กองทัพเรือไทย ทำลายสะพานจัยจุมเนี๊ยะในกัมพูชา ตัดเส้นทางการลำเลียงอาวุธหนัก

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา หน่วยข่าวกรองและการตรวจการณ์ของฝ่ายไทยตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้ สะพานจัยจุมเนี๊ยะ เป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงอาวุธหนัก ยุทโธปกรณ์ และการส่งกำลังบำรุงเข้าสู่พื้นที่ตั้งทางทหารใกล้แนวชายแดน ซึ่งจะเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความปลอดภัยของประชาชนไทยและกำลังพลในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือภายหลังการประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน

กองทัพเรือจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการทำลายสะพานดังกล่าวในลักษณะ การปฏิบัติการเชิงป้องกัน เพื่อจำกัดและลดทอนขีดความสามารถในการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักของฝ่ายกัมพูชา อันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการยกระดับการใช้กำลังและการคุกคามต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดน

การปฏิบัติการครั้งนี้ได้กำหนดเป้าหมายเฉพาะต่อโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางทหารเท่านั้น โดยคำนึงถึงหลักความจำเป็น ความได้สัดส่วน และการลดผลกระทบต่อประชาชนและทรัพย์สินของพลเรือนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ไม่ได้มุ่งหมายต่อประชาชนหรือพื้นที่พลเรือนแต่อย่างใด

กองทัพเรือ ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศและแนวปฏิบัติสากล เพื่อรักษาอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชนไทย

กองทัพเรือ เปิดยุทธการ “ประจวบคีรีขันธ์–ประจันตคีรีเขตร” ป้องกันภัยคุกคามประชาชนไทยตามแนวชายฝั่งอ่าวไทย

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ระหว่างเวลา 0100 – 0300 น. ทัพเรือภาคที่ 1 ได้เปิดยุทธการ “ประจวบคีรีขันธ์–ประจันตคีรีเขตร” โดยหมวดเรือเฉพาะกิจ “พิทักษ์อ่าวไทย” เพื่อปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงทางทะเล ปกป้องอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชนชาวไทยตามแนวชายฝั่งอ่าวไทย

การปฏิบัติการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อลดทอนและลิดรอนขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่จังหวัดเกาะกง โดยเฉพาะที่ตั้งทางทหารบนเกาะยอ ซึ่งตรวจพบว่าเป็นที่ตั้งฐานปืนใหญ่ที่มีระยะยิงครอบคลุมถึงพื้นที่ชุมชนบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด อันเป็นพื้นที่รับผิดชอบและมีหน่วยทหารของกองทัพเรือตั้งอยู่

จากการข่าวกรอง พร้อมทั้งการตรวจการณ์และพิสูจน์ทราบเป้าหมาย พบว่าบนเกาะยอดังกล่าวมีการจัดวางปืนใหญ่จำนวน 4 กระบอก ซึ่งเตรียมที่จะใช้โจมตีฝ่ายไทย หมวดเรือเฉพาะกิจพิทักษ์อ่าวไทยจึงได้เริ่มปฏิบัติการตามแผน โดยกำลังทางเรือได้ควบคุมพื้นที่ทางทะเล โจมตีเป้าหมายทางทหารที่ตรวจพบ ทั้งที่ตั้งปืนใหญ่และอาคารกองบัญชาการ เพื่อจำกัดและลดทอนขีดความสามารถในการคุกคามต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนไทย ระหว่างการปฏิบัติการ ฝ่ายกัมพูชาได้ตอบโต้กลับมาทันที จนกระทั่งเมื่อเวลา 02.30 น. กำลังทางเรือของฝ่ายไทยได้ยุติการโจมตี และถอนกำลังออกจากพื้นที่

กองทัพเรือ ยืนยันว่า การปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปเพื่อการป้องกันตนเองตามหลักกฎหมายและแนวปฏิบัติสากล มีเป้าหมายเฉพาะต่อที่ตั้งทางทหารที่เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อประชาชนและความมั่นคงของประเทศในเรื่องสิทธิในการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defence) โดยการใช้กำลังตามความจำเป็นและได้สัดส่วน และยังคงยึดมั่นในการปกป้องอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ

“ตวงทิพย์” ซัดเด็ก พท. ปล่อยเฟคนิวส์ ลอยแพผู้อพยพอุบล  ลั่นไม่ใช่เวลามาเล่นการเมือง ทำคนทำงานเสียกำลังใจ

อุบลราชธานี, วันที่  13 ธันวาคม – นางสาวตวงทิพย์ จินตะเวช อดีตสส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้กรณีที่ นายวัชรพล เชื้อคง ว่าที่ผู้สมัคร สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย เร่งให้รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาชาวอุบลราชธานี  ที่หนีภัยสงคราม ปล่อยลอยแพชาวบ้าน อดข้าวอดน้ำ ในศูนย์อพยพ เพราะงบไม่เพียงพอ โดยระบุว่า “ขออนุญาตนะคะ คิดว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามาเล่นการเมือง หรือปล่อย เฟคนิวส์ ให้คนเข้าใจผิด เข้ามาในพื้นที่ถามศูนย์อพยพได้เลย  ทุกศูนย์ฯ ทำงานกันอย่างเต็มที่ ดูแลพี่น้องอย่างดี ไม่เคยปล่อยลอยแพ และให้อดข้าวอดน้ำ ขออย่าสร้างความเข้าใจผิด ให้คนดูแล และคนทำงาน เสียกำลังใจ”

เงินบาทแข็งสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรคาดสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวที่ 31.40 – 32.00 บาท/ดอลลาร์

กรุงเทพฯ วันที่ 13 ธ.ค. – ศูนย์วิจัยกสิกรวิเคราะห์สถานการณ์ค่าเงินบาท และตลาดหุ้นไทย โดยระบุว่าสัปดาห์ที่ (8 – 12 ธ.ค.) เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง ท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่ ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงจากสัปดาห์ก่อน โดยแกว่งตัวอิงขาลงจากความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

โดยสัปดาห์หน้า (15 – 19 ธ.ค.) ศูนย์วิจัยกสิกรคาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 31.40 – 32.00 บาท/ดอลลาร์ฯ ส่วนดัชนีหุ้นไทย แนวรับที่ 1,245 และ 1,230 จุด แนวต้าน 1,285 และ 1,305 จุด

ถุงยังชีพพระราชทานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ถึงหาดใหญ่แล้ว ศอ.บต.เตรียมส่งต่อผู้ประสบอุทกภัย ชายแดนใต้

หาดใหญ่, วันที่ 13 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าถุงยังชีพพระราชทานจากมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ซึ่งขนส่งทางรถไฟ จำนวนทั้งสิ้น 7,560 ถุง ได้เดินทางถึงสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ โดยขบวนรถไฟขนส่งหมายเลข 985 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมนำไปช่วยเหลือประชาชนและพระภิกษุสงฆ์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมด้วย สมาชิกกองอาสาสมัครรักษาดินแดนจาก จ.ยะลา นราธิวาส ปัตตานี ได้ร่วมกันดำเนินการขนถ่ายถุงยังชีพจากขบวนรถไฟเพื่อเตรียมกระจายความช่วยเหลือไปยังพื้นที่เป้าหมาย โดยมุ่งเน้นประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สำหรับการขนส่งถุงยังชีพพระราชทานในครั้งนี้ ได้ดำเนินการใน 2 ช่องทาง ได้แก่ การขนส่งทางรถบรรทุก และการขนส่งทางรถไฟ รวมทั้งสิ้น 12,600 ถุง

ทั้งนี้ ถุงยังชีพพระราชทานครั้งนี้เป็นผลจากการบูรณาการการทำงานของ ศอ.บต. ในฐานะหน่วยสนับสนุนจังหวัดเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาสาธารณภัย ร่วมกับ 5 จังหวัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้จัดทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ถุงยังชีพพระราชทานจากมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัย พร้อมทั้งสร้างขวัญและกำลังใจให้สามารถฟื้นฟูชีวิตและความเป็นอยู่ภายหลังเกิดภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน

ศึก ”ไทย-กัมพูชา” ให้จบยุคนี้ ทหารต้องสั่งลุยจนกว่าจำนน จับตาอาจดันรัฐบาลแห่งชาติจัดการ                   

หากมีการทำโพลถามความเห็นของประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในวงจรของอำนาจทั้งไทยและกัมพูชา ว่าต้องการให้เกิดสงครามหรือไม่ ขอฟันธงว่าไม่มีใครเห็นด้วย100 เปอร์เซ็นต์เต็ม เพราะสงครามนำพามาซึ่งความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสในทุกด้าน 

แต่เมื่อผู้มีอำนาจยังอยากอยู่บนอำนาจเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องแบบยืนยาว จะใช้กลยุทธ์ทุกทางเพื่อรักษาอำนาจไว้ เมื่อกลยุทธ์ที่ใช้เคยใช้บริหารประเทศเริ่มเสื่อมถอย จะใช้กระแสชาตินิยมปลุกให้คนในชาติเกิดอาการคลั่งชาติ 

การจุดไฟสงครามคือเครื่องมืออันทรงอนุภาพ ที่ สมเด็จ ฮุน เซน ผู้นำทางจิตวิญญาณของเขมรนำมาใช้ด้วยการเปิดฉากรุกรานประเทศไทย เริ่มด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง นำความสัมพันธ์ที่แนบชิดทางส่วนตัวออกมาเป็นกลยุทธ์เดินเกมแบบประสานนอกใน จนสงครามปะทุ                

ส่งผลให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กระเด็นตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี               

ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรี ชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล ตามที่สมเด็จ ฮุน เซ็น บอกไว้ล่วงหน้าก่อนที่น.ส.แพทองธาร จะตกเก้าอี้ถึง 3 เดือน               

สงครามไทยกับกัมพูชายุติ สู่โหมดเจรจาสันติภาพที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ หลังแผนสันติภาพลงนามกันไม่นาน บางเงื่อนไขถูกขับเคลื่อน บางเงื่อนไขถูกละเลยโดยเฉพาะความร่วมมือปราบสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์รัฐบาลกัมพูชา สวมบทเจ้าเล่ห์เลี่ยงไปเลี่ยงมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ปล่อยภาพถ่ายหมู่ของบุคคลสำคัญของไทยอาทิ นายอนุทิน พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ และพล.ต.อ.วิสนุ ประสารทองโอสถ เป็นต้น โดยมีนายเบน สมิธ ถูกกล่าวหาว่าพัวพันแก๊งสแกมเมอร์ ร่วมเฟรมด้วย   

ภาพถูกปล่อยออกมาหลังจากที่นายอนุทิน นำทีมแถลงข่าวยึดทรัพย์แก๊งสแกมเมอร์กว่ามื่นล้านบาท ของนายยิม เลียก ชาวกัมพูชา นายเบน สมิธ สัญชาติกัมพูชา นายก๊ก อาน และนายเฉินจื้อ ชาวจีน           

ถัดมาเพียงไม่กี่วันเกิดเหตุทหารกัมพูชายิงถล่มฐานทหารไทย ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต ทหารไทยจึงยิงตอบโต้ หลังจากนั้นมีการเปิดแนวรบในจังหวัดอีสานใต้หลายจุด            

กระทั่งนายอนุทิน เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้วมีมติให้ตอบโต้อย่างเต็มที่จนกว่ากัมพูชาอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถตอบโต้ได้อีกนาน พร้อมสั่งอพยพชาวบ้านตามแนวชายแดนภาคอีสานตอนใต้และชายแดนฝั่งตะวันออกกว่า 5แสนคน ไปพักในศูนย์พักพิงที่รัฐบาลจัดไว้             

นับแต่นั้นมาสถานการณ์สู้รบเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เปิดรบตามแนวชายกว่า 12 แห่ง ทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายนาย บ้านเรือนประชาชนถูกทหารกัมพูชายิงถล่มเสียหายหลายหลังคาเรือน             

ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบ เกิดประเด็นดราม่าอย่างหลากหลายถล่มใส่รัฐบาลนายอนุทิน อาทิ การวิพากษ์วิจารณ์ว่าผู้นำเขมรซูเอี๋ยกับผู้นำไทย เพื่อกลบข่าวปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาลเขมร สร้างสถานการณ์ยิงไทยก่อนแล้วไทยยิงตอบโต้พอหอมปากหอมคอ         

แต่บังเอิญว่ากระแสชาติถูกปลุกขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและลามไปทั้งประเทศไทย เพราะคนไทยต่างระอากับพฤติกรรมของสมเด็จ ฮุน เซ็น และนายฮุน มา เน็ต นายกรัฐมนตรี ที่มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม เมื่อเกิดเหตุคนไทยต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องยึดตามที่กองทัพบกยืนยันว่าจะต้องจัดการกับเขมรให้อยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะต่อกรกับไทยได้อีกนาน           

มาพร้อมกับท่าทีแกนนำพรรคภูมิใจไทยหลายคนโพสต์ในสื่อโซเซียลว่าขอให้จบในรุ่นเรา จัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด  รวมถึงท่าทีอันแข็งกร้าวของนายอนุทินว่าจะไม่เจรจาจนกว่ากองทัพเขมรหมดสภาพการสู้รบ         

ขณะที่นักวิชาการบางคนออกมาวิจารณ์ในเชิงติติงแกนนำพรรคภูมิใจไทยและนายอนุทิน ว่าหากยุบสภาฯเลือกตั้งใหม่ อย่าใช้กระแสชาตินิยมมาเป็นเครื่องมือในการเรียกคะแนนเสียง เพราะผลเสียจะตกกับประเทศชาติในทุกด้าน และจะสร้างความเกลียดชังแบบฝังรากลึกในหมู่ประชาชนทั้งสองชาติ ซึ่งเป็นความเกลียดชังที่ไม่ควรเกิดกับประเทศที่มีชายแดนติดกัน       

ประเด็นดราม่ายังมีอีกหลายหลากประเด็นที่เป็นเชิงลบต่อรัฐบาล อาทิประเด็นนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่ภูมิใจไทย เปิดสนามช้างอารีน่า เป็นศูนย์พักพิงผู้อพยพหนีภัยสงคราม ถูกฝ่ายตรงข้ามนำเหน็บแนมในทำนองว่ารู้ก่อนแล้วว่าจะเกิดเหตุปะทะ พร้อมหยิบวลีเด็ดของนายอนุทินที่ว่าสั่งงานวันนี้ต้องเสร็จเมื่อวาน มาเปรียบเปรยอีกต่างหาก     

เมื่อมองถึงประเด็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและนายอนุทินแล้วล้วนแต่เป็นสารตั้งต้นเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการปัญหาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยเฉพาะชาวบ้านตามแนวชายแดนที่โพสต์ในสื่อโซเซียลหรือสะท้อนผ่านนายเนวินว่าไหนๆก็ไหนๆแล้วขอให้กองทัพและรัฐบาลเอาให้จบในคราวนี้เถอะ ชาวบ้านพร้อมเปิดทางให้ปฏิบัติการได้อย่างเต็มที่ ต่อไปจะได้อยู่แบบไม่หวาดระแวง     

แต่ข้อเรียกร้องที่ให้รัฐบาลนายอนุทินเร่งจัดการต้องสะดุดลง เมื่อเกมแก้รัฐธรรมนูญที่พรรคประชาชนยื่นเป็นเงื่อนไขอุ้มนายอนุทินขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเจออุปสรรคเพราะส.ว.แสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องเบรกเกมนี้นายอนุทินจึงหักดิบพรรคประชาชนที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยการประกาศยุบสภาฯ 

แต่การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา ยังดำเนินการต่ออย่างเข้มข้นเพราะอำนาจทุกอย่างรัฐบาลนายอนุทินได้มอบหมายให้กองทัพดำเนินการอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว และอำนาจรัฐบาลรักษาการมีหลายประการที่ไม่สามารถตัดสินใจหรือชี้ขาดได้ เพราะมีรัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดไว้        

ดังนั้น ถ้ามองสถานการณ์การสู้รบดูแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อ บวกกับประกาศิตของกองทัพต้องจัดการกับกัมพูชาให้สิ้นสภาพทางทหาร บวกกับเสียงประชาชนว่าต้องจัดการให้เด็ดขาดอย่างให้มีรอบที่สามหรือรอบที่สี่อีก เสมือนกระแสชาตินิยมจุดติดแล้ว       

เมื่อมองจากปัจจัยดังกล่าวแล้วเท่ากับว่าประเทศต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม แต่ ณ เวลานี้เป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ ทำให้มองได้ว่าประเทศไทยกำลังถึงทางตัน          

จังหวะนี้ต้องจับตาเป็นพิเศษอาจจะมีหลายฝ่ายเรียกร้องให้ผ่าทางตันด้วยการผลักดันให้มี”รัฐบาลแห่งชาติ” ตามที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้ก็เป็นได้  !!!

สุดเถื่อน!! เขมรยิงจรวด BM-21 ใส่หมู่บ้านในกันทรลักษ์ ทำชาวบ้านเจ็บ 4 ราย

กองทัพบก, 13 ธันวาคม – กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธจรวด BM-21 ยิงตกเข้ามาในพื้นที่พลเรือน บริเวณด้านหน้าบังเกอร์หลบภัย หมู่ที่ 1 ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนซึ่งได้ยินเสียงแจ้งเตือนและกำลังวิ่งเข้าหลบภัยในบังเกอร์หลบภัย ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด มีอาการสาหัส 2 ราย ได้แก่ 1. นายแก้ว กินนรา แขนขวาหัก    2. นายรำไพ สุวรรณศิลป์ ได้รับแรงกระแทกที่ศีรษะและมีเลือดออกในสมอง

กองทัพบกร่วมกับฝ่ายปกครองและสาธารณสุขในพื้นที่ เร่งนำผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นาย คมสัน ศรีอ้วน โดนสะเก็ดระเบิดบริเวณหลังคอ และ นายเสรี ปัถอินทรี มีอาการบวมที่ศรีษะเนื่องจากโดนสะเก็ดระเบิด ได้เร่งนำส่ง รพ.ศรีรัตนะ

กองทัพบกขอประณามการกระทำของกำลังทหารกัมพูชาอย่างรุนแรง ต่อเวทีประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นหลักฐานชัดเจนถึงการใช้อาวุธโจมตีใส่พื้นที่พลเรือนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชา ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์

“พินิจ” พร้อมคณะนักศึกษา วพน. รุ่นที่ 12 จัดกิจกรรม CSR เลี้ยงอาหารกลางวันนักเรียน บ้านคลองน้อย จ.เพชรบุรี

วันนี้ (13 ธ.ค 68) คณะนักศึกษาหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านวิทยาการพลังงาน”(วพน.) รุ่นที่ 12 ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ CSR ร่วมกันแจกอุปกรณ์การศึกษาการกีฬา ทุนการศึกษา ให้แก่โรงเรียน ตชด.บ้านคลองน้อย 144 คน พร้อมเลี้ยงอาหารกลางวันกับเด็กนักเรียน พร้อมแจกถุงยังชีพให้แก่พี่น้องประชาชนที่ขาดโอกาส ในพื้นที่บ้านคลองน้อย จ.เพชรบุรี จำนวน 50 ครอบครัว

นำโดย คุณพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานรุ่น วพน.12 พร้อมด้วย พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง นายอุทัย พากเจริญ คุณจิราพร ขาวสวัสดิ์ คุณวรชยา ลัทธยาพร คุณอภิจิณ โชติดเสถียร คุณปริษา เตชะกรเมธากุล คุณศรีรัชต์ ธนะรัชต์ และคณะตัวแทนนักศึกษา วพน.12 ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม CSR เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในนาม วพน.12 โดยมี ร.ต.ท.สุชาติ ราศรี ครูใหญ่โรงเรียน ตชด.บ้านคลองน้อย จ.เพชรบุรี ให้การต้อนรับ

นัดชี้ชะตา 2 นักปกป้องสิทธิฯ พีมูฟ ศาลตัดสินคดี พ.ร.บ.ชุมนุม 28 ม.ค.69

นัดฟังคำพิพากษาคดีสองนักปกป้องสิทธิฯ ธีรเนตร – จำนงค์ พีมูฟถูกฟ้องพ.ร.บ.ชุมนุม 28 ม.ค. 69 ปีหน้า หวังวาง ‘มาตรฐาน’ คุ้มครองสิทธิประชาชน ประธานพีมูฟยันชุมนุมสงบตามสิทธิ พร้อมเตรียมรณรงค์ยกเลิกพ.ร.บ.ชุมนุมฯ! ‘มรดกบาป คสช.’ ยืนกรานกฎหมายเกิดจาก ‘กระบวนการยึดอำนาจ’ ต้องยกเลิก ที่ปรึกษาพีมูฟ มั่นใจศาลรับฟังความจำเป็นในการเรียกร้องเรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน เผยรู้สึกดีกว่าคดีที่ผ่านมา หวังเปิดช่องทางสู้คดีให้กับประชาชนคนอื่นที่ถูกฟ้องในอนาคต

ความคืบหน้าคดีการชุมนุมของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ที่ศาลแขวงดุสิต วันนี้ (12 ธันวาคม 2568) ธีรเนตร ไชยสุวรรณ นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ประธานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) และกรรมการสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) พร้อมด้วย จำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาพีมูฟ และทีมทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) เดินทางเข้าสืบพยานจำเลยในคดีฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ฐานเป็นผู้จัดให้มีการชุมนุมฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุมนุมในรัศมี 50 เมตรรอบทำเนียบรัฐบาล


โดยวานนี้ (11 ธันวาคม 2568) เป็นการสืบพยานโจทก์ซึ่งมีอดีตรองผู้กำกับ สน.ดุสิต ผู้กล่าวหา, ชุดสืบสวนผู้รวบรวมหลักฐาน และพนักงานสอบสวนผู้จัดการเอกสารในคดีที่สั่งฟ้องธีรเนตรและจำนงค์เข้ามาให้ข้อมูล

ทนายชี้ คำสั่ง ตร. ขยายเขตห้ามชุมนุม 50 ม. ‘ไร้เหตุจำเป็น’ เหตุผู้ชุมนุมน้อย-สงบ!

นายทิตศาสตร์ สุดแสน ทนายความเปิดเผยภายหลังการสืบพยานจำเลยเสร็จสิ้นแล้วว่า วันนี้เป็นการนัดสืบพยานสำคัญ โดยมีคุณธีรเนตรและคุณจำนงค์ขึ้นเบิกความ และในช่วงบ่ายได้เชิญ อ.ดร.พัชร์ นิยมศิลป ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายเพื่อประชาชนคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาช่วยเบิกความเกี่ยวกับ มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ

ทนายความกล่าวว่า โดยรวมแล้วรู้สึกพอใจกับการสืบพยานในวันนี้ ซึ่งประเด็นหลักคือการพยายามพิสูจน์ว่ากรณีนี้ ไม่เข้าเงื่อนไขที่ต้องบังคับใช้ทางกฎหมาย ตามมาตรา 7 ดังกล่าว

ทิตศาสตร์ระบุเพิ่มเติมว่า ในบางช่วงของการชุมนุมอาจมีผู้ชุมนุมเข้าไปในเขต 50 เมตร ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศห้ามไว้จริง แต่ยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการ ใช้สิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นการชุมนุมโดย สงบและปราศจากอาวุธ

“เรามองว่าคำสั่งของตำรวจที่ออกมา 50 เมตรนั้น ไม่มีเหตุจำเป็น ที่จะต้องออก” ทนายความกล่าวและชี้ว่านอกจากเรื่องความปลอดภัยสาธารณะแล้ว การออกคำสั่งดังกล่าวต้องคำนึงถึง จำนวนผู้ชุมนุมและพฤติการณ์ ด้วย ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีจำนวนมาก และไม่ได้กระทำการรุนแรง

ทนายความเปิดเผยตัวเลขผู้ชุมนุมตามข้อเท็จจริงว่า แม้จะมีการแจ้งการชุมนุมไว้ที่ 500 คน แต่ในทางปฏิบัติมีผู้ร่วมชุมนุมเพียงบางวันอาจจะอยู่ที่ 50-60 คนเท่านั้น และบางครั้งอาจจะสูงถึงร้อยกว่าคน โดยผู้ชุมนุมส่วนใหญ่อยู่ในเขตที่กำหนดไว้ และมีเพียง แกนนำบางส่วน ที่ลงมาติดตามการทำงานที่ประตูข้างนอกเพื่อ แสดงสัญลักษณ์ และยื่นหนังสือ เพื่อติดตามความคืบหน้าของคณะอนุกรรมการที่รัฐตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้อง

นัดตัดสิน ม.ค. 69 หวังวาง ‘บรรทัดฐาน’ การชุมนุม

ทิตศาสตร์เปิดเผยกำหนดการนัดฟังคำพิพากษาในคดีนี้ โดยศาลได้กำหนดนัดในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2569 เวลา 09.00 น. ทนายความของกลุ่มพีมูฟแสดงความหวังว่า คดีนี้จะสามารถ วางมาตรฐาน ทางกฎหมายให้กับประชาชนและกลุ่มอื่น ๆ ในการใช้สิทธิชุมนุมสาธารณะต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดขอบเขตอำนาจของเจ้าหน้าที่ในการจำกัดพื้นที่การชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุม

พีมูฟ’ ยันชุมนุมสงบตามสิทธิ์ เตรียมรณรงค์ยกเลิก ‘มรดกบาป คสช.’ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ!

ภายหลังเสร็จสิ้นการสืบพยานผู้เชี่ยวชาญในคดีการชุมนุม ธีรเนตร ไชยสุวรรณ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนประธานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ได้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน โดยยืนยันถึงความชอบธรรมในการใช้สิทธิของกลุ่มในการเรียกร้องเชิงนโยบายจากรัฐบาล

ธีรเนตรกล่าวว่า พีมูฟยืนยันมาโดยตลอดว่า การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นการใช้ สิทธิตามรัฐธรรมนูญโดยสงบ เพื่อติดตามการแก้ปัญหาเชิงนโยบายที่กลุ่มได้รับผลกระทบ ซึ่งขณะนี้การติดตามปัญหาดังกล่าวก็มีความคืบหน้า โดยรัฐบาลได้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน คณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการในกระทรวงต่างๆ ขึ้นมาเพื่อดำเนินการเป็นลำดับแล้ว

ติงการใช้ดุลพินิจ ‘ลั่น’ เกินขอบเขต

ประธานพีมูฟกล่าวถึงประเด็นการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความกังวลที่พยานผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวถึงก่อนหน้า โดยระบุว่าการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ทำให้มีการออกแนวทางปฏิบัติที่ค่อนข้างจะ “ลั่น” หรือเกินเลยไปมาก และมองว่าการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่นั้น ควรต้องนำหลักเกณฑ์อื่น ๆ มาประกอบการพิจารณาด้วย เช่น พฤติกรรม พฤติการณ์ และความเหมาะสมต่าง ๆ ของการชุมนุม ไม่ใช่เพียงการตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัด

ย้ำ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ คือ ‘มรดกบาป’ ต้องยกเลิก

ธีรเนตรได้กล่าวถึงจุดยืนของพีมูฟต่อ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ว่า กลุ่มยืนยันมาโดยตลอดตั้งแต่มีการประกาศใช้ว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ ไม่เป็นผลดีต่อพี่น้องประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกองค์กรที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิที่ถูกรัฐละเมิด
“เรายืนยันมาตลอดว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นการออกมาโดยมิชอบ โดยเฉพาะการออกมาตั้งแต่ยังเป็น ผลผลิตของ คสช. กระบวนการยึดอำนาจรัฐประหาร ที่เราคิดว่ามันไม่เป็นผลดีกับพี่น้องอยู่แล้ว และยังมาทิ้ง มรดกบาปชุมนุม นี้ไว้อีก” ประธานพีมูฟกล่าวอย่างหนักแน่น

ธีรเนตรได้ทิ้งท้ายว่า ในอนาคตพีมูฟคงต้องเดินหน้าเรียกร้องให้มีการ ยกเลิก พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในการแสดงออกและเรียกร้องความเป็นธรรมได้อย่างเต็มที่โดยไม่ถูกจำกัดเกินความจำเป็น

จำนงค์ พีมูฟ’ มองเห็นแสงสว่าง! หลังผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลต่อศาลเกี่ยวกับพ.ร.บ.ชุมนุม

จำนงค์ หนูพันธ์ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ได้กล่าวแสดงความรู้สึกภายหลังการสืบพยานในวันนี้ โดยมองเห็นสัญญาณที่ดีในการต่อสู้คดีของภาคประชาชน

นายจำนงค์ระบุว่า บรรยากาศการสืบพยานในวันนี้ถือว่าดีกว่าคดีที่ผ่านมาเนื่องจากมีแนวโน้มว่าศาลจะมีความเข้าใจต่อภาคประชาสังคมมากขึ้น และมองเห็นถึงความจำเป็นของเราที่จะต้องออกมาเรียกร้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเรื่องปากท้องสำคัญของพี่น้องประชาชน

จำนงค์เน้นย้ำกรณีที่ศาลได้รับฟังข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย โดยระบุถึงการเข้าเบิกความของ อาจารย์อ.ดร.พัชร์ นิยมศิลป ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 โดยระบุว่าข้อมูลของ อ.ดร.พัชร์ ทำให้ศาลได้รับฟังมุมมองที่หลากหลายไม่ได้มองด้านเดียวแบบอัยการที่มองมาตลอด ซึ่งเป็นการเปิดมิติใหม่ในการพิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายที่ใช้กับผู้ชุมนุม

“วันนี้ก็รู้สึกว่ามีอะไรที่น่าจะมีโอกาสในการต่อสู้ในคดีต่อ ๆ ไปอีกมาก” ที่ปรึกษาพีมูฟแสดงความมั่นใจ โดยเชื่อว่าการสืบพยานในวันนี้ได้สร้างฐานข้อมูลและมุมมองทางกฎหมายที่เอื้อต่อการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของกลุ่มประชาชนในอนาคต​ อาจารย์จุฬาฯ เจาะช่องโหว่ ม.7 พ.ร.บ.ชุมนุมขยาย 50 เมตร อำนาจล้นไร้ขอบเขตระบุเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ชั่งน้ำหนักไม่ใช่ใช้ ‘ดาบ’ ปิดกั้นเสรีภาพ

ขณะที่ อ.ดร.พัชร์ นิยมศิลป ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายเพื่อประชาชนคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชุมนุมให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมโดยได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ว่ามีที่มาและกลไกที่ยังไม่สมบูรณ์และเปิดช่องให้เกิดการตีความที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินความจำเป็น


อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรายนี้กล่าวว่า ภาพรวมของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งเป็นสภาที่มาจากการรัฐประหาร (คสช.) ดำเนินการอยู่ ทำให้กระบวนการวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์ความเหมาะสมของตัวบทกฎหมาย ไม่ได้รับการพิจารณาที่รอบด้าน

“สมาชิก สนช. มาจากการรัฐประหาร ณ ขณะนั้น ใครที่ได้รับโอกาสเข้ามาก็จะมีเสียงดังมากที่สุด ทำให้ตัวกฎหมายแม้จะเขียนได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ในความเห็นของตนคือ มันสามารถดีได้มากกว่านี้ และไม่ได้มาจากการวิพากษ์วิจารณ์ที่รอบด้าน” ผู้เชี่ยวชาญระบุ

เจาะช่องโหว่ ม.7 ขยาย 50 เมตร อำนาจล้นไร้ขอบเขต

ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิเคราะห์อย่างเข้มข้นคือ มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ที่ให้อำนาจในการขยายเขตห้ามชุมนุมในระยะ 50 เมตร ออกไปจากสถานที่สำคัญ เช่น ทำเนียบรัฐบาล, รัฐสภา, ศาล, และพระบรมมหาราชวัง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แม้มาตรานี้จะมีเจตนาเพื่อปกป้องสถานที่พิเศษไม่ให้ผู้ชุมนุมปิดล้อม แต่การใช้ “ดาบ” นี้กลับมีปัญหาในทางปฏิบัติ

“ตัวข้อกฎหมายที่คอนโทรลดุลยพินิจมันน้อยหรือแทบไม่มีเลย“ อาจารย์ระบุ โดยชี้ว่ากฎหมายเพียงเขียนให้คำนึงถึง “พฤติการณ์และจำนวนของผู้ชุมนุม” แต่ไม่ได้กำหนดขอบเขตของ “พฤติการณ์” ที่ชัดเจน ทำให้สุดท้ายแล้วการตีความและการใช้ดุลยพินิจขึ้นอยู่กับ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือ ศาล ที่จะวางหลักมาตรฐานในเรื่องนี้เอง

ย้ำหลักสากล: จำกัดสิทธิต้อง ‘เบาที่สุด’ และ ‘ได้สัดส่วน’

ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ได้นำหลักสากลมาเปรียบเทียบ โดยเน้นย้ำว่าการมองเรื่องนี้ให้สอดคล้องตามหลักสากลต้องเลือก วิธีการที่เบาที่สุดเท่าที่มันจะบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ห้ามไปเลยคือตัวเลือกสุดท้าย: “การที่บอกว่าห้ามไปเลยเป็นตัวเลือกสุดท้าย เพราะมันไม่ได้สัดส่วน” และชี้ว่ารัฐต้องทำตาม 3 ขั้นตอน คือ 1. มีกฎหมายให้อำนาจชอบด้วยกฎหมาย 2. ทำโดยตรงตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย และ 3. ต้องจำเป็นและได้สัดส่วน

พร้อมกันนี้ ได้มีการนิยามคำว่าการชุมนุมโดยสงบว่าไม่ได้หมายถึงการชุมนุมที่สงบเสงี่ยม ไร้เสียง หรือราบเรียบ แต่คือการใช้สิทธิได้ตามปกติ แม้จะมีความไม่เป็นระเบียบอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ต้องไม่รุกล้ำสิทธิของผู้อื่นเกินกว่าเหตุ

ความไม่สงบจริงๆตามหลักสากล ดูที่ว่ามันมีเจตนาในการใช้ความรุนแรงหรือไม่ ต้องดูที่ความรุนแรงทางกายภาพเช่นการขว้างปา เผา หรือทำให้ทรัพย์สินเสียหาย”

อาจารย์ได้เสนอแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมคือ การใช้มาตรการควบคุมที่เบาที่สุด เช่น การจัดเลนถนน ว่าอยู่ตรงไหนได้บ้าง ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการ ชั่งน้ำหนัก ระหว่างคนที่ใช้สิทธิ กับคนที่ได้รับผลกระทบจากสิทธิ ไม่ใช่ใช้มาตรการห้ามชุมนุม ณ พื้นที่นี้ ตรงนี้เวลานี้ในทันที

ชี้ หากชุมนุมสงบ ต้องปล่อย! หากอยากสลายต้องร้องขอศาล

ผู้เชี่ยวชาญสรุปในตอนท้ายว่า กลไกภายใต้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ระบุชัดเจนว่า ถ้าผู้ชุมนุมสงบก็ต้องปล่อยให้ชุมนุมต่อไป แต่หากเจ้าหน้าที่ต้องการสลายการชุมนุม พวกเขาต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด คือ ใช้กลไกร้องขอศาลแพ่ง เพื่อให้มีคำสั่งอนุญาตให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมได้ ซึ่งเป็นการย้ำถึงหลักการที่ว่า อำนาจในการจำกัดสิทธิเสรีภาพต้องได้รับการตรวจสอบและควบคุมโดยฝ่ายตุลาการอย่างเคร่งครัด

ด้านปรานม สมวงศ์ จาก Protection Internationalกล่าวว่า เราหวังว่าศาลยุติธรรมจะวางหลักว่าการชุมนุมโดยสงบต้องได้รับการคุ้มครอง และการจำกัดสิทธิต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย คดีนี้จะไม่เพียงสร้างความเป็นธรรมให้กับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสองคนจากพีมูฟเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนถึง สิทธิในการปกป้องสิทธิมนุษยชน ของประชาชนทุกคน ว่าการออกมาเรียกร้อง ตรวจสอบ และท้าทายความอยุติธรรมของรัฐไม่ใช่อาชญากรรม หากเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล และจะเปิดทางให้ประชาชนคนอื่น ๆ ที่ถูกฟ้องจากการชุมนุม มีหลักยืนทางกฎหมายในการต่อสู้คดีและปกป้องสิทธิของตนเองในอนาคต

ผบ.ตร.กำชับ 5 ภารกิจตำรวจ ป้องกันอธิปไตยชายแดนไทย–กัมพูชา

ผบ.ตร.กำชับตำรวจเดินหน้า 5 ภารกิจพิทักษ์อธิปไตยชายแดนไทย – กัมพูชา “ตชด. และชุดปฏิบัติการพิเศษ” สู้แนวหน้า พิทักษ์ส่วนหลัง ปกป้อง สืบสวน ดูแล บังคับใช้กฎหมายเข้ม

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

วันนี้ (13 ธันวาคม 2568) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ส่งกำลังใจให้ตำรวจทุกหน่วย ทุกนาย ที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจพิทักษ์อธิปไตยชายแดนไทย – กัมพูชา ทั้งตำรวจที่เป็นกองกำลังแนวหน้าป้องกันชายแดน และร่วมพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง โดย ผบ.ตร.กำชับให้ตำรวจทุกนายเดินหน้าภารกิจตำรวจทั้ง 5 ด้านในสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยให้ระลึกเสมอว่านี่คือภารกิจสำคัญในการปกป้องชาติ รักษาอธิปไตย และปกป้องดูแลประชาชน พร้อมย้ำว่าผู้บังคับบัญชาพร้อมดูแลและสนับสนุนทุกด้านทั้งยุทโธปกรณ์ และสวัสดิการ

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า 5 ภารกิจสำคัญของตำรวจในการพิทักษ์อธิปไตยไทย และปกป้องประชาชน ประกอบด้วย

1.ภารกิจตำรวจแนวหน้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารในการปฏิบัติการทางทหาร ประกอบด้วย ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และชุดปฏิบัติการพิเศษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งร่วมปฏิบัติการแนวหน้ากับกองทัพอย่างเข้มแข็ง กล้าหาญมาตลอด โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 13 ธันวาคม 2568) มีรายงานมีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว 24 ราย

2.ภารกิจปกป้องพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ดูแลบ้านเรือนพี่น้องประชาชนที่อพยพไปอยู่ศูนย์พักพิง อำนวยความสะดวกด้านการจราจรในการนำส่งผู้บาดเจ็บเข้าสู่โรงพยาบาล ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ด่านตรวจฝ้าระวังภัยตลอด 24 ชั่วโมง ตรวจตราดูแลรอบศูนย์พักพิงและดูแลประชาชนในศูนย์พักพิง

3.ภารกิจสืบสวนข่าวและการสืบสวน โดยตำรวจรับหน้าที่ในการปฏิบัติการด้านการข่าวร่วมกับฝ่ายทหารและศูนย์รักษาความปลอดภัย หรือ ศรภ. รับหน้าที่ในการเฝ้าระวังตรวจตราอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน รวมทั้งการเฝ้าระวังบุคคลที่อาจเข้ามาสอดแนม โจรกรรมข้อมูลหรือก่อวินาศภัย ที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคง

4.ภารกิจดูแลโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 20 แห่ง และดูแลเด็กนักเรียน 728 คน ที่อยู่ในศูนย์พักพิงเพื่อให้อยู่อย่างปลอดภัยและสามารถรับการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่อง โดยมี ตชด.รับหน้าที่หลักในการดูแล

    และ 5. ภารกิจบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดทุกฐานความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

    นอกจากนี้ ยังมีโรงพยาบาลตำรวจ และกองบินตำรวจ เป็นอีกสรรพกำลังสำคัญทำหน้าที่สนับสนุนและส่งต่อทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติและตำรวจทุกนายพร้อมปฏิบัติภารกิจนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยและความผาสุกของประชาชน