CIB ปิดเกม “จีนบางทวด” หนีคดีพยายามฆ่า 13 ปี รวบคาบ้านปากพนัง

ตำรวจสอบสวนกลางตามล่าตัวผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่า หลบหนีศาลนานกว่า 13 ปี ก่อนสิ้นสุดการหลบหนี หลังย้อนกลับมาซ่อนตัวในบ้านเกิด จ.นครศรีธรรมราช

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ปฏิบัติการปิดเกมจับกุม นายเฉลิมวุฒิ หรือ “จีนบางทวด” อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปากพนัง ที่ 81/2555 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2555 ในความผิดฐานพยายามฆ่าและความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน หลังหลบหนีการนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นานกว่า 13 ปี

การจับกุมครั้งนี้อยู่ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. และผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ บก.ป. โดยเจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ป. นำกำลังเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้บริเวณหน้าบ้าน หมู่ 1 ต.ปากพนังฝั่งตะวันตก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช

คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากเหตุเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2552 ผู้ต้องหาใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มผู้เสียหายจากปมขัดแย้งส่วนตัวเรื่องหญิงสาว โชคดีกระสุนไม่ถูกผู้ใด ต่อมาผู้ต้องหาเข้ามอบตัวและถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ก่อนขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ แต่กลับหลบหนีไม่มาศาลในวันนัดฟังคำพิพากษา ส่งผลให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 10 ปี 12 เดือน และออกหมายจับ

จากการสืบสวนพบว่า ผู้ต้องหาหลบหนีไปรับจ้างก่อสร้างนอกพื้นที่ ก่อนอาศัยช่วงไม่มีงานช่วงฤดูมรสุม กลับมาซ่อนตัวในบ้านเกิด กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้สำเร็จ

เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งศาลจังหวัดปากพนัง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยผู้ต้องหายังถือเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด

เลขาพรรคไทยสร้างไทย ลั่นพรรคพร้อมเต็มสูบลุยสนามเลือกตั้ง ดึงคนทำงานจริงลงสนาม เตรียมเปิดนโยบายชุดใหญ่ทุกสัปดาห์จนถึงเลือกตั้ง

นายชัชวาล แพทยาไทย เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย แถลงถึงความพร้อมของพรรคในการเลือกตั้ง โดยพรรคพร้อมลุยเลือกตั้งแบบ “เต็มกำลัง” หลังประเมินว่าการเมืองไทยที่ติดหล่มในเกมสามขั้วทำให้ประชาชนไม่เห็นทางออกใหม่ พรรคไทยสร้างไทยจึงประกาศทำหน้าที่เป็นพรรคที่พร้อมนำประเทศออกจากวงจรความขัดแย้ง การเมืองที่ประชาชนเบื่อหน่าย พร้อมเสนอนโยบายที่มีความเป็นไปได้และตอบโจทย์ชีวิตประชาชนจริง ไม่ใช่เพียงวาทกรรมการเมือง

เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย เผยว่าขณะนี้ไทยสร้างไทยได้ตั้งตัวแทนครบทุกภูมิภาค และทำงานเชื่อมต่อกับพื้นที่ทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ พร้อมระดมทีมผู้ช่วยหาเสียงชุดใหญ่ทั้งจากคนรุ่นใหม่ ผู้เชี่ยวชาญ และคนทำงานในภาคประชาชน เพื่อให้การสื่อสารนโยบายเข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็วและตรงประเด็น ย้ำว่าศึกเลือกตั้งครั้งนี้พรรคจะลงสนามด้วยกำลังคนที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านการคัดสรรผู้สมัคร สส. ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ พรรคอยู่ระหว่างการกลั่นกรองบุคลากรคุณภาพจากผู้ที่เสนอตัวเข้ามาเพิ่มเติมจำนวนมาก

นายชัชวาล ยืนยันว่า เกณฑ์พิจารณาจะเน้น “คนทำงานจริง มีประสบการณ์จริง และมีใจสู้เพื่อประชาชน” โดยพรรคตั้งใจจะส่งผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดลงสนาม เพื่อแสดงศักยภาพว่าไทยสร้างไทยสามารถร่วมกับพี่น้องประชาชน พาประเทศชาติพ้นจากวิกฤตรัฐล้มเหลวไปได้

ทั้งนี้ พรรคเตรียมทยอยเปิดนโยบายชุดใหญ่ต่อเนื่องทุกสัปดาห์จนถึงวันเลือกตั้ง โดยแต่ละนโยบายจะเป็นแนวทางที่สามารถผลักดันได้จริงหากได้เป็นรัฐบาล พร้อมระบุว่าการเปิดนโยบายแบบขั้นบันไดนี้จะเป็นสัญญาณชัดเจนว่าไทยสร้างไทยไม่ใช่เพียงพร้อมเลือกตั้ง แต่พร้อมบริหารประเทศอย่างเป็นระบบทันทีที่ประชาชนไว้วางใจให้เป็นแกนนำรัฐบาลครั้งใหม่

นาวิกโยธินยึดคืนพื้นที่บ้านสามหลัง จ.ตราด ปักธงชาติไทยยืนยันอธิปไตยของไทยได้สำเร็จ

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่าว่า วันนี้ (14 ธันวาคม 2568) กองทัพเรือ โดยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) และหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ฉก,นย.ตราด) ได้เปิดปฏิบัติการทางทหารเพื่อยึดคืนพื้นที่อธิปไตยของไทย บริเวณบ้าน 3 หลัง บ้านหนองรี ตำบลชำราก อำเภอเมือง จังหวัดตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายตรงข้ามรุกล้ำเข้ามาอยู่ในเขตดินแดนของประเทศไทย การปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้ามืด โดยมีการปะทะกันอย่างหนักในพื้นที่ ภายใต้หลักการใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากล และการรักษาอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ

ณ เวลานี้ (07.20 นาฬิกา) กองทัพเรือสามารถควบคุมและยึดพื้นที่ดังกล่าวได้แล้ว และขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้ามออกจากพื้นที่ได้ทั้งหมด พร้อมทั้งได้ดำเนินการปักธงชาติไทยในพื้นที่ เพื่อแสดงถึงการยืนยันอธิปไตยของประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่บ้านหนองรีโดยรอบยังคงมีการปะทะกันเป็นระยะ จากการพยายามตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม กำลังของหน่วยนาวิกโยธินที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดำเนินการควบคุมสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักความจำเป็นและได้สัดส่วน เพื่อรักษาความมั่นคงของพื้นที่ และป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามกลับเข้ามารุกล้ำอธิปไตยของประเทศไทยอีก

สำนักงานโฆษกกองทัพเรือ
14 ธันวาคม 2568

“แตงหนู” ไม้เถารั้วบ้าน สมุนไพรพื้นถิ่นคุณค่าเกินตัว

ผลแดงเล็กตามรั้วบ้าน ที่หลายคนมองข้าม คือขุมทรัพย์ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย “แตงหนู” พืชสมุนไพรพื้นบ้าน ใช้ได้ทั้งต้น รักษาได้ตั้งแต่ไข้พิษจนถึงโรคทางเดินหายใจ

แตงหนู สมุนไพรพื้นบ้านที่ซ่อนอยู่ตามรั้วบ้าน
ท่ามกลางพุ่มไม้รกร้างหรือรั้วบ้านชนบท มักมีไม้เถาเล็กๆ เลื้อยพันเกาะอย่างเงียบงัน พร้อมผลกลมสีแดงสดสะดุดตา พืชชนิดนี้คือ “แตงหนู” สมุนไพรพื้นบ้านที่อยู่คู่ชุมชนไทยมาอย่างยาวนาน แต่กลับถูกมองข้ามไปตามกาลเวลา

แตงหนูจัดอยู่ในวงศ์แตง CUCURBITACEAE เป็นพืชที่คนแต่ละท้องถิ่นเรียกต่างกัน เช่น “แตงนก” ในกาญจนบุรี “แตงผีปลูก” ในชัยนาท หรือ “แตงหนูขน” ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สะท้อนถึงความผูกพันของพืชชนิดนี้กับวิถีชีวิตชาวบ้านในหลายพื้นที่

ลักษณะของแตงหนูเป็นไม้เถาเล็ก มีมือเกาะงอกออกตั้งฉากกับก้านใบ ใช้พันยึดเกาะตามรั้วหรือพุ่มไม้ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ ดอกสีเหลืองสด แยกเพศแต่อยู่ร่วมต้นเดียวกัน และออกตามซอกใบ จุดเด่นที่สุดคือผลกลมมีลายตามยาว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ช่วยบอกตำแหน่งของพืชให้สังเกตได้ง่าย

ในทางสมุนไพร แตงหนูใช้ประโยชน์ได้แทบทุกส่วนของต้น

ราก ใช้ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ท้องอืดเฟ้อ และบรรเทาอาการปวดฟัน, เถา ยอด และใบอ่อน ช่วยแก้ตับอักเสบ บรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ และหอบหืด, ดอก มีสรรพคุณช่วยขับระดูและฟอกเลือด
ผล ใช้แก้ไข้พิษและบรรเทาอาการไข้

แตงหนูจึงเป็นตัวอย่างชัดเจนของ ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ที่หยั่งรากจากธรรมชาติรอบตัว พืชเล็กๆ ที่เลื้อยอยู่ตามรั้วบ้าน อาจไม่ได้โดดเด่นในสายตาคนเมือง แต่กลับซ่อนคุณค่าทางยาที่ชุมชนใช้สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

ในวันที่สังคมหันกลับมาให้ความสำคัญกับสมุนไพรและความหลากหลายทางชีวภาพ “แตงหนู” จึงไม่ใช่เพียงวัชพืชริมรั้ว หากแต่เป็นสมุนไพรพื้นถิ่นที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ศึกษา และส่งต่อองค์ความรู้ให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักและเห็นคุณค่าอย่างแท้จริง

อ้างอิง: ความหลากหลายทางชีวภาพพืชสมุนไพรในประเทศไทย เล่ม 2 (พ.ศ. 2561)
สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

CIB รวบบัญชีม้าเครือข่ายสแกมเมอร์ โยง 18 คดี เสียหายกว่า 30 ล้าน

ตำรวจสอบสวนกลางบุกจับหนุ่มวัย 20 ปี ทำหน้าที่บัญชีม้า รับโอนเงินเหยื่อแก๊งสแกมเมอร์หลายรูปแบบ พบพัวพันคดีหลอกลงทุน-คริปโต-ค้าขายออนไลน์ รวม 18 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) จับกุม นายกฤษณะฯ อายุ 20 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงพระนครใต้ที่ 71/2568 ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกง และนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หลังตรวจพบใช้บัญชีธนาคารเป็น “บัญชีม้า” รับเงินจากผู้เสียหายเครือข่ายสแกมเมอร์รวม 18 คดี ความเสียหายรวมกว่า 30 ล้านบาท

การจับกุมเกิดขึ้นบริเวณหน้าแคมป์ก่อสร้างริมถนน หมู่ 2 ตำบลหันสัง อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายหลังเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าผู้ต้องหาหลบหนีมาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว เมื่อแสดงหมายจับ ผู้ต้องหารับว่าเป็นบุคคลตามหมายจริงและยังไม่เคยถูกจับกุมคดีนี้มาก่อน

จากการสอบสวนพบพฤติการณ์หลอกลวงหลายรูปแบบ อาทิ​ คดีหลอกลงทุน Free market ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เริ่มให้ผลตอบแทนเล็กน้อยก่อนชักชวนโอนเงินเพิ่ม, คดีหลอกลงทุนทองคำและเหรียญดิจิทัล USDT ผ่านเว็บไซต์ปลอม ผู้เสียหายสูญเงินกว่า 21 ล้านบาทและคดีหลอกลงทุนค้าขายออนไลน์และธุรกิจเสื้อผ้า รวมถึงคดีหลอกโอนเงินในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าถูกหลอกไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนถูกบังคับให้เปิดบัญชีธนาคาร 6–7 บัญชี เพื่อใช้ในขบวนการสแกมเมอร์ เนื่องจากหวาดกลัวหลังเห็นผู้ร่วมงานถูกทำร้าย

เบื้องต้นตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.บางรัก ดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่ายังมี หมายจับค้างอยู่อีก 3 หมายจับ

ตำรวจสอบสวนกลางขอเตือนประชาชนว่า การยินยอมเปิดบัญชีธนาคารให้ผู้อื่นนำไปใช้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะที่ผู้จัดหา โฆษณา หรือเอื้อให้มีการซื้อขายบัญชี มีโทษหนักขึ้น จำคุก 2–5 ปี หรือปรับ 200,000–500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะในการสร้างความตระหนักรู้ภัยออนไลน์ โดยผู้ต้องหายังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด

DataX คว้า 2 รางวัลจากเวที World Business Outlook Awards 2025

บริษัท เอสซีบี เดต้า เอกซ์ จำกัด (DataX) ผู้ให้บริการโซลูชันด้านการวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ ภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญด้วยการคว้า 2 รางวัลจากเวทีระดับโลก World Business Outlook Awards 2025 ได้แก่ “Most Admired AI-led Company ASEAN 2025” และ “Best Cutting-Edge Digital Platform Thailand 2025” ซึ่งจัดโดย World Business Outlook นิตยสารด้านการเงิน ธุรกิจ และเทคโนโลยีชั้นนำระดับสากล ซึ่งมุ่งยกย่ององค์กรที่มีความโดดเด่นในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันทันสมัยมาขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจ

นายสุทธิพงศ์ กนกากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เดต้า เอกซ์ จำกัด (DataX) กล่าวว่า “รางวัลในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ DataX ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความท้าทายของโลกธุรกิจยุคใหม่ เราพร้อมเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมศักยภาพให้ทุกองค์กรสามารถสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนต่อไป”

รางวัลทั้งสองตอกย้ำบทบาทสำคัญของ DataX ในการพลิกโฉมข้อมูลให้เกิดเป็นคุณค่าทางธุรกิจ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอันล้ำสมัยผ่านโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และดิจิทัลที่ครบวงจร

  • รางวัล “Most Admired AI-led Company ASEAN 2025” ตอกย้ำความเป็นผู้นำของ DataX ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อแก้ปัญหาทางธุรกิจที่มีความซับซ้อน พร้อมยกระดับและวางมาตรฐานใหม่ให้กับการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในภูมิภาคอาเซียน
  • รางวัล “Best Cutting-Edge Digital Platform Thailand 2025” สะท้อนถึงศักยภาพของสถาปัตยกรรมเชิงนวัตกรรมแพลตฟอร์มของ DataX ที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย และสามารถรองรับการให้บริการดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

จากความสำเร็จในครั้งนี้ DataX ได้ตอกย้ำจุดยืนในฐานะผู้นำด้านการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล (Digital Transformation) ของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง

EXIM BANK ช่วยลูกค้าฝ่าวิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่หาดใหญ่และภาคใต้

นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนเกิดน้ำท่วมฉับพลัน สร้างความเสียหายในวงกว้างในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นที่ตั้งสาขาของ EXIM BANK ดูแลลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด EXIM BANK จึงออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาภาระทันที ทั้งในส่วนของวงเงินกู้ระยะสั้น วงเงินกู้ระยะยาว รวมถึงสินเชื่อปรับโครงสร้างหนี้ ที่ครบกำหนดชำระในช่วงเดือนธันวาคม 2568 ด้วยการยืดหนี้อัตโนมัติเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อบรรเทาผลกระทบอย่างเร่งด่วนให้แก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประกาศ ซึ่งอาจประสบปัญหาความยากลำบาก ไม่สามารถติดต่อกลับมายังธนาคารได้

นอกจากนี้ ลูกค้า EXIM BANK สามารถแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือกรณีได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในภาคใต้ได้ดังนี้

มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะสั้น

  • ขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงิน สูงสุด 180 วัน
  • เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว สูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม ทั้งนี้ ไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม
  • เปลี่ยนแปลงภาระหนี้ระยะสั้น เป็นภาระหนี้ระยะยาว ผ่อนชำระสูงสุด 3 ปี
    มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะยาว
  • ขยายระยะเวลาเงินกู้ สูงสุด 7 ปี
  • ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ปีแรกลง 0.50% หรือจ่ายดอกเบี้ยเพียง 50% ในช่วง 6 เดือนแรก
  • พักชำระหนี้เงินต้น สูงสุด 1 ปี    

“EXIM BANK ขอส่งความห่วงใยต่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่หาดใหญ่และภาคใต้ ขอให้ทุกท่านปลอดภัยและผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้ามีสภาพคล่องหมุนเวียนหรือฟื้นฟูกิจการ สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง EXIM BANK พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเยียวยา ติดต่อ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 หรือ EXIM Bank of Thailand Facebook”

BAM ออกมาตรการพักชำระหนี้ 3 เดือน ช่วยเหลือลูกค้าประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้

BAM ห่วงใยลูกค้า พนักงาน และชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมในเขตอำเภอหาดใหญ่ และพื้นที่ภาคใต้ พร้อมเร่งตรวจสอบปัญหาต่าง ๆ ของลูกค้าและพนักงาน และเตรียมพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วยมาตรการพักชำระหนี้ 3 เดือน ขึ้นอยู่กับผลกระทบมากน้อย โดยพิจารณาเป็นรายๆ ไป เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนทันที

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยถึงการให้ความช่วยเหลือลูกค้าและพนักงานที่ประสบภัยน้ำท่วมในเขตอำเภอหาดใหญ่ และพื้นที่ภาคใต้ ว่า ขณะนี้ได้มีการประสานงานไปยังสำนักงานภูมิภาค ให้เร่งลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาของลูกค้าและพนักงานที่ได้รับผลกระทบทั้งในเรื่องที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน ความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตในช่วงเวลาดังกล่าว สำหรับลูกค้านั้นให้สำรวจทั้งลูกค้าที่ปรับโครงสร้างหนี้ และลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ BAM แบบผ่อนชำระว่าได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบมากน้อยแค่ไหน และให้เร่งนำเสนอปัญหาของลูกค้าเหล่านี้มายังสำนักงานใหญ่ เพื่อประเมินให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป ในกรณีของพนักงานในท้องถิ่นที่ได้รับความเดือดร้อน ให้เร่งเสนอมายังสำนักงานใหญ่ เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือทั้งในเรื่องที่อยู่อาศัย สิ่งของจำเป็นในการยังชีพ หรือแม้แต่สวัสดิการในการซ่อมแซมบ้านเรือนต่อไป ส่วนกรณีลูกค้าที่ประสบปัญหาได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็จะพิจารณาช่วยเหลือด้วยมาตรการพักชำระหนี้ 3 เดือน ขึ้นอยู่กับผลกระทบมากน้อย โดยพิจารณาเป็นรายๆ ไป เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน

“BAM มีความห่วงใยทั้งลูกค้าและพนักงานของเรา รวมไปถึงชุมชนในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่และภาคใต้ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทางสำนักงานภูมิภาคซึ่งไม่ได้รับผลกระทบเร่งลงไปให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นก่อน ส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมก็สามารถส่งเรื่องเพื่อขออนุมัติให้ความช่วยเหลือในด้านการ ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของลูกค้าต่อไป” ดร.รักษ์ กล่าว

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือได้ที่ Call Center 02-630-0700 สำนักงานใหญ่ หรือทางเว็บไซต์ www.bam.co.th, FB และ Line : Bam Thailand

ธนชาตประกันภัย เร่งช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัยภาคใต้

จัดบริการรถยก จุดจอดรถหนีน้ำท่วม พร้อมบริการให้ความช่วยเหลือโทร.1519

ธนชาตประกันภัย เดินหน้าเร่งช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ตอนล่าง 10 จังหวัด หลังเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายจังหวัดมีระดับน้ำท่วมสูงและขยายวงกว้าง บริษัทฯ ได้จัดมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือ ทั้งบริการรถยกเคลื่อนย้ายรถลูกค้าออกจากพื้นที่เสี่ยง และร่วมกับอู่ซ่อมรถยนต์ในเครือ เปิดจุดจอดรถหนีน้ำท่วม พร้อมให้คำปรึกษาและรับแจ้งเหตุตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน Contact Center โทร. 1519

จากสถานการณ์ฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ของภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดอุทกภัยรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สตูล สงขลา พัทลุง ตรัง นราธิวาส ปัตตานี และ ยะลา รวม 89 อำเภอ 515 ตำบล 3,620 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 1.4 ล้านครัวเรือน โดยภาพรวมสถานการณ์ล่าสุด ยังอยู่ในระดับวิกฤต ระดับน้ำยังคงสูงขึ้นและล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน โดยเฉพาะจังหวัดสงขลามีน้ำท่วมทั้ง 16 อำเภอ พื้นที่เศรษฐกิจอำเภอหาดใหญ่มีปริมาณฝนตกหนักในรอบ 300 ปี

ธนชาตประกันภัย ห่วงใยในสถานการณ์ดังกล่าว โดยมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมได้อย่างทันท่วงที ทั้งการแจ้งเตือนภัยไปยังลูกค้าทั้ง 10 จังหวัด จัดบริการจุดจอดรถที่ปลอดภัยจากน้ำท่วมไว้ให้กับลูกค้า และบริการรถยกฟรีสำหรับลูกค้าที่ทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจทุกประเภท เพื่อนำรถยนต์ของลูกค้าออกจากพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งสามารถติดต่อได้ที่ Contact Center โทร. 1519 และเปิดพื้นที่ร่วมกับอู่ซ่อมรถยนต์ในเครือ โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบจุดบริการของแต่ละจังหวัด ได้ที่ เฟซบุ๊ก “ธนชาตประกันภัย “Thanachartinsurance – TNI”

สำหรับการให้บริการของสาขาธนชาตประกันภัยในพื้นที่ภาคใต้ ธนชาตประกันภัย สาขาหาดใหญ่ ขอแจ้งปิดให้บริการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 24–28 พฤศจิกายน 2568 เนื่องจากระดับน้ำท่วมสูงบริเวณเส้นทางหลักรอบสำนักงาน ขณะที่สาขาอื่น ๆ ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ และพร้อมดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยลูกค้าสามารถแจ้งเหตุหรือขอคำปรึกษาได้ผ่านธนชาตประกันภัย Contact Center โทร. 1519 และติดตามสถานการณ์การแจ้งเตือนภัย ทางเฟซบุ๊ก “thanachartinsurance – TNI” และ Line Official Account “ธนชาตประกันภัย”

ธนชาตประกันภัย พร้อมอยู่เคียงข้างในทุกสถานการณ์ และขอส่งกำลังใจให้ทุกคนและทุกครอบครัว รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ภาคใต้ ให้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลานี้และให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว.

เศรษฐกิจและการเงิน ประจำสัปดาห์ โดย : วิจัยกรุงศรี

การจ้างงานในสหรัฐฯ ยังอ่อนแอ ขณะที่ความขัดแย้งกับจีนเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น ส่วนจีนถูกฉุดรั้งจากตลาดแรงงานที่อ่อนแอและวิกฤตภาคอสังหาฯ

•สหรัฐ
ความคาดเคลื่อนจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานสร้างความไม่แน่นอนต่อทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 119,000 ตำแหน่ง ในเดือนกันยายน แต่ตัวเลขเดือนสิงหาคมแย่ลงจากรายงานเดิมซึ่งเพิ่มขึ้น 22,000 ตำแหน่ง ปรับเป็นลดลง 4,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤศจิกายนร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน อยู่ที่ 51 ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเติบโตในอัตราต่ำสุดในรอบ 4 เดือน แม้ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นขยายตัวมากสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์

ตลาดแรงงานและภาคการผลิตที่มีสัญญาณอ่อนแอลง รวมถึงความเชื่อมั่นที่อยู่ในระดับต่ำ สะท้อนภาพการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอลง ขณะเดียวกันการประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารกว่า 2,000 รายการ และราคาพลังงานที่อยู่ในระดับต่ำ คาดว่าจะช่วยลดทอนแรงกดดันต่อเงินเฟ้ออันเป็นผลมาจากนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม การยกเลิกรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนตุลาคมและการเลื่อนออกตัวเลขเดือนพฤศจิกายนอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดขาดข้อมูลที่เพียงพอในการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 9-10 ธันวาคมนี้

•ญี่ปุ่น
แม้มีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ความขัดแย้งกับจีนเพิ่มความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น GDP ของญี่ปุ่นในไตรมาส 3 หดตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ที่ -1.8% YoY และ -0.4% QoQ โดยการส่งออกลดลง -1.2% QoQ ขณะที่ PMI ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ 48.8 ในเดือนพฤศจิกายน ส่วน PMI ภาคบริการขยายตัวต่อเนื่องที่ 53.1 นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มูลค่ารวม 21.3 ล้านล้านเยน เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และบรรเทาผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ
เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงอ่อนแอเนื่องจากการบริโภคถูกกดดันจากค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง และการส่งออกที่ถูกกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ขณะที่ความขัดแย้งกับจีนเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของญี่ปุ่น ภายหลังจีนประกาศให้ประชาชนงดเดินทางไปญี่ปุ่น รวมถึงหยุดซื้ออาหารทะเลและหยุดการอนุมัติฉายภาพยนต์เรื่องใหม่จากญี่ปุ่น ซึ่งอาจส่งผลลบต่อภาคท่องเที่ยวและการส่งออก อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นที่มีมูลค่ามากสุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 อาจช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าวได้บางส่วน ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่า BOJ มีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 0.75% ภายในไตรมาสแรกปีหน้า เพื่อตอบสนองต่อเงินเยนที่อ่อนค่าแรงและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง

•จีน
ความอ่อนแอในตลาดแรงงานและภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน อัตราการว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาว (16-24 ปีไม่รวมนักเรียน) ในเดือนตุลาคมยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 17.3% ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาฯ 100 อันดับแรกหดตัวแรงที่สุดในรอบหนึ่งปีที่ -41.9% YoY ส่วนราคาบ้านใหม่และบ้านมือสองเฉลี่ยใน 70 เมืองหดตัวต่อเนื่องนานเกือบ 4 ปีในเดือนตุลาคมที่ -2.6% และ -5.4% ตามลำดับ ล่าสุด รัฐบาลกำลังพิจารณาออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเร่งแก้ไขวิกฤตในภาคอสังหาฯ เช่น เงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อบ้านใหม่ การเพิ่มเงินคืนภาษีสำหรับผู้กู้ซื้อบ้าน และการลดต้นทุนในการทำธุรกรรมการซื้อบ้าน

การส่งออกที่อ่อนแรงลงอาจทำให้จีนต้องหันมาพึ่งพาการบริโภคในประเทศมากขึ้น หากการเติบโตของยอดค้าปลีกสูงขึ้นจาก 3.5% YoY ในปี 2567 เป็น 5.5% ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจะชดเชยการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ถึง 26% อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นการบริโภคยังเผชิญอุปสรรคและข้อจำกัด อาทิ
(i) การว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่สูง
(ii) ความเชื่อมั่นต่อการจ้างงานในระยะข้างหน้าที่ต่ำกว่าก่อนโควิดถึง 45% และ
(iii) ความมั่งคั่งที่สูญเสียไปจากวิกฤตในภาคอสังหาฯ ปัจจุบัน ภาคอสังหาฯ ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวแต่อย่างใดแม้จีนเร่งออกมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุปสงค์บ้านใหม่มีแนวโน้มชะลอลงในระยะยาวตามโครงสร้างประชากรที่หดตัวลง

•เศรษฐกิจไทย
กรอบแผนการคลังระยะปานกลางชี้ไทยเร่งลดความเสี่ยงทางการคลัง ท่ามกลางแรงกดดันด้านอันดับเครดิต

รัฐบาลเร่งคุมเข้มวินัยการคลัง ตั้งเป้าขาดดุลการคลังต่ำกว่า 3% ของ GDP ภายในปี 2572 การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบแผนการคลังระยะปานกลางปี 2570–2573 โดยตั้งเป้าลดการขาดดุลงบประมาณเหลือไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปี 2572 ลดลงจากขาดดุล 4.4% ในปี 2569 พร้อมยืนยันคงเพดานหนี้สาธารณะไว้ไม่เกิน 70% ของ GDP นอกจากนี้ ได้มีการปรับหลักเกณฑ์การกำหนดกรอบการคลังให้เข้มงวดชัดเจนขึ้น เช่น (i) การตั้งงบกลางไม่เกิน 3% ของงบประมาณรายจ่าย (ii) การตั้งงบใช้คืนหนี้ไม่ต่ำกว่า 4% ของงบประมาณรายจ่าย และ (iii) การตั้งงบประมาณผูกพันสูงสุดไม่เกิน 5% ของงบประมาณรายจ่าย เป็นต้น ขณะเดียวกันรัฐบาลเริ่มเร่งรัดพิจารณากระบวนการจัดทำร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 วางกรอบวงเงิน 3.788 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากปีงบฯก่อน และเป็นงบขาดดุล 3.9% ของ GDP

การกำหนดกรอบวินัยการคลังที่เข้มงวดขึ้นสะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการปรับสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่สถาบันจัดอันดับเครดิตสำคัญ 2 แห่งได้ปรับแนวโน้มเครดิต (Outlook) ของไทยลงสู่เชิงลบ (Negative) (เดือนเมษายนและกันยายนที่ผ่านมา) การกำหนดเป้าหมายลดขาดดุลทางการคลังให้ต่ำกว่า 3% ภายในปี 2572 เร็วขึ้นจากการแผนครั้งก่อน รวมถึงการจำกัดงบกลาง งบใช้คืนหนี้ และงบผูกพัน จะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของกระบวนการจัดทำงบประมาณ ตลอดจนแสดงความมุ่งมั่นที่จำกัดการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะไม่ให้สูงเกินเพดาน 70% ของ GDP ซึ่งเป็นจุดที่ตลาดการเงินให้ความสำคัญ นอกจากนี้ การเดินหน้าปรับโครงสร้างรายได้รัฐ ควบคู่กับการควบคุมรายจ่ายที่ไม่จำเป็น จะช่วยเสริมความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติและลดต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐในระยะกลาง หากสามารถดำเนินนโยบายตามกรอบที่กำหนดได้จริง จะเป็นปัจจัยบวกต่อเสถียรภาพการคลังและอันดับเครดิตของประเทศในอนาคต ล่าสุด กลางเดือนพฤศจิกายน S&P ประกาศยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ BBB+ และคงแนวโน้มที่ มีเสถียรภาพ (Stable)