มูลนิธิพุทธภูมิธรรม – พล.1 รอ. มอบชีวิตใหม่ให้โค-กระบือ ถวายเป็นพระราชกุศล

ลพบุรี, วันที่ 15 ธ.ค. – มูลนิธิพุทธภูมิธรรม โดย นายวิจักษณ์ สองจันทร์ ประธานมูลนิธิฯ และ น.ส.สาธิมา ลาชโรจน์ ผอ.ศูนย์อำนวยการ เป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธา ไถ่ชีวิตโค-กระบือ รวม 5 ตัว เป็นโคเพศเมีย 2 ตัว ลูกโค 1 ตัว และกระบือเพศเมีย 2 ตัว เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) โดยส่งมอบให้หน่วยในพื้นที่ จ.ลพบุรี ดำเนินการอภิบาลดูแล “ตลอดอายุขัย” (ห้ามนำไปใช้งานส่วนตัว หรือจำหน่าย) พร้อมสร้างคอก โค-กระบือ ให้

สำหรับพิธีไถ่ชีวิตโคกระบือนี้ ได้รับเกียรติจาก พล.ต.กิตติ ประพิตรไพศาล ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) พร้อมด้วย นางปณิกา ประพิตรไพศาล ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก (สม.ทบ.) สาขา พล.1 รอ., กำลังพล และคณะแม่บ้าน บก.พล.1 รอ. มาร่วมพิธี

นายวิจักษณ์ กล่าวว่า ขณะทำการส่งมอบ เหมือนโคกระบือจะรับรู้ว่ารอดแล้ว กระดิกหูดีใจ และไม่มีการตื่นกลัว อยู่นิ่งสงบกระดิกหางไปมา ซึ่งต้องขอบคุณท่านผู้ใจบุญทั้งหลาย บุญของท่านสำเร็จแล้ว และขอให้อานิสงส์ไถ่ชีวิตโคกระบือนี้ โปรดคุ้มครองป้องกันทหารไทยที่กำลับรบชายแดน

สำหรับอานิสงส์แห่งการให้ชีวิต (อภัยทาน) อายุยืนยาว สุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ,  พ้นจากความทุกข์ ช่วยสะเดาะเคราะห์ แก้กรรม ผ่อนหนักให้เป็นเบา, ความสุขความเจริญ ชีวิตมีความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน, เมตตาธรรม เป็นการเจริญเมตตาธรรมในจิตใจ ส่งผลให้เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา

“โอ๊ค–ภรรยา” เยี่ยม “ทักษิณ” ครั้งที่ 25​ เผยคุยเพียงเรื่องหลานและสุขภาพ ย้ำไม่แตะการเมือง

ครอบครัวชินวัตรเข้าเยี่ยม “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ครบ 3 เดือน 6 วัน โอ๊คเผยคุยเพียงเรื่องหลานและสุขภาพ ย้ำไม่แตะการเมือง ขณะที่กรมราชทัณฑ์ยืนยันยังคงชั้นกลาง ยังไม่เสนอเลื่อนชั้นในเดือนธันวาคมนี้

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ธ.ค. ที่ เรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งในวันนี้ถือเป็นการเยี่ยมครั้งที่ 25 หลังคุมขังมาแล้วเป็นระยะเวลา 3 เดือน 6 วัน โดยสมาชิกครอบครัวที่เป็นตัวแทนเดินทางมาเยี่ยมในครั้งนี้ คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ณัฐฐิญา ปวงคำ หรือติ๊ก ภรรยาของนายพานทองแท้

สำหรับบรรยากาศที่บริเวณด้านหน้าเรือนจำฯ ยังมีมวลชนคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งมารอต้อนรับและให้กำลังใจ โดยเมื่อขบวนรถของครอบครัวชินวัตรมาถึง นายพานทองแท้ ชินวัตร และภรรยา ได้ลงจากรถ ยกมือไหว้ทักทายสื่อมวลชนและคนเสื้อแดง ก่อนเดินเข้าไปด้านในเรือนจำฯ พร้อมกับนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวของนายทักษิณ โดยยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแต่อย่างใด

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายพานทองแท้ และภรรยา ได้ออกมาเปิดเผยสั้น ๆ กับสื่อมวลชน ว่า วันนี้ตนได้พูดคุยกับคุณพ่อเรื่องหลาน ๆ และอัปเดตสุขภาพโดยรวมของคุณพ่อ ส่วนเรื่องการเมืองภายหลังมีการยุบสภาเกิดขึ้น ตนก็ไม่ได้คุยกับคุณพ่อเรื่องนี้เลย ก่อนยกมือไหว้ขอบคุณสื่อมวลชน และเดินทางกลับออกจากเรือนจำกลางคลองเปรม

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานเพิ่มเติมจากกรมราชทัณฑ์ ว่า นายทักษิณ ชินวัตร ปัจจุบันยังเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นกลาง ยังไม่ได้เลื่อนปรับเป็นชั้นดี เนื่องด้วยกระบวนการของระดับเรือนจำกลางคลองเปรม ยังไม่ได้มีการรวบรวมรายชื่อผู้ต้องขังใดเสนอปรับเลื่อนชั้นไปยังส่วนกลางกรมราชทัณฑ์ เพื่อพิจารณาเห็นชอบ จึงยังคงชั้นกลางดังเดิม ทั้งนี้ กรณีนายทักษิณ ชินวัตร ภายในเดือน ธ.ค.68 ทางเรือนจำกลางคลองเปรม จะยังไม่มีการเสนอปรับเลื่อนชั้นไปยังกรมราชทัณฑ์พิจารณา แต่ราวเดือน เม.ย.69 จึงจะได้พิจารณาปรับเลื่อนชั้นจากผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นกลางเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นดี

“อรรถวิชช์” พาผู้เสียหายบุก ปคบ. แฉคอนโดดัง 5 โครงการ เบี้ยวสร้าง-อมเงินกู้ เสียหายยับ

“อรรถวิชช์” พา ผสห.ร้อง บก.ปคบ. สอบกลุ่มบริษัทอสังหาฯ เจ้าของคอนโดแบรนด์ดัง 5 โครงการ ย่านลาดพร้าว-รัชดาฯ หลังพบปัญหาเบี้ยวสร้าง-อมเงินกู้ส่วนต่าง-น้ำท่วมตึก เสียหายยับ

วันที่ 15 ธ.ค.68 เวลา​ 10.00น. ที่ศูนย์แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยนายชณทัต ปัทะมะภูวดล (แม็ค) พา ผสห.เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบ.ปคบ.) เพื่อขอให้ตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีประชาชนผู้ซื้ออาคารชุดจากกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทในเครือ ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายจำนวนมาก

นายอรรถวิชช์ เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มผู้เสียหายที่ซื้อคอนโดมิเนียมในโครงการ ชื่อดัง รวม 5 โครงการ ย่านรัชดา-ลาดพร้าว ซึ่งเริ่มเปิดขายตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน พบพฤติการณ์ที่สร้างความเสียหายในรูปแบบต่างๆ ดังนี้

  1. โครงการสร้างเสร็จแต่ไม่ได้คุณภาพ: ในโครงการ “รัชดา-ลาดพร้าว” พบปัญหาน้ำท่วมชั้น 1 จนระบบไฟฟ้าเสียหายทั้งอาคาร ผู้พักอาศัยต้องย้ายออกโดยไม่ได้รับการเยียวยา นอกจากนี้ยังมีผู้ซื้อที่โอนกรรมสิทธิ์แล้วแต่กลับถูกล็อกห้อง ไม่ได้รับกุญแจเข้าห้องพัก
  2. ปัญหาเงินกู้ส่วนต่าง (เงินทอน): ในโครงการ ” ลาดพร้าว 18″ พบว่าทางโครงการรับเงินสินเชื่อส่วนต่างสำหรับตกแต่งห้องจากธนาคารไปแล้ว แต่ไม่ยอมโอนคืนให้กับผู้ซื้อตามตกลง
  3. โครงการลม-สร้างไม่เสร็จ: ในโครงการ “รัชดา 7″, ” ลาดพร้าว 20″ และ ” ลาดพร้าว 1″ พบว่ามีการโฆษณาขายและเก็บเงินดาวน์จากประชาชนไปแล้ว แต่การก่อสร้างล่าช้า ไม่แล้วเสร็จ หรือบางโครงการยังไม่มีการเริ่มก่อสร้างเลย ทั้งที่เปิดขายต่อเนื่องกันมาหลายปี

“ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีความซับซ้อนและมูลค่าสูง พฤติการณ์ของกลุ่มบริษัทอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ จึงต้องขอให้ตำรวจ ปคบ. ใช้ความเชี่ยวชาญในการสืบสวนเส้นทางการเงินและข้อเท็จจริง เพื่อคืนความยุติธรรมให้ผู้บริโภค” นายอรรถวิชช์ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.สุทธิสาร แล้วเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ผ่านมา ก่อนจะรวมตัวกันมาร้องเรียนที่ ปคบ. ในวันนี้ เพื่อให้เร่งดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

“ณัฐพงษ์” ชี้พิรุธเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ยัน ปชน.ยังมีฐานใหญ่ มั่นใจประชาชนเห็นผลงาน เชื่อวันเลือกตั้งหัวคะแนนธรรมชาติช่วยดึงคนมากาให้

ที่โรงแรม Maple Hotel กรุงเทพมหานคร, วันที่ 14 ธันวาคม – พรรคประชาชน (ปชน.) จัดงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 เครือข่ายผู้ใช้แรงงานพรรคประชาชน เพื่อรายงานผลการดำเนินงาน และหารือยุทธศาสตร์การเลือกตั้งและการทำงานของเครือข่ายแรงงานพรรคประชาชน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ได้ร่วมบรรยายและแลกเปลี่ยนกับสมาชิกเครือข่าย พร้อมกล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ณัฐพงษ์ระบุว่าในกิจกรรมขอโทษประชาชนเมื่อวันที่ 13 แม้ผู้สนับสนุนพรรคหลายคนจะแสดงความเห็นด้วยความเข้าใจว่าพรรคตัดสินใจด้วยเหตุผลอะไร แต่ตนเชื่อว่าเป็นหน้าที่ และความรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารพรรคที่จะต้องรับฟังความรู้สึกเจ้าของพรรคทุกคน แม้ที่ผ่านมาพรรคประชาชนจะให้สมาชิกแสดงความเห็นกันเข้ามา และกว่า 70-80% จะเห็นด้วยไปในทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่พรรคตัดสินใจ แต่ก็ยังมีอีกประมาณ 30% ที่เห็นต่างไปอีกแบบหนึ่ง 

ในความเป็นพรรคมวลชน สิ่งที่จำเป็นก็คือการแสดงออกถึงความรับผิดรับผิดชอบต่อสมาชิกทุกคน พรรคไม่ได้ยึดหลักแค่เสียงข้างมากเพียงอย่างเดียว การเป็นพรรคมวลชนที่เติบโตขึ้นได้ต้องตัดสินใจร่วมกัน ยึดเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องรับฟังเสียงส่วนน้อยและแสดงความรับผิดรับผิดชอบต่อคนทุกกลุ่มที่เป็นเจ้าของพรรคร่วมกัน

ณัฐพงษ์กล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมา พรรคชนะการเลือกตั้งแต่โดนเสียง สว. ฉุดรั้งไว้ พิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่เรื่องการทำบันทึกข้อตกลง (MOA) เองที่บางส่วนอาจจะมองว่าถูกเขาหลอก ตนเห็นว่าที่จริงแล้วนี่เป็นวิถีในการทำงานการเมืองแบบที่พรรคประชาชนตั้งใจทำมา และสิ่งที่ทุกคนทำงานมามันสร้างความสำเร็จหลายอย่าง ตอนนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ที่คุ้มครองสิทธิลาคลอดก็ผ่านไปแล้ว นี่คือผลงานของทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ร่วมกัน ยังมีอีกหลายอย่างที่ทุกคนผลักดันร่วมกันได้สำเร็จ ในปีถัดไปเรายังมีวาระที่ต้องทำกันต่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีวันหยุดสัปดาห์ละ 2 วัน และยังมีสิทธิอื่นๆ ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันผลักดันต่อจากนี้

ในเรื่องของบอร์ดประกันสังคม ล่าสุดมีความน่าสงสัย กำลังจะมีการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมใหม่ แต่อยู่ดีๆ กลับมีการออกระเบียบที่ไม่ได้มีตัวแทนจากฝั่งนายจ้างและผู้ประกันตนร่วม แต่ให้ข้าราชการมาออกกฎระเบียบทั้งหมด นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องเฝ้าจับตามอง การทำงานของทีมประกันสังคมก้าวหน้าที่ผ่านมามีความสำเร็จหลายด้าน อย่างเช่นการเพิ่มสิทธิในการดูแลเด็กเล็ก หรือสิทธิดูแลในยามว่างงานที่เพิ่มขึ้น มีหลายอย่างที่มีการทำงานอยู่เบื้องหลังที่ไม่ได้ออกหน้าข่าวมาก แต่การทำงานการเมืองเช่นนี้ที่เรายึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก จะเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐาน ที่ทำให้เมื่อถึงวันเลือกตั้งสุดท้ายประชาชนจะตัดสินใจเลือกพรรคประชาชน

ณัฐพงษ์กล่าวว่า จากผลสำรวจคะแนนความนิยมของพรรคการเมือง คะแนนก้อนใหญ่ที่สุดก็คือคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ โดยสถานการณ์ที่รุมล้อมพรรคประชาชนในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เรื่องเอ็มโอเอ หรือเรื่องใดก็ตาม ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แนวโน้มผลโพลจะออกมาเป็นแบบนี้ แต่ถ้ามองดูตัวเลขทุกพรรคการเมืองมากาง พรรคประชาชนยังมีฐานที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับทุกพรรคอยู่ดี สะท้อนให้เห็นว่าพรรคประชาชนมีผู้สนับสนุน มีคนที่เห็นการทำงานของพรรคอย่างเข้มข้นมาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ทุกคนในพรรคทำงานสะสมกันมา และทำให้ประชาชนเชื่อใจว่าพรรคทำเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศแน่นอน แล้วฐานนี้เติบโตและใหญ่ขึ้นทุกวัน

ถ้าย้อนไปดูการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2562-2566 เอาวันเลือกตั้งเป็นตัวตั้งแล้วถอยมา 1-2 เดือนก่อนถึงวันเข้าคูหา ฐานคะแนนที่มั่นของพรรคส้มเติบโตขึ้นและใหญ่ขึ้น นี่คือกลุ่มคนที่จะเป็นกระบอกเสียงสำคัญที่เราเรียกว่าเครือข่ายหัวคะแนนธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาใกล้วันเข้าคูหาทุกคนจะมีภารกิจร่วมกันในการเป็นหัวคะแนนธรรมชาติ ในการโน้มน้าวประชาชนคนไทยที่อาจจะยังไม่รู้ว่าจะโหวตให้ใคร ให้สุดท้ายวันเข้าคูหาโหวตให้กับพรรคประชาชน นี่คือสิ่งที่ตนมีความเชื่อมั่นและอยากบอกว่าสิ่งที่ทุกคนทำงานร่วมกันมา แม้จะเป็นฝ่ายค้านมาโดยตลอด โดนทุบทำลายมาหลายครั้ง โดนกระแสและปัญหารุมล้อมหลายอย่าง แต่วันนี้การทำงานอย่างเข้มข้นของทุกคนทำให้พรรคประชาชนเติบโตเดินทางมาจนถึงทุกวันนี้

ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าส่วนหนึ่งยุทธศาสตร์ของพรรคประชาชนคือการเปลี่ยนความเชื่อใจให้เป็นความเชื่อมือ ตอนนี้คนไม่ได้สงสัยแล้วว่าพรรคประชาชนไม่เทาแน่นอน หรือสงสัยว่าจุดยืนทางการเมืองเป็นอย่างไร แต่พรรคประชาชนไม่ได้มีประวัติในอดีตที่เคยมีอำนาจเข้าไปอยู่ในฝ่ายบริหาร จึงทำให้คนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ในผลโพลอาจจะยังไม่เชื่อมั่น ว่าถ้าเลือกพรรคประชาชนแล้วจะเข้าไปสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง

นี่จึงเป็นที่มาที่พรรคประชาชนพยายามออกแบบการคัดเลือกผู้สมัครโดยกระบวนการคัดสรรที่มีความเข้มข้น ปีกแรงงานก็เช่นเดียวกัน ที่จะมีกระบวนการคัดเลือกภายในปีกแรงงาน ที่ตนเชื่อว่าจะทำให้ได้แคนดิเดตที่ดีที่สุด ที่เป็นตัวแทนของชาวแรงงาน เข้าไปเป็นตัวแทนที่อยู่ในลำดับบัญชีรายชื่อที่พร้อมให้ประชาชนเลือก หลังจากนี้ยังมีแผนในการเปิดตัวคณะผู้บริหารอีกหลายคน และตนเชื่อมั่นว่าจากวันนี้จนถึงวันเลือกตั้ง ยิ่งเข้าใกล้วันเลือกตั้งมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทุกคนช่วยกันทำงาน ช่วยกันบอกต่อ ยิ่งมีคณะบริหารที่เข้ามาช่วยกันเปิดตัวมากขึ้น เห็นหน้าค่าตาของคนที่จะเข้าไปบริหารประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งเป็นสิ่งที่ช่วยส่งต่อให้พรรคประชาชนสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้

ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าคือจุดชี้เป็นชี้ตายของประเทศ เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ที่การเลือกตั้งจะเป็นการตัดสินอนาคตของประเทศโดยเสียงของประชาชนจริงๆ เพราะนับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา แต่ละการเลือกตั้งเสียงของประชาชนแทบไม่ได้มีความหมาย เพราะมีเครื่องมือทางการเมืองในการเข้ามาขัดขวางตั้งแต่ยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แต่ในการเลือกตั้งครั้งหน้ากลไกและกติกาต่างๆ เริ่มถูกคลายล็อกออกไปบ้างแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้จึงถือเป็นภารกิจตัดสินอนาคตประเทศ

“พีระพันธุ์” บี้ตัดกำลังเขมร หนุนปิดอ่าวไทยสกัดส่งน้ำมัน  จี้ ‘ตัดไฟ-ตัดเน็ต’ ขั้นเด็ดขาด  เตือน ‘ช่วยข้าศึก’ โทษอาญาร้ายแรง

กรุงเทพฯ, วันที่ 15 ธันวาคม – นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แสดงความเห็นต่อสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยสนับสนุนให้รัฐบาลใช้มาตรการ “ตัดช่องทางลำเลียงยุทธปัจจัย” เข้าสู่กัมพูชาอย่างเด็ดขาด ซึ่งเห็นด้วยกับมาตรการล่าสุดของกองทัพที่สั่งให้ปิดอ่าวไทยและช่องทางอื่นๆ เพื่อสกัดการลำเลียงยุทธปัจจัยโดยเฉพาะน้ำมันไปยังประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตนเสนอมาอย่างต่อเนื่อง และได้ตอบคำถามในโซเชียลมีเดียก่อนหน้านี้ว่า จำเป็นต้องตัดช่องทางการลำเลียงน้ำมันและยุทธปัจจัยต่าง ๆ เข้าสู่ประเทศกัมพูชาให้หมด

นายพีระพันธุ์ระบุว่า นอกจากน้ำมันแล้ว ยังมีประเด็นสำคัญอีกเรื่อง คือ เรื่องไฟฟ้า โดยคณะรัฐมนตรีชุดก่อนได้มีมติให้ยุติการขายและส่งไฟฟ้าไปยังกัมพูชาแล้ว และนายพีระพันธุ์ได้ย้ำให้ตรวจสอบว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการแล้วหรือไม่ ขณะเดียวกัน เรื่องสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ต้องเข้มงวดไม่แพ้กัน ต้องตรวจสอบอย่างจริงจัง ว่ามีการลักลอบส่งสัญญานอินเตอร์เน็ตหรือไม่ และการบังคับใช้กฎหมายจะต้องเป็นไปอย่างเด็ดขาด มีบทลงโทษที่ชัดเจน

หัวหน้าพรรค รทสช. ย้ำว่า การดำเนินการทั้งหมดต้องมีการตรวจสอบและกวดขันอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในประเด็นการช่วยเหลือฝ่ายตรงข้าม “เราต้องถือว่า การส่งยุทธปัจจัยนับเป็นการช่วยเหลือข้าศึกศัตรูของประเทศ ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมายอาญา”

หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคไทยก้าวใหม่ เรียกร้องตัวแทนภาคเอกชนลงพื้นที่สังเกตการณ์รัฐบาลได้ดำเนินการเยียวยาและฟื้นฟูอย่างจริงจังหรือไม่

ดร.บิ๊ก คเณศ วังส์ไพจิตร หัวหน้าทีมเศษรฐกิจ พรรคไทยก้าวใหม่ ชี้ ยุบสภาจะทำให้เศรษฐกิจสะดุด ในขณะที่ประชาชนยังต้องจ่ายราคาแพงทุกวัน การยุบสภาอาจเป็นเกมการเมืองของคนบางกลุ่ม แต่สำหรับประชาชน นี่คือช่วงเวลาที่เศรษฐกิจถูก “เหยียบเบรก” พร้อมกันทั้งประเทศ

เมื่อรัฐบาลเข้าสู่สถานะ รัฐบาลรักษาการ ประเทศถูกมัดมือชก นโยบายเศรษฐกิจสำคัญ “ทำต่อไม่ได้” ได้แก่

  • โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและงบลงทุนรัฐใหม่
  • มาตรการแก้หนี้ประชาชนและ SMEs เชิงโครงสร้าง
  • แพ็กเกจดึงดูดการลงทุนและ FDI ระยะยาว
  • โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านคมนาคมและพลังงาน
  • มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ภัยพิบัติและจังหวัดชายแดนอย่างจริงจัง

ในขณะที่นโยบายถูกแช่แข็ง ค่าครองชีพไม่เคยหยุดแพง หนี้ครัวเรือนยังเพิ่ม SMEs ล้มเงียบทุกวัน ปลายปี 2568 9 จังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ เผชิญรายได้หาย เศรษฐกิจท้องถิ่นหยุดหมุน ขณะที่ จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา การค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนถดถอยถึงหยุดนิ่งจากความไม่แน่นอนด้านความมั่นคง

ดร.บิ๊ก เชื่อ รายได้และกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งระบบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อัตราการขยายตัวของ GDP ปี 2568 อาจเหลือ 1.9% จากเดิมที่คาดการไว้ 2.0% ผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้จะทำให้รายได้ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2568 หดตัว 30,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะลากยาวไปถึงปี 2569 รวมอาจสูงถึง 90,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจในพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักจากการหยุดชะงักการใช้จ่ายและการผลิตภาคท้องถิ่นอย่างจริงจัง และจากความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา ความเสียหายทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับ กว่า 10,000 ล้านบาท ยังไม่รวมทั้งมูลค่าการค้าชายแดนที่หายไปและผลกระทบข้ามโซ่ห่วงโซ่อุปทานอื่นๆ

รัฐบาลบอกว่า “กำลังดูแล” แต่คำถามคือ ดูแลจริงแค่ไหน และใครตรวจสอบ?

ผมขอเรียกร้องให้ ผู้แทนภาคเอกชน กกร. สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ สมาคมธนาคารไทย และองค์กรธุรกิจในพื้นที่ ช่วยกันลงพื้นเพื่อติดตามและสังเกตการณ์ว่า รัฐบาลได้ดำเนินการเยียวยาและฟื้นฟูอย่างจริงจังหรือไม่ เงินเยียวยาถึงมือประชาชนหรือไม่ เศรษฐกิจชายแดนได้รับการประคองอย่างเพียงพอหรือเปล่าเพราะเมื่อการเมืองหยุดตรวจสอบ สังคมและภาคเอกชนต้องไม่เงียบ ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่ขาดรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มและกล้ารับผิดชอบ และขาดแรงกดดันให้การเยียวยาเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่ในข่าว

การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เลือกคนเข้าไปนั่งในสภา แต่คือการเลือกว่าจะปล่อยให้ประชาชนแบกรับต้นทุนจากความล้มเหลวทางการเมืองต่อไป หรือจะมีรัฐบาลที่ทำงานได้จริง “เศรษฐกิจต้องเดินหน้า และประชาชนต้องไม่ถูกปล่อยให้ยืนลำพัง”

สิ้น “นายตำรวจป่า- เจ้าของวลีม๊อบมีเส้นในตำนาน พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ” อดีต ผบ.ตร.–รองนายกฯ มือปราบ ผู้วางรากฐานความมั่นคงชายแดนไทย

วงการตำรวจและการเมืองไทยสูญเสียบุคคลสำคัญอีกหนึ่งราย เมื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เจ้าของวลี”ม๊อบมีเส้น“ได้ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ สิริอายุ 78 ปี​ หลังเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บทางสมองจากอุบัติเหตุล้มศีรษะกระแทกพื้น และมีภาวะเลือดคั่งเฉียบพลันใต้เยื่อหุ้มสมอง โดยแพทย์ได้ดูแลอย่างใกล้ชิดในหอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมประสาท​ ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และเฝ้าระวังอาการอย่างต่อเนื่องกระทั่งเสียชีวิตอย่างสงบใน เวลา 05.45 น. วันที่ 15 ธันวาคม​ 2568​ ท่ามกลางความอาลัยของครอบครัว ญาติมิตร ข้าราชการตำรวจ และผู้ร่วมงานทุกภาคส่วน

สำหรับ​ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2490 ที่ อ.ผักไห่ จว.พระนครศรีอยุธยา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 22 ก่อนอุทิศชีวิตรับราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ โดยเริ่มต้นจากตำรวจตระเวนชายแดน และปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายแดนภาคเหนือ

ตลอดเส้นทางราชการ พล.ต.อ.โกวิท ได้รับการยอมรับว่าเป็นนายตำรวจภาคสนาม ผู้มีบทบาทสำคัญในการปราบปรามผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์รวมถึงผู้ก่อความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และขบวนการค้ายาเสพติด โดยเฉพาะในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ สามารถทำลายโรงงานผลิตเฮโรอีนจำนวนมาก จนสถานการณ์ด้านความมั่นคงและยาเสพติดในภาคเหนือคลี่คลายลงอย่างเห็นได้ชัด

ต่อมาได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงหลายตำแหน่ง อาทิ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และได้รับการแต่งตั้งเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2547 ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำองค์กรที่เคร่งครัดในวินัย มีประสบการณ์สูง และได้รับการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา และท่านได้รับใช้สนองงานใกล้ชิด ให้สมเด็จย่าฯ

ภายหลังเกษียณอายุราชการ พล.ต.อ.โกวิท ยังคงมีบทบาทในแวดวงการเมือง โดยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็น รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี พ.ศ. 2554

สำหรับชีวิตส่วนตัว พล.ต.อ.โกวิท สมรสกับ แพทย์หญิงวันทนีย์ วัฒนะ อดีตปลัดกรุงเทพมหานคร มีบุตร–ธิดา 2 คน และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้บังคับบัญชาที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา และยึดมั่นในอุดมการณ์รับใช้ประเทศชาติ

การจากไปของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ นับเป็นการสูญเสียบุคลากรสำคัญของประเทศ ผู้ฝากผลงานด้านความมั่นคง การปราบคอมมิวนิสต์ การปราบปรามยาเสพติด และการบริหารองค์กรตำรวจไว้เป็นที่ประจักษ์ ชื่อของเขาจะยังคงถูกจารึกในประวัติศาสตร์ตำรวจไทยตราบนานเท่านาน

สำหรับกำหนดการรดน้ำศพ สวดพระอภิธรรม พลตำรวจเอกโกวิท วัฒนะ (ม.ป.ช., ม.ว.ม., ต.จ.ว.,)อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย​ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เฉพาะ วันที่ 15 ธันวาคม 2568
เวลา 15.30 น. พิธีรดน้ำศพ
เวลา 17.30 น. พิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
เวลา 18.00 น. พิธีสวดพระอภิธรรม

ณ ศาลาสารัชถ์-นลินี รัตนาวะดี วัดพระศรีมหาธาตุ (บางเขน) ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร

กรมควบคุมโรคคุมเข้มศูนย์พักพิงชายแดนไทย–กัมพูชา เฝ้าระวังอาหารเป็นพิษ–อุจจาระร่วง

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์โรคติดต่อในศูนย์พักพิงชั่วคราวอย่างใกล้ชิด จากสถานการณ์พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมีประชาชนพักอาศัยรวมกันเป็นจำนวนมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ โดยเฉพาะโรคอาหารเป็นพิษและโรคอุจจาระร่วง


วันนี้ (14 ธันวาคม 2568) นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรคมีความห่วงใยต่อสุขภาพของประชาชนที่พักอาศัยในศูนย์พักพิงชั่วคราวจากเหตุชายแดนไทย–กัมพูชา และได้กำชับให้ทีมปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของกรมควบคุมโรค ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในศูนย์พักพิง โดยหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้ดำเนินการเฝ้าระวังอาการป่วยของประชาชนในศูนย์พักพิงอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการตรวจประเมินความสะอาดและความปลอดภัยของอาหารและน้ำดื่ม การให้คำแนะนำด้านสุขาภิบาลอาหารแก่ผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงการแนะนำการจัดการขยะและสิ่งปฏิกูลอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ

“ประชาชนในศูนย์พักพิงควรใส่ใจดูแลสุขภาพตนเอง หากมีอาการถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรืออ่อนเพลีย ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำศูนย์ทันที เพื่อเข้ารับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม และช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรค” อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าว


สำหรับคำแนะนำการป้องกันโรคอาหารเป็นพิษและโรคอุจจาระร่วงในศูนย์พักพิง ขอความร่วมมือผู้บริจาคอาหารให้คำนึงถึงความปลอดภัยของอาหารเป็นสำคัญ โดยกรณีอาหารปรุงสำเร็จไม่ควรราดกับข้าวโดยตรง ควรบรรจุอาหารแยกเป็นสัดส่วน และเลือกเป็นอาหารแห้ง เช่น ไก่ทอด หมูทอด น้ำพริกแห้ง พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารเสี่ยง เช่น ข้าวมันไก่ อาหารหรือขนมที่มีส่วนประกอบของกะทิ และอาหารทะเล นอกจากนี้ กรณีสั่งอาหารกล่องจำนวนมาก ควรแบ่งสั่งจากหลายร้าน เพื่อลดความเสี่ยงด้านคุณภาพอาหารและระยะเวลาการปรุงประกอบ โดยควรบริโภคอาหารภายใน 2 ชั่วโมงหลังปรุงเสร็จ


สำหรับประชาชนในศูนย์พักพิง ขอให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้แอลกอฮอล์ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร หลังขับถ่าย หลังเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือเมื่อมือเปื้อน หากอาหารหรือน้ำดื่มที่ได้รับมีสี กลิ่น หรือรสชาติผิดปกติ ไม่ควรรับประทาน และควรแจ้งเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ทันที ขณะเดียวกัน ขอให้เลือกดื่มน้ำดื่มบรรจุขวดที่บรรจุภัณฑ์สมบูรณ์ ไม่มีรอยรั่ว ฝาปิดสนิท และไม่มีความผิดปกติของสี กลิ่น หรือรสชาติ


ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคจะติดตามสถานการณ์พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างใกล้ชิด พร้อมสนับสนุนมาตรการด้านวิชาการ การเฝ้าระวัง และการป้องกันควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง เพื่อสุขภาพของประชาชนและป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในศูนย์พักพิง หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

ปวงชนทุกสารทิศเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ ไม่ขาดสาย กทม. พร้อมอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยเต็มกำลัง

นายไทวุฒิ ขันแก้ว รองปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงยอดประชาชนจากทั่วสารทิศที่เดินทางมาเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดยวานนี้ (14 ธ.ค. 68) มีจำนวน 9,088 คน ส่งผลให้ยอดรวมสะสมตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค. – 14 ธ.ค. 68 จำนวนทั้งสิ้น 296,885 คน

กรุงเทพมหานครได้บูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย สมพระเกียรติ ทั่วถึง และปลอดภัย ทั้งด้านการจราจร การแพทย์ฉุกเฉิน การรักษาความสะอาดและความปลอดภัย การจัดเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครประชาสัมพันธ์คอยแนะนำจุดบริการ จุดพักคอย และเส้นทางเข้าออกอย่างเป็นระบบ การบริการน้ำดื่มและห้องสุขา การจัดเตรียมรถวีลแชร์และรถกอล์ฟสำหรับให้บริการผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ ตลอดจนการให้บริการยืม-คืนเครื่องแต่งกายสุภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่แต่งกายไม่ครบถ้วนตามระเบียบ

ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว กรุงเทพมหานครขอความร่วมมือประชาชนที่จะเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพ โปรดแต่งกายสุภาพไว้ทุกข์ (สีดำหรือขาว) เสื้อคอปก รองเท้าหุ้มส้น งดเสื้อคอกลม งดแขนกุด งดกางเกงหรือกระโปรงสั้น งดกางเกงหรือกระโปรงยีนส์ สุภาพสตรีต้องสวมกระโปรงหรือผ้านุ่งยาวคลุมเข่าเท่านั้น ส่วนนักเรียน นักศึกษาควรสวมเครื่องแบบที่ถูกต้องตามระเบียบ

สำหรับช่วงเวลาที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ แบ่งเป็น 4 ช่วงเวลา ได้แก่
ช่วงที่ 1 เวลา 08.00 – 10.45 น.
ช่วงที่ 2 เวลา 12.00 – 16.45 น.
ช่วงที่ 3 เวลา 17.45 – 18.30 น.
ช่วงที่ 4 เวลา 19.45 – 21.00 น.

ตม.สกัดเข้มฟรีวีซ่า ส่องเขมร–ฝรั่งกลุ่มเสี่ยง หวั่นนักรบรับจ้างแฝงตัว

ตม.สั่งสกัดเข้ม เขมรใช้ฟรีวีซ่าเข้าไทย พร้อมสกัดฝรั่งกลุ่มเสี่ยงเกรงทหารรับจ้าง วอนท่องเที่ยวต่างชาติเข้าใจสถานการณ์ รอคิวไม่เกิน 40 นาที

จากกรณีมีข้อห่วงใย โดยมีนักวิจารณ์ และนักวิชาการเปิดเผยผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ ว่าอาจมีคนต่างชาติ ที่เป็นนักรบรับจ้าง บินเข้าไทยเพื่อปฎิบัติการเป็นอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศเพื่อบั่นทอนขีดความสามารถของกำลังฝ่ายไทยทุกรูปแบบ

ล่าสุด เมื่อวานนี้ 14 ธ.ค.2568 พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี รอง ผบช.ฯ/โฆษก สตม. ได้เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ได้มีความห่วงใยในเรื่องนี้ นับแต่เริ่มมีการปะทะระหว่างไทยและเขมรอีกระลอกอย่างรุนแรง​ ในขณะที่ยังมีสายการบินพานิชย์บินระหว่างประเทศทั้งสองตามปกติ รวมถึงอาจมีกลุ่มนักรบต่างชาติ อาศัยโอกาสฟรีวีซ่าเข้าไทย เพื่อปฎิบัติการใดๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงหลังแนวรบทั้งในเขตไทย และการลักลอบผ่านแดนเข้าทางเขมร

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2568 ที่ผ่านมา ทาง สตม. ได้มีการประชุมผู้บังคับบัญชา และหัวหน้าด่าน ตม.สนามบิน 5 สนามบินในสังกัด ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่ เพื่อกำหนดมาตรการขั้นเด็ดขาดกับคนสัญชาติที่มีพฤติการณ์เสี่ยงต่อการเป็นภัยความมั่นคงหลังแนวรบ เช่น แอบผ่านช่องทางธรรมชาติเข้าช่วยเหลือเขมร หรือเป็นสายลับ หรือกระทำการอื่นใด โดยพุ่งเป้าหมายไปที่คนต่างชาติ 2 กลุ่ม ที่ใช้ฟรีวีซ่าเดินทางเข้าไทย ได้แก่

  • กลุ่มนักรบรับจ้างในแถบยุโรปตะวันออก และเอเซียตอนบน
  • กลุ่มคนกัมพูชาที่บินมาเข้าไทย โดยใช้สิทธิฟรีวีซ่า ซึ่งช่วงเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายยกระดับความขัดแย้งถึงขั้นการปะทะ จึงดูผิดวิสัยวิญญูชนปกติที่จะเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งหากมีธุรกิจตามกฏหมายในไทย ก็ให้กลับไปขอวีซ่าจากสถานทูตไทยมาให้ถูกต้องทุกราย เพื่อให้มีการคัดกรองจากต้นทางมาก่อน

โดยนับตั้งแต่มีเหตุการปะทะรุนแรง มีการปฎิเสธการเข้าเมืองไปแล้ว ตั้งแต่ต้น ธ.ค. ถึง 13 ธ.ค.2568 รวม 185 ราย

อย่างไรก็ดี ทาง สตม. จะประสานขอข้อมูลจากหน่วยงานข่าวความมั่นคง เพื่อหาข้อมูลข่าวเพิ่มเติมว่า มีข้อมูลการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนต่างชาติที่เป็นนักรบรับจ้างหรือไม่ ซึ่งหากมีข้อมูลข่าวที่สามารถชี้เป็นตัวบุคคลได้ ก็จะช่วยโฟกัสกลุ่มต้องห้ามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยไม่กระทบกับชาวต่างชาติอื่นๆ ที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยโดยภาพรวม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไม่น้อยกว่าวันละ 75,000 ถึง 80,000 คน และเจ้าหน้าที่ ตม. หน้าด่าน มีเวลาตรวจหนังสือเดินทางไม่เกินรายละ 45 วินาทีเท่านั้น

ทั้งนี้ มาตรการเพิ่มความเข้มในการคัดกรองดังกล่าว อาจมีภาพความหนาแน่นของผู้โดยสารที่รอคิวเข้ารับการตรวจหนังสือเดินทาง โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงชั่วโมงที่เที่ยวบินหนาแน่น แต่ทางเจ้าหน้าที่ ตม. ได้มีการจัดกำลังพลเต็มทุกช่องตรวจ แม้มาตรการความมั่นคงดังกล่าวจะส่งผลให้การรอคิวนานกว่าปกติ จากเดิมที่ไม่เกิน 20 นาที ก็จะรอราวๆ ไม่เกิน 45 นาทีเท่านั้น โดยยืนยันว่าไม่กระทบกับการเดินทางเข้าออกของคนไทยแต่อย่างใด