ตม.สกัดเข้มฟรีวีซ่า ส่องเขมร–ฝรั่งกลุ่มเสี่ยง หวั่นนักรบรับจ้างแฝงตัว

ตม.สั่งสกัดเข้ม เขมรใช้ฟรีวีซ่าเข้าไทย พร้อมสกัดฝรั่งกลุ่มเสี่ยงเกรงทหารรับจ้าง วอนท่องเที่ยวต่างชาติเข้าใจสถานการณ์ รอคิวไม่เกิน 40 นาที

จากกรณีมีข้อห่วงใย โดยมีนักวิจารณ์ และนักวิชาการเปิดเผยผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ ว่าอาจมีคนต่างชาติ ที่เป็นนักรบรับจ้าง บินเข้าไทยเพื่อปฎิบัติการเป็นอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศเพื่อบั่นทอนขีดความสามารถของกำลังฝ่ายไทยทุกรูปแบบ

ล่าสุด เมื่อวานนี้ 14 ธ.ค.2568 พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี รอง ผบช.ฯ/โฆษก สตม. ได้เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ได้มีความห่วงใยในเรื่องนี้ นับแต่เริ่มมีการปะทะระหว่างไทยและเขมรอีกระลอกอย่างรุนแรง​ ในขณะที่ยังมีสายการบินพานิชย์บินระหว่างประเทศทั้งสองตามปกติ รวมถึงอาจมีกลุ่มนักรบต่างชาติ อาศัยโอกาสฟรีวีซ่าเข้าไทย เพื่อปฎิบัติการใดๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงหลังแนวรบทั้งในเขตไทย และการลักลอบผ่านแดนเข้าทางเขมร

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2568 ที่ผ่านมา ทาง สตม. ได้มีการประชุมผู้บังคับบัญชา และหัวหน้าด่าน ตม.สนามบิน 5 สนามบินในสังกัด ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่ เพื่อกำหนดมาตรการขั้นเด็ดขาดกับคนสัญชาติที่มีพฤติการณ์เสี่ยงต่อการเป็นภัยความมั่นคงหลังแนวรบ เช่น แอบผ่านช่องทางธรรมชาติเข้าช่วยเหลือเขมร หรือเป็นสายลับ หรือกระทำการอื่นใด โดยพุ่งเป้าหมายไปที่คนต่างชาติ 2 กลุ่ม ที่ใช้ฟรีวีซ่าเดินทางเข้าไทย ได้แก่

  • กลุ่มนักรบรับจ้างในแถบยุโรปตะวันออก และเอเซียตอนบน
  • กลุ่มคนกัมพูชาที่บินมาเข้าไทย โดยใช้สิทธิฟรีวีซ่า ซึ่งช่วงเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายยกระดับความขัดแย้งถึงขั้นการปะทะ จึงดูผิดวิสัยวิญญูชนปกติที่จะเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งหากมีธุรกิจตามกฏหมายในไทย ก็ให้กลับไปขอวีซ่าจากสถานทูตไทยมาให้ถูกต้องทุกราย เพื่อให้มีการคัดกรองจากต้นทางมาก่อน

โดยนับตั้งแต่มีเหตุการปะทะรุนแรง มีการปฎิเสธการเข้าเมืองไปแล้ว ตั้งแต่ต้น ธ.ค. ถึง 13 ธ.ค.2568 รวม 185 ราย

อย่างไรก็ดี ทาง สตม. จะประสานขอข้อมูลจากหน่วยงานข่าวความมั่นคง เพื่อหาข้อมูลข่าวเพิ่มเติมว่า มีข้อมูลการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนต่างชาติที่เป็นนักรบรับจ้างหรือไม่ ซึ่งหากมีข้อมูลข่าวที่สามารถชี้เป็นตัวบุคคลได้ ก็จะช่วยโฟกัสกลุ่มต้องห้ามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยไม่กระทบกับชาวต่างชาติอื่นๆ ที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยโดยภาพรวม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไม่น้อยกว่าวันละ 75,000 ถึง 80,000 คน และเจ้าหน้าที่ ตม. หน้าด่าน มีเวลาตรวจหนังสือเดินทางไม่เกินรายละ 45 วินาทีเท่านั้น

ทั้งนี้ มาตรการเพิ่มความเข้มในการคัดกรองดังกล่าว อาจมีภาพความหนาแน่นของผู้โดยสารที่รอคิวเข้ารับการตรวจหนังสือเดินทาง โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงชั่วโมงที่เที่ยวบินหนาแน่น แต่ทางเจ้าหน้าที่ ตม. ได้มีการจัดกำลังพลเต็มทุกช่องตรวจ แม้มาตรการความมั่นคงดังกล่าวจะส่งผลให้การรอคิวนานกว่าปกติ จากเดิมที่ไม่เกิน 20 นาที ก็จะรอราวๆ ไม่เกิน 45 นาทีเท่านั้น โดยยืนยันว่าไม่กระทบกับการเดินทางเข้าออกของคนไทยแต่อย่างใด

ก้ามกุ้งขน ไม้ป่ากินได้ งามละมุนจากผืนป่าไทย

ไม้ป่าสีชมพูแสนอ่อนโยน ที่ให้ทั้งความงามและรสเปรี้ยวสดชื่น—“ก้ามกุ้งขน” ภูมิปัญญาธรรมชาติซึ่งหลอมรวมอาหารกับศิลปะแห่งป่าไว้อย่างลงตัว

ความงามที่กินได้จากธรรมชาติ
ท่ามกลางร่มเงาป่าชื้นของเมืองไทย มีไม้ล้มลุกขนาดเล็กชนิดหนึ่งที่สะกดสายตาผู้พบเห็นด้วยความนุ่มละมุนของสีสันและสัมผัส “ก้ามกุ้งขน” (Begonia cathcartii) ไม้ป่าพิเศษที่ธรรมชาติมอบให้เป็นทั้งพืชอาหารและไม้ประดับในต้นเดียวกัน

ก้ามกุ้งขนมีลำต้นสูงราว 20–80 เซนติเมตร โดดเด่นด้วยขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมหนาแน่นทั่วทั้งต้น ดูอ่อนนุ่มราวกำมะหยี่ ใบมีรูปทรงเบี้ยวเป็นเอกลักษณ์ ปลายใบแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขนาดใบกว้าง 4–13 เซนติเมตร ยาว 6–20 เซนติเมตร ความไม่สมมาตรของใบกลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ชวนหลงใหล

เมื่อถึงฤดูออกดอก ก้ามกุ้งขนจะชูช่อดอกยาว 10–25 เซนติเมตร ดอกสีขาวอมชมพูอ่อนเบ่งบานอย่างอ่อนหวาน ในหนึ่งช่อประกอบด้วยดอกเพศผู้ 6–8 ดอก และดอกเพศเมีย 2 ดอก เมื่อติดผลจะเกิดผลมีปีก ลักษณะคล้ายก้ามกุ้งน้อยๆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อพื้นบ้านอันน่ารัก

คุณค่าที่น่าทึ่งที่สุดของก้ามกุ้งขน คือ “ก้านใบ” ที่สามารถนำมารับประทานได้ มีรสเปรี้ยวสดชื่นจากกรดออร์แกนิกตามธรรมชาติ คนโบราณนิยมกินสดจิ้มน้ำพริก ตำใส่น้ำพริก หรือใส่แกงเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวกลมกล่อม เป็นรสชาติจากป่าที่ทั้งอร่อย ปลอดภัย และสะท้อนภูมิปัญญาการกินอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างอ่อนโยน

นอกเหนือจากบทบาทของพืชผักป่า ก้ามกุ้งขนยังเป็นไม้ประดับที่เหมาะปลูกในร่มเงา ชอบความชื้น ดูแลง่าย ใบสวย ดอกน่ารัก และขนปุยเป็นเอกลักษณ์ สำหรับผู้หลงใหลไม้สกุล Begonia นี่คืออีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ไม่ควรมองข้าม

ก้ามกุ้งขน จึงไม่ใช่เพียงไม้ป่าธรรมดา หากคือบทเรียนจากธรรมชาติ ที่สอนให้เห็นว่าความงาม อาหาร และภูมิปัญญา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนบนผืนป่าเดียวกัน

สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช

“รองโจ๊ก” จับมือฮุก 31 ตั้งโรงครัวเคลื่อนที่ทำอาหารแจกชาวบ้านสุรินทร์-ศรีสะเกษ ที่หนีภัยสงครามมาอยู่ตามศูนย์อพยพ

การสู้รบตามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาจนถึงขณะนี้ก็ยังระบุขึ้นอย่างต่อเนื่องและขยายวงกว้างออกไป แม้หลายพื้นที่ทหารไทยจะสามารถยึดกับคืนได้แล้ว แต่การระดมตอบโต้เอาคืนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพไปอยู่ตามศูนย์อพยพชั่วคราว

เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องที่อยู่ตามแนวชายแดน พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ประชุมด่วนกับกรรมการบริหาร และประสานงานไปยังมูลนิธิ ฮุก 31 เพื่อจัดตั้งโรงครัวเคลื่อนที่ ในพื้นที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อประกอบอาหารปรุงสดใหม่ ป้อนให้กับชาวบ้านตามศูนย์อพยพและเหล่าทหารกล้า โดยมีกำหนดเบื้องต้นจะทำเป็นเวลา 10 วัน

นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติงบประมาณเร่งด่วนในการจัดซื้อเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า จำนวนสามชุดเพื่อมอบให้กับหน่วยทหารในพื้นที่อำเภอพนมดงรักและกันทรรักษ์ หลังจากถูกทางการกัมพูชาระดมยิงหม้อแปลง ไฟฟ้าจนได้รับความเสียหายทำให้ทหาร ขาดแคลนกระแสไฟฟ้าในการจัดทำแผนยุทธการ ซึ่งล่าสุดมูลนิธิฮุก 31 ได้ดำเนินการจัดซื้อ และส่งมอบให้กับเหล่าทหารกล้าทั้งสามหน่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีกำหนดจะไปเยี่ยมเยียนโรงครัวเคลื่อนที่ และพบปะกับพี่น้องชาวบ้าน เพื่อส่งขวัญและกำลังใจ ในฐานะคนไทยไม่ทิ้งกัน

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ บอกว่า การจัดทำโรงครัวเคลื่อนที่ครั้งนี้ เป็นแผนเร่งด่วน หลังจากที่สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพิ่งจะออกโรงครัวเคลื่อนที่และชุดบรรเทาทุกข์ซึ่งประกอบด้วยข้าวสารอาหารแห้งไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลาตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จนกระทั่ง หาดใหญ่กลับมาอยู่ในระยะฟื้นฟูกว่า 80%

ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นพี่น้องภาคไหน สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็ไม่ทอดทิ้งกัน โดยก่อนหน้านี้ได้ส่งข้าวสารและน้ำดื่มจำนวนมากไปยังประสาทตาเมือนธม มาแล้วหนึ่งครั้ง และพร้อมจะสนับสนุนต่อไปอีกหากการสู้รบยังคงยืดเยื้อ

ไล่ล่ากลางดึก! ดส.สกัดขบวนการค้ายานรก ทิ้งรถหนี ยึดยาบ้า 4 แสนเม็ดที่นครพนม

ตำรวจบูรณาการหลายหน่วย สกัดขบวนการลำเลียงยาเสพติดจากอีสานสู่กรุง คนร้ายเร่งเครื่องหลบหนี ก่อนจอดทิ้งรถในป่ารก ยึดยาบ้ากว่า 404,000 เม็ด ส่งพนักงานสอบสวนขยายผลล่าตัวเครือข่าย

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2568 เวลาประมาณ 00.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมผู้บังคับบัญชาระดับสูง และกำลังจาก กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.), ตำรวจตระเวนชายแดน กก.ตชด.23 รวมถึงชุดปฏิบัติการที่ 1 และ 4 ร่วมกันปฏิบัติการสกัดกั้นขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่จังหวัดนครพนม

การปฏิบัติการครั้งนี้ สืบเนื่องจากการสืบสวนทราบว่า จะมีการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อนำไปแพร่กระจายในกลุ่มเด็กและเยาวชนในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง โดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะ รับยาเสพติดจากจังหวัดนครพนม และใช้เส้นทางถนนหมายเลข 212 เป็นเส้นทางลำเลียง

กระทั่งคืนวันที่ 13 ธันวาคม 2568 เวลาประมาณ 23.00 น. เจ้าหน้าที่พบรถต้องสงสัยขับอยู่บริเวณบ้านกุดข้าวปุ้น อำเภอเมืองนครพนม มีลักษณะบรรทุกของหนักผิดปกติ บริเวณล้อและซุ้มล้อมีดินแดงและคราบโคลนติดอยู่ เมื่อเจ้าหน้าที่แสดงตัวและส่งสัญญาณให้หยุดรถ คนขับกลับเร่งเครื่องหลบหนี ก่อนนำรถไปจอดทิ้งไว้ในป่ารกทึบ พื้นที่อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม แล้วหลบหนีไป

จากการตรวจค้นรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบของกลางซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายรถ เป็น ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้า) จำนวนประมาณ 404,000 เม็ด จึงทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด และนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.นาโดน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเร่งขยายผลติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีต่อไป

จากเวที CEO CONNEXT ผู้นำที่ประเทศต้องการ ไม่ใช่แค่เก่งหรือกล้า ต้องยืนบนหลักนิติธรรม

เวที CEO CONNEXT ตอกย้ำบทเรียนผู้นำยุคใหม่ ใช้อำนาจรัฐต้องมีฐานกฎหมาย ยึดหลักนิติธรรม ซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อประชาชน พร้อมเปิดมุมมอง “มาตรฐานสินค้าเกษตร” เป็นอำนาจใหม่ในเกมการเมืองโลก

ที่โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ บรรยากาศการอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง CEO CONNEXT ผู้นำการเมืองเชิงยุทธศาสตร์ รุ่นที่ 1 (บนยศ.) เข้มข้นตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อ ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล ขึ้นเวทีบรรยายพิเศษหัวข้อ “สิ่งที่ผู้นำจำเป็นต้องมี ต้องทำ และต้องเป็น” ถอดบทเรียนผู้นำยุคใหม่ที่ไม่ใช่แค่เก่งหรือกล้า แต่ต้องยืนอยู่บนหลักกฎหมาย ยึดหลักนิติธรรม และรับผิดชอบต่อประชาชนอย่างแท้จริง

ศ.จรัญ ชี้ชัดว่า ผู้นำต้อง “มี” ให้เห็นเป็นสมบัติ นั่นคืออุดมการณ์ที่มั่นคง ชัดเจน ไม่คลอนแคลน ผู้นำต้อง “ทำ” เพื่อให้ประชาชนชื่นใจ คลายทุกข์ บรรเทาความเดือดร้อน และ ผู้นำต้อง “เป็น” นักบริหารฝีมือเลิศ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ฉ้อฉล เป็นทั้งนักสู้ นักสร้าง นักพัฒนา กล้าสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม

หัวใจสำคัญถูกตอกย้ำอย่างหนักแน่น คือการใช้อำนาจรัฐต้องอยู่ภายใต้ หลักความชอบด้วยกฎหมาย (Principle of Legality) และ หลักนิติธรรม (The Rule of Law) โดยระบุชัดว่า “ต้องมีกฎหมายให้อำนาจก่อน จึงจะใช้อำนาจได้” อำนาจใดไร้ฐานกฎหมาย ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย การใช้อำนาจต้องถูกต้องครบถ้วนทั้งเงื่อนไข ขอบเขต ขั้นตอน วิธีการ และกรอบเวลา อีกทั้งกฎหมายที่ให้อำนาจต้องไม่ขัดรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรม ตั้งอยู่บนหลักสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม และหลักความได้สัดส่วน พอเหมาะพอควรแก่กรณี

ขณะเดียวกัน เวทีเดียวกันนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นลินี สุรดินทร์กูร ประธานโครงการ และผู้อำนวยการสำนักงานบริการคุณภาพระบบมาตรฐาน บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด (Central Lab Thai) บรรยายหัวข้อ “มาตรฐานสินค้าเกษตร: อำนาจใหม่ในเกมการเมืองโลก” เปิดมุมมองเชิงยุทธศาสตร์ว่า มาตรฐานสากลไม่ใช่เพียงข้อกำหนดทางเทคนิค แต่คือ “เครื่องมือเชิงอำนาจ” ในเวทีการเมืองโลก เชื่อมโยงตั้งแต่สงครามการค้า ความมั่นคงทางอาหาร ความยั่งยืน สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ สะท้อนภาพการเมืองโลกที่ซับซ้อนและท้าทายยิ่งขึ้น

ด้านกิจกรรมภาคปฏิบัติ หลักสูตร CEO CONNEXT รุ่น 1 ยังเดินหน้าจัดกลุ่มโครงงานเชิงนโยบาย พร้อมอาจารย์ที่ปรึกษาประจำกลุ่ม เพื่อหล่อหลอมผู้นำจากแนวคิดสู่การลงมือทำ ได้แก่
•กลุ่มพญาครุฑ หัวข้อการพัฒนาการเมืองและการเมืองโปร่งใส (Good Governance Politics)
•กลุ่มหญานรสิงห์ การเมืองแบบมีส่วนร่วมและการกระจายอำนาจ
•กลุ่มพญาคชสีห์ สิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพของประชาชน
•กลุ่มพญานาคราช การคุ้มครองผู้บริโภคและองค์กรเพื่อสังคม

พร้อมกันนี้ ยังมีการประชุมวางแผนการศึกษาดูงาน ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเปิดมุมมองการบริหารรัฐ การเมือง และเศรษฐกิจในเวทีโลก

ทั้งหมดสะท้อนภาพชัดว่า การสร้างผู้นำยุคใหม่ ไม่ได้หยุดอยู่ที่วาทกรรม หากต้องเชื่อมโยง อุดมการณ์–กฎหมาย–นิติธรรม–อำนาจโลก เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อขับเคลื่อนประเทศบนเส้นทางที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน

ผู้เชี่ยวชาญชี้ ระบบสุขภาพไทยแม้เข้าถึง 99% แต่ยัง “ไม่เป็นธรรม”

ผู้เชี่ยวชาญเตือน ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพยากร คุณภาพบริการ ภาระเงินสมทบ และเกณฑ์การจ่ายที่ต่างกันระหว่างสามกองทุนยังเป็นความท้าทายใหญ่ของไทย ขณะที่บทเรียนจากญี่ปุ่นชี้ แม้มาตรการสร้างความเป็นธรรมอาจไม่ถูกใจทุกฝ่าย แต่เป็นสิ่งจำเป็นต่อความยั่งยืนของระบบสุขภาพ

ประเด็นด้านความเป็นธรรมของระบบสุขภาพถูกพูดถึงในเวทีเสวนาเรื่อง “กระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ในระหว่างการประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ศ. 2568 (National UHC Conference 2025) “SAFE financing: การเงินการคลังเพื่อระบบสุขภาพไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง” ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ (รางน้ำ)

งานดังกล่าวจัดขึ้นโดยเครือข่ายองค์กรด้านสุขภาพ อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ องค์การอนามัยโลก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)

B0600820

นางสาวภัทรพร เล้าวงค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนพัฒนาสังคม สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในระหว่างการเสวนาว่า แม้ไทยมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมประชากรมากถึง 99.73% แต่ยังมีประชากรอีก 4 ล้านคนที่เข้าไม่ถึงสิทธิ โดยเฉพาะกลุ่มคนในพื้นที่ห่างไกลและมีรายได้น้อย ทั้งยังพบการกระจายตัวของทรัพยากรและบุคลากรที่ไม่เป็นธรรมระหว่างพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทาย 3 ข้อที่กำลังกระทบความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ ได้แก่ 1. โครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย แม้จะมีสิทธิประโยชน์สำหรับคนกลุ่มนี้ แต่ยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพบริการที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างพื้นที่
2. การกระจายตัวของเทคโนโลยีการรักษาและการคัดกรองที่ไม่เป็นธรรมระหว่างพื้นที่และกลุ่มประชากร 3. การกระจายทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม ทั้งในส่วนของงบประมาณและการสนับสนุนให้พัฒนามาตรฐานและศักยภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล

ทางด้าน สพญ. ดร.อังคณา เลขะกุล เลขาธิการมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ เน้นย้ำว่า แม้ระบบสุขภาพไทยจะใช้กรอบการบริหารการเงิน SAFE คือ ความยั่งยืน (Sustainability) เพียงพอ (Adequacy) เป็นธรรม (Fairness) และประสิทธิภาพ (Efficiency) โดยสร้างตัวชี้วัดมานานกว่า 10 ปี แต่ตัวชี้วัดด้านความเป็นธรรมทุกตัวยังคง “เป็นสีแดง”

สพญ. ดร.อังคณา เน้นตัวชี้วัด 3 ข้อ ได้แก่ ตัวชี้วัด 8 ความเป็นธรรมภายในกองทุน โดยกองทุนบัตรทองและสวัสดิการข้าราชการใช้ภาษี แต่ประกันสังคมจ่ายด้วยเงินสมทบ และยังติดเพดานสมทบ ซึ่งคิดจากฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท แม้ฐานเงินเดือนเปลี่ยนไปมากแล้วในปัจจุบัน เกิดแนวโน้ม “คนจนจ่ายมากกว่าคนรวย” จึงเสนอให้พิจารณาปรับเพดานเงินสมทบเพิ่มเป็น 7 เท่าของค่าแรงขั้นต่ำ

ตัวชี้วัด 9 ความเป็นธรรมระหว่างกองทุน พบว่าแต่ละกองทุนจ่ายสมทบก่อนใช้บริการไม่เท่ากัน เช่น บัตรทองต้องจ่าย 30 บาท ประกันสังคมจ่ายผ่านการหักเงินเดือน และข้าราชการไม่ต้องจ่าย ข้อเสนอคือให้คนไทยทุกคนต้องมีส่วนจ่ายเงินสมทบ หรือทุกคนไม่ต้องจ่ายเลย
ตัวชี้วัด 10 การจ่ายเงินให้ผู้ให้บริการ พบว่ามีการจ่ายเพื่อดูแลผู้มีสิทธิข้าราชการมากที่สุด มีข้อเสนอให้ใช้รายจ่ายต่อหัวที่ปรับโดยโครงสร้างอายุ และปรับมาตรฐานการจ่ายในทุกกองทุนให้สถานพยาบาล “ราคาเดียวกัน”

สพญ. ดร.อังคณายังกล่าวว่า หนึ่งในวิธีแก้ปัญหาความเป็นธรรมคือการประสาน 3 กองทุน โดยมีร่าง พ.ร.บ.สร้างความกลมกลืนในระบบหลักประกันสุขภาพภาครัฐ ซึ่งกำหนด 5 ด้านของการประสาน ได้แก่ การกำหนดชุดสิทธิประโยชน์, ระบบรับ–ส่งต่อ, การจัดหาและใช้เงิน, การบริหารจัดการข้อมูล และระบบกำกับบริการและการคุ้มครองสิทธิ

“พ.ร.บ.ยังคงเป็นร่าง เพราะนโยบายจะสำเร็จ หน้าต่างโอกาสต้องเกิด แม่น้ำ 3 สายต้องมาบรรจบ มีแล้ว 2 สาย คือ นโยบายและผู้คนที่มาร่วมกันทำ แต่ขาดแม่น้ำสายสุดท้าย คือ การสนับสนุนทางการเมือง”

ทางด้าน ดร.มาโกโตะ โทเบะ (Makoto Tobe) ที่ปรึกษาอาวุโส แผนกพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากญี่ปุ่น ซึ่งกำลังเผชิญภาระด้านการเงินสุขภาพจากประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น

ดร.โทเบะ ชี้ว่า ความเป็นธรรมด้านการเงินสุขภาพยิ่งทำได้ยากขึ้นในสังคมสูงวัย คนวัยทำงานจำนวนมากในญี่ปุ่นเริ่มตั้งคำถาม เพราะประมาณ 40% ของเงินสมทบประกันสุขภาพของคนวัยทำงาน ถูกใช้สนับสนุนผู้สูงอายุ เหลือเพียง 60% สำหรับกลุ่มวัยทำงานเอง

“บางคนบอกว่าไม่ยุติธรรม แต่ในมุมของผม ระบบนี้ยุติธรรมดี เราควรสนับสนุนผู้สูงอายุร่วมกัน คำถามที่ถูกต้องไม่ใช่ว่าพวกเขาจ่ายเท่าไรในวันนี้ แต่เมื่อพวกเขาแก่ลง ระบบจะยังช่วยพวกเขาเหมือนที่ช่วยผู้สูงอายุรุ่นนี้หรือไม่”

ในปี 2546 คนวัยทำงาน 3.6 คนร่วมสมทบสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ 1 คน แต่เมื่ออัตราการเกิดของญี่ปุ่นลดลง ปัจจุบันเหลือคนวัยทำงาน 1.9 คน และคาดว่าจะเหลือเพียง 1.3 คนในปี 2593

เพื่อรักษาความเป็นธรรม ญี่ปุ่นกำหนดชุดสิทธิประโยชน์และสถานพยาบาลให้เหมือนกันทุกกองทุน ใช้มาตรการร่วมจ่าย ปรับอัตราสมทบสวัสดิการสังคมในปี 2551 ให้ผู้สูงอายุร่วมสมทบขั้นต่ำ 10% ของรายได้ และหากรายได้สูง ต้องร่วมสมทบ 20–30%

ญี่ปุ่นยังขึ้นภาษีการบริโภคเพื่อนำงบประมาณมาสนับสนุนระบบ แม้จะกระทบคนจนแต่ “ไม่มีทางเลือกอื่น” พร้อมลดต้นทุนด้วยการส่งเสริมยาสามัญ เสนอเพิ่มเพดานค่ารักษาที่ประชาชนต้องร่วมจ่าย แต่ถูกต่อต้านและต้องชะลอไปก่อน ขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาตัดยาที่ประชาชนซื้อเองโดยไม่มีแพทย์สั่งออกจากสิทธิประโยชน์

“การทำให้ระบบเป็นธรรม เราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ คนที่เคยได้ประโยชน์เดิมมักคัดค้านการเปลี่ยนแปลง การสร้างพื้นที่ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมจึงสำคัญมาก” ดร.โทเบะกล่าว

ดร.ภญ.ทิพิชา โปษยานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า ความเป็นธรรมต้องเกิดจากการมีส่วนร่วม สช.ผลักดันธรรมนูญสุขภาพเป็นกรอบให้หน่วยงานต่าง ๆ ใช้ขับเคลื่อนไปสู่ “ระบบสุขภาพที่พึงประสงค์”

ปัจจุบันใช้ธรรมนูญสุขภาพฉบับที่ 3 มุ่งสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรม ด้วยแนวคิด HIAP (Health in All Policies) คือ ทุกนโยบายต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การศึกษา หรือสิ่งแวดล้อม โดยย้ำการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพดี
ดร.ภญ.ทิพิชาเพิ่มเติมว่า สช.กำลังทำงานร่วมกับมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาตัวชี้วัดด้านความเป็นธรรมและวางแผนให้แล้วเสร็จภายในปีนี้

หนุนนวัตกรรมไทยลดความเหลื่อมล้ำ ชู “AI Chest X-ray” เพิ่มประสิทธิภาพตรวจคัดกรองวัณโรค – มะเร็งปอด

กรุงเทพฯ – 14 ธ.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ศ. 2568 “SAFE financing: การเงินการคลังเพื่อระบบสุขภาพไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง” ในเวทีเสวนา นวัตกรรมไทย แรงขับเคลื่อนสู่ความมั่นคงของระบบสุขภาพเละเศรษฐกิจของประเทศ ได้เน้นย้ำแนวทางลดความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์ และเพิ่มโอกาสเข้าการรักษาที่มีประสิทธิภาพของผู้ป่วย ภายใต้นโยบายสนับสนุนการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ฯ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

นางนริศา มัณฑางกูร ผู้อำนวยการโปรแกรมบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์และหุ่นยนต์ทางการแพทย์ขั้นสูง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า แม้ว่าในปัจจุบันระบบวิจัยนวัตกรรมของไทยจะมีเครื่องมือเยอะ แต่โจทย์ใหญ่คือจะทำอย่างไรในการนำเอานวัตกรรมและเครื่องมือเหล่านั้น ออกจากหิ้งไปสู่ห้าง หัวใจของการผลักดันและขับเคลื่อนนวัตกรรมการแพทย์สมัยใหม่ จึงไม่ได้อยู่แค่เพียงเรื่องงบประมาณเท่านั้น แต่อยู่ที่วิธีดำเนินการด้วยเช่นกัน ในทางปฏิบัติจึงต้องกำหนดทิศทางที่ชัดเจน โดยเฉพาะ 3 ด้านสำคัญ คือ

IOKE1060

1) การมองหานวัตกรรมลดความเหลื่อมล้ำของประเทศ เพื่อให้เครื่องมือเทคโนโลยีระดับสูงทางการแพทย์เข้าถึงทุกคนในพื้นที่ห่างไกลได้ ปิดข้อจำกัดจำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่กระจุกตัวในเมืองใหญ่ 2) การมองหาความคุ้มค่า เครื่องมือแพทย์ที่ผลิตได้เองในประเทศจะลดการนำเข้าปีละเกือบ 1 แสนล้านบาท เป็นโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้เครื่องมือที่ผลิตในประเทศ สามารถทดแทนการนำเข้าและนำไปขยายผลใช้งานได้จริง และ 3) การจัดทำบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นมาตรฐานไทยเทียบชั้นมาตรฐานโลก และเพื่อให้สามารถนำไปขายในต่างประเทศได้ด้วย

IOKE1063

นพ.นิธิวัชร์ แสงเรือง รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ระบุว่า สปสช. ในฐานะหน่วยงานรับไม้ต่อ ได้ดำเนินการขยายนวัตกรรมสมัยใหม่ที่คิดค้นโดยคนไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและการเข้าถึงของประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งภายใต้นโยบายสนับสนุนการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ฯ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีการวางรากฐานตั้งแต่ปีงบประมาณ 2560 โดยมติ ครม. ได้เห็นชอบให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อผลิตภัณฑ์ ที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทยได้อย่างน้อย 30% ของปริมาณความจำเป็นที่ต้องการใช้ ซึ่งคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ก็ได้ขานรับนโยบาย โดยสนับสนุนการจัดหาผลิตภัณฑ์ตามบัญชีนวัตกรรมไทย ทั้งในรายการยา เวชภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ตามโครงการพิเศษ

ล่าสุดในปีงบประมาณ 2568 มติบอร์ด สปสช. เห็นชอบกรอบประเมินความคุ้มค่าเพื่อการพัฒนาองค์กรมหาชนของ สปสช. โดยประเมินจากมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย/ผลิตในประเทศ และนำมาใช้ในระบบหลักประกันสุขภาพฯ พร้อมเน้นย้ำจุดยืนในการขยายผลสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นอุตสาหกรรมในประเทศและบัญชีนวัตกรรมไทยด้านการแพทย์ ซึ่งรวมถึงการร่วมทุน การส่งเสริมจากรัฐ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และส่งเสริมความมั่นคงทางสุขภาพ โดยพิจารณาคุณภาพผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยรวม

สำหรับงบประมาณสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ในบัญชีนวัตกรรมไทย ปีงบประมาณ 2568-2669 ได้จัดสรรเพิ่มขึ้นจาก 180 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท ครอบคลุมรากฟันเทียม ถุงทวารเทียมและแป้นปิดรอบลำไส้ แผ่นปิดกะโหลกไทเทเนียม ชุดตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับในปัสสวะ (OV-ATK) อุปกรณ์เท้าเทียมไดนามิกส์ และบริการอ่านภาพถ่ายรังสีเอกซเรย์ทรวงอกด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI Chest X-ray) ซึ่งในบริการสุดท้ายนี้ผลลัพธ์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่เพียงสามารถขยายการคัดกรองเข้าถึงผู้ป่วยได้ทุกกลุ่มและในทุกพื้นที่ ขณะเดียวกันยังเพิ่มความแม่นยำในการตรวจคัดกรอง และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของหน่วยบริการด้วย ซึ่งระหว่างปีงบประมาณ 2568-2570 สปสช. ได้กำหนดแผนการสนับสนุน AI Chest X-ray รวมทั้งสิ้น 415 ล้านบาท

B0601131 1

ด้าน สุพิชญา พู่พิสุทธิ์ บริษัท เพอเซ็ปทรา จำกัด ผู้พัฒนา AI Chest X-ray กล่าวถึงจุดเริ่มต้นในการพัฒนานวัตกรรม AI Chest X-ray โดยคนไทย ว่า เริ่มจากการมองหาโจทย์ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบการแพทย์และสาธารณสุขไทย มุ่งเน้นไปที่กลุ่มโรคสาเหตุเสียชีวิต 10 อันดับแรก พบว่าส่วนใหญ่เกี่ยวกับปอด ซึ่งข้อเท็จจริงที่ค้นพบคือหลายครั้งผู้ป่วยตรวจเจอช้าไป เนื่องจากประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนมีข้อจัดด้านจำนวนแพทย์เหมือนๆ กัน จึงมองว่า AI Chest X-ray จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ข้อจำกัดดังกล่าว จากนั้นจึงได้ดำเนินการพัฒนาร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีการนำข้อมูลของคนไทยและชาวเอเชีย เข้าไปเทรนด์ในระบบ AI เพื่อศึกษาเข้าใจความชุกของโรคของคนและภูมิภาคนี้ จากนั้นได้มีการปรับปรุงอีกหลายเวอร์ชันเพื่อตอบโจทย์การวิฉิจฉัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ เพราะเราต้องการทำคุณภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าของต่างประเทศ แต่ยังต้องเข้ากับบริบทของประเทศไทยและคนในภูมิภาคอาเซียนด้วย

ขณะที่ รศ.นพ.ตรงธรรม ทองดี หัวหน้าภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเสริมว่า หัวใจสำคัญของการสร้างนวัตกรรมใหม่คือต้องทำให้ผู้ใช้งานมีความสุข ขณะเดียวกันเครื่องมือเหล่านี้จะเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจวินิจฉัย ลดความผิดพลาดของรังสีแพทย์ ในฐานะตัวแทนอาจารย์แพทย์และเป็นหมอ X-ray เห็นถึงข้อจำกัดความไม่เพียงพอของแพทย์เฉพาะทาง ที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถอ่านฟิล์มได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากหมอที่จบใหม่ยังต้องใช้เวลาเรียนเพิ่มเพิ่มพูนประสบการณ์อีก 3 ปี ซึ่งในโรงเรียนแพทย์อย่างมากก็เทรนด์ได้ 200-300 คนเท่านั้น จึงไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ดังนั้น ระบบ AI Chest X-ray จึงเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความมั่นใจให้กับแพทย์ โดยเฉพาะประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองวัณโรคและมะเร็งปอดที่แม่นยำ เนื่องจากระบบมีฐานข้อมูลจำนวนมากหลายล้านภาพสำหรับประมวลผล

 “ปัญหาของคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คือส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิเลือก แต่เมื่อนำระบบ AI Chest X-ray มาใช้จะช่วยให้ผู้ป่วยไม่ว่าจะรักษาที่ไหน ก็เหมือนได้รักษามาตรฐานเดียวกับที่มาตรวจในโรงเรียนแพทย์ นับเป็นมาตรฐานใหม่ของคนไทย ซึ่ง สปสช. ก็ได้มอบสิทธิประโยชน์นี้ให้กับสถานบริการทั่วประเทศแล้ว” รศ.นพ.ตรงธรรม กล่าว

 พญ.ธัญพร กาญจนสุวรรณ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกาะสมุย ร่วมแบ่งปันผลการนำนวัตกรรม AI Chest X-ray ไปใช้ ว่า โรงพยาบาลเกาะสมุยเป็นโรงพยาบาลทั่วไป ขนาด 166 เตียง ปัจจุบันมีรังสีแพทย์ 2 คน ได้เริ่มนำระบบ AI Chest X-ray มาตรวจคัดกรองในปี 2567 โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 สามารถดำเนินการคัดกรองได้มากถึง 45,000 เคส ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากรในพื้นที่ นับเป็นนวัตรกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการตรวจคัดกรอง อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาในการแปลผลด้วย จึงช่วยให้แพทย์ผู้ตรวจรักษาที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านผล X-ray มีความมั่นใจมากขึ้น รวมถึงสามารถขยายพื้นที่ตรวจคัดกรองวัณโรคไปยังโรงพยาบาลชุมชนสามารถใช้ระบบ AI อ่านผลได้เช่นกัน เมื่อพบความผิดปกติก็สามารถส่งต่อการรักษาผ่านเครือข่ายได้ทันที ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาตรวจซ้ำ รวมถึงเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจคัดกรองวัณโรคปอดผู้ต้องขังในเรือนจำด้วยเช่นกัน

0T7A9673

 “ผลลัพธ์การดำเนินการในปีงบประมาณที่ผ่านมา ไม่เพียงช่วยเพิ่มจำนวนการอ่านภาพ X-ray ได้มากกว่า 100,000 ภาพ โดยมีต้นทุนเพียงภาพละ 4 บาทเท่านั้น ยังช่วยลดระยะเวลาในการแปลผลคัดกรองจาก 48 ชั่วโมง เหลือเพียง 15 นาที ที่สำคัญคือความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคปอดเพิ่มขึ้นเป็น 96.3% จาก 87% ไม่เพียงเท่านั้นในด้านการยกระดับบริการสาธารณสุข ยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรบุคคลลง 35% ลดอัตราแพร่เชื้อวัณโรคในเรือจำได้มากกว่า 62% และประหยัดงบประมาณได้ถึง 7.2 ล้านบาท” พญ.ธัญพร กล่าว

 ภญ.ธมลวรรณ ดุลสัมพันธ์ มูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ ชี้ว่าเป็นเรื่องปกติที่การนำนวัตกรรมและระบบ AI เข้ามาเพิ่มเติมในการตรวจคัดกรอง ย่อมตามมาด้วยจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามจากการประเมินความคุณค่าทางเศรษฐศาสตร์ โดยวิเคราะห์ต้นทุนที่เกิดขึ้นและผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ได้รับ ผลศึกษายืนยันว่าระบบ AI Chest X-ray มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ สะท้อนจากผลลัพธ์ทั้งตัวเลขจำนวนการตรวจคัดกรอง ทั้งในโรงพยาบาลและการออกตรวจแบบโมบายในพื้นที่ชุมชนห่างไกล รวมถึงในเรือนจำที่ต้องป้องกันการแพร่ระบาดมากกว่าปกติ เนื่องจากโดยทั่วไปหากเป็นในโรงพยาบาลผู้อ่านผลจะเป็นรังสีแพทย์ แต่ในการออกพื้นที่อาจเป็นแพทย์ทั่วไป เมื่อนำระบบ AI เข้ามาใช้จึงเพิ่มความแม่นยำมากขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก อีกทั้งป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทั้งในครอบครัวและชุมชนด้วย

โฆษกกองทัพเรือยืนยัน ฉก.นย.ตราดถูกโจมตีจริง คุมเข้มชายแดน สถานการณ์อยู่ในความควบคุม

โฆษกกองทัพเรือยอมรับเหตุฝ่ายตรงข้ามแทรกซึมก่อวินาศกรรมในพื้นที่จังหวัดตราด หวังสร้างความไม่สงบ กปช.จต.เร่งยกระดับความมั่นคง ประกาศเคอร์ฟิวบางพื้นที่ ตั้งด่านเข้ม ย้ำความปลอดภัยประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมขอความร่วมมือเสพข่าวจากทางการเท่านั้น

ตามที่ปรากฏกระแสข่าวในสื่อและสื่อสังคมออนไลน์ กรณีกองบังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ฉก.นย.ตราด) ถูกโจมตีนั้น

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ขอเรียนให้ประชาชนทราบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นความจริง โดยเป็นการกระทำของฝ่ายตรงข้ามที่แทรกซึมมาในพื้นที่จังหวัดตราด และพยายามก่อวินาศกรรมต่อสถานที่สำคัญทางทหารและราชการ เพื่อสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน

ทั้งนี้ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ได้ดำเนินมาตรการด้านความมั่นคงอย่างเข้มงวดและรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะดังกล่าวขึ้นซ้ำอีก โดยได้มีการ
• ประกาศใช้มาตรการห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนดในบางพื้นที่
• จัดตั้งด่านตรวจและด่านความมั่นคงในจุดสำคัญ
• เพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยของที่ตั้งทางทหารและพื้นที่โดยรอบ

กองทัพเรือขอยืนยันว่า ขณะนี้สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายความมั่นคง และกำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง รอบคอบ และยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญสูงสุด

ขอความร่วมมือประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการ และหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

สำนักงานโฆษกกองทัพเรือ
14 ธันวาคม 2568

ตราดเดือดกลางดึก! เรือรบหลวงและนาวิกโยธินยิงจากอ่าวไทย สยบฐานปืนใหญ่กัมพูชา

ชายแดนตราดปะทุเดือดกลางดึก เรือรบหลวงและนาวิกโยธินระดมยิงตอบโต้ หลังพบโดรนกัมพูชาบินส่องพิกัดฐานทหารไทย เสียงปืนสนั่นหลายระลอก ชาวบ้านผวาเร่งอพยพหนีความวุ่นวาย

เรือรบหลวงระดมยิงปืนเรือจากอ่าวไทยโจมตีตำแหน่งฐานปืนใหญ่กัมพูชา ด้านนาวิกโยธินไม่ยอมระดมทั้งปืนเล็กตอบโต้โดรนกัมพูชาบินว่อน คาดส่องพิกัดฐานที่มั่นทหารไทย ก่อนจัดปืนใหญ่ยิงฐานที่มั่น กพช. ขณะที่ชาวบ้านตกใจคว้าข้าวของ – ขับขี่รถออกพากันอพยพกันวุ่น

และทันทีที่ชาวบ้านขี่รถออกไปก็มีเสียงปืนเล็กดังสนั่นหวั่นไหวรัวหลายสิบนัด โดยเสียงดังมาจากฝั่งบ้านชำราก และผู้สื่อข่าวทราบภายหลังว่าเจ้าหน้าที่ตรวจพบโดรนบินว่อนเต็มพื้นที่ ทั้งบ้านตำบลตะกาง – ตำบลชำราก พร้อมเชื่อว่ากัมพูชาพยายามหาพิกัดทางการทหารของไทย ด้านทหารไทยจึงยิงปืนเล็กสวนกลับเพื่อสกัดโดรนและตอบโต้โดรนที่บินรุกล้ำฝั่งไทย จากนั้นมีเสียงดังตู้ม ทราบภายหลังว่าเป็นปืนใหญ่โจมตีฐานที่มั่นของกัมพูชา เสียงปืนเล็กดังอีกชุด ทราบว่าทหารปฏิบัติการตอบโต้โดรนกัมพูชา ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่อพยพกันวุ่น

นอกจากนี้ในเวลาใกล้เคียงกัน เพจ Army Military Force โพสต์ Facebook ระบุว่า เวลา 22:12 น. แนวรบุตราดยังคงดุเดือด เรือรบหลวงระดมยิงปืนเรือจากอ่าวไทยโจมตีตำแหน่งฐานปืนใหญ่กัมพูชา ขณะนาวิกฯ ปฏิบัติการในพื้นที่ ระดมยิงปืนใหญ่ใส่ตำแหน่งทหารกัมพูชาเช่นกัน

“กลุ่มสังคมนิยมแรงงาน” เรียกร้องสันติภาพ หยุดสงครามชายแดน “ไทย-กัมพูชา”

วันที่ 13 ธ.ค. 68 เมื่อเวลา 15.00 น. กลุ่มสังคมนิยมแรงงาน กลุ่มสังคมนิยมแรงงาน รวมตัวที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร (BACC) เรียกร้องสันติภาพ หยุดยิง หยุดสงครามชายแดน “ไทย-กัมพูชา” ระบุ สงครามเป็นประโยชน์ต่อกองทัพ 2 ประเทศ และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน สมาชิกสังคมนิยมแรงงาน มองว่า ประชาชนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา 800 กม. ใช้ชีวิตเรื่อยกันมาโดยตลอด อาจจะมีข้อพิพาท หรือการทะเลาะเบาะแว้ง แต่ว่าไม่เคยเกิดการปะทะลุกลามเรื่อยมาขนาดนี้ “รัฐบาลรักษาการอย่างอนุทิน ต้องเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในชายแดนขึ้นสู่โต๊ะเจรจา จะต้องไม่มีศพของทหารทั้ง 2 ฝ่าย”

ต่อมาเวลาประมาณ 17:20 น. ตัวแทนองค์กรสังคมนิยมแรงงาน ได้ขึ้นกล่าวข้อเสนอแนะต่อแกนนำพรรคประชาชน เรื่องจุดยืนสันติภาพไทย-กัมพูชา ณ สนามฟุตบอล มศว. กิจกรรมปิกนิกพรรคประชาชน