วันนี้ 25 ต.ค.62 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สวนพลู กรุงเทพมหานคร พล.ต.ต.พรชัย ขันตี รอง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พีรวัส บุญลอย ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.อรุษ แสงจันทร์ รอง ผบก.ตม.6 แถลงข่าวการจับกุมคดีคนร้ายต่างชาติ รายสำคัญ และคดีที่น่าสนใจในห้วงเดือน ต.ค.2562 จำนวน 6 คดี ดังต่อไปนี้
คดีแรก ตม.จว.ภูเก็ต รวบสาวเขมรแสบ เครือข่ายแก๊งค์ ค้ามนุษย์ หลอกเด็กเร่ขายสินค้าริมหาดป่าตอง บังคับใช้แรงงาน หน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำร้ายร่างกาย ถ้าขายของไม่ได้ตามยอด จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ต.ค.62 เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.ภูเก็ต ได้ทำการจับกุมตัว MS.KIMHANG (นางสาวคิมห่าง หรือ กิมฮาง) อายุ 24 ปี สัญชาติกัมพูชา ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ 98/2562 ลงวันที่ 18 เมษายน 2562 โดยต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยได้กระทำแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยเป็นธุระจัดหา พามาจากหรือส่งไปที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อบังคับใช้แรงงาน ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับอันตรายแก่กาย ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ และร่วมกันเป็นนายจ้างจ้างเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าปีเป็นลูกจ้าง” หนึ่งในขบวนการค้ามนุษย์ หลอกลวงเด็กชาวกัมพูชา อายุประมาณ 13-16 ปี มาเร่ขายดอกไม้และแว่นตาที่ริมหาดป่าตอง มีผู้ร่วมขบวนการจำนวน 4 คน โดยนางสาวคิมห่าง ทำหน้าที่ รับ – ส่ง เด็กตามจุดที่ขายของบริเวณริมหาดป่าตอง และทำหน้าที่ดูต้นทาง เวลามีตำรวจมาตรวจ โดยจะให้เด็กขายของตั้งแต่เวลา 08.00 น. – 21.00 น. ทุกวันไม่มีวันหยุด ซึ่งหลังเลิกขบวนการดังกล่าวจะรับเด็กกลับมากักขังไว้ที่บ้านเช่า ถนนราษฎร์อุทิศ 200 ปี ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต หากเด็กขายของได้เงินไม่ถึงยอดตามที่กำหนดไว้ประมาณ 2,000 – 3,000 บาท ทั้งสี่คนจะใช้ไม้แขวนเสื้อ ซึ่งถูกดัดเป็นขดให้มีลักษณะคล้ายไม้เรียว ตี ทำร้ายร่างกายเด็ก โดยจะผลัดกันทำร้ายเด็กสลับกันไปในแต่ละวัน ถ้าเด็กคนไหนขายของไม่ได้ตามยอดก็จะถูกตี ต่อมา เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2561 มารดาของเด็กจำนวน 2 รายทราบเรื่อง จึงเดินทางมาจากประเทศกัมพูชาและเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ป่าตอง คนร้ายทั้งสี่ได้หลบหนีไปและพนักงานสอบสวนได้ขอศาลจังหวัดภูเก็ตออกหมายจับไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.ภูเก็ต ได้ทำการสืบทราบว่า นางสาวคิมห่าง หนึ่งในผู้ต้องหา ยังซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทยจะทำการหลบหนีออกจากประเทศไทย โดยเดินทางออกทางจังหวัดสระแก้ว จึงได้ประสานกับ ตม.จว.สระแก้ว และร่วมกันทำการสืบสวน จนสามารถจับกุมตัวนางสาวคิมห่างได้ จากนั้นได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ป่าตอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนคนร้าย รายอื่นๆที่หลบหนีอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.ภูเก็ต จะได้ทำการสืบสวนขยายผลเพื่อติดตามจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
คดีที่ 2. Biometrics จับพิรุธ 2 ต่างชาติติด Blacklist เปลี่ยนชื่อและหนังสือเดินทาง เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต ได้ทำการตรวจสอบบุคคลต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาอยู่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตด้วยระบบ Biometrics พบคนต่างด้าวจำนวน 2 ราย เป็นบุคคลซึ่งถูกขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้าม หรือ Blacklist ห้ามเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไว้ ซึ่งบุคคลดังกล่าว หลังจากที่ถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร บุคคลเหล่านั้นได้เปลี่ยนชื่อตัวบางส่วน และขอหนังสือเดินทางเล่มใหม่ จากนั้นได้เดินทางกลับเขามาในประเทศไทยอีกครั้ง เป็นสัญชาติปากีสถาน 1 ราย และสัญชาติเบลารุส 1 ราย มีรายละเอียดดังนี้ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.62 ตม.จว.ภูเก็ต ได้ทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ MR.SHEIKH (นายเชรค) สัญชาติปากีสถาน เดิมชื่อ MR.AJMEL (นายอาจาเมล) สัญชาติปากีสถาน เคยถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหา เคยถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดฐาน อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด เมี่อปี พ.ศ. 2561 มีพฤติการณ์เข้าลักษณะต้องห้าม ติด Blacklist ห้ามเข้าประเทศ 10 ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2561 ถึงปี พ.ศ. 2571 ได้เปลี่ยนชื่อกลางของตน และขอหนังสือเดินทางเล่มใหม่ จากนั้นเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผ่านทางสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 5 ก.ค.62 ได้รับการตรวจลงตราประเภท NON-90 อนุญาตให้อยู่ถึงวันที่ 2 ต.ค.62 จากการตรวจสอบบุคคลดังกล่าวสอบด้วยระบบ Biometrics พบว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ถูกขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้ามไว้
เมื่อวันที่ 10 ต.ค.62 ตม.จว.ภูเก็ต ได้ทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ MR.AKEXANDER (นายอเล็กซานเดอร์) สัญชาติเบลารุส เดิมชื่อ MR.ALIAKSANDR (นายอเล็คซานเดอร์) สัญชาติเบลารุส เคยถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตเมี่อปี พ.ศ. 2561 มีพฤติการณ์เข้าลักษณะต้องห้าม ติด Blacklist ห้ามเข้าประเทศ 100 ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2561 ถึงปี พ.ศ. 2661 ได้เปลี่ยนวิธีการสะกดชื่อนามสกุลของตนเอง และขอหนังสือเดินทางเล่มใหม่ จากนั้นเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผ่านทางสนามบินนานาชาติภูเก็ต เมื่อวันที่ 23 เม.ย.62 ได้รับการตรวจลงตราประเภท NON-90 อนุญาตให้อยู่ถึงวันที่ 12 ต.ค.62 จากการตรวจสอบบุคคลดังกล่าวสอบด้วยระบบ Biometrics พบว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ถูกขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้ามไว้
จากการซักถามปากคำเบื้องต้น และให้ดูหลักฐานการขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้าม ทั้งสองจึงให้การรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ตรวจสอบพบจากระบบ Biometrics เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.ภูเก็ต จึงได้ทำการเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักร ของทั้งสอง จากนั้นจึงได้ควบคุมตัวและดำเนินการส่งกลับออกนอกประเทศต่อไป
คดีที่ 3. ตม.จว.กระบี่ ขยายผลจับกุมเครือข่าย Romance Scam พบหญิงไทยร่วมขบวนการหลอกคนชาติตัวเอง เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2562 เจ้าหน้าที่สืบสวน ตม.จว.กระบี่ และชุดสืบสวน กก.สส.ภ.จว.กระบี่ ได้ร่วมกันจับกุม นายอีเลเล่ (MR.ELELE) สัญชาติ ไนจีเรีย ข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจากการสอบสวนขยายผลทราบว่าเป็นเครือข่ายอาชญากรรม romance scam ทำให้นำไปสู่การจับกุม
1.) เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2562 เจ้าหน้าที่ตม.จว.กระบี่ ได้จับกุม1.MR.UCHECHUKWU อายุ 26 ปี สัญชาติไนจีเรีย
2.) MR.TIMOTHY อายุ 24 ปี สัญชาติไนจีเรีย ข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 3.น.ส.สกุลตรา อายุ 27 ปี สัญชาติไทย ข้อหา “ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือฯเพื่อให้คนต่างด้าวพ้นการจับกุม ” ที่ ต.กระบี่ใหญ่ อ.เมือง จว.กระบี่ อีกคดีเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2562 เจ้าหน้าที่ตม.จว.กระบี่ และชุดสืบสวน ได้จับกุม 1.MR.KINGSLEY อายุ 23 ปี สัญชาติ ไนจีเรีย ข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต “2.น.ส.น้ำเพชร อายุ 20 ปี ข้อหา “ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือฯ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นการจับกุม”
ที่บ้านเลขที่ 293/41 หมู่ 1 ต.เหนือคลอง อ.เมือง จว.กระบี่ จากการตรวจสอบภายในที่เกิดเหตุทั้งสามคดี พบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงพยานหลักฐานต่างๆ ที่เชื่อมโยงกลุ่มผู้ต้องหากับเครือข่ายอาชญากรรมหลอกรักออนไลน์ หรือ romance scam และพบว่าผู้ต้องหาทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกันในรูปแบบขบวนการ ซึ่ง ตม.จว.กระบี่ ได้สืบสวนขยายผลพบหญิงไทยซึ่งตกเป็นเจ้าทุกข์จำนวนหนึ่ง จึงได้ให้ความช่วยเหลือในทางคดี และการเยียวยามูลค่าความเสียหายอันเกิดจากกระทำของกลุ่มอาชญากรรมนี้ ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการเยียวยาผู้เสียหายไปบางส่วนแล้ว
คดีที่ 4.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี รวบหนุ่มดัตซ์แฝงตัวจากนักท่องเที่ยวก่อเหตุขโมยกล้องโกโปรที่เกาะเต่า จากกรณีเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2562 ตม.จว.สุราษฎร์ธานี บก.ตม.6 ได้รับประสานจาก สภ.เกาะเต่า ให้ติดตามบุคคลต่างด้าว ราย MR.GERHARDUS สัญชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้ถูกแจ้งความร้องทุกข์จากนายรัฐวิทย์ ว่ากระทำความผิด ลักทรัพย์กล้องโกโปร ฮีโร่ 7 สีดำ พร้อมอุปกรณ์ ราคา 12,490 บาท จากร้านเกาะเต่าเทเลคอมในวันที่ 4 ต.ค. 2562 และมาทราบจากกล้องวงจรปิดว่าคนต่างด้าวรายดังกล่าวได้ลักเอาไป จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน สภ.เกาะเต่า จว.สุราษฎร์ธานี
ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้ทำการออกสืบสวนเพื่อทราบตัว MR.GERHARDUS โดยได้ตรวจสอบข้อมูลการแจ้งการเข้าพักอาศัย ม.38 ในระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (Biometrics) พบว่าคนต่างด้าวรายดังกล่าวได้หลบหนีจากเกาะเต่ามาเข้าพักอาศัยที่โรงแรมนิด บังกะโล เกาะสมุย จึงได้เข้าทำการตรวจสอบพบการเข้าพักจริง แต่ในขณะเข้าทำการตรวจสอบไม่พบคนต่างด้าว จึงได้ร่วมวางแผนกับ จนท.ตำรวจท่องเที่ยวสมุย เพื่อสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของบุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว ต่อมาวันที่ 9 ต.ค. 2562 เวลา ประมาณ 14.30 น. ได้พบตัวคนต่างด้าวรายดังกล่าวในขณะกลับมาจากท่องเที่ยวและจะเข้าห้องพัก เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าแสดงตัวและ แจ้งเหตุแห่งการตรวจสอบจนบุคคลต่างด้าวเข้าใจดีแล้ว และพาเข้าไปตรวจสอบเพื่อหาของกลาง จนกระทั่งพบของกลางกล้องโกโปรฯ และอุปกรณ์ ใต้บันใดในห้องพัก เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้เชิญตัวมาเพื่อแจ้งให้ทราบถึง รายละเอียดแห่งการร้องทุกข์กล่าวโทษ และประสาน พงส.เจ้าของคดี มารับตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีที่ สภ.เกาะเต่า จว.สุราษฎร์ธานี
คดีที่ 5. ตม.จว.ระนอง จับกุม 5 หนุ่มเมียนมา ใช้หนังสือเดินทางปลอม
เมื่อวันที่ 13 ต.ค.2562 เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง ได้ร่วมกัน
จับกุมตัวผู้ต้องหาสัญชาติเมียนมา 5 ราย ได้แก่
1.นายซาน มอง (SAN MG) อายุ 22 ปี
2.นายลา เต (HLA THEIN) อายุ 30 ปี
3.นายนู ซอ (NU SAW) อายุ 42 ปี
4.นายตาน ท่อ (THAN TUN) อายุ 30 ปี
5.นายอาว ซอ (AUNG SAW) อายุ 36 ปี
ในความผิดฐาน “ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอม (ปอ.มาตรา 269/9)”
ก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม พบผู้ต้องหาทั้ง 5 รายข้างต้น นำหนังสือเดินทางเล่มของกลาง มาแสดงกับ เจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจาจุดตรวจสะพานปลา จากการตรวจสอบพบพิรุธน่าสงสัยจึงนำหนังสือเดินทาง
เข้าตรวจสอบในระบบ Biometrics พบข้อมูลการเดินทางเข้า-ออก และรูปผู้ต้องหาในระบบกับหนังสือเดินทางไม่ตรงกัน จึงเชิญตัวไปตรวจสอบโดยละเอียดที่ ตม.จว.ระนอง พบว่ามีร่องรอยการลอกแผ่นลามิเนตหน้าข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อตรวจสอบด้วยกล้องขยายไม่ปรากฏข้อความอักษรจิ๋ว(ไมโครเทค) ข้อความซ่อนคาว่า “REPUBLIC OF THE UNION OF MYANMAR” ที่แถบด้านบนและด้านล่างของหน้าข้อมูล จึงเชื่อว่าเป็นหนังสือเดินทางปลอม
เมื่อสอบถามผู้ถูกจับให้การรับสารภาพว่า มีภูมิลาเนาอยู่ที่รัฐยะไข่ ต้องการเดินทางมาหางานำาที่ประเทศไทย จึงว่าจ้างให้นายหน้า (ไม่ทราบชื่อและที่อยู่) เป็นเงิน 1 ล้านจ๊าด (ประมาณ22,000 บาท) เพื่อช่วยเหลือนำพาเข้ามาหางานทำในประเทศไทย โดยในวันเกิดเหตุนายหน้าได้นำหนังสือเดินทางมามอบให้พวกตนซึ่งในหนังสือเดินทาง หน้าที่ 10, 12 และ 13 ปรากฏรอยตราประทับของพนักงานเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ผู้ถูกจับยังไม่เคยเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยมาก่อนแต่อย่างใด
ต่อมาเมื่อมีการสืบสวนขยายผลปรากฎข้อมูลของ คนขับเรือชื่อ นายฉุ่ย ทอ (HTAY MYINT) สัญชาติเมียนมา
ซึ่งขับเรือหางยาวรับจ้างขนคนโดยสารระหว่าง เกาะสอง-ระนอง ในวันเกิดเหตุและทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่าตนได้รับ การติดต่อจากชายชาวเมียนมา (ไม่ทราบชื่อ) ที่ท่าเรือสะพานปลาแจ้งว่าให้ไปรับชาวเมียนมา จำนวน 5 คน จากท่าเรือเกาะสอง มาส่งที่ท่าเรือสะพานปลา โดยฝากหนังสือเดินทางไว้ให้ 5 เล่ม พร้อมเงินค่าโดยสาร 350 บาท อนึ่งจากข้อมูลข้างต้นดังกล่าว ตม.จว.ระนองได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการสืบสวนขยายผลหาเครือข่ายการปลอมหนังสือเดินทางดังกล่าวต่อไป
คดีที่ 6.งานสืบสวนสอบสวน บก.ตม.6 จับหนุ่มเมียนมา ศิลปินฟรีแลนซ์รับจ้างเขียนภาพเหมือนริมชายหาดสงขลา จากเมื่อวันที่ 14 ต.ค.62 เวลาประมาณ 13.40 น. เจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการ ตรวจคนเข้าเมือง 6 ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาสัญชาติเมียนมา MR.MYO อายุ 48 ปี ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต” โดยมีพฤติการณ์ กล่าวคือ
ก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับ ว่ามีบุคคลคล้ายบุคคลต่างด้าวมีพฤติกรรม ในลักษณะทำงาน โดยการรับเขียนภาพเสมือนจริง บริเวณชายหาดชลาทัศน์ (รูปปั้นนางเงือก) ต.บ่อยาง อ.เมือง จว.สงขลา จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบคนต่างด้าวกำลังนั่งเขียนภาพ โดยมีผู้หญิงซึ่งเป็นลูกค้าเป็นแบบ และเมื่อเขียนภาพเสร็จ คนต่างด้าวก็ได้รับเงินจากหญิงคนดังกล่าวเป็นค่าจ้าง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตน เพื่อขอทำการตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าคนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ประเภทนักท่องเที่ยว และไม่มีใบอนุญาตทำงานแต่อย่างใด จึงได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา นำส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.6 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีนโยบายในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรม ในทุกรูปแบบฐานความผิดอย่างจริงจัง และฝากประชาสัมพันธ์ไปยังเจ้าของสถานที่พักอาศัยหรือประชาชนทั่วไป หากพบบุคคลต่างชาติที่มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมในลักษณะต่างๆหรือคนต่างด้าวที่อยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โทร.1178