กสิกรไทยร่วมประชุม COP30 ตอกย้ำบทบาทผู้นำภูมิภาคด้านการเงินเพื่อสิ่งแวดล้อม

ธนาคารกสิกรไทย ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการเงินเพื่อสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาค เข้าร่วมการประชุมสมัชชาภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP30) ระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเลง สหพันธรัฐบราซิล โดยผู้บริหารธนาคารได้ร่วมถ่ายทอดวิสัยทัศน์ มุมมอง และประสบการณ์ด้านการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาดคาร์บอนยุคใหม่ บนเวที Thai Pavilion ครอบคลุม 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการออกคาร์บอนเครดิตโทเคน เพื่อพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวผ่านความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน และการจัดทำบัญชีคาร์บอน 2.0 โดยนับเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่ธนาคารเข้าร่วมในฐานะตัวแทนภาคเอกชนไทย

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Tokenization: Decentralizing Carbon Markets การใช้โทเคนเพื่อกระจายอำนาจในตลาดคาร์บอน” โดยนำเสนอโครงการนำร่องการแปลงคาร์บอนเครดิตเป็นโทเคนดิจิทัล ที่นำเทคโนโลยี Blockchain มาช่วยประสิทธิภาพและความโปร่งใสในกระบวนการซื้อขายและชดเชยคาร์บอนเครดิต ลดต้นทุนในการทำธุรกรรม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ภาคประชาชนสามารถเข้าถึงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับการทำธุรกรรมของตลาดคาร์บอนเครดิตภาคบังคับที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พรอ้มผลักดันผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในระดับภูมิภาค

และยังร่วมเสวนาในหัวข้อ “Driving Systems Change through Climate Public-Private Partnerships (PPP) ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบผ่านความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน” ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นของความร่วมมือเชิงระบบ (Systems Change) ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อน Climate Action อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งจากมุมมองระดับโลกของ UNFCCC ด้านการระดมทรัพยากร ไปจนถึงตัวอย่างความร่วมมือในประเทศไทยที่ธนาคารกสิกรไทยมีบทบาทสำคัญ เช่น โครงการ Thailand Climate Business Network (Thai CBN) เครือข่ายภาคธุรกิจ 34 องค์กร จาก 4 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคการเงินและการธนาคาร ซึ่งร่วมกันผลักดันการจัดการสภาพภูมิอากาศแบบบูรณาการ รวมถึง โครงการ Net Zero CEO หลักสูตรสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่ธนาคารกสิกรไทยร่วมพัฒนากับสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน (CBiS) เพื่อเสริมศักยภาพผู้นำองค์กรในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การปล่อยคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

ในขณะที่ ดร. วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Carbon Accounting 2.0: Accelerating Transparency and Trust on the Road to Net Zero 2050 การจัดทำบัญชีคาร์บอน 2.0: เร่งความโปร่งใสและความเชื่อมั่นบนเส้นทาง Net Zero 2050” โดยนำเสนอแนวทางการบูรณาการนโยบาย โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล เทคโนโลยีทางธุรกิจ และการขับเคลื่อนเพื่อสังคม เพื่อพัฒนา “ระบบ Carbon Accounting รุ่นใหม่” ที่ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และเพิ่มการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ตลอดจนเป็นรากฐานสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน สำหรับตัวอย่างจากภาคการเงินนั้น ดร.วิชัย ได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์ความยั่งยืนปี 2568 ของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมุ่งพัฒนาระบบการปล่อยสินเชื่อและการลงทุนอย่างรับผิดชอบ ผ่านการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก การประเมินด้าน ESG อย่างครบถ้วน พร้อมทั้งผลักดันสินเชื่อและเงินลงทุนด้านความยั่งยืนให้บรรลุเป้าหมาย 4–5 แสนล้านบาทภายในปี 2573 นอกจากนี้ ธนาคารยังให้การสนับสนุนลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ผ่านโซลูชันทางการเงิน องค์ความรู้ และนวัตกรรมรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่โปร่งใส เพื่อประกอบการตัดสินใจด้านความเสี่ยงและการปล่อยสินเชื่อเชิงรับผิดชอบ ดังนั้นการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้าน Carbon Accounting จึงเป็นหัวใจสำคัญในการสนับสนุนทั้งภาคธุรกิจและระบบการเงินไทยให้ก้าวสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

ดร.กรินทร์ กล่าวในต้อนท้ายว่า การเข้าร่วม COP30 สะท้อนความมุ่งมั่นของธนาคารกสิกรไทยในการยกระดับระบบการเงินไทยสู่ความยั่งยืนผ่าน Climate Solution และการผลักดันนวัตกรรมด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมสร้างความร่วมมือเชิงระบบกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้เป้าหมายในการเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider – ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด” ที่จะก้าวไป “เหนือกว่าการให้การสนับสนุนทางการเงิน” เพื่อช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจของลูกค้าในระยะยาวอย่างยั่งยืน และสนับสนุนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างมั่นคงและเป็นรูปธรรม

กรุงศรีออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ห่วงใยลูกค้าและผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ และพร้อมเคียงข้างให้ความช่วยเหลือผ่านมาตรการเร่งด่วน ซึ่งครอบคลุมทั้งลูกค้าบุคคล และลูกค้าธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบ

รายละเอียดมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประกอบด้วย

ลูกค้าสินเชื่อบุคคล สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อ SME รายย่อย ประกอบด้วย

  • ลดค่างวด ครอบคลุมดอกเบี้ยจ่ายในแต่ละเดือน สูงสุดระยะเวลา 6 เดือน หรือ
  • พักชำระเงินต้น (ชำระเพียงดอกเบี้ย) สูงสุดระยะเวลา 3 เดือน

แจ้งความประสงค์ขอรับมาตรการช่วยเหลือได้ที่สาขาของธนาคารกรุงศรีอยุธยาทั่วประเทศ หรือ Krungsri Call Center 1572 ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 ธันวาคม 2568 โดยเงื่อนไขและเกณฑ์การพิจารณาลูกค้าแต่ละรายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SME ประกอบด้วย

  • ลดค่างวด ครอบคลุมดอกเบี้ยจ่ายในแต่ละเดือน สูงสุดระยะเวลา 6 เดือน หรือ
  • พักชำระเงินต้น (ชำระเพียงดอกเบี้ย) สูงสุดระยะเวลา 6 เดือน

แจ้งความประสงค์ขอรับมาตรการช่วยเหลือได้ที่ผู้จัดการธุรกิจสัมพันธ์ (Relationship Manager) หรือ สอบถามโทร. 02-296-6262 หรือ 02-626-2626 ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 ธันวาคม 2568

ลูกค้าสินเชื่อกรุงศรี ออโต้

  • พักชำระค่างวด เป็นระยะเวลา 3 เดือน
    แจ้งความประสงค์ขอรับมาตรการช่วยเหลือสอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม ได้ที่ กรุงศรี ออโต้
    โทร. 02-740-7400 กด 3 ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2568

ลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ มีรายละเอียดดังนี้
•มาตรการที่ 1: พักชำระหนี้ นานสูงสุด 2 รอบบัญชี สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยพักชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 2 รอบบัญชี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2568 ถึง มกราคม 2569 โดยระหว่างเข้าร่วมมาตรการพักชำระดังกล่าว ดอกเบี้ยยังคงคำนวณตามอัตราปกติแบบลดต้นลดดอก

ทั้งนี้ ลูกค้าซึ่งประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือจากโครงการดังกล่าว สามารถติดต่อมายังบริษัทฯ เพื่อลงทะเบียนแจ้งความจำนงภายใน 31 มกราคม 2569 ผ่านทางศูนย์บริการสมาชิกบัตรเครดิตและสินเชื่อในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ (ทุกวัน ตลอด 24 ชม.) หรือ Helpline : 02-714-5155 (ในเวลาทำการ จันทร์ถึงศุกร์ 8.30 – 17.30 น.) และจะได้รับการพิจารณาเป็นรายกรณี (การพิจารณาเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของบริษัท)

•มาตรการที่ 2: ปรับลดยอดผ่อนชำระรายเดือน ด้วยการขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระ (ปรับปรุงโครงสร้างหนี้) (ทั้งนี้ ไม่รวมลูกค้าที่ได้รับการช่วยเหลือในมาตรการอื่นสูงสุดอยู่แล้ว) โดยลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมมาตรการ สามารถติดต่อมายังบริษัทฯ เพื่อลงทะเบียนแจ้งความจำนง ผ่านทางศูนย์บริการสมาชิกบัตรฯ (ทุกวัน ตลอด 24 ชม.) หรือ Helpline: 02-714-5155 (ในเวลาทำการ จันทร์ถึงศุกร์ 8.30 – 17.30 น.) และจะได้รับการพิจารณาเป็นรายกรณี (การพิจารณาเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของบริษัท)

ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ www.krungsriconsumer.com หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิกบัตรเครดิตและสินเชื่อในกลุ่มกรุงศรีคอนซูมเมอร์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
-ศูนย์บริการสมาชิกบัตรเครดิต กรุงศรี ​​​02-646-3555 ​
-ศูนย์บริการสมาชิกบัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ ​​​02-345-6789​
-ศูนย์บริการสมาชิกบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ​​02-627-8111 ​
-ศูนย์บริการสมาชิกบัตรเครดิตโลตัส​​​​1712​​

นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันรถยนต์และประกันทรัพย์สินผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารได้มีบริการพิเศษ จาก บมจ. อลิอันซ์อยุธยา ประกันภัย สำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมโดยเฉพาะ โดยสามารถดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์ที่เข้าร่วมมาตรการและบริการได้เว็บไซต์ของธนาคาร หรือติดต่อ 1292 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

ดูรายละเอียดมาตการช่วยเหลือเพิ่มเติมได้ที่ www.krungsri.com

ไทยพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วน ช่วยเหลือลูกค้าผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ รวมทั้งพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดอื่นที่ได้รับผลกระทบ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยให้ความช่วยเหลือทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคล ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการและลูกค้าผู้ประกอบการ SME ทั้งมาตรการพักชำระและสินเชื่อพิเศษเพื่อซ่อมแซมบ้านและกิจการอย่างเต็มที่
จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ได้สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุดในภาคใต้ ซึ่งได้รับผลกระทบครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมทั้งพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดอื่นๆ ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย
ธนาคารไทยพาณิชย์ตระหนักถึงความเดือดร้อนดังกล่าว และพร้อมอยู่เคียงข้างลูกค้าในการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือ ทั้งลูกค้าบุคคล ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ และลูกค้าผู้ประกอบการ SME ครอบคลุมทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ ทั้งในรูปแบบการพักชำระหนี้ และการสนับสนุนสินเชื่อใหม่เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย รวมถึงฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ
โดยมีรายละเอียดดังนี้
กลุ่มลูกค้าบุคคล และกลุ่มลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ ประกอบด้วย

  1. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
  • สำหรับลูกค้าปัจจุบัน – สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash) พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 3 เดือน พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย
  • สำหรับลูกค้าใหม่ – สินเชื่อบ้านได้เพิ่มเพื่อซ่อมแซมบ้าน (สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้าน (Home Loan Top Up) หรือ สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash Top Up)) ดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม และ อาคารพาณิชย์
  1. สินเชื่อรถยนต์ สำหรับลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ สามารถพักชำระหนี้สูงสุดนาน 3 เดือน และขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระสูงสุด 3 เดือน (รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 65 ปี)
  2. สินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ (SSME)
  • สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการปัจจุบัน พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 3 เดือน พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยลูกค้าสามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือโทร SCB Call Center โทร 02-777-7777 ได้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568

ลูกค้าผู้ประกอบการ SME ธนาคารมีโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม ผ่าน 4 มาตรการหลัก ประกอบด้วย
1) พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 6 เดือน
2) พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุดนาน 3 เดือน
3) เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว วงเงินสูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม และไม่เกิน 10 ล้านบาท
4) วงเงินกู้สำหรับปรับปรุง ซ่อมแซม หรือซื้อทดแทนทรัพย์สินที่เสียหายของกิจการ สูงสุด 20% ของวงเงินเดิม ไม่เกิน 10 ล้านบาท

ลูกค้าผู้ประกอบการ SME สามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการได้ที่เจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์ และ SCB Business Call Center โทร 02-722-2222 ได้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568

ธนาคารไทยพาณิชย์ขอส่งกำลังใจไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ประส
บอุทกภัยภาคใต้ พร้อมดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ทั้งนี้ ธนาคารจะเร่งดำเนินการพิจารณาคำร้องของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างรอบคอบและทันท่วงที เพื่อให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

สำหรับสินเชื่อบ้านได้เพิ่ม อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ระหว่าง 4.662%- 13.397% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR ) ปัจจุบันเท่ากับ 6.775%ต่อปี มีผลวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว สามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามประกาศของธนาคาร รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่ เว็บไซต์ www.scb.co.th

“TQM เติมฝัน ครั้งที่ 5” ส่งต่อพลังแห่งการดูแลและความสุขสู่ผู้สูงวัย

บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด เดินหน้าสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง จัดโครงการ “TQM เติมฝัน ครั้งที่ 5” เมื่อวันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ณ สถานสงเคราะห์คนชราบ้านศรีตรัง อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง โดยมีคณะผู้บริหาร พนักงาน และลูกค้าจิตอาสาร่วมกว่า 40 คน มุ่งมั่นร่วมกันสร้างความสุขและเติมกำลังใจให้แก่ผู้สูงวัยในสถานสงเคราะห์

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ดูแลผู้สูงวัย ด้วยหัวใจแห่งการแบ่งปัน” เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ของ TQM ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเป็นกำลังสำคัญของสังคมในอดีต และยังเป็นกลุ่มที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ โดยทีมจิตอาสาได้ร่วมทำกิจกรรมเพ้นท์ผ้าบาติกอย่างสร้างสรรค์ พร้อมชวนคุณตาคุณยายร่วมระบายสี สร้างงานศิลปะ และใช้เวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตอย่างอบอุ่น บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความผูกพันที่เกิดขึ้นจากการใช้เวลาร่วมกัน ทีมงานยังได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้สูงวัย ช่วยให้เกิดช่วงเวลาที่ผ่อนคลายและเป็นกันเอง ตลอดจนมอบของใช้จำเป็นให้สถานสงเคราะห์เพื่อสนับสนุนการดูแล คุณตาคุณยายอย่างต่อเนื่อง

โครงการ “TQM เติมฝัน” เป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ที่ TQM ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน ลูกค้า และชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ในการร่วมสร้างประโยชน์แก่สังคม พร้อมตอกย้ำพันธกิจของ TQM ในการขับเคลื่อนสังคมไทยด้วยความรับผิดชอบ ความห่วงใย และการสร้างคุณค่าร่วมกับทุกภาคส่วน กิจกรรมในครั้งนี้ไม่เพียงส่งต่อกำลังใจให้แก่ผู้สูงวัยในสถานสงเคราะห์ แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคน สะท้อนให้เห็นว่า “การให้” คือพลังที่สามารถสร้างความสุขร่วมกันได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ผลงานผ้าบาติกที่จัดทำร่วมกับผู้สูงวัย ได้นำกลับมาจำหน่ายผ่าน Facebook Page TQM Insurance Broker ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Inbox ของเพจ โดยรายได้ทั้งหมดจะนำมอบให้สถานสงเคราะห์คนชราบ้านศรีตรัง เพื่อสนับสนุนสวัสดิการและการดูแลผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน

KKP ร่วม We Wealth Advisory จัดสัมมนา ‘Playground: a space to grow together’ 

นายเสกสรร ทวีกสิกรรม และนายณัทธร โพธิแพทย์ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในฐานะประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน ร่วมพิธีบรรพชาอุปสมบทหมู่พนักงานและลูกจ้างธนาคารออมสิน จำนวน 54 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี วันสวรรคต โดยมีพระพรหมวชิรรังษี เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ทั้งนี้ การบรรพชาอุปสมบทหมู่ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ออมสินน้อมรำลึก 100 ปี วันมหาธีรราชเจ้า” ซึ่งธนาคารออมสินจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป โดยพระภิกษุสงฆ์บวชใหม่ทั้ง 54 รูป จะศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติธรรม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร และศูนย์ปฏิบัติธรรมวชิรญาณ 200 ปี เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ รวมระยะเวลา 15 วัน

เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าส่งมอบความสุขและสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง

ยกระดับความรู้และการดูแลสุขภาพแบบครบมิติ แก่สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยเมืองไทยสไมล์คลับ เดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ล่าสุดได้ร่วมมือกับ นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล (Naya Residence by LivWell) จัดกิจกรรม “Muang Thai Smile LivWell Day สุขทุกวัย ใส่ใจทุกวัน” เพื่อให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับและครอบครัว ได้ยกระดับความรู้การดูแลสุขภาพแบบครบมิติจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมโปรโมชันพิเศษรับสิทธิ์เข้าพักห้องพักที่ นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล ราคาพิเศษทั้งแบบรายเดือน และรายสัปดาห์ โดยมี นางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมให้การต้อนรับ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล (Naya Residence by LivWell)

สำหรับ “Muang Thai Smile LivWell Day สุขทุกวัย ใส่ใจทุกวัน” เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้เพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพด้วยตัวเองแบบครบมิติ เพื่อให้ชีวิตยืนยาว แข็งแรง และมีความสุขในทุกวัน เริ่มต้นด้วยการประเมินสัดส่วนร่างกาย Body Composition และทดสอบสมรรถนะของร่างกาย ต่อด้วยกิจกรรมบรรยาย “Lifestyle Medicine” หรือ “เวชศาสตร์วิถีชีวิต” ศาสตร์ทางการแพทย์ที่เน้นการดูแลสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติ โดยไม่พึ่งยาเป็นหลัก โดย พญ.นาฏ ฟองสมุทร กรรมการบริหาร บริษัท ลิฟเวล ลิฟวิ่ง จำกัด กิจกรรม Workshop ทำอาหารสุขภาพ Healthspan & Enjoymentspan กินอร่อย จอยขนาด ไม่พลาด 100 ปี ว่าด้วยเคล็ดลับอายุยืนแบบสุขภาพดี โดยนักกำหนดอาหาร จากเพจ 2P’s in their pot คุณกฤษฎี โพธิทัต และคุณอัจจิมา ศรีปรัชญาอนันต์

นอกจากนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมยังได้เพลิดเพลินกับการรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้าน Taracotta River Terrace ร้านอาหารบรรยากาศคลาสสิก อบอุ่น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาหารไทยต้นตำรับที่ใส่ใจในทุกเมนู และผ่อนคลายไปกับการเยี่ยมชมสถานที่ นายาเรสซิเดนซ์ และปิดท้ายด้วย กิจกรรม Mindful Drawing วาดอย่างมีสติ ใจสงบผ่านเส้นสาย ผสาน “ศิลปะ” เข้ากับ “สมาธิ” ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย ลดความเครียดและความวิตกกังวลฝึกสมาธิ โดย พญ.สุขจันทร์ พงษ์ประไพ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ยังสามารถติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่เมืองไทยสไมล์คลับคัดสรรมาพิเศษแบบครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ความหลากหลายทุกความต้องการเพิ่มเติม ได้ที่ MTL Click Application สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แนะแนวทางอพยพคนไทยในกัมพูชา

พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ เปิดเผยว่า การอพยพคนไทยในต่างประเทศกลับประเทศไทย ตามที่คนไทยหลายพันคนติดค้างที่ด่านเมืองปอยเปตยังไม่สามารถกลับประเทศไทยได้นั้น

หากคนไทยดังกล่าวอยู่ในอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน โดยการเจรจาทางการทูตให้กลับประเทศไทยได้ไม่ประสบความสำเร็จ ที่ผ่านมามีการปฏิบัติการทางทหารไปรับคนไทยในต่างประเทศที่มีสถานการณ์ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเรียกว่า การอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ขัดแย้ง (Non Combatant Evacuation Operation : NEO) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “การปฏิบัติการทางทหารที่นอกเหนือจากสงคราม” (Military Operations other than War) กรณีที่รัฐบาลต่างประเทศไม่สามารถดูแลให้ความปลอดภัยแก่คนไทยได้ ในการดำเนินการดังกล่าวจะสะดวกและสำเร็จด้วยดีหากได้รับความยินยอมและร่วมมือจากรัฐบาลต่างประเทศซึ่งเป็นประเทศเจ้าบ้าน (Host Country) แต่ถ้ารัฐบาลต่างประเทศไม่ยินยอมและร่วมมือ รัฐบาลไทยก็ยังสามารถดำเนินการได้ ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่รัฐบาลประเทศหนึ่งสามารถส่งกองกำลังไปคุ้มครองคนในสัญชาติของตนในอีกประเทศหนึ่งได้ถ้ารัฐบาลต่างประเทศนั้น ไม่สามารถให้ความคุ้มครองปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินได้ โดยสามารถจัดส่งยานพาหนะและกองกำลังไปรับกลุ่มคนในสัญชาติกลับประเทศตนได้ แม้รัฐบาลต่างประเทศนั้นจะไม่ยินยอมก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุล ค.ศ. 1963หลักการเยียวยาตนเอง (Remedial Measure) และหลักการแทรกแซงทางมนุษยธรรม (Humanitarian Intervention)

ซึ่งกรณีที่รัฐบาลต่างประเทศไม่ยินยอมนั้น กองกำลังทหารไทยจะต้องระมัดระวังในการใช้กำลังและอาวุธ โดยใช้ในลักษณะป้องกันตนเอง (Self Defence) มิใช่การใช้กำลังโจมตีทำลาย โดยจะต้องมีการจัดทำกฎการใช้กำลัง (Rules Of Engagement) เป็นการเฉพาะสำหรับการปฏิบัติภารกิจอพยพคนไทยในต่างประเทศกลับประเทศไทย รวมทั้งมาตรการการคัดกรอง/การพิสูจน์ทราบผู้อพยพที่จะเดินทางโดยยานพาหนะที่จัดโดยรัฐบาลไทย ประการสำคัญจะต้องระมัดระวังจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นการรุกรานหรือละเมิดอำนาจอธิปไตยประเทศอื่น ซึ่งควรมีการแจ้งให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทราบโดยเร็วถึงความจำเป็นในการใช้กำลังไปคุ้มครองและรับผู้อพยพคนไทยกลับประเทศไทยโดยจะมีการใช้กำลังอาวุธเพื่อป้องกันชีวิตของผู้อพยพคนไทยและความปลอดภัยของกองกำลังทหารไทยในการปฏิบัติภารกิจไปรับผู้อพยพที่ตกในภยันตรายร้ายแรงเท่านั้น

ผบ.ตร.กำชับตำรวจเดินหน้า 5 ภารกิจพิทักษ์อธิปไตยชายแดนไทย – กัมพูชา “ตชด. และชุดปฏิบัติการพิเศษ” สู้แนวหน้า พิทักษ์ส่วนหลัง ปกป้อง สืบสวน ดูแล บังคับใช้กฎหมายเข้ม

วันนี้ (13 ธันวาคม 2568) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ส่งกำลังใจให้ตำรวจทุกหน่วย ทุกนาย ที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจพิทักษ์อธิปไตยชายแดนไทย – กัมพูชา ทั้งตำรวจที่เป็นกองกำลังแนวหน้าป้องกันชายแดน และร่วมพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง

โดย ผบ.ตร.กำชับให้ตำรวจทุกนายเดินหน้าภารกิจตำรวจทั้ง 5 ด้านในสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยให้ระลึกเสมอว่านี่คือภารกิจสำคัญในการปกป้องชาติ รักษาอธิปไตย และปกป้องดูแลประชาชน พร้อมย้ำว่าผู้บังคับบัญชาพร้อมดูแลและสนับสนุนทุกด้านทั้งยุทโธปกรณ์ และสวัสดิการ

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า 5 ภารกิจสำคัญของตำรวจในการพิทักษ์อธิปไตยไทย และปกป้องประชาชน ประกอบด้วย

1. ภารกิจตำรวจแนวหน้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารในการปฏิบัติการทางทหาร ประกอบด้วย ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และชุดปฏิบัติการพิเศษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งร่วมปฏิบัติการแนวหน้ากับกองทัพอย่างเข้มแข็ง กล้าหาญมาตลอด โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 13 ธันวาคม 2568) มีรายงานมีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว 24 ราย

2. ภารกิจปกป้องพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ดูแลบ้านเรือนพี่น้องประชาชนที่อพยพไปอยู่ศูนย์พักพิง อำนวยความสะดวกด้านการจราจรในการนำส่งผู้บาดเจ็บเข้าสู่โรงพยาบาล ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ด่านตรวจฝ้าระวังภัยตลอด 24 ชั่วโมง ตรวจตราดูแลรอบศูนย์พักพิงและดูแลประชาชนในศูนย์พักพิง

3. ภารกิจสืบสวนข่าวและการสืบสวน โดยตำรวจรับหน้าที่ในการปฏิบัติการด้านการข่าวร่วมกับฝ่ายทหารและศูนย์รักษาความปลอดภัย หรือ ศรภ. รับหน้าที่ในการเฝ้าระวังตรวจตราอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน รวมทั้งการเฝ้าระวังบุคคลที่อาจเข้ามาสอดแนม โจรกรรมข้อมูลหรือก่อวินาศภัย ที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคง

4. ภารกิจดูแลโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 20 แห่ง และดูแลเด็กนักเรียน 728 คน ที่อยู่ในศูนย์พักพิงเพื่อให้อยู่อย่างปลอดภัยและสามารถรับการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่อง โดยมี ตชด.รับหน้าที่หลักในการดูแล

    และ 5. ภารกิจบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดทุกฐานความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

    นอกจากนี้ ยังมีโรงพยาบาลตำรวจ และกองบินตำรวจ เป็นอีกสรรพกำลังสำคัญทำหน้าที่สนับสนุนและส่งต่อทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติและตำรวจทุกนายพร้อมปฏิบัติภารกิจนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยและความผาสุกของประชาชน

    ทำไม่ได้!! “อนุทิน” โต้ “อันวาร์” หลังขอ 2 ฝ่ายหยุดยิง 22.00 น. ย้ำจะหยุดได้ต้องให้ผู้นำ กพช.ติดต่อมาโดยตรง ติงไม่ควรเจรจาความ ตปท. ผ่านสื่อโซเชียล

    กรุงเทพฯ วันที่ 13 ธ.ค. – นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน โพสต์ข้อความทางโซเชียล มีเดีย เรียกร้องให้มีการหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชาในเวลา 22.00 น. ของวันนี้ โดยยืนยันว่า เงื่อนไขดังกล่าว เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นฝ่ายถูกคุกคามอธิปไตย ทั้งนี้การเจรจาระดับประเทศไม่ควรดำเนินการผ่านโซเชียลมีเดีย หรือการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ พร้อมปฏิเสธแนวคิดการหยุดยิงที่ไม่ได้มีการหารือโดยตรงระหว่างคู่กรณี

    นายอนุทินยืนยันว่า ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการหยุดยิงในลักษณะ “background services” แต่อย่างใด และขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากการแถลงข่าวของกองทัพซึ่งจัดขึ้นวันละ 2 ครั้ง โดยเน้นว่า ข่าวจากแหล่งอื่นไม่ควรนำมาอ้างอิง ที่ผ่านมามีการสื่อสารกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในช่วงเกิดเหตุการณ์ แต่ไม่เคยมีการแจ้งหรือเสนอให้ไทยต้องยุติการปฏิบัติการทางทหารแต่อย่างใด พร้อมย้ำว่า การดำเนินการของกองทัพยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยตนอยู่กับผู้บัญชาการทหารบกตลอดช่วงบ่ายของวันนี้

    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การพิจารณาหยุดยิงต้องเกิดจากความจริงใจ ชัดเจนว่าต้องการยุติการปะทะอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการหยุดยิงชั่วคราวในขณะที่ยังคงมีการคุกคามกันอยู่ “ประเทศไทยเป็นฝ่ายถูกรุกราน การตอบโต้ของไทยเป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน การจะมีใครมาบอกให้หยุดยิงในเวลา 22.00 น. ขณะที่ไทยกำลังปกป้องประเทศอยู่ เป็นเรื่องที่คิดด้วยสามัญสำนึกแล้วก็เป็นไปไม่ได้”

    นายอนุทินระบุว่า หากจะมีการหยุดยิงจริง กัมพูชาต้องยื่น ข้อเสนอต่อประเทศไทยโดยตรง ไม่ใช่ให้ผู้นำประเทศอื่นเป็นผู้สื่อสารแทน พร้อมชี้ว่าการหยุดยิงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่เป็นผล และยังมีการโจมตีที่กระทบต่อประชาชนและชุมชนของไทย “พูดอะไรก็พูดได้ แต่การกระทำต้องสอดคล้องกับคำพูด หากยังมีการยิงใส่ประชาชน ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความจริงใจ”

    นายอนุทินเน้นย้ำว่า การหยุดยิงที่ไทยจะพิจารณาได้ ต้องเป็นการหยุดยิงอย่างแท้จริง รวมถึงการถอนกำลังและยุติความพร้อมทางทหารทั้งหมด ไม่ใช่หยุดยิงเพียงชั่วคราวในขณะที่ยังคงเล็งอาวุธเข้ามาในฝั่งไทย ถ้าจะหยุด ก็ต้องหยุดทั้งหมด หยุดความพร้อมทุกอย่าง และถอยกลับไป ซึ่งไทยจะเป็นฝ่ายประเมินสถานการณ์เองว่าเมื่อใดจึงจะสามารถเริ่มต้นการเจรจาได้

    เมื่อถูกถามถึงสิทธิของประชาชนที่ต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนา นายอนุทินยืนยันว่า คนไทยมีสิทธิ์เดินทางกลับบ้านได้ตลอดเวลา และรัฐบาลไม่ต้องการให้สถานการณ์ลุกลามจนประชาชนถูกใช้เป็นตัวประกัน พร้อมย้ำว่ารัฐบาลได้เตรียมแผนเผชิญเหตุไว้รองรับทุกสถานการณ์แล้ว

    กองทัพเรือไทย ทำลายสะพานจัยจุมเนี๊ยะในกัมพูชา ตัดเส้นทางการลำเลียงอาวุธหนัก

    พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา หน่วยข่าวกรองและการตรวจการณ์ของฝ่ายไทยตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้ สะพานจัยจุมเนี๊ยะ เป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงอาวุธหนัก ยุทโธปกรณ์ และการส่งกำลังบำรุงเข้าสู่พื้นที่ตั้งทางทหารใกล้แนวชายแดน ซึ่งจะเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความปลอดภัยของประชาชนไทยและกำลังพลในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือภายหลังการประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน

    กองทัพเรือจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการทำลายสะพานดังกล่าวในลักษณะ การปฏิบัติการเชิงป้องกัน เพื่อจำกัดและลดทอนขีดความสามารถในการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักของฝ่ายกัมพูชา อันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการยกระดับการใช้กำลังและการคุกคามต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดน

    การปฏิบัติการครั้งนี้ได้กำหนดเป้าหมายเฉพาะต่อโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางทหารเท่านั้น โดยคำนึงถึงหลักความจำเป็น ความได้สัดส่วน และการลดผลกระทบต่อประชาชนและทรัพย์สินของพลเรือนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ไม่ได้มุ่งหมายต่อประชาชนหรือพื้นที่พลเรือนแต่อย่างใด

    กองทัพเรือ ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศและแนวปฏิบัติสากล เพื่อรักษาอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชนไทย