โฆษกทบ. ยันไม่หยุดยิง หลังกัมพูชาโจมตีทั้งเป้าหมายทหาร-พลเรือนไทยอย่างต่อเนื่อง ชี้ต้องทำให้เขมรหยุดความเป็นปรปักษ์ก่อน

กองทัพบก, 14 ธันวาคม – จากกรณีที่ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียโพสต์ข้อความระบุว่าไทยและกัมพูชาจะเริ่มกระบวนการหยุดยิงในวันที่ 13 ธ.ค.68 เวลา 22.00 น. นั้น พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่าในส่วนของกองทัพบกไม่เคยกล่าวถึง หรือมีแนวการปฏิบัติในเรื่องนี้ เนื่องจากปัจจุบันกัมพูชายังคงใช้อาวุธหนัก จรวด BM-21, เครื่องยิงลูกระเบิด และโดรนพลีชีพ โจมตีต่อกำลังทหารไทยในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวไทยอย่างร้ายแรง

โดย พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ติดตามสถานการณ์และมอบแนวทางการปฏิบัติเฉพาะส่วนอย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันยืนยันว่ายังไม่ได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติการของหน่วยในพื้นที่การรบแต่อย่างใด โดยยังคงสั่งการให้หน่วยทหารที่รับผิดชอบตลอดแนวชายแดน เดินหน้าปฏิบัติการตามแผนที่กำหนด พร้อมบูรณาการร่วมกับเหล่าทัพ และหน่วยงานอื่นๆ ในการปฏิบัติอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันผู้บัญชาการทหารบกได้กำชับให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 เน้นย้ำกำลังพลเรื่องการปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย ดำเนินกลยุทธ์ด้วยความรอบคอบ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายหลักคือ การผลักดันและมุ่งทำลายขีดความสามารถทางการทหารของกัมพูชา ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงองค์ประกอบสนับสนุนอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อฝ่ายไทยทั้งทางตรง และทางอ้อม

พลตรีวินธัยกล่าวยืนยันว่า กองทัพบกไทยโจมตีต่อเป้าหมายทางทหารที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเพียงเท่านั้น และการสถาปนาพื้นที่ เข้าควบคุมบริเวณที่เคยมีการรุกล้ำเขตอธิปไตยไทย และเสริมความมั่นคงให้มีความสมบูรณ์ เอื้อต่อการปฏิบัติการทางทหารต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงกองทัพบก กำกับดูแลใส่ใจกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บและสูญเสียจากสถานการณ์การสู้รบ รวมถึงครอบครัวกำลังพลอย่างครอบคลุม ทั้งด้านการรักษาพยาบาล สิทธิและสวัสดิการ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกครอบครัวในการเข้าเยี่ยมเยียนหรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเต็มที่และดีที่สุด ซึ่งในพิธีศพของกำลังพล ผู้บัญชาการทหารบกได้มอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบก ลงพื้นที่ร่วมประกอบพิธีสดุดีวีรชนอย่างสมเกียรติ พร้อมปลอบขวัญและเสริมสร้างกำลังใจให้กับครอบครัว ขอบคุณแนวหลังของทหารกล้าผู้เสียสละในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้อย่างเต็มภาคภูมิ

กองทัพบกขอยืนยันในปฏิบัติการครั้งนี้ว่ายังคงดำเนินการต่อเนื่องจนกว่ากัมพูชาหยุดความเป็นปรปักษ์ โจมตีต่อกำลังทหารไทยและประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากำลังพลและยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก พร้อมตรึงกำลังการปฏิบัติ และตอบโต้ตามกฎการใช้กำลังตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดและเป็นไปตามหลักกติกาสากล เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช และดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนชาวไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ

“พีระพันธุ์”’ จี้รัฐบาลให้เด็ดขาด ห้ามส่งออก ยุทธปัจจัย ไปเขมรทุกช่องทาง พร้อมสั่งลงโทษผู้ลักลอบสถานหนัก

กรุงเทพฯ วันที่ 14 ธ.ค. – นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กของ ‘เดชา นฤนารท’ เกี่ยวกับกรณีที่สังคมกำลังจับตาและมีข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการลักลอบส่งน้ำมันจากประเทศไทยไปยังประเทศกัมพูชา โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลปัจจุบันต้องเข้ามารับผิดชอบในการวางระบบตรวจสอบและสั่งห้ามการส่งออกทรัพยากรที่เป็นยุทธปัจจัยของประเทศ พร้อมระบุว่าเมื่อครั้งที่เป็น รมว.พลังงาน ก่อนการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ได้มีการดำเนินการอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการรั่วไหลของทรัพยากรประเทศ 

“ในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเปลี่ยนรัฐบาล ผมเสนอคณะรัฐมนตรี ให้ยุติการส่งน้ำมันและไฟฟ้าไปเขมรแล้ว แม้จะมีการเสนอเรื่องต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่สถานะของมติดังกล่าวในปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน นายพีระพันธุ์กล่าวเพิ่มเติมว่า “ ปัจจุบันผมยังไม่เห็นมติเรื่องนี้ว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหรือไม่ เท่าที่ผมตรวจสอบในขณะนี้ยังไม่พบการส่งตรงไปทางเขมร แต่มีคนตั้งข้อสังเกตว่ามีการส่งอ้อมผ่านไปทางสิงคโปร์ ผมกำลังหาช่องทางตรวจสอบทางศุลกากรและช่องทางอื่นครับ” อดีต รมว.พลังงานกล่าว

นายพีระพันธุ์ ได้เรียกร้องไปยังรัฐบาลปัจจุบันให้รับผิดชอบและแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้มาตรการทางกฎหมายที่เด็ดขาด “ความจริงสถานการณ์อย่างนี้ รัฐบาลควรต้องเป็นผู้วางระบบตรวจสอบและสั่งห้ามการส่งน้ำมัน ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และทุกอย่างที่เป็นยุทธปัจจัยไปเขมรทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยต้องหาช่องทางทางกฎหมายลงโทษอย่างหนักด้วยครับ”

“สิริพงศ์” เผย  เงินเยียวยาน้ำท่วมภาคใต้ โอนแล้วกว่า 1,071,755 ครัวเรือน แนะใครยังผูก “บช.พร้อมเพย์”ไม่ได้ให้ติดต่อธนาคารใกล้บ้านทันที

ทำเนียบรัฐบาล, วันที่ 14 ธ.ค. – นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าการจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 แบบเหมาจ่ายในอัตราครัวเรือนละ 9,000 บาท ใน 4 รูปแบบ ดังนี้ 1) ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย 2) ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังเกิน 7 วันขึ้นไป 3)ที่อยู่อาศัยประจำที่ถูกน้ำล้อมรอบจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติติดต่อกันเกิน 7 วันขึ้นไป และ 4) ที่อยู่อาศัยประจำในอาคารสูงที่น้ำท่วมไม่ถึงชั้นที่ผู้ประสบภัยพักอาศัย แต่ส่งผลกระทบให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกิน 7 วันขึ้นไป

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ข้อมูลถึงวันที่ 13 ธ.ค. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)  และธนาคารออมสินได้โอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้ว 11 ครั้ง (1,2,3,4,5,6,7,8,9,10 และ 12 ธ.ค.68) ใน 9 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย สงขลา ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สตูล และสุราษฎร์ธานี จำนวน 1,071,755 ครัวเรือน รวม 9,645,795,000 บาท โดยที่ จ.สงขลา 334,671 ครัวเรือน (เฉพาะ อ.หาดใหญ่ 160,694 ครัวเรือน) จ.ตรัง 8,540 ครัวเรือน จ.นครศรีธรรมราช 215,055 ครัวเรือน จ.นราธิวาส 74,642 ครัวเรือน จ.ปัตตานี 86,275 ครัวเรือน จ.พัทลุง 92,375 ครัวเรือน จ. ยะลา 65,918 ครัวเรือน จ.สตูล 25,625 ครัวเรือน และ จ.สุราษฎร์ธานี 7,960 ครัวเรือน โอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 17,019 ครัวเรือน เนื่องจากบัญชีไม่ปกติและอยู่ระหว่างรอการปรับปรุงข้อมูล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุด

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชน ติดต่อธนาคารใดก็ได้เพื่อผูกบัญชีโดยเร็ว เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด ปลดประชาชนสามารถตรวจสอบสถานะรับเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยช่วงฤดูฝน ปี 2568 ผ่านช่องทาง https://flood68.disaster.go.th/Dashboard/BoardHelpRegister โดยระบุหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนในการตรวจสอบ

โฆษกรัฐบาลยัน ปัญหาชายแดนไม่กระทบเจรจาภาษี หลังอนุทินยกหูคุยทรัมป์ ได้สัญญาณชัด USTR เดินหน้าเจรจาต่อระดับเทคนิค

กรุงเทพฯ, วันที่ 14 ธันวาคม – นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการหารือทางโทรศัพท์ระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลไทยได้รับสัญญาณที่ชัดเจนจาก สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ถึงความพร้อมในการ เดินหน้าเจรจาการค้ากับประเทศไทยต่อไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ข้อเสนอของประเทศไทยมิได้ล้มเหลว และยังได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังจากฝ่ายสหรัฐฯ แม้สถานการณ์การหยุดยิงบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาจะยังไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลไทยจำเป็นต้องดำเนินนโยบายและตัดสินใจทุกประเด็นโดยยึด ผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคง และความปลอดภัยของประเทศเป็นหลัก

โฆษกรัฐบาลย้ำว่า จุดยืนของประเทศไทยยังคงชัดเจนและสม่ำเสมอ โดย การหยุดยิงจะสามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาดำเนินการตามข้อเรียกร้องและเงื่อนไขที่ประเทศไทยเสนอไว้เท่านั้น เพื่อให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนบนพื้นฐานของความรับผิดชอบและการเคารพพันธกรณีระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ โฆษกรัฐบาลเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้รับจาก นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รมว.พณ.) ว่า พณ.ได้หารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย โดยได้เน้นย้ำถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศจากการเร่งเดินหน้าเจรจาการค้า พร้อมเสนอให้ฝ่ายสหรัฐฯ พิจารณาแยกประเด็นด้านความมั่นคงออกจากประเด็นทางการค้า เพื่อไม่ให้การเจรจาล่าช้าและกระทบต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย

นายสิริพงศ์กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังได้รายงานผลการหารือกับ สภาธุรกิจอาเซียน–สหรัฐฯ (USABC) และคณะนักธุรกิจสหรัฐฯ ที่ลงทุนในประเทศไทยกว่า 40 ราย ซึ่งเห็นพ้องตรงกันว่า ควรเร่งสรุปผลการเจรจาการค้าโดยเร็ว เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และประโยชน์ของผู้บริโภคทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่สหรัฐฯ ไม่สามารถผลิตได้เอง เช่น ข้าวหอมมะลิไทยและสินค้าเกษตรอื่น ๆ

 “จากข้อมูลที่ได้รับจากกระทรวงพาณิชย์ เช้าวันนี้ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แจ้งอย่างไม่เป็นทางการว่า จะประสานให้ USTR เดินหน้าการหารือในระดับเทคนิคกับฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อการขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ” โฆษกรัฐบาลกล่าว

“สนธิญา” ยื่นหนังสือ“ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ จี้ “ทรัมป์” ขอโทษคนไทย ทหารไทย ซัด เลิกแทรกแซงกิจการไทย-กัมพูชา

วันนี้ (14 ธ.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา นายสนธิญา ได้นำซองเอกสารมาแขวนไว้ที่รั่วเหล็กล้อเลื่อน ฝากถึง นาย โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย กรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความผ่าน “Truth Social” กล่าวหาว่า ทหารไทยเหยียบกับระเบิดจำนวน 7 ครั้ง เป็นเรื่องของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บมากมายและขาขาดพิการ 7 คน อันเป็นข้อมูลเท็จที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทหารไทยและเกียรติภูมิของประเทศไทย

นายสนธิญา กล่าวว่า กรณีที่ตนมายื่นหนังสือร้องเรียนในวันนี้ เนื่องด้วยนายโดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้มีการโพสต์ลงในระบบสื่อสารออนไลน์ ”Truth Social” แล้วบอกว่าทหารไทยที่ถูกระเบิดทั้งหมด 7 ครั้งนั้น มีการขาขาดบาดเจ็บและเสียชีวิตว่ามาจากอุบัติเหตุของทางการไทยของทหารไทย แต่ตนในฐานะประชาชนคนไทย ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 50 ว่าด้วยการปกป้องรักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเกียรติภูมิของประเทศ ดังนั้น การที่ประธานาธิบดีระดับโลกของสหรัฐอเมริกาออกมาพูดเช่นนี้ เป็นการโยนอุจจาระให้กับประเทศไทยโดยไม่ได้พิจารณาอย่างชัดเจน ตนอยากถามว่าในกรณีทหารไทยที่โดนระเบิดทั้ง 7 ครั้งนั้น ต่างกรรมต่างวาระต่างวัน มันเป็นไปได้หรือไม่ที่เหตุจะเกิดขึ้นถึง 7 ครั้ง อีกทั้งในการเดินลาดตระเวนของพี่น้องทหารประเทศไทย ก็เดินในพื้นที่ที่เดินประจำอยู่แล้ว และมีหลักฐานเอกสารยืนยันชัดเจนว่ากัมพูชามาดึงลวดหนามและวางระเบิด หรือแม้กระทั่งการประชุมนานาชาติอนุสัญญาออตตาวา เกี่ยวกับการวางทุ่นระเบิด ประเทศทั่วโลกก็ต่างยอมรับว่าประเทศไทยถูกวางทุ่นระเบิดจากทหารของกัมพูชาที่คิดไม่ซื่อ ที่เป็นหมาลอบกัด แล้วการที่ประธานาธิบดีหรัฐอเมริกาที่เป็นที่หนึ่งของโลก ได้มายืนยันบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ ค่อนข้างเป็นการกระทำที่ตนมองว่าไม่รับผิดชอบต่อประเทศไทย ทำให้เสื่อมเสียต่อเกียรติยศและเกียรติภูมิของประเทศชาติ ตนจะขอเรียกร้องว่าในฐานะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ตนขอเรียกร้องให้นายโดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขอโทษประเทศไทย และขอโทษคนไทย และทหารไทย

นายสนธิญา กล่าวอีกว่า ตนขอเรียกร้องให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวในกิจการภายในของประเทศไทยและกัมพูชา ขอให้เป็นเรื่องของทวิภาคีในการเจรจาและแก้ไขปัญหากัน ไม่ต้องหวังผลว่าจะได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ อีกทั้งตนเรียกร้องไปยังนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ก็ไม่สมควรที่จะเข้ามายุ่งกับกิจการภายในของประเทศไทย เพราะแม้ว่าปัจจุบันจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซียก็จริง แต่ท่านก็ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นประธานอาเซียนแล้ว และถ้าหาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ต้องการจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จริง ๆ ก็ขอให้ไปแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้และอำเภอในจังหวัดสงขลาก่อน

ทั้งนี้ ตนอยากเรียกร้องให้นายทรัมป์ และประเทศต่าง ๆ โปรดสังเกตว่ากรณีที่กัมพูชาไม่ให้คนไทย 7,000 คนที่ปอยเปตกลับประเทศ เป็นเพราะอะไร ต้องการจะเอาคนไทยเป็นหลักประกันไม่ให้ทหารไทยปฏิบัติตรงนั้นหรือไม่ อย่างไร นายสนธิญา กล่าวด้วยว่า ด้วยเหตุผลดังกล่าวตนจึงเรียกร้องถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย เพราะตนมั่นใจว่าสถานทูตอเมริกาก็จะไม่ออกมารับหนังสือ แต่ตนจำเป็นที่จะต้องทำ เพื่อบอกให้รู้ว่าสิ่งที่นายทรัมป์พูดนั้น คนไทยทั้งประเทศรับไม่ได้ และสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง มีแต่จะทำให้ประเทศไทยได้รับความเสียหาย จึงขอให้ทรัมป์ขอโทษและอย่ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในประเทศไทยอีก และตนจะแขวนเอกสารไว้ตรงนี้เพื่อขอรับทราบว่าเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย จะดำเนินการต่อไปในอนาคตอย่างไร อยากรู้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่นายทรัมป์พูดออกไปและทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ ประชาชนคนไทยและทหารไทย ตนมาวันนี้เพื่อปกปักรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิของชาติและผลประโยชน์ของประเทศไทย

เมื่อถามว่าการที่ทหารไทยโดนกับระเบิดของกัมพูชา มองว่าเป็นการลอบสังหารหรือไม่นั้น นายสนธิญา ระบุว่า ตนมองว่ามันชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการประชุมออตตาวา หรือพฤติกรรมการตัดลวดหนามแล้วเข้ามาวางกับระเบิด ล้วนเป็นพฤติกรรมลอบกัดของทหารกัมพูชาที่พยายามจะสร้างสถานการณ์เป็นลำดับ และตนเห็นด้วยกับรัฐบาลและทหารไทยที่อดทนมาเป็นลำดับจนมาถึงวันนี้ มันหยุดไม่ได้ มันจำเป็นที่จะต้องทำให้กัมพูชาหมดสภาพในการที่จะรุกรานอธิปไตยไทยหรือเข้ามายึดครองในประเทศไทย อย่างไรก็ดี ตนไม่ได้มองว่าเขาเจตนาที่จะสังหารทหารไทย แต่ว่ามันเป็นการลอบกัด เพราะจริง ๆ แล้วพื้นที่ลาดตระเวนตรงนั้น มันเป็นเส้นทางที่ทหารไทยลาดตระเวนเป็นประจำอยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริกาถูกสังหารจากการซุ่มโจมตีของนักรบกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) จะบอกว่าเป็นอุบัติเหตุหรือไม่นั้น นายสนธิญา กล่าวว่า เพราะว่าสหรัฐอเมริกา มักไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการประเทศทั่วโลก และก็จะมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น แบบนี้ตนอยากถามว่ามันเป็นอุบัติเหตุหรือไม่ ดังนั้น การที่ท่านบอกว่าในส่วนประเทศไทยเป็นอุบัติเหตุ ตนมีความเห็นว่าท่านจะรับผิดชอบต่อประเทศไทยและคำพูดอย่างไร

ทั้งนี้ นายสนธิญา ปิดท้ายว่า ตนอยากฝากถึงนายทรัมป์ โดยเฉพาะเรื่องคนไทย 7,000 คนที่โดนกักตัวว่าท่านจะทำอย่างไรกับกัมพูชา เพื่อให้ปล่อยคนไทย 7,000 คน หรือจะไว้ให้เป็นโล่มนุษย์เพื่อไม่ให้ถูกโจมตีหรือไม่ ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็รู้ว่าตรงนั้นมันเป็นสแกมเมอร์ เป็นบ่อน เป็นสถานที่ฟอกเงินขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งเงินของตระกูลฮุนทั้งหมด สหรัฐอเมริกาจะทำอย่างไรกับคนไทย 7,000 คน เพราะทางนายฮุนเซ็น ก็ประกาศแล้วว่าจะไม่มีการให้เดินทางออกนอกประเทศ ไม่ว่าจะการเดินทางเข้าของคนกัมพูชาหรือการออกของคนไทย มันก็เหมือนประมาณว่าให้คนไทย 7,000 คน เป็นโล่มนุษย์หรือไม่ ตนขอถามหาความรับผิดชอบในเรื่องนี้จากสหรัฐอเมริกาด้วย

ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ไม่มีนโยบาย ออกมารับหนังสือ ยกเว้นเชิญบุคคล ที่ใกล้ชิดอเมริกา เข้าไปในสถานทูต อันเป็นการกระทำที่ไม่มีมารยาท และแทรกแซง กิจการภายในของประเทศไทย

“โอฬาร” ชี้ ต้นเหตุขัดแย้งไทย-กัมพูชา คือ “ระบอบฮุนเซน” แนะ “ทรัมป์” หากต้องการสันติภาพให้แก้ที่ต้นตอ ชม “อนุทิน” ตอบโต้ได้ดี สะท้อนศักดิ์ศรีชาติ

บางแสน, วันที่ 14 ธ.ค. – รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้ความเห็นต่อ ปัญหาความขัดแย้งไทยกัมพูชาและการเข้ามามีส่วนร่วมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐว่า ประเด็นที่ประชาคมโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ควรให้ความสำคัญอย่างแท้จริง ในเรื่องความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา คือ เรื่องการมีอยู่ของ ระบอบฮุนเซนซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาด้านความมั่นคงและอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาค

รศ.ดร.โอฬาร ระบุว่า ประเทศไทยไม่ได้มีปัญหากับประเทศกัมพูชา หรือประชาชนกัมพูชา แต่มีปัญหากับระบอบการเมืองที่อาศัยระบบอุปถัมภ์ทุนผิดกฎหมาย เครือข่ายสแกมเมอร์ และการฟอกเงิน เพื่อสร้างและค้ำจุนอำนาจทางการเมือง กองทัพ และกองกำลังติดอาวุธรับจ้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของภูมิภาคและความมั่นคงของหลายประเทศทั่วโลก ในมุมมองทางรัฐศาสตร์ หากทรัมป์ต้องการมีบทบาทในการสร้างสันติภาพอย่างแท้จริง การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องมุ่งไปที่โครงสร้างอำนาจของระบอบดังกล่าว ไม่ใช่การกดดันหรือชี้นำประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังปกป้องอธิปไตยของตนเอง เพราะกัมพูชาไม่ใช่ศัตรูของไทย แต่ระบอบฮุนเซนคือภัยคุกคามผ่านอาชญากรรมสแกมเมอร์และการฟอกเงินในระดับนานาชาติ

รศ.ดร.โอฬาร กล่าวถึง การสื่อสารตอบโต้ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีต่อประธานาธิบดีสหรัฐ ว่า นายกไทยได้สร้างความสนใจและความประหลาดใจแก่ผู้นำในหลายประเทศ รวมถึงประชาชนไทยในวงกว้าง เนื่องจากไม่ได้เป็นเพียงการแสดงท่าทีทางการทูตตามกรอบแบบแผนเดิม หากแต่สะท้อนความกล้าหาญทางการเมือง และภาวะผู้นำในการเผชิญแรงกดดันจากประเทศมหาอำนาจ ด้วยการใช้ข้อมูลและเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา

ลักษณะการสื่อสารดังกล่าวพบได้ไม่บ่อยในหมู่ผู้นำของประเทศขนาดกลาง  ซึ่งโดยทั่วไปมักต้องดำรงอยู่ภายใต้โครงสร้างอำนาจระหว่างประเทศที่ถูกครอบงำด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการเมืองระหว่างประเทศ การแสดงจุดยืนของผู้นำไทยในครั้งนี้จึงสะท้อนถึงความมั่นใจในศักดิ์ศรีของรัฐชาติบนเวทีโลก

แม้ถ้อยคำที่ใช้จะมีลักษณะแข็งกร้าว และอาจก่อให้เกิดความกังวลต่อผลกระทบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ในบริบทของภาวะวิกฤตด้านความมั่นคง การแสดงออกถึงความชัดเจนและความเด็ดขาดของผู้นำถือเป็นองค์ประกอบสำคัญ ผู้นำทางการเมืองไม่ได้มีบทบาทเพียงการบริหารประเทศ หากยังต้องทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ในการสะท้อนความรู้สึกร่วมของสังคม และยืนยันว่ารัฐบาลยืนอยู่ข้างประชาชนในยามที่ประเทศ เผชิญแรงกดดันจากอำนาจภายนอก

CIB ส่งมอบกำลังใจ-สิ่งของจำเป็นสำหรับการดำรงชีพ สนับสนุนการฟื้นฟูหลังน้ำลดเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยตำรวจทางหลวง ระดมมอบสิ่งของจำเป็นช่วยผู้ประสบอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ สนับสนุนการฟื้นฟูหลังน้ำลด บรรเทาความเดือดร้อน และเร่งคืนชีวิตปกติให้ประชาชนโดยเร็ว

วันนี้ (13 ธันวาคม 2568) เวลา 09.00 น. ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. และพล.ต.ต.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย ผบก.ทล. ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ชาคริต มงคลศรี รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.อินทรัตน์ ปัญญา ผกก.7 บก.ทล., พ.ต.อ.พิศฐ์ศักดิ์ มนตลักษณ์ ผกก.ฝอ. บก.ทล. และ พ.ต.ท.มีเดีย ปฐมพรวิวัฒน์ สวญ.ส.ทล.3 กก.7 บก.ทล. พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจทางหลวงในสังกัด นำสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นไปมอบให้แก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ปัจจุบันสถานการณ์ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ได้เข้าสู่ช่วงการฟื้นฟูหลังน้ำลดแล้ว อย่างไรก็ตาม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัย

พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. จึงได้มอบหมายให้กองบังคับการตำรวจทางหลวง นำสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า น้ำยาล้างจาก ผงซักฟอก อุปกรณ์ทำความสะอาด อาหารแห่ง เป็นต้น ไปส่งมอบแก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เป็นการส่งมอบกำลังใจ และสนับสนุนการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว

โดยได้มอบสิ่งของ ณ สถานีตำรวจทางหลวง 3 กองกำกับการ 7 บก.ทล. ถ.กาญจนวนิช ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ โรงเรียนอนุบาลนครหาดใหญ่ ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จสงขลา เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่ยังคงได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่ผ่านมา

กทม. จัดพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันสถาปนากรุงเทพมหานคร ครบรอบ 53 ปี

วันที่ 14 ธ.ค. 68 นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันสถาปนากรุงเทพมหานคร ครบรอบ 53 ปี โดยมี นายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายณรงค์ เรืองศรี ปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการและบุคลากรของกรุงเทพมหานคร ร่วมพิธี ณ บริเวณลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร

โดยในเวลา 07.00 น. ประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล ประธานสงฆ์ให้ศีล ผู้ร่วมพิธีรับศีล ต่อมา ประธานในพิธี คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ตักบาตรพระราชาคณะ จำนวน 9 รูป และถวายจตุปัจจัยไทยธรรม พระราชาคณะอนุโมทนา ประธานในพิธีกรวดน้ำ กราบลาพระรัตนตรัย

จากนั้น ประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการและบุคลากรของกรุงเทพมหานคร และผู้ร่วมพิธี ตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 154 รูป เพื่อความเป็นสิริมงคลสืบไป

ตำรวจ สน.บางรัก ล่อซื้อบริการค้าประเวณี รวบแม่เล้า วัย 16 ปี ลวงเด็ก 15-16 ปี ค้าประเวณี

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ชัยกฤต โพธิ์อ๊ะ ผบก.น.6 พ.ต.อ.นริศ ปรารถนาพร รอง ผบก.น.6 พ.ต.อ.เชิดศักดิ์ รอดเข็ม ผกก.กก.สส.บก.น.6 พ.ต.อ.ธรรมศักดิ์ สารบุญ ผกก.สน.บางรัก พ.ต.ท.ปิติพัฒน์ เอกอัครภูววัฒน์ รอง ผกก.ป.สน.บางรัก ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุมนำโดยพ.ต.ต.อังกูร ตู้วัฒนะวาณิช สวป.สน.บางรัก และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางรัก ทำการล่อซื้อบริการค้าประเวณีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้ต้องหา นางสาวเบญญา อายุ 16 ปี เหยื่อ 1. นางสาว ธรรมศิริ อายุ 15 ปี 2. นางสาว ปัณฑิตา อายุ 16 ปี ข้อหาค้ามนุษย์โดยการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากบุคคลอายุเกินกว่า 15 ปีแต่ไม่เกิน 18 ปี, เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็ก

สืบเนื่องจากวันที่ 13 ธันวาคม 2568 เวลา 20.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ทำการล่อซื้อบริการทางเพศเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี โดย ได้ให้สายลับเข้าทำการล่อซื้อ เวลา 19.00 ผู้ต้องหาได้พาเด็กทั้ง 2 คน มาที่ร้าน แฮปปี้เบียร์ฯ ตามที่ได้นัดหมายไว้ และเดินทางไปยังโรงแรมสุรวงศ์ ต่อมาเวลาประมาณ 19.30 น. เมื่อสายลับเข้าทำการล่อซื้อบริการค้าประเวณีแล้ว สายลับได้ให้เหยื่อทำการเปลี่ยนชุดเตรียมตัวให้บริการทางเพศ จึงได้ส่งสัญญานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมทราบว่าพร้อมให้เข้าทำการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้นำกำลังเข้าช่วยเหลือเหยื่อ ที่ห้องหมายเลข 205 และ 206 ของโรงแรมสุรวงศ์ฯ โดยทั้งสองคนอยู่ในลักษณะนุ่งผ้าเช็ดตัว และได้ทำการฉีกถุงยางพร้อมให้บริการทางเพศ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เข้าทำการจับกุมผู้ถูกจับที่ร้านอาหารฯ พบ นางสาว เบญญา ชัยมงคล ผู้ต้องหา อยู่บริเวณที่ร้านอาหารดังกล่าว จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ทำการขอตรวจค้นโดยก่อนการตรวจค้นได้แสดงความบริสุทธิ์จนเป็นที่พอใจของผู้ต้องหาทั้งสองแล้ว ผลการตรวจค้นพบธนบัตร 1000 บาท จำนวน 7 ใบ รวมเป็นเงิน 7000 บาท อยู่ภายในกระเป๋าเงิน ผู้ต้องหา ซึ่งธนบัตรที่ตรวจพบเป็นธนบัตรที่มีเลขกำกับตรงกับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเอาไว้เพื่อทำการล่อซื้อบริการค้าประเวณี

ผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นคนที่เป็นธุระจัดหาเด็กมาให้บริการค้าประเวณี ซึ่งเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ โดยการได้เงินส่วนแบ่งเป็นค่าธุระจัดหาจริง โดยแบ่งเป็นค่าบริการค้าประเวณี 2800 บาท จำนวน 2 คน เป็นเงิน 5600 บาท และเอ็นเตอร์เทรนของผู้ต้องหาอีก 800 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 6400 บาท โดยผู้ต้องหายอมรับว่าได้หักเงินส่วนแบ่งเป็นค่าธุระจัดหาจากเหยื่อจริงเป็นจำนวนเงินคนละ 200 บาท 2 คน รวมเป็นเงิน 400 บาท เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่าต้องถูกจับ แจ้งข้อกล่าวหา พร้อมทั้งแจ้งสิทธิ์ให้ผู้ถูกจับทราบ ผู้ถูกจับทราบและเข้าใจข้อกล่าวหาและรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุแห่งการจับกุมดีโดยตลอดแล้ว

ทั้งนี้ ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่าตนเป็นผู้ติดต่อและได้รับผลประโยชน์จริง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง และ เหยื่อค้ามนุษย์ ไปยัง สน.บางรัก เพื่อทำเอกสารบันทึกจับกุมและส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป

“วราวุธ” พร้อม 5 อดีตสส.สุพรรณบุรี ไหว้ อนุสาวรีย์ “บรรหาร” เอาฤกษ์เอาชัย ก่อนไปสมัคร ภท. 15 ธค.นี้

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2568 นายวราวุธ ศิลปอาชา อดีต สส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) พร้อมด้วย อดีต สส.สุพรรณบุรี ทุกเขตของพรรค ชทพ. ได้แก่ นายสรชัด สุจิตต์ นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ นายนพดล มาตรศรี นายเสมอกัน เที่ยงธรรม และนายประภัตร โพธสุธน รวมทั้งอดีตแกนนำพรรค ได้แก่ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ อดีตกรรมการบริหารพรรคชาติไทยพัฒนา พร้อมใจกันนำพวงดอกไม้มาไหว้อนุสาวรีย์นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 เอาฤกษ์เอาชัยในการลงสนามเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึงนี้ หลังจากที่ได้ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาแล้ว และจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยพร้อมกัน ในวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคมนี้ เวลา 12.00 น.

ในโอกาสนี้ นายอุดม โปร่งฟ้า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี นายอรรถพล สุวรรณศร ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้ที่ทำงานร่วมกับพรรคชาติไทยพัฒนามายาวนาน ก็ได้มาร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย

นายประภัตร ได้นำ อดีต สส. กล่าวกับรูปปั้นนายบรรหารว่า ตนผู้แทนสุพรรณบุรี คู่บุญบารมีกับนายบรรหารมาโดยตลอด 50 ปีวันนี้พวกเราสมาชิกพรรค ชทพ. ทุกคน ด้วยความเคารพ และด้วยความรักและจิตใจอยู่กับนายบรรหารมาตลอด วันนี้พวกตนซึ่งเป็นลูกหลานมาขอขมา สิ่งใดที่ตนทำไม่ถูกบ้าง ล่วงเกินนายบรรหารบ้าง ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ลูกหลานด้วย วันนี้พวกตนมาขอกล่าวเพื่อหยุดพรรค ชทพ. ชั่วคราว เพื่อไปทำหน้าที่ผู้แทนรัฐบาลให้ได้ เพื่อมาช่วยเหลือพี่น้องชาวสุพรรณบุรี ดังนั้น การที่ลูกหลานต้องขอหยุดพรรค ชทพ.เพื่อไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ด้วยความตั้งใจจะมาช่วยพี่น้องสุพรรณบุรี เราพูดมาโดยตลอดว่าเมื่อเป็นผู้แทนแล้วก็ต้องขอให้อยู่ในพรรครัฐบาล ลูกหลานจึงพร้อมใจมาขอหยุดพรรคและขอลาไปชั่วคราวแล้วจะกลับมาพัฒนาเมืองสุพรรณบุรีตามเจตนารมณ์ของนายบรรหารและกลับมาพัฒนาพรรค ชทพ.ของเราทุกคนให้เจริญก้าวหน้าสืบต่อไป

ด้านนายวราวุธ ให้สัมภาษณ์ว่า การทำงานของพวกเราในฐานะที่เป็นพรรคเล็กนับวันจะเรียกคะแนนนิยมในการเลือกตั้งแต่ละครั้งเป็นไปด้วยความลำบาก ตลอดระยะ 9 ปีกว่าที่ผ่านมา และการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ด้วยจำนวน สส. 10 คน เราทำงานได้อย่างจำกัดมาก พื้นที่ในการทำงาน จำนวนรัฐมนตรีที่อยู่ในการดูแลของเราทำให้มีข้อจำกัดอย่างยิ่งในการทำงาน ดังนั้น วันนี้พวกเราทุกคนจึงตัดสินใจที่จะแสวงหา เดินทางไปฝึกฝีมือในยุทธจักร ไปสร้างความเข้มแข็งเพื่อที่จะสามารถทำงานให้คนสุพรรณบุรีและคนไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง สมัยนายบรรหารมีอายุ 18 ปียังต้องจาก จ.สุพรรณบุรีไปเพื่อที่จะฝ่าฝันไปเติบใหญ่ใน กทม. ในวันนั้นหากนายบรรหารไม่จากสุพรรณบุรีไป วันนี้เราก็คงไม่มีนายกฯ ที่ชื่อบรรหาร ศิลปอาชา นี่คือสิ่งที่พวกเราทุกคนกำลังทำอยู่ในขณะนี้ กำลังสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพในการทำงานให้ประชาชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น บ้านของพวกเราคือ จ.สุพรรณบุรี ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด บ้านของเราคือ จ.สุพรรณบุรี และนี่คือปณิธานที่พวกเราได้ตั้งหวังไว้ในการที่จะเดินรอยตาม รอยเท้าของนายบรรหาร ที่จะกลับมาพัฒนาเมืองสุพรรณบุรีของพวกเรา

นายวราวุธ กล่าวว่า การมาขอวันนี้เพื่อมาขออนุญาตในการที่จะเดินทางบนอีกเส้นหนึ่ง แต่เป็นการสานต่อความฝันของนายบรรหารที่อยากจะเห็นสุพรรณบุรีรวมกันเป็นหนึ่งเดียว มีความสามัคคี และทำให้คุณภาพชีวิตคนสุพรรณบุรีดีขึ้น และที่สำคัญเราสามารถทำงานให้กับคนไทยทั้ง 64 ล้านคนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ขออภัยจริง ๆ ที่วันนี้เราได้ออกเดินทางบนถนนอีกเส้นหนึ่ง ภายใต้การนำของพรรค ภท. เพราะหัวใจสำคัญของพวกเราคือ การเดินไปข้างหน้าของ จ.สุพรรณบุรี พัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาตั้งแต่นายบรรหารจากไป เราได้ สส.มา 10 คน แต่มีข้อจำกัดในการทำงานเป็นอย่างยิ่ง วันนี้เราอยากทำงานให้พี่น้องชาวสุพรรณบุรีและคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานร่วมกับพรรค ภท.จากนี้ไปจะทำให้ศักยภาพการดูแลพี่น้องชาวสุพรรณบุรีได้มากขึ้น ไม่ได้ทิ้งคนสุพรรณบุรีไปไหน” นายวราวุธ กล่าว