ส่งทหารบาดเจ็บ4 นาย เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา รักษา รพ.พระมงกุฎเกล้า

เจ้าหน้าที่ทำการเคลื่อนย้ายกำลังพลบาดเจ็บสาหัส 4 นาย โดยเครื่องบิน ลงที่ บน.6 ดอนเมือง

เวลา 13.10น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริและจราจรทางพิเศษ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย อำนวยความสะดวกการจราจรในเส้นทาง โดยใช้เส้นทางเทวฤทธิ์พันลึก-วิภาวดี-โทล์เวย์-ด่านดินแดง1-ต่างระดับมักสัน-ลงด่วนพหลโยธิน1-อนุเสาวรีชัย-รพ.พระมงกฏเกล้า

ล่าสุดเวลา 13.33 น. ขบวนรถ ถึงรพ.พระมงกุฎเกล้า ใช้เวลาประมาณ20นาที ถึงรพ.พระมงกุฎเกล้า นำทหารที่บาดเจ็บจากชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้ง 4 นาย ส่งตัวเข้ารับการรักษาทันที

สำหรับกำลังพลที่เดินทางไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ประกอบด้วย 1.ร.อ.ปูรณ์ ทองพ่วง 2.ส.อ.จัตราวุฒิ มาประสพ 3.พลทหาร วันชัย รำไฟพนา และ 4.พลทหารจักรภัทร อันตะโก

“ในหลวง” พระราชทานของขวัญปีใหม่ 2569 เป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ชายแดนภาคใต้

ปัตตานี, วันที่ 15 ธันวาคม – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี เชิญสิ่งของพระราชทาน เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ. 2569 จำนวน 400 ชุด มอบแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ณ สนามฟุตซอลนาควานิช ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี

ในการนี้ นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี พร้อมด้วย พลโท นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และ นายแพทย์สมหมาย บุญเกลี้ยง  ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ตลอดจนคณะผู้บังคับบัญชา หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระราชประสงค์พระราชทานขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้เสียสละ ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ และความตั้งใจในการปฏิบัติภารกิจเพื่อความมั่นคงและความสงบสุขของประเทศชาติ โดย องคมนตรีได้เชิญพระราชกระแสความห่วงใยของพระเจ้าอยู่หัว กล่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ พร้อมทั้งทรงชื่นชมในความเข้มแข็ง ความเสียสละ และความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลทุกนาย ซึ่งได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด

“อภิสิทธิ์” นำทัพ ปชป. ส่งกำลังใจหาดใหญ่ ขอทุกภาคส่วนร่วมมือฟื้นฟูเมือง “อย่าลืมหาดใหญ่” เสนอ 2 ข้อ เร่งด่วน ฟื้นกำลังซื้อและความเชื่อมั่น

วันที่ 15 ธ.ค. 2568 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำคณะลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เข้าเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจประชาชน นักเรียน ภาครัฐ และภาคเอกชนในหาดใหญ่ พร้อมกับชื่นชมจิตใจอันงดงามของสังคมไทย และเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันฟื้นฟูเมืองอย่างเร่งด่วน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในช่วงสุญญากาศทางการเมืองเช่นนี้ ทำให้การช่วยเหลือหรือการขับเคลื่อนงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ต้องหยุดชะงักลง โดยเฉพาะการสนับสนุนโรงเรียนหรือการทำงานของ อบต. ที่ต้องรอการอนุมัติ

“เป็นจังหวะเวลาที่จะต้องฟื้นทุกอย่างให้มาทำให้ได้ ขณะนี้สำหรับพวกผมนะ มันก็คือ สุญญากาศ วันนี้มาโรงเรียนจะเอาของติดมือมาก็ไม่ได้ เพราะยุบสภาไปแล้ว ก็เลือกตั้ง อบต.อยู่ ทุกคนก็บอกว่าขยับอะไรได้น้อยมาก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคฯ กล่าวด้วยความห่วงใยว่า ทุกฝ่ายกำลังให้ความสนใจเรื่องชายแดนเกือบทั้งหมด จึงต้องส่งเสียงดัง ๆ ว่า “อย่าเพิ่งลืมที่นี่” พร้อมกับได้เล่าถึงความน่ารักของคนสุรินทร์ ซึ่งตนเพิ่งไปเยี่ยมศูนย์อพยพมา ที่แม้พวกเขาประสบภัยแต่ก็ยังเป็นห่วงคนหาดใหญ่ที่สูญเสียบ้าน

พร้อมกันนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้เสนอ 2 แนวทางเร่งด่วนที่สามารถทำได้ทันที เพื่อสร้างความร่วมมือและฟื้นฟูหาดใหญ่และภาคใต้

1. ขอ กกต. อย่าเป็นอุปสรรค หัวหน้าพรรคฯ เรียกร้องให้ กกต. เร่งอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อการฟื้นฟูเยียวยา โดยอย่ากังวลเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง

    “อะไรที่รัฐบาลอยากทำเพื่อให้ตรงนี้มันฟื้นขึ้นมาได้ กกต. อนุมัติเถอะนะครับ อย่ามากังวลว่าจะมากระทบเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องการเลือกตั้ง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

    2. รัฐบาลต้องทำ “คนละครึ่ง เฟส 2” แบบจำกัดพื้นที่ นายอภิสิทธิ์ เห็นว่าขณะนี้เป็นเวลาที่สมเหตุสมผลที่สุดที่รัฐบาลควรพิจารณาจัดทำโครงการ “คนละครึ่ง” เฟส 2 โดยจำกัดเฉพาะพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในหาดใหญ่และชายแดนใต้เท่านั้น เพื่อสร้างกำลังซื้อที่รวดเร็วและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่

    นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังเตือนไม่ให้ตีความคำว่า “ฝน 300 ปี” หรือ “ฝน 1,000 ปี” ผิดไปจนเกิดความประมาท แต่ต้องรับรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่ปริมาณฝน แต่เกิดจาก ปัญหาการพัฒนาเมือง ที่มาเป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำ พร้อมเสนอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยให้ความสำคัญของการมองไปในอนาคต โดยได้ระบุว่าการฟื้นฟูไม่ได้หมายถึงการทำให้หาดใหญ่กลับไปเหมือนก่อนน้ำท่วมเท่านั้น แต่ต้องใช้โอกาสนี้ในการถอดบทเรียนและพัฒนาระบบเมืองใหม่ให้มีความยืดหยุ่น

      “ถ้าฟื้นฟูทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้ทำได้เต็มที่ แต่ถ้าปีหน้าเจอสภาพแบบนี้อีก ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถทำให้คนพร้อมที่จะอยู่ที่นี่ ลงทุนที่นี่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว พร้อมเสนอให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการด้านวิชาการที่เป็นอิสระ เพื่อถอดบทเรียนโดยไม่ใช่เพื่อเอาผิดใครแต่เพื่อตอบโจทย์ว่าระบบในวันข้างหน้าต้องปรับปรุงอย่างไร ทั้งในเรื่องโครงสร้างการเตือนภัย การสื่อสาร และการบูรณาการฝ่ายปฏิบัติการ เพื่อให้การป้องกันและบรรเทาภัยมีประสิทธิภาพสูงสุด

      นายอภิสิทธิ์ ทิ้งท้ายว่า การฟื้นตัวของหาดใหญ่จะต้องสอดคล้องกับการวางเป้าหมายที่จะทำให้เมืองมีขีดความสามารถในการระบายน้ำได้ดีขึ้น และมีผลกระทบกับประชาชนที่น้อยลง เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับประชาชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคใต้ต่อไป

      คาดปีหน้าจีนเตรียมหนุน ศก.ผ่านการใช้จ่าย-การลงทุน พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงิน-การคลัง

      กรุงเทพฯ วันที่ 15 ธ.ค. – การประชุมกำหนดแผนงานด้านเศรษฐกิจประจำปีของจีน (CEWC) ในวันที่ 10-11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้ระบุถึงทิศทางการดำเนินเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปสาระสำคัญ ว่า ทางการจีนจะให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (pro-growth) และสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์ และอุปทาน โดยคาดว่ารัฐบาลกลางจะออกมาตรการที่เกี่ยวข้องการกับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาที่อยู่อาศัยคงค้าง ขณะที่นโยบายการเงิน และการคลังยังมีทิศทางผ่อนคลายผ่านอัตราดอกเบี้ย

      ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2569 ทางการจีนมีแนวโน้มตั้งเป้าหมาย GDP อยู่ที่ 5% ตามเดิม ขณะที่เป้าหมายงบประมาณขาดดุลต่อ GDP คาดอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน

      ช็อกวงการสีกากี!! ผู้การฯอุทัยธานี จบชีวิตตัวเองคารถเก๋งหน้าบ้านพัก นครสวรรค์​ เร่งสอบหาสาเหตุ

      เกิดเหตุ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี นรต.รุ่น 41 ยิงตัวเสียชีวิตภายในรถเก๋ง หน้าบ้านพัก จ.นครสวรรค์ ตำรวจเร่งตรวจที่เกิดเหตุและสืบสวนหาสาเหตุอย่างละเอียด

      เกิดเหตุเศร้าสลดในแวดวงตำรวจ เมื่อช่วงสายวันที่ 15 ธันวาคม 2568 พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตภายในรถยนต์ เหตุเกิดภายใน หมู่บ้านแห่งหนึ่ง​ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

      ที่เกิดเหตุบริเวณหน้าบ้านพัก พบรถยนต์เก๋งจอดอยู่ ภายในรถพบร่างผู้เสียชีวิต ทราบชื่อภายหลังคือ พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ ศรีบุญเรือง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี สภาพเสียชีวิตจากบาดแผลถูกอาวุธปืน โดยมีอาวุธปืนอยู่ภายในรถ

      จากการตรวจสอบประวัติ พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 41 และเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 25 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

      เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้กั้นพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พร้อมเก็บพยานหลักฐาน ทั้งภายในรถและบริเวณโดยรอบ รวมถึงสอบปากคำบุคคลใกล้ชิด เพื่อหาสาเหตุและแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ ขณะเดียวกันได้ประสานแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย

      ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่สรุปสาเหตุการเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ โดยอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

      ศูนย์​ ACSC ลุย 24 ชม. สกัดโกงออนไลน์ เซฟเหยื่อ 37 ราย เงินกว่า 7 ล้าน

      ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์​ (ACSC) มอนิเตอร์24 ชั่วโมง เร่งช่วยเหลือเหยื่อแบบเรียลไทม์รอบสัปดาห์เข้าระงับเหยื่อโอนเงิน 37 ราย ยอดเงินกว่า 7 ล้านบาท​พบแผนคนร้ายโทรศัพท์เป็นเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานระบาดหนัก

      ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์​ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดสถิติคดีและความเสียหายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการดำเนินการสืบสวนจับกุมพร้อมช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงภายใต้ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ตั้งแต่วันที่ 7-13 ธ.ค.68 มีคดีที่รับแจ้งเข้ามาผ่านทาง Thaipoliceonline จำนวน 6,934 คดี มูลค่าความเสียหาย 427,627,007 บาท (เฉลี่ย 61.09 ล้านบาทต่อวัน) ซึ่งคดีที่รับแจ้งรอบนี้ลดลงจากห้วงวันที่ 30 พ.ย.- 6 ธ.ค. 68 จำนวน 419 คดี แต่กลับพบว่ามูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นกว่า 16,341,500 บาท พบว่าเป็นความเสียหายเฉลี่ยต่อคดีที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

      หากนับเชิงปริมาณ ของคดีที่มีการแจ้งเข้ามา อันดับ 1. ยังคงเป็นการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่มีจำนวนมากถึง 62.8 เปอร์เซ็นต์ โดยคนร้ายเน้นหลอกจำนวนมาก กระจายตัวกว้าง แม้ว่ามูลค่าต่อคดีจะไม่สูงนัก แต่ก็ยังเป็นภัยคุกคามวงกว้างที่เกาะกระแสเทศกาลนิยม(อย่างในช่วงปลายปี หรือ Double Day เช่น 12.12) จำเป็นต้องแจ้งเตือนประชาชนให้ตรวจสอบเครดิตร้านค้าในช่วงมหกรรมลดราคาอย่างเข้มข้นและระวังเพจปลอมที่สวมรอยจัดโปรโมชั่น ขณะที่อันดับ 2. คือการหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล และอันดับที่ 3. คือการหลอกให้โอนหารายได้พิเศษ เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่แล้ว

      ขณะที่หากเทียบในเชิงมูลค่าความเสียหาย อันดับ1.ยังคงเป็นของ คดีหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัลฯ อันดับที่2. ยังคงเป็นการหลอกลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่แล้ว แต่ที่เปลี่ยนแปลงคือ​อันดับ 3. กลายเป็นการข่มขู่ทางโทรศัพท์ ที่แซงการหลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษขึ้นมา

      การวิเคราะห์จากภาพรวมสถานการณ์พบว่า แม้ว่าจำนวนคดีจะลดลง แต่มูลค่าความเสียหายที่มากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าคนร้ายเน้นการโจมตี “หวังผลสูงมากขึ้น” แม้ว่าตัวเหยื่อจะลดลงก็ตาม ซึ่งแพลตฟอร์มที่ถูกใช้ในแผนประทุษกรรม ยังคงเป็น FACEBOOK ที่ครองแชมป์ ที่คนร้ายใช้ติดต่อเหยื่อ ด้วยจำนวน 3,033 ครั้ง (ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่มี 3,274 ครั้ง) แต่ในทางกลับกันในแง่ความเสียหายสูงสุดกลับพบในกลุ่ม “ช่องทางอื่นๆ” มากที่สุด รองลงมาเป็นการโทรศัพท์ (Call Center) ซึ่งในสัปดาห์นี้พบว่าภัยจากการโทรศัพท์ (Call Center) มีความอันตรายในแง่ “ความสูญเสียต่อราย” สูงขึ้นอย่างชัดเจน จนมียอดความเสียหายแซงหน้า FACEBOOK ซึ่งอาจเกิดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีรูปแบบการหลอกลวงที่ซับซ้อนหรือข่มขู่ที่รุนแรงขึ้น

      สำหรับแผนประทุษกรรมคนร้ายที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ล่อลวงผู้เสียหายในสัปดาห์นี้ เป็นการหลอกลวงโดยอิงสถานการณ์ปัจจุบันกำลังมาแรง โดยประเด็นไหนที่กำลังพูดถึงในสังคมจะถูกนำมาเป็นกลโกงอย่างรวดเร็ว อย่าง การซื้อของแถมภารกิจ สินค้ายอดฮิตอย่างนมผง,เครื่องใช้ไฟฟ้า,ทองคำราคาถูก, เสื้อผ้ามือสอง และแจกของฟรี (เสื้อออกกำลังกาย, ต้นไม้) คนร้ายจะลงโฆษณาขายของราคาถูกหรือแจกฟรี เมื่อเหยื่อทักไปจะถูกเข้า Line Group หรือให้แอดไลน์ส่วนตัว ก่อนอ้างว่าต้อง “ทำกิจกรรม” หรือ “สะสมแต้ม” ก่อนจะส่งสินค้าหรือเพื่อให้ได้ราคานั้น โดยให้โอนเงินสำรองจ่ายเพื่อกดไลค์/กดออเดอร์สินค้า แล้วจะได้เงินคืนพร้อมคอมมิชชัน สุดท้ายถอนเงินไม่ได้ ,การกู้เงินทิพย์ แก้ไขข้อมูล เริ่มจากเหยื่อต้องการกู้เงินผ่านแอปฯหรือลิงก์(มักปลอมเป็นธนาคาร หรือสินเชื่อชื่อแปลกๆ เช่น Speoto Beste ,พลอยรับพลัส) แต่เมื่ออนุมัติวงเงินแล้ว จะถอนเงินไม่ได้ คนร้ายจะอ้างว่า “เหยื่อกรอกเลขบัญชีผิด” หรือ “ข้อมูลผิดพลาด” ระบบเลยล็อก ต้องโอนเงินค่าปลอดล็อกหรือค่าแก้ไขข้อมูล หรือค่าวางมัดจำเข้าไปก่อน ซึ่งเป็นข้ออ้างคลาสสิกที่ใช้ซ้ำๆตลอดทั้งสัปดาห์ ,แก๊งคอลเซ็นเตอร์ Video Call ชุดตำรวจ ครั้งนี้คนร้ายยกระดับความน่าเชื่อถือด้วยการ Video Call โดยแต่งกายชุดตำรวจรวจ และจัดฉากหลังเป็นสถานีตำรวจ(ปลอม) ทั้งยังอ้างว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “บัญชีม้า” หรือ “การฟอกเงิน” จากพัสดุตกค้าง หรือจากการเปิดเบอร์มือถือ ก่อนกดดัน บังคับให้โอนเงิน เพื่อ “ตรวจสอบเส้นทางการเงิน” และห้ามบอกบุคคลที่สามเด็ดขาด, การหลอกให้รักแบบ Hybrid (Romance Scam Mutation) ที่รูปแบบเดิมจะส่งของขวัญติดด่านศุลกากร ต้องจ่ายภาษี เป็นการใช้แอปหาคู่ หรือTiktok เข้ามาจีบจนเชื่อใจ แล้วชวน “ลงทุน”(เทรดทอง,คริปโต) ผ่านแอปฯปลอมหรือลิงก์ปลอม ท้ายที่สุดก็ถอนเงินไม่ได้ อ้างต้องจ่ายภาษี

      นอกจากนี้เพจ Facebook “ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์” หรือ ACSC ได้มีการรวบรวมเว็บไซต์ Scammer ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบเว็บไซต์ต้องสงสัย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้นำข้อมูลเว็บไซต์เหล่านี้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปิดกั้นไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อด้วยเช่นกัน

      ทั้งนี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ ACSC และสามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที โดยเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด 24 เคส และเราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมดจำนวน 37 ราย คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 7,041,708 บาท สามารถจับกุมได้ 8 คดี โดยมีเคสที่น่าสนใจ ดังนี้

      เคสที่ 1 เจ้าหน้าที่ warroom ศูนย์ ACSC ประสานตำรวจสภ.สุไหงโกลก เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายเป็นชาย อายุ 63 ปี หลังพบโฆษณาในเฟซบุ๊ก ชักชวนให้ลงทุน อบรมการซื้อขายหุ้น เมื่อผู้เสียหายทักเข้าไปสนใจ แอดมินเชิญเข้ากลุ่มไลน์ จากนั้นได้ชวนลงทุนในแพลตฟอร์มปลอม ผู้เสียหายตัดสินใจโอนเงินไปครั้งแรกจำนวน 61,000 บาท คนร้ายอ้างว่าได้กำไร แต่ไม่มีเงินเข้ามาในบัญชีจริง แต่คนร้ายหลอกต่อเนื่องอ้างสารพัดเหตุผล สุดท้ายผู้เสียหายโอนเงินไปรวม 18 ครั้ง มูลค่ากว่า 5,375,211 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงอธิบายว่านั่นเป็นมิจฉาชีพพร้อมพาไปแจ้งความ

      เคสที่ 2 ศูนย์ ACSC ประสานตำรวจ สภ.สามพราน เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายเป็นหญิง วัย 50 ปี ทันทีหลังพบว่ามีการโอนเงินไปยังบัญชีบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบัญชีม้า (รับโอนเงินจากการหลอกลวงโดยไม่ได้มีการทำธุรกิจจริง) ก่อนจะทราบว่าเมื่อวันที่ 14 พ.ย.2568 ได้มีคนร้ายใช้ไลน์ ชื่อ “บอม เบ 100” ทักหาผู้เสียหาย พูดคุยลักษณะหลอกให้รัก โดยไม่มีการเปิดกล้องหรือพบตัวกัน กระทั่งโน้มน้าวจนผู้เสียหายเชื่อใจ คนร้ายได้ชักชวนให้ลงทุนทำธุรกิจในลักษณะขายของออนไลน์ โดยอ้างว่าจะได้ผลตอบแทน 20% จากเงินที่ลงทุนไป ซึ่งผู้เสียหายได้โอนเงินลงทุนไป จำนวน 3 ครั้ง ยอดรวม 140,000 บาท

      เคสที่ 3 ศูนย์ ACSC ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เข้าช่วยเหลือชายสูงอายุ หลังถูกคนร้ายโทรศัพท์มาอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมชลประทาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ผู้เสียหายเคยทำงานอยู่ และปัจจุบันเกษียณ​แล้ว โดยหลอกว่าให้แอดไลน์เพื่อรับข้อมูลข่าวสารจากกรมชลประทาน โดยเป็นการแอดไลน์ผ่านเบอร์โทรคนร้าย หลังจากนั้นได้หลอกให้ผู้เสียหายเข้าแอปฯกรุงไทย ก่อนหลอกให้ทำตามขั้นตอน คือการเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นก็ลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย จำนวน 385,910 บาท ก่อนที่ผู้เสียหายจะรู้ตัว คนร้ายได้ยกเลิกข้อความที่เคยคุยกัน แล้วออกจากไลน์ดังกล่าวทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามสืบสวนต่อไป

      “การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน​ให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้างทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด

      ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”

      “ช่างภาพการเมือง​-เครือข่าย​จิตอาสาฯทำCSR ลงพื้นที่วังน้ำเขียว ปันรักปลูกจิตอาสา สร้างรอยยิ้มเยาวชน

      ชมรมช่างภาพการเมือง–เครือข่ายจิตอาสารัฐสภาทำดีตามรอยพ่อ ลงพื้นที่วังน้ำเขียว จัดกิจกรรม CSR “ช่างภาพการเมือง ปันรัก ปันสุข ปลูกรอยยิ้ม” ส่งต่อโอกาส สร้างจิตสำนึกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และตระหนักพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า

      เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2568 ที่โรงเรียนบ้านคลองบง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ชมรมช่างภาพการเมือง ร่วมกับเครือข่ายจิตอาสารัฐสภาทำดีตามรอยพ่อ จัดกิจกรรม CSR ภายใต้ชื่อ“ช่างภาพการเมือง ปันรัก ปันสุข ปลูกรอยยิ้ม” เพื่อมอบโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กนักเรียน 3 โรงเรียน 3 คลอง พร้อมจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้สืบสานพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นภัยเงียบที่ต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนไทย

      โดยได้รับเกียรติจาก ดร.วิชัย ปิยวรรณวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม วุฒิสภา ในฐานะประธานที่ปรึกษาชมรมช่างภาพการเมือง เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม พร้อมด้วยชัยยศ ศิริสวัสดิ์ ประธานชมรมช่างภาพการเมือง กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน ขณะที่ ธงชัย ว่องไว ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคลองบง, นางสิริรัตน์ งามกมลรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคลองทราย และภูภิภัคพงศ์ กระเชื่อมรัมย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนคลองทุเรียน กล่าวต้อนรับ โดยมีคณะครูและนักเรียนทั้ง 3 โรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง​ ก่อนเข้าสู่พิธีเปิด ได้มีการยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและถวายความอาลัยแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

      ดร.วิชัย ปิยวรรณวงศ์ กล่าวให้โอวาทแก่เด็กนักเรียน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของพลังจิตอาสา การแบ่งปัน และการทำความดีเพื่อสังคม พร้อมชื่นชมชมรมช่างภาพการเมืองและเครือข่ายจิตอาสารัฐสภาฯ ที่ร่วมกันจัดกิจกรรมอันเปี่ยมด้วยคุณค่า ผ่านการมอบอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา การจัดเลี้ยงอาหารกลางวัน และการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ รวมทั้งปลูกฝังค่านิยมการทำความดีตามรอยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

      จากนั้น ดร.วิชัย ปิยวรรณวงศ์ พร้อมด้วย ดร.ปัญจรัตน์ มังกร ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี, ผศ.ดร.วิมลิณฬ์ โบวีไนเซอร์ ประธานบริหาร บริษัท ฟินิกซ์คิวซี จำกัด, ดร.อัจฉรีย์ งามพร้อมสกุล ประธานสภาอุตสาหกรรม จังหวัดสมุทรสาคร, ดร.อัครภิทย์ตา มีชัยวงค์ ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสมาชิกวุฒิสภา คณะครู อาจารย์ และนักเรียน ร่วมร้องเพลง“ต้นไม้ของแม่” และร่วมปลูกต้นไม้ในกิจกรรมปลูกต้นไม้สืบสานพระราชดำริฯ เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

      ทั้งนี้ชมรมช่างภาพการเมือง ขอขอบคุณผู้สนับสนุนทุกภาคส่วนที่ร่วมแรงร่วมใจทำให้กิจกรรมประสบความสำเร็จ อาทิ ดร.วิชัย ปิยวรรณวงศ์, คุณอภิชาติ จิรเจริญผล ผู้อำนวยการกองวิเคราะห์โครงการและงบประมาณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, คุณภุริปพัฒน์ ภัทรติมานนท์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารภาพลักษณ์องค์กร บริษัท ซีพีแรม จำกัด, คุณปนัดดา เจริญกิจ บริษัท นำเชา (ประเทศไทย) จำกัด, ชมรมเพื่อนบัวทองทีเคแบดมินตัน, กลุ่มเพื่อนสุริยา, คุณกิตติ ตรงไตรรัตน์ พร้อมเพื่อนศิษย์เก่าโรงเรียนภักดีนรเศรษฐ และ ร.ร.น.จ. รุ่น 22 รวมถึงผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านที่ร่วมบริจาคทุนทรัพย์ สิ่งของ และแรงกายแรงใจ

      กิจกรรม “ช่างภาพการเมือง ปันรัก ปันสุข ปลูกรอยยิ้ม” ครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งพลังความร่วมมือของภาคประชาชนและเครือข่ายจิตอาสา ที่ช่วยเติมเต็มโอกาสทางการศึกษา สร้างจิตสำนึกที่ดี และร่วมกันวางรากฐานอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่เยาวชนไทยอย่างเป็นรูปธรรม

      อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้ “กัมพูชาขัดขวางหรือสกัดกั้นการเดินทางกลับประเทศของคนไทย” เป็นอาชญากรสงคราม

      พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีรัฐบาลกัมพูชาขัดขวางหรือสกัดกั้นการเดินทางกลับประเทศไทยของคนไทยหลายพันคนที่ด่านปอยเปต โดยไม่มีเหตุผลทางกฎหมายที่ดีพอรองรับนั้น

      นอกจากเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรื่องเสรีภาพการเดินทางกลับภูมิลำเนาประเทศตนเองแล้ว ยังเข้าข่ายละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (อนุสัญญาเจนีวาเกี่ยวกับการคุ้มครองพลเรือนในเวลาการรบหรือการสงคราม ลงวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1949 และพิธีสารเพิ่มเติมอนุสัญญาเจนีวา เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1949 และที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศ ค.ศ. 1977 (พิธีสารฉบับที่ 1) ลงวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1977) ด้วย โดยถือว่าเข้าข่ายเป็นการจับตัวคนไทยซึ่งเป็นพลเรือนไปเป็นตัวประกันหรือเป็นการกักกันตัวโดยมิชอบ

      ซึ่งสรุปได้ดังนี้ว่า ในระหว่างการขัดกันด้วยอาวุธ (การรบ) ระหว่างไทยกับกัมพูชา คนไทยดังกล่าวไม่อาจถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทางกลับประเทศไทยได้ โดยรับการคุ้มครองที่จะเดินทางออกนอกประเทศกัมพูชาได้ หากไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างแน่ชัดว่าได้กระทำหรือเกี่ยวข้องในการกระทำกิจการต่าง ๆ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อความมั่นคงของกัมพูชา

      กล่าวคือ คนไทยดังกล่าวเป็นพลเรือน ( Civilian) มิใช่พลรบ (Combatant/Member of the Armed Forces) ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรบแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผู้เกี่ยวข้องกับการจับตัวพลเรือนไปเป็นตัวประกัน (Hostage) หรือการกักกันตัวโดยมิชอบ มีความผิดฐานเป็นอาชญากรสงคราม (War Criminal) ซึ่งกัมพูชาได้เป็นภาคีอนุสัญญาเจนีวาและพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ 1 ดังกล่าว โดยลงนามและให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาเจนีวาดังกล่าวมานานแล้ว สำหรับพิธี 2 สารเพิ่มเติม ฉบับที่ 1 กัมพูชาได้ภาคยานุวัติ (Accession) เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2541 มีผลบังคับใช้กับกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2541

      สรุป อนุสัญญาเจนีวาและพิธีสารเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งมีผลผูกพันให้กัมพูชาต้องปฏิบัติตาม ในการดำเนินการให้คนไทยหลายพันคนที่ด่านปอยเปตเดินทางกลับประเทศ

      “กองทัพบก” ชี้พฤติการณ์ “กัมพูชา” กักกันคนไทยที่ด่านปอยเปต อาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม!!

      กองทัพบก, วันที่ 14 ธ.ค. – จากกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาแสดงพฤติการณ์อย่างชัดเจนในการขัดขวางการเดินทางกลับประเทศของประชาชนชาวไทยจำนวนหลายพันคน ณ ด่านปอยเปต พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการควบคุมตัวพลเรือนโดยมิชอบ หรือมีลักษณะใกล้เคียงกับการจับตัวพลเรือนไปเป็นตัวประกัน อันอาจก่อให้เกิดความเข้าใจในระดับนานาชาติว่าเป็นการกักกันตัวโดยผิดกฎหมาย และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะสิทธิและเสรีภาพในการเดินทางกลับประเทศภูมิลำเนาของตนเอง

      นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวยังอาจเข้าข่ายเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ได้แก่ อนุสัญญาเจนีวา ว่าด้วยการคุ้มครองพลเรือนในเวลาการรบหรือการสงคราม ลงวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1949 รวมถึงพิธีสารเพิ่มเติมของอนุสัญญาเจนีวา และพิธีสารที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศ ค.ศ. 1977 ซึ่งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักกันตัวพลเรือนโดยมิชอบดังกล่าว อาจมีความผิดเข้าข่ายเป็นอาชญากรสงคราม ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

      “เนื่องจากกัมพูชาเป็นภาคีของอนุสัญญาเจนีวาและพิธีสารเพิ่มเติมดังกล่าว จึงมีพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนชาวไทยจำนวนหลายพันคน ณ ด่านปอยเปต สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้โดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนสากล” โฆษกกองทัพบก กล่าว

      CIB ทลายแก๊งหลอกดาวน์–ขโมย จยย. รวบคารถตู้ทึบ 2 คัน ยึดของกลาง 15 คัน ก่อนข้ามแดนลาว

      ตำรวจสอบสวนกลาง โดยตำรวจทางหลวง สกัดจับขบวนการหลอกดาวน์–ขโมยรถจักรยานยนต์ ใช้รถกระบะตู้ทึบลำเลียงกลางดึก เตรียมส่งออกผ่านช่องทางธรรมชาติชายแดนมุกดาหาร ยึดของกลางรวม 15 คัน เร่งขยายผลล่าตัวนายทุนและเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ

      กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กก.6 บก.ทล. วางแผนสกัดจับขบวนการลักลอบขนรถจักรยานยนต์ผิดกฎหมาย หลังได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลำเลียงรถที่ได้มาจากการหลอกดาวน์และโจรกรรม เพื่อนำไปส่งขายยังประเทศเพื่อนบ้าน (สปป.ลาว)

      ผลการปฏิบัติการสามารถสกัดจับรถกระบะตู้ทึบได้ 2 คัน พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์รวม 15 คัน แบ่งเป็น รถกระบะตู้ทึบยี่ห้ออีซูซุ สีเทา บรรทุกจักรยานยนต์ 9 คัน มีนายพัฒนพงษ์ อายุ 22 ปี เป็นผู้ขับขี่ และรถกระบะตู้ทึบยี่ห้อโตโยต้า สีขาว บรรทุกจักรยานยนต์ 6 คัน มีนายณัฐพงษ์ อายุ 30 ปี เป็นผู้ขับขี่ และมี Mr. Kongmany สัญชาติลาว อายุ 19 ปี นั่งโดยสารมาด้วย

      เหตุเกิดระหว่างวันที่ 13–14 ธันวาคม 2568 ช่วงเวลาประมาณ 23.30–01.50 น. บนถนนทางหลวงหมายเลข 292 เขต ต.สำราญ อ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร และถนนทางหลวงหมายเลข 12 กม.724 ต.หนองสูงเหนือ อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

      จากการตรวจสอบ ผู้ขับขี่ทั้งสองไม่สามารถแสดงเอกสารที่มาของรถจักรยานยนต์ได้ และให้การมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดของกลางทั้งหมดไว้ตรวจสอบ ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.คำชะอี จ.มุกดาหาร และ สภ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร ดำเนินคดีตามกฎหมาย

      สอบสวนเบื้องต้น นายณัฐพงษ์ รับสารภาพว่า รับจ้างขนรถจักรยานยนต์จากหลายพื้นที่ ทั้งกรุงเทพฯ สระบุรี และนครราชสีมา โดยติดต่อผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ได้ค่าจ้างคันละ 1,500 บาท และทำมาแล้วหลายครั้ง ส่วนนายพัฒนพงษ์ ให้การว่า รับรถจากพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อนำไปส่งชายแดนมุกดาหาร โดยมีผู้ว่าจ้างติดต่อผ่านไลน์ในลักษณะเดียวกัน

      การสืบสวนขยายผลพบว่า รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการเช่าซื้อ บางคันเพิ่งออกรถได้เพียงไม่กี่วัน ก่อนถูกส่งต่อให้ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน ตั้งแต่กลุ่มจัดหารถ กลุ่มขนส่งหรือนักบิน ไปจนถึงกลุ่มนายทุนและผู้สั่งการ โดยใช้แอปพลิเคชัน LINE และ Telegram ในการประสานงานอย่างเป็นระบบ

      ทั้งนี้ ตำรวจทางหลวงยืนยันจะเร่งขยายผลติดตามจับกุมผู้ว่าจ้าง นายทุน และเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด พร้อมเตือนประชาชน หากพบเบาะแสหรือมีข้อมูลเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ของกลางทั้ง 15 คัน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนตำรวจทางหลวง โทร. 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง