า หลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ของปี 2562 ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 ว่า ธนาคารยังคงเป็นสถาบันการเงินที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ความมั่นคงในสถาบันครอบครัว ด้วยการสร้างโอกาสในการทำให้คนไทยได้มีบ้าน โดยปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 148,693 ล้านบาท 106,285 บัญชี แบ่งเป็นสินเชื่อปล่อยใหม่วงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางจำนวน 73,395 ราย ทำให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2562 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2561 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,173,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.18% มีสินทรัพย์รวม 1,229,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.65% เงินฝากรวม 984,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.32% มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 54,451 ล้านบาท คิดเป็น 4.64% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 0.47% และมีกำไรสุทธิ 10,319 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังอยู่ที่ระดับแข็งแกร่งมากที่ 14.66% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ล่าสุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้แล้วจำนวน 165,642 ล้านบาท คิดเป็น 78.94% ของเป้าหมายสินเชื่อปล่อยใหม่ ณ สิ้นปี 2562 ที่กำหนดไว้จำนวน 203,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าหมายเนื่องจาก โดยมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยฯ ของ ธอส. ประชารัฐ ทำให้คนไทยมีบ้านได้จริง กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.50% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในตลาดขณะนี้ กรณีกู้ 1 ล้านบาท เวลา 3 ปีแรก ผ่อนชำระเพียง 3,300 บาทต่องวดเท่านั้น เทียบกับเงินงวดผ่อนชำระของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อปกติในช่วง 3 ปีแรก วงเงินกู้ 1 ล้านบาท จะประหยัดเงินงวดได้จำนวนถึง 80,400 บาท โดยคาดว่าจะมียอดยื่นกู้ถึง 30,000 ล้านบาทได้ภายในเดือนธันวาคม 2562
“การที่รัฐบาลมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2 % เหลือ 0.01 % และลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนจำนองจาก 1 % เหลือ 0.01 % ซึ่งล่าสุดประกาศกระทรวงมหาดไทยในเรื่องดังกล่าวได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้เรียบร้อยแล้วไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนที่อยากมีบ้านตัดสินใจได้เร็วยิ่งขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายในด้านค่าธรรมเนียมลดลง อาทิ กรณีกู้ 3 ล้านบาทเดิมต้องชำระค่าจดทะเบียนการโอนและจดทะเบียนจำนองรวมกว่า 90,000 บาท ก็จะลดเหลือเพียง 600 บาทเท่านั้น รวมถึงแรงสนับสนุนจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จะเร่งจัดทำโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปี ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยให้การปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารเป็นไปตามเป้าหมาย 203,000 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน”นายฉัตรชัยกล่าว
นายฉัตรชัยยังกล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่กฎกระทรวง ฉบับที่ 352 (พ.ศ.2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งลงนามโดยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 โดยมีสาระสำคัญคือ ให้เงินได้ที่เป็นดอกเบี้ยและรางวัลสลากออมทรัพย์ของ ธอส. (ไม่รวมถึงดอกเบี้ยซึ่งผู้รับมิใช่ผู้ทรงคนแรก)ที่ออกจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป และดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ ของ ธอส. ที่คำนวณตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษี เงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อสนับสนุนภารกิจของ ธอส. ในการให้สินเชื่อโครงการต่าง ๆ
“เชื่อว่าการที่ดอกเบี้ยและรางวัลสลากออมทรัพย์ของ ธอส. ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะยิ่งช่วยให้ได้รับความสนใจจากผู้ที่ต้องการออมเงินกับ ธอส. มากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะได้รับผลตอบแทนดีและมีโอกาสถูกรางวัลสูงแล้ว ยังได้มีส่วนในการสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายขึ้นอีกด้วยซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ธนาคารสามารถมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยฯ ของ ธอส. ประชารัฐ ทำให้คนไทยมีบ้านได้จริง กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ 2.50% ต่อปี คงที่ได้นานถึง 3 ปีแรกได้ เพราะการนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายสลากออมทรัพย์มาปล่อยสินเชื่อโดยตรงทั้งสลากรุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ หน่วยละ 1 ล้านบาท ที่มีลูกค้าให้ความสนใจจับจองเป็นเจ้าของครบทุกหน่วยที่ธนาคารเปิดจำหน่ายทั้ง 27,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 2 ชุดพราวพิมาน มูลค่าหน่วยละ 10 ล้านบาท จำนวน 3,000 หน่วย รวมเป็นจำนวนเงิน 30,000 ล้านบาท ซึ่งพบว่ามีลูกค้าแสดงความสนใจเป็นจำนวนมากเช่นกัน”นายฉัตรชัยกล่าว
ทั้งนี้ ธนาคารจะเริ่มเปิดจำหน่ายสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 2 ชุดพราวพิมานตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2562 – 15 มกราคม 2563 โดยคาดว่าจะสามารถจำหน่ายหมดทั้ง 30,000 ล้านบาทเช่นกัน เนื่องจากเป็นสลากที่มีจุดเด่นและแตกต่างจากสลากที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน ทั้งการเป็นสลากเลี่ยมทองซูเปอร์พรีเมี่ยมที่จะออกรางวัล ไตรมาสละ 1 ครั้ง ครั้งละ 3 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 3 ล้านบาท คิดเป็นโอกาสในการถูกรางวัล 0.1% และพิเศษ!! เฉพาะในเดือนกันยายน 2563 และกันยายน 2564 ยังได้สิทธิ์ลุ้นรับรางวัลพิเศษมูลค่า 100,000 บาท เพิ่มอีกจำนวนถึง 30 รางวัล/เดือน คิดเป็นโอกาสในการถูกรางวัลพิเศษสูงถึง 1% หากฝากครบ 2 ปี รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยหน่วยละ 240,000 บาท หรือคิดเป็น 1.2% ต่อปี เริ่มออกรางวัลครั้งแรก 17 มกราคม 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000



เจ้าหน้าที่ตม.กระบี่ จึงได้นิมนต์เจ้าคณะตำบล ให้มาทำพิธีกรรมทางศาสนา จากนั้นได้จับกุมตัวชาวกัมพูชาทั้ง 4 รายไว้พร้อมของกลาง (เงินสดที่ได้เรี่ยไรมา) และจะได้ดำเนินการผลักดันต่อไป

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562 เวลา 13.30 น. ที่ผ่านมา นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร และอัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติด (อทป.ปปส.) ประจำกรุงพนมเปญ กรุงเวียงจันทน์ กรุงย่างกุ้ง กรุงปักกิ่ง และกรุงฮานอย ณ.ห้องประชุมศูนย์ปฎิบัติการณ์ โดยมีสำนักมาตรการทั้งด้านการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษายาเสพติด เข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อให้อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติด ได้ทราบถึงนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศ ทบทวนสถานการณ์ปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นในประเทศที่ประจำอยู่ว่ามีความสัมพันธ์กับสถานการณ์ในประเทศไทยอย่างไร และติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานตามข้อสรุปจากการประชุมทวิภาคี และประการสำคัญเป็นการเตรียมการประชุมหารือพหุภาคีระดับรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในการประชุม ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 พฤศจิกายน 2562 เพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการร่วม 6 ประเทศในการปราบปรามยาเสพติด ภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ให้เป็นไปตามมติของศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดชาติ (ศอ.ปส.) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา เรื่องแนวทางการปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติดเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาล
นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวเพิ่มเติมว่า “การประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจในนโยบายและกำกับติดตามการดำเนินงานของอัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติดประจำประเทศต่างๆ ที่สำนักงาน ป.ป.ส. ส่งไปประจำ ตามนโยบายที่กำหนดให้การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เน้นย้ำให้ความสำคัญประกอบกับความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยการบูรณาการความร่วมมือของแต่ละประเทศผ่านอัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติด อทป.ปปส. ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. ได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีความเชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ไปประจำประเทศต่างๆ 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า จีน และเวียดนาม เพื่อประสานความร่วมมือในทุกมาตรการ ทั้งการป้องกัน ปราบปราม สกัดกั้น เพื่อแสดงถึงจุดยืนที่มีร่วมกันในการลดทอนปัญหายาเสพติด โดยที่ประชุมฯ ได้มีการรายงานความคืบหน้าด้านต่างๆ การวิเคราะห์สถานการณ์ยาเสพติดของแต่ละประเทศที่ อทป.ปปส. ประจำการ รวมทั้งการกำกับติดตามการปฏิบัติตามผลการประชุมทวิภาคีและการประชุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการกำกับติดตามการดำเนินงาน ภายใต้โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ (LoA) ปี 2562 และประเด็นความต้องการที่จะขอรับการสนับสนุนในการดำเนินการ ปี 2563 เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้บรรลุผลสำเร็จและเป็นรูปธรรม


พลตำรวจโท ประจวบ วงศ์สุข ผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 5 เผยว่าผู้ต้องหาทั้งหมด ทำเป็นขบวนการ มีรถยนต์คุ้มกัน มีรถนำเส้นทาง และรถที่ใช้ลำเลียง เพื่อลักลอบ นำไปยังพื้นที่ชั้นใน ทำมาเป็นครั้งที่ 3 ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลัง อยู่ระหว่างผล ซึ่งยาเสพติดล็อตนี้ กลุ่มผู้ต้องหาส่วนใหญ่ ทำงานโรงเหล็ก ในพื้นที่ จังหวัดสมุทรปราการ ไปรับยาเสพติด ที่ขบวนการค้ายาเสพติด นำไปกองไว้ข้างทาง ริมถนนในเขตอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อลำเลียงเข้าพื้นที่ชั้นใน

