ด่วน! ทหารไทยยึด “ปราสาทคนา” ได้ 100% แล้ว


พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกองทัพบก เปิดเผยผ่านการแถลงของศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า เมื่อช่วงสายของวันนี้ ได้รับแจ้งจากหน่วยในพื้นที่ว่า สามารถยึดพื้นที่
ปราสาทคนา อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ได้ 100% แล้ว


ไม่หยุดยิง! “อนุทิน” โต้ “ทรัมป์” ย้ำ ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดไม่ใช่อุบัติเหตุ ลั่น เดินหน้าปฏิบัติการทางทหารจนกว่าจะไม่มีภัยคุกคามต่อประเทศ-ประชาชน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โพสต์ข้อความตอบโต้ หลัง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า ไทยและกัมพูชา ตกลงรับเงื่อนไขหยุดยิง เพื่อกลับเข้าสู่ joint declaration พร้อมข้อความที่ระบุว่า เหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด เป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ไทยใช้โต้กลับรุนแรง

โดยระบุว่า “It’s definitely not a roadside accident. Thailand will continue to perform military actions until we feel no more harm and threats to our land and people. I want to make it clear.”

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุข้างทางอย่างแน่นอน ประเทศไทยจะยังคงดำเนินปฏิบัติการทางทหารต่อไป จนกว่าเราจะมั่นใจได้ว่าไม่มีอันตรายหรือภัยคุกคามใด ๆ ต่อแผ่นดินและประชาชนของเราอีก ขอยืนยันให้ชัดเจนในประเด็นนี้

“อนุทิน” เยี่ยมศูนย์อพยพ “ช้างอารีนา” ให้กำลังใจชาวบ้าน–จนท. ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมฝ่าวิกฤต ย้ำความปลอดภัย ปชช.ต้องมาก่อน

ที่สนามช้างอารีน่า จังหวัดบุรีรัมย์, 14 ธ.ค. – นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย พร้อมด้วย พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รมช.กลาโหม เดินทางไปเยี่ยม และให้กำลังใจประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยได้ทักทาย และสวมกอดประชาชนที่มารอต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ก่อนเดินไปยังโซนโรงครัวของศูนย์อพยพ ร่วมลงมือทำหอยทอดทะเลแจกจ่ายให้กับผู้อพยพ พร้อมตำส้มตำปลาร้าให้ประชาชนได้รับประทาน สร้างบรรยากาศผ่อนคลายและรอยยิ้มภายในศูนย์อพยพ

จากนั้น นายอนุทินได้ตรวจเยี่ยมเต็นท์ปฐมพยาบาลของโรงพยาบาลบ้านกรวด พูดคุยให้กำลังใจทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ก่อนเดินชมร้านอาหารฟู้ดทรัคที่เข้ามาบริการประชาชน และแวะทักทายประชาชนตามจุดต่าง ๆ ภายในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ช่วงหนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกิจกรรมร้องเพลงกับประชาชนและนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ณ จุดพักผ่อนของศูนย์อพยพ โดยร่วมร้องเพลง “คนสุดท้าย” ของอัสนี–วสันต์ และเพลง “ซมซาน” ของโลโซ สร้างความประทับใจ และกำลังใจให้กับผู้พักพิงเป็นอย่างมาก

ภายหลัง นายอนุทินได้กล่าวให้กำลังใจประชาชน พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกันในช่วงสถานการณ์ยากลำบาก ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ควบคู่กับการประเมินและรับรองความปลอดภัยของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง “ขอขอบคุณทุกความร่วมมือที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ นี่คือพลังความสามัคคีของคนไทย ที่จะพาเราก้าวผ่านและเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน”

“ทวี” ยัน “ประชาชาติ” เดินหน้าต่อ พร้อมเปิดตัว 2 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ปัตตานี เตรียมขยายฐานทั่วประเทศ ชูธงแก้ปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ-ผูกขาด”

ปัตตานี, วันที่ 14 ธ.ค. – พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ และอดีต รมว.ยุติธรรม ร่วมกิจกรรมให้กำลังใจ “ฮีโร่ตัวจิ๋ว” PAWA JUNIOR ACADEMY ทีมฟุตบอลรุ่นอายุ 12 ปี ตัวแทนภาคใต้ตอนล่าง ที่เข้ารอบชิงแชมป์ประเทศไทย ในศึก Thai Youth League Junior พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปัตตานี 2 เขตใหม่ คือ “ทนายกอฮาร์” นายอับดุลกอฮาร์ อาแวปูเตะ เขต 4 และ นายอรุณ เบ็ญจลักษณ์ เขต 2

สำหรับกิจกรรมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร มีอดีต ส.ส.พรรคประชาชาติ และแกนนำในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ อดีต ส.ส.นราธิวาส เขต 5, นายสุไลมาน มะทา อดีต ส.ส.ยะลา เขต 1, นายซูการ์โน มะทา อดีต ส.ส.พรรคประชาชาติ ยะลา เขต 2, นายอับดุลอายี สาแม็ง อดีต ส.ส.พรรคประชาชาติ เขต 3 ยะลา, ดร.วรวิทย์ บารู อดีต ส.ส.พรรคประชาชาติ เขต 1 ปัตตานี และ นายสมมุติ เบ็ญจลักษณ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาชาติ เขต 3 ปัตตานี รวมถึง นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน นายก อบจ.นราธิวาส นายกูเฮง ยาวอหะซัน อดีตเลขานุการรมว.ยุติธรรม นายธนาธิป พรหมชื่น หรือกำนันเพื่อน จาก สุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส  เจ้าหน้าที่ข้าราชการในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ที่มาร่วมให้กำลังใจและแสดงความยินดีอย่างคึกคัก

จากนั้น พ.ต.อ.ทวี ได้นำคณะเดินทางไปพบ “ดาโต๊ะนิเดร์” หรือ นายนิเดร์ วาบา ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ปัญหาและพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายนิเดร์ วาบา ถือเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งพรรคประชาชาติ

พ.ต.อ.ทวี ให้สัมภาษณ์ถึงกิจกรรมของพรรคและการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง โดยยืนยันว่าจะเดินหน้าทำภารกิจของพรรคประชาชาติต่อไป เพราะต้องการให้พรรคเป็นหลักให้กับประชาชน และจะพยายามสรรหาและขยายบุคลากร รวมถึง ขยายพื้นที่การทำงานไปยังพื้นที่อื่น ๆ นอกเหนือจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากในการเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ทั้ง 100 คน พรรคต้องให้คนทั้งประเทศเลือก จึงต้องมีทั้งตัวบุคคลและผู้ที่จะไปขับเคลื่อนนโยบาย

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ประเทศชาติประสบปัญหา ความเหลื่อมล้ำอย่างมาก เพราะไทยยังไม่มีการแบ่งปันอำนาจ ทรัพยากร และโครงสร้าง บางอย่างยังมีการผูกขาด มีสัมปทาน พรรคจึงมีจุดยืนว่า เจ้าของทรัพยากรที่แท้จริงคือประชาชนทุกคน ดังนั้นจะต้องมีแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้เพื่อช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น “สิ่งที่เรายืนหยัด คือ เราใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ใช้ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่เลือกเรามา เป็นเป้าหมายสำคัญ”

พ.ต.อ.ทวี ย้ำว่า พรรคประชาชาติเป็น พรรคของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่พรรคของแค่ 3 จังหวัด แต่คนใน 3 จังหวัดจะช่วยกันทำให้พรรคประชาชาติเป็น พรรคหลักอันดับหนึ่งของประเทศ ในเรื่องหลักของ ประชาธิปไตย หลักสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และหลักทางคุณธรรม ศีลธรรม

“ชยิกา” ชี้ นโยบายเศรษฐกิจ “เพื่อไทย” คือทางรอด ใช้การทูตเทคโนโลยี เน้นเปิดตลาดใหม่-ดึงทุนใหม่ มุ่ง ศก.สีเขียว ยัน “แลนด์บริดจ์” ช่วยพลิกบทบาทไทยให้เป็นศูนย์กลาง

กรุงเทพฯ, วันที่ 14 ธ.ค. – นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ คณะทำงานด้านนโยบายต่างประเทศพรรคเพื่อไทยและอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมเวทีสัมมนา “การเมืองไทยจะนำพาประเทศไปทางไหน ในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป” ที่สมาคมสื่อมวลชนนานาชาติประเทศไทย และสำนักข่าว IMCT NEWS จัดขึ้น โดยได้กล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เพื่อเปลี่ยนความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของโลก ให้กลายเป็นโอกาสในการดึงดูดการลงทุนใหม่ และเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่ยืดหยุ่นและมีเสถียรภาพในปี 2026

นางสาวชยิกายืนยันว่า นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของพรรคเพื่อไทย เป็นนโยบายทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก เพราะที่ผ่านมาทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้วิเคราะห์ว่า ทำไม GDP ไทยเราจึงโตต่ำกว่าอดีต โตต่ำกว่าศักยภาพ และโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่ศักยภาพน่าโตได้ถึง 5% ดังนั้น ประเทศไทย จะต้องกล้าปรับตัว และกล้าลงมือ เพื่อให้ทันกับโอกาสที่กำลังเปิดขึ้นรอบตัวเรา โดยจะต้องดึงการลงทุนรอบใหม่ โดยเฉพาะจากกลุ่มที่กำลังมองหาฐานการผลิตใหม่ ที่เข้าสหรัฐฯ ได้โดยไม่โดนภาษี หรือภาษีต่ำกว่า เพื่อสร้าง “Local Partner Requirement” ให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างงาน และยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศอย่างแท้จริง

รวมถึงการใช้ Tech Diplomacy หรือ การทูตเทคโนโลยี เพื่อต่อยอด และดึงดูด ยกระดับให้ประเทศไทย เข้าไปอยู่ใน Global Supply Chain ของสินค้าไฮเทค หรือสินค้าที่มีมูลค่าสูง สร้างให้ไทยมีบทบาทและอำนาจต่อรองใน “Tech War” ทั้ง Semiconductor, AI, Aerospace, อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ EV, อุตสาหกรรมยุทโธปกรณ์, AgriTech และอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการเปลี่ยน Global Supply Chain เปิดตลาดใหม่ให้สินค้าไทย เช่น ในตะวันออกกลาง เอเชียใต้ แอฟริกา และยุโรปตะวันออก รวมทั้งเร่งทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศที่มี Demand สูง เช่น ซาอุดิอาระเบีย, สหรัฐอารับเอมิเรต และอินเดีย เพื่อให้สินค้าเกษตร อาหารแปรรูป และอุตสาหกรรมไทยเข้าไปแข่งขันได้โดยไม่ติดกำแพงภาษี

นางสาวชยิกา ยังยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมแ ละภาคประชาชนมีทางเลือกในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ตัวเองผลิตในตอนกลางวัน และพลังงานจากภาครัฐในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการลดต้นทุนค่าไฟของประชาชนให้ถูกลง ดึงเม็ดเงินลงทุนดิจิทัลจากทั่วโลก และลดคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยกระดับมาตรฐานการผลิตของไทยด้วยมาตรฐาน Green และมาตรฐานสากลใหม่ เพื่อลดการกีดกันการค้า และเร่งพัฒนาภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรให้เป็น “Low-Carbon Producer” เพื่อให้สินค้าไทยขายได้ในตลาดพรีเมียมและอยู่รอดในตลาดโลกระยะยาว

นางสาวชยิกา ยังย้ำว่า เศรษฐกิจไทยจะอยู่ในโลกใหม่ได้ ต้องคิดแบบผู้ชนะในเกมใหม่ ไม่ใช่ติดอยู่กับกติกาเดิม ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย จึงต้องเน้น เปิดตลาดใหม่ ดึงการลงทุนรอบใหม่ สร้างมาตรฐานใหม่ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันได้จริงในเวทีโลก และสร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างยั่งยืน

นางสาวชยิกา กล่าวถึงจุดยืน และยุทธศาสตร์ของเพื่อไทยในการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS+ และการใช้กลไก BRICS ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เห็นความผันผวนในภูมิรัฐศาสตร์โลกอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้า จึงได้สมัครเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS+ เพื่อเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ เพราะถือเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ มีผู้ผลิต และผู้ซื้อจำนวนมาก จะเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในกลุ่ม Global South จนไทยได้สถานะ Partner Country กับ BRICS+ ซึ่งนับเป็นโอกาสเชิงการตลาดที่ต้องถูกใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว

ตัวอย่างที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ส่งเสริมให้มีการลงทุน เช่น อุตสาหกรรม EV ที่เจ้าตลาดในการผลิตรถยนต์ EV ได้เข้ามาเปิดตลาดและตั้งฐานการผลิตในไทย ตั้งแต่ BYD, CHERY, GWM – Great Wall Motor, NETA (จีน), CHANGAN  และ MG โดยที่ผ่านมา รัฐบาลเพื่อไทยก็ยังได้เตรียมกระบวนการเปลี่ยนผ่าน ด้านอุตสาหกรรม จากรถสันดาปเป็นรถ EV ให้กับประเทศอื่นๆ อีกด้วย ด้านสินค้าเกษตรนั้น อินเดียซึ่งเป็นสมาชิก BRICS+ และประเทศไทย ต่างก็เป็นผู้ส่งออกหลักของสินค้าอาหาร ดังนั้น ถ้า OPEC คือ อำนาจด้านพลังงาน ไทยกับอินเดีย ก็สามารถร่วมกันสร้างอำนาจต่อรองด้านอาหารได้ โดยอาจจะเริ่มจากข้าว น้ำตาล และโปรตีน ภายใต้กรอบ BRICS เพื่อเสถียรภาพอาหารของกลุ่มประเทศโลกใต้ได้

ส่วนจะมีพรรคเพื่อไทย จะมี “กุศโลบายทางการทูต” และ “กลไกการถ่วงดุลอำนาจ” เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรักษาความเป็นกลางทางยุทธศาสตร์ สร้างภูมิคุ้มกันความมั่นคง และปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติจากความขัดแย้งที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในปี 2026 ได้อย่างไรนั้น นางสาวชยิกา เห็นว่า เบื้องหลังการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรง ระหว่างจีนและสหรัฐฯ แท้จริงคือ การแข่งขันเพื่อควบคุมโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ดังนั้น จะต้องรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ และกระจายอำนาจความเสี่ยงกับทุกขั้วอำนาจ ปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในแต่ละประเด็นอย่าง “ยืดหยุ่น” และ “ปฏิบัติได้จริง” ผ่านการแสวงหาความร่วมมือใหม่ ๆ ที่เป็นรูปธรรม

เช่น กับสหรัฐฯ ไทยควรมุ่งเน้นความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และหุ้นส่วนในบริบทภูมิภาค ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยเจรจาภาษีสหรัฐ 19% แบบ win-win มาแล้ว สำหรับจีน ไทยต้องกล้าที่จะยกประเด็นที่กระทบต่อผลประโยชน์ของไทยโดยตรงมากขึ้น รวมถึงยังจะต้องเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจขนาดรอง และมหาอำนาจในภูมิภาคอื่นอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป พร้อมขับเคลื่อนการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้าน เปลี่ยนแนวคิดความขัดแย้ง เป็นความร่วมมือ อย่างกรณีที่รัฐบาลเพื่อไทย เคยเปลี่ยนความขัดแย้งมาเป็นความร่วมมือผ่านการพูดคุยกับเมียนมา ผลักดันให้เมียนมายอมรับความถูกต้อง และกฎระเบียบ มาตรฐานที่โลกยอมรับ ส่งเสริมเกิดการสร้างโต๊ะเจรจาระหว่างทุกฝ่ายอย่างสันติ

นางสาวชยิกา กล่าวว่า การแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์ในประเด็นความมั่นคงทางอาหาร สาธารณสุข และการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างมียุทธศาสตร์ โดยเป็นสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อไทย เช่น Financial Hub, Med Tech, Data Center Hub, Landbridge, ASEAN Grid เป็นต้น โดยเห็นว่า Landbridge เป็นกลไกในทางภูมิเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญ หากสำเร็จจะเป็น “พลังอำนาจต่อรองใหม่ของไทย” ที่สามารถพลิกบทบาทของไทยในเอเชียได้เพราะ “ช่องแคบมะละกา” ถูกใช้งานเกินความสามารถไปแล้ว ทำให้ใช้เวลารอ และต้นทุนสูงขึ้นเรื่อย ๆ Landbridge จะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศศูนย์กลาง เพิ่มรายได้ในห่วงโซ่อุปทานของคนไทย ให้นโยบายภูมิเศรษฐศาสตร์ แปลงเป็นรายได้ให้กับคนไทยได้จริง

ทัพไทยโชว์ผลงาน! ยึดขีปนาวุธสัญชาติจีน “GAM-102LR” จากกัมพูชา บนเนิน 677

วันที่ 14 ธันวาคม 2568 จากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทางด้านเพจเฟซบุ๊ก Army Military Force รายงานข่าวสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า “ทหารไทยสามารถยึดระบบขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถียุคที่ 5 รุ่น GAM-102LR สัญชาติจีน จากทหารกัมพูชาบนเนิน 677 ได้เป็นจำนวนมาก ขีปนาวุธดังกล่าวเป็นอาวุธที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีนี้ และถือเป็นการค้นพบอาวุธหนักและทันสมัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในแนวรบ

นอกจากนี้ ระบบขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถีแบบ GAM-102LR ยังได้รับแรงบันดาลใจจากระบบขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถี FGM-148 Javelin ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย.GAM-102LR ผลิตโดยบริษัทอาวุธชั้นนำของประเทศจีน ชื่อ Poly Defense ในเครือ Poly Technologies และถูกเปิดตัวครั้งแรกภายในงานนิทรรศการอาวุธยุทโธปกรณ์ EDEX ประจำปี 2025 มีการประเมินราคาต่อลูกของขีปนาวุธ GAM-102LR อยู่ที่ประมาณ $112,000 USD หรือคิดเป็นเงินไทยราว 3,530,240 บาท

สำหรับ GAM-102LR ถูกจัดให้เป็นขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านยานเกราะ (ATGM) รุ่นที่ 5 แต่ละลูกมีนํ้าหนัก 52 กิโลกรัม (5th Generation Multi-Purpose Ultra Long-Range Precision Guided Anti-Tank Missile System) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลขีปนาวุธต่อต้านรถถัง GAM-10X

GAM-102LR เป็นระบบ “ยิงแล้วลืม” (Fire-and-Forget) และยังเป็นอาวุธหลายวัตถุประสงค์ (Multi-purpose weapon) ที่มีมีหัวนำวิถีขั้นสูง (Advanced homing head) และมีความแม่นยำสูง ซึ่งสามารถใช้ยิงได้ในโหมด Lock-on-After-Launch (LOAL) และ Man-in-the-Loop เพื่อการเลือกเป้าหมายใหม่กลางอากาศ

ขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถีในปัจจุบันมีศักยภาพในการโจมตีที่หลากหลาย โดยสามารถนำไปใช้ยิงเป้าหมายอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ฐานที่มั่นทางทหาร, ยานเกราะ, บ้านเรือน, และเรือรบ ฯลฯ ซึ่งหมายความว่า ขีปนาวุธเหล่านี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่การใช้งานกับรถถังเท่านั้น แต่สามารถใช้โจมตีได้ทุกเป้าหมายที่อยู่ในพิสัย”

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ข้อห่วงใยสื่อมวลชน ในการลงพื้นที่รายงานข่าวที่มีความเสี่ยง

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ แสดงความห่วงใยต่อความปลอดภัยของผู้สื่อข่าว ช่างภาพ และบุคลากรสื่อมวลชนทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา พร้อมขอชื่นชมการทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง มุ่งมั่นนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนภายใต้สถานการณ์ที่มีความอ่อนไหวและอย่างไรก็ตาม เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของบุคลากรสื่อมวลชน องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนขอเสนอแนะแนวทางการทำงานต่อสื่อมวลชนภาคสนามและกองบรรณาธิการ ดังต่อไปนี้

1. การประเมินสถานการณ์ภาพรวมก่อนการมอบหมายงาน : ขอให้กองบรรณาธิการและผู้บังคับบัญชา ตรวจสอบและประเมินสถานการณ์ภาพรวมอย่างรอบด้านตลอดเวลา โดยอาศัยข้อมูลจากหลายแหล่งข่าว/ข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อช่วยวิเคราะห์ความจำเป็นในการส่งทีมข่าวเข้าพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทั้งนี้ เนื่องจากผู้สื่อข่าวภาคสนามอาจเห็นสถานการณ์ในมุมเฉพาะจุด ขณะที่การตัดสินใจเชิงนโยบายควรพิจารณาจากภาพรวมของสถานการณ์ทั้งหมด

2. การให้ความสำคัญกับพื้นที่ปลอดภัยเป็นลำดับแรก : ค านึงถึงสวัสดิภาพของสื่อมวลชนภาคสนาม กรณีมอบหมายให้เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความปลอดภัยของชีวิตที่ยังคงมีการปะทะ ใช้อาวุธหนักในสถานการณ์

ในกรณีที่จำเป็นต้องรายงานเหตุการณ์จากพื้นที่เสี่ยง ขอแนะนำให้ใช้ข้อมูล ภาพ หรือคลิปวิดีโอจากหน่วยงานราชการหรือเจ้าหน้าที่เชื่อถือได้ เป็นทางเลือกทดแทนการเข้าพื้นที่ด้วยตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงและการสูญเสียต่อบุคลากรสื่อมวลชน

ขณะเดียวกัน ในสถานการณ์ด้านความมั่นคงครั้งนี้ อยากให้ผู้ปฏิบัติงานภาคสนามทุกคน รวมทั้งบรรณาธิการให้ความส าคัญกับการตรวจสอบข่าวและภาพที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ทางการทหารรวมถึงสถานที่ปลอดภัยสำหรับประชาชน ก่อนเผยแพร่ภาพ เพื่อคำนึงถึงเหตุผลทางด้านความมั่นคง

ทั้งนี้ ความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานด้านสื่อมวลชนคือหัวใจสำคัญควบคู่ไปกับเสรีภาพในการรายงานข่าว ที่ต้องเป็นไปอย่างรับผิดชอบ รอบคอบ และสอดคล้องกับจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน

CIB ผนึกจีน ปิดเกมผู้ต้องหาหนีคดีฮั้วประมูลโรงพยาบาล มูลค่า 260 ล้าน ซุกตัวกรุงเทพฯ

ตำรวจสอบสวนกลางร่วมมือทางการจีน รวบ “MR.SONG” ผู้ต้องหาคดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างโรงพยาบาลรัฐในมณฑลยูนนาน หลังหลบหนีมาพำนักในไทย เตรียมผลักดันส่งกลับดำเนินคดี

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สนธิกำลังปิดเกมควบคุมตัว MR.SONG สัญชาติจีน อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมข้ามชาติ หลังกระทำความผิดทุจริตและสมยอมในการเสนอราคาจัดซื้อจัดจ้างโรงพยาบาลรัฐในสาธารณรัฐประชาชนจีน สร้างความเสียหายรวมกว่า 60 ล้านหยวน หรือประมาณ 260 ล้านบาท

ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ ระหว่างทางการไทยและจีน ผ่านศูนย์ความร่วมมือบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคงแบบบูรณาการแม่น้ำโขง–ล้านช้าง (LMLECC) ภายใต้นโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ไม่เปิดช่องให้ประเทศไทยเป็นที่พักพิงของผู้กระทำผิดข้ามชาติ

จากการสืบสวนพบว่า คดีนี้มีต้นทางจากการตรวจสอบการทุจริตในระบบสาธารณสุขของมณฑลยูนนาน โดยคณะกรรมาธิการตรวจสอบวินัยและกำกับดูแลเมืองจาวทง พบว่า MR.SONG มีพฤติการณ์ให้สินบนแก่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรัฐหลายแห่ง เพื่อแทรกแซงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งการจำหน่ายเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และการรับเหมาก่อสร้างโครงการของโรงพยาบาล

ต่อมาทางการจีนได้ออกคำสั่งกักขังทางอาญา เพิกถอนหนังสือเดินทาง และประสานข้อมูลมายังทางการไทย หลังตรวจสอบพบว่า MR.SONG หลบหนีเข้ามาพำนักในประเทศไทย

ภายหลังการสืบสวนติดตามอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ได้ขออำนาจศาลออกหมายค้น และเข้าตรวจค้นบ้านพักแห่งหนึ่งในซอยกรุงเทพกรีฑา 7 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ก่อนควบคุมตัว MR.SONG ได้โดยละม่อม พร้อมแจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และดำเนินการควบคุมตัวไว้เพื่อรอผลักดันส่งกลับไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อไป

การจับกุมครั้งนี้สะท้อนความสำเร็จของความร่วมมือด้านการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และเป็นสัญญาณชัดเจนว่าประเทศไทยจะไม่เป็นพื้นที่หลบซ่อนของผู้กระทำความผิด

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเตือนประชาชนว่า การเสนอหรือรับเงิน ผลประโยชน์ หรือการ “ล็อกสเปก–ตกลงผลล่วงหน้า–แบ่งผลประโยชน์” ในการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ถือเป็นความผิดร้ายแรง หากพบเบาะแสการทุจริตหรืออาชญากรรมข้ามชาติ สามารถแจ้งข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกควบคุมตัวยังคงถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด

สธ. เผยย้าย 703 ผู้ป่วยออกพื้นที่เสี่ยงแล้ว สถานพยาบาลปิดรวม 212 แห่ง เร่งให้คำแนะนำผู้ป่วยโรคไตในศูนย์พักพิง เตรียมส่งทีมไปช่วยดูแลศูนย์ขนาดใหญ่ 27 แห่ง พรุ่งนี้

ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.), วันที่ 14 ธันวาคม – นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัด และโฆษกสธ. กล่าวภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน และ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดสธ. เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์ ว่า ภาพรวมสถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่เสี่ยง 7 จังหวัด ยังคงปิดให้บริการเท่าเดิม 12 แห่ง ส่วน รพ.สต.ปิดบริการเพิ่ม 7 แห่งใน จ.จันทบุรีและตราด รวมปิดสะสม 212 แห่ง มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ปลอดภัยเพิ่มขึ้นเป็น 703 ราย

ส่วนการดูแลสุขภาพจิต มีการจัดระบบคัดกรองเชิงรุกด้วยแบบประเมินมาตรฐาน เพื่อค้นหาผู้ที่มีความเครียดและมีความเสี่ยงทำร้ายตนเอง จากการคัดกรองไปแล้ว 115,632 ราย พบเครียดสูงสะสม 996 ราย และเสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 147 ราย   ส่วนบุคลากรทางการแพทย์คัดกรอง 2,167 ราย พบเครียดสูงสะสม 42 ราย ทั้งหมดได้รับการปฐมพยาบาลทางจิตใจดูแลตามกระบวนการและติดตามอย่างต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้น

นพ.เอกชัยกล่าวต่อว่า ศูนย์พักพิงมีการเปิดเพิ่มขึ้นรวม 995 จุด มีผู้เข้าพักรวม 258,626 คน เป็นกลุ่มเปราะบาง 69,380 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและเด็กเล็ก 0 – 5 ปี มีการส่งต่อผู้พักพิงไปรักษาในโรงพยาบาลสะสม 546 ราย พร้อมดูแลเฝ้าระวังและควบคุมโรคในศูนย์พักพิง ทั้งโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร โรคติดเชื้อนำโดยแมลง การจัดการขยะ สุขาภิบาลอาหารและน้ำ และอนามัยสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ได้เตรียมบุคลากรทีม SRRT และ SEhRT รวม 52 ทีม ลงพื้นที่วันที่ 15 ธันวาคม นี้ เพื่อสนับสนุนการดูแลศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ที่รองรับผู้พักพิงมากกว่า 1,000 คนขึ้นไป

รวมทั้งได้ออกแนวทางและคำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยโรคไตในศูนย์พักพิง โดยให้ผู้ป่วยเตรียมยาที่ต้องใช้พร้อมซองยาที่มีชื่อยาและวิธีใช้ ผลเลือดครั้งล่าสุด เบอร์ติดต่อศูนย์ฟอกเลือดล้างไต หากเป็นผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง ให้เตรียมอุปกรณ์การเปลี่ยนถ่ายน้ำยา น้ำยาล้างไตและอุปกรณ์ทำแผลไปด้วย เมื่อถึงศูนย์พักพิงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเป็นโรคไต แจ้งวิธีการรักษาและยาที่กิน ขณะที่ศูนย์พักพิง ให้จัดสถานที่เก็บน้ำยาล้างไตที่แห้ง ไม่ตากแดด ปราศจากแมลงรบกวน โต๊ะเปลี่ยนถ่ายน้ำยาและกล่องหรือตู้เก็บอุปกรณ์อยู่ในที่สะอาดแยกจากของใช้ต่างๆ อ่างล้างมือ อยู่ใกล้กับบริเวณเปลี่ยนถ่ายน้ำยา ส่วนที่เปลี่ยนถ่ายน้ำยาไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีลมพัดหรือพลุกพล่าน หากสถานที่พักพิงคับแคบ ขณะเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหรือทำความสะอาดช่องทางออกของสาย ให้ใส่ผ้าปิดปากและจมูกทั้งผู้ป่วยและทุกคนที่อยู่ในระยะ 2-3 เมตร 

“สถานการณ์ยังมีความเสี่ยงว่าจะรุนแรงมากขึ้น ทุกจังหวัดจึงได้เตรียมพร้อมแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกพื้นที่ จัดเตรียมรถบัส/รถพยาบาล ประสานกองทัพเรือสนับสนุนเรือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางทะเล วางเส้นทางหลักและเส้นทางสำรองกรณีเส้นทางหลักใช้ไม่ได้หรือไม่ปลอดภัย กำหนดจุดพักรถระหว่างเดินทาง รวมถึงจัดหาสถานที่ตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติม ซึ่งหากเกิดสถานการณ์รุนแรงจริง มั่นใจว่าจะสามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทุกรายได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย” นพ.เอกชัยกล่าว

สุดสลด!! เขมรยิงจรวด BM-21 โจมตีชุมชนในกันทรลักษณ์ ทำชาวบ้านเสียชีวิต-บาดเจ็บ บ้านพังยับ ทบ.ประณาม ละเมิดสิทธิมนุษยชน-กม.ระหว่างประเทศ ชัด!!

กองทัพบก, 14 ธันวาคม – ทีมโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 1150 น. ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธจรวด BM-21 โจมตีเข้าใส่พื้นที่ ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอยู่บริเวณใจกลางแหล่งชุมชนและโรงเรียน ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 1 ราย (นายดร ปัจฉาพันธ์ อายุ 63 ปี) จากสะเก็ดระเบิด พร้อมส่งผลให้เกิดไฟไหม้บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงเสียหาย 1 หลัง ส่วนรายละเอียดผู้บาดเจ็บกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

กองทัพบกขอประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชาต่อเวทีประชาคมระหว่างประเทศ ที่ยังคงใช้อาวุธโจมตีใส่พื้นที่พลเรือนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารเป็นวันที่สอง เป็นเหตุให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นหลักฐานที่ชี้ชัดถึงเจตนาของฝ่ายกัมพูชาที่ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างร้ายแรง