DSI ร่วมกับกรมอุทยานฯ ยึดไม้ลักลอบตัดจากเขตอุทยานฯคาโรงไม้นายทุนจีน จ.หนองคาย มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม 2568) เวลา 14.00 น. ณ โกดังบริษัท เอสซี เจริญทรัพย์ 789 จำกัด จังหวัดหนองคาย นายศรัณย์ศักดิ์ ศรีเครือเนตร ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม นายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นายพัฒน์พงษ์ สมิตติพัฒน์ รองอธิบดีกรมป่าไม้ ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณี DSI ร่วมกับกรมอุทยานฯ ยึดไม้ลักลอบตัดจากเขตอุทยานแห่งชาติในโกดังโรงไม้นายทุนจีน จังหวัดหนองคาย มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับการแจ้งเบาะแสว่ามีการลักลอบตัดไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติในเขตภาคเหนือ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้สั่งการให้กองกิจการอำนวยความยุติธรรมทำการสืบสวนเป็นเลขสืบสวนที่ 114/2568 โดยเจ้าหน้าที่กองกิจการอำนวยความยุติธรรมได้สืบสวนร่วมกับ เจ้าหน้ากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พบว่ามีรถบรรทุกสิบล้อดำเนินการขนไม้เถื่อนผิดกฎหมาย


จากการลักลอบตัดจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในจังหวัดเชียงใหม่ แพร่ ลำปาง และจังหวัดอื่น ๆ ทางภาคเหนือ ส่งเข้ามายังโกดังของบริษัท เอสซี เจริญทรัพย์ 789 จำกัด และบริษัท ล็อควู้ด จำกัด ตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ซึ่งทั้งสองบริษัทตั้งอยู่ภายในบริเวณเดียวกัน โดยเมื่อรถบรรทุกขนส่งไม้ดังกล่าวมาถึงจะทำการแปรรูปไม้โดยทันที และออกเอกสารที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายไม้ และส่งออกไม้ดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยมีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เข้ามารับไม้ยังภายในโกดังและนำส่งต่อไปยังท่าเรือแหลมฉบัง และไม้บางส่วนจะถูกขนส่งต่อไปยังโกดังในจังหวัดฉะเชิงเทรา

เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำโดย นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย และเจ้าหน้าตำรวจตระเวนชายแดนที่ 24 นำหมายค้นของศาลจังหวัดหนองคาย เลขที่ ค193/2568 และเลขที่ ค194/2568 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2568 เข้าทำการตรวจค้นโกดังของทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว โดยจากการตรวจค้นบริษัท ล็อควู้ด จำกัด พบ นางสาวกัญญาณัฐ และนายอาทิตย์ (สงวนนามสกุล) ทั้งสองคนเป็นคนบริหารจัดการภายในบริษัท ดำเนินกิจการรับซื้อแปรรูปไม้และส่งออกมาแล้วเป็นเวลาประมาณ 1 ปี อยู่ระหว่างขออนุญาตโรงงานแปรรูปไม้ด้วยแรงคน และจากการตรวจค้นบริษัท เอสซี เจริญทรัพย์ 789 จำกัด พบนาย WU JIAXIN อายุ 21 ปี สัญชาติจีน ชาวเวียดนาม จำนวน 2 คน และชาวลาว จำนวน 8 คน มีนายอู้ อู่เผิง เป็นเจ้าของโกดังและเป็นคนดำเนินงานภายในโกดังทั้งหมด โดยบริษัท ล็อควู้ด จำกัด เป็นผู้จัดทำเอกสารและดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกให้

นอกจากนี้คณะพนักงานสืบสวนฯ ได้บูรณาการร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษเขตพื้นที่ 4 และเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ทำการสกัดจับรถยนต์บรรทุกหัวลากพร้อม ตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นไม้ที่เคลื่อนย้ายออกจากโกดังของบริษัทฯ ดังกล่าวในคืนวันที่ 12 ธันวาคม 2568 จากการเปิดตู้พบไม้ประดู่แปรรูปจำนวนมาก จึงได้ทำการควบคุมผู้ขับขี่และรถนำกลับมาที่โกดังซึ่งจากการตรวจนับและจัดทำรายละเอียดบัญชีไม้ของกลาง พบว่ามีไม้จำนวนประมาณ 350 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท และจากการตรวจสอบย้อนหลังพบว่ากลุ่มขบวนการที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีการลักลอบนำไม้หวงห้ามส่งออกไปยังต่างประเทศมาก่อนหน้านี้แล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 4,000 ล้านบาท

รัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรมและอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีนโยบายในการปราบปรามคดีความผิดที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาการลักลอบตัดไม้ บุกรุกทำลายแพ้วถางป่าทั้งในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ หรือที่ดินของรัฐ ดังนั้น หากประชาชนพบเห็นการลักลอบตัดไม้ บุกรุกทำลายป่าสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวได้ที่กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือเว็บไซต์กรมสอบสวนคดีพิเศษ www.dsi.go.th หรือ สายด่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ โทร. 1202 (โทรฟรีทั่วประเทศ)

ดีอี ผนึก 4 หน่วยงานรัฐ จับมือ LINE ลงนาม MOU ยกระดับการเตือนภัยผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” เพิ่มความเร็ว-ความน่าเชื่อถือข้อมูลภาครัฐสู่ประชาชน

กรุงเทพฯ, 15 ธันวาคม – กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สนับสนุนการขับเคลื่อนความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน จับมือ 4 หน่วยงานรัฐ ได้แก่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานคร และบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการแจ้งเตือนภัยผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” บนแอปพลิเคชัน LINE ยกระดับการสื่อสารข้อมูลด้านภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินจากภาครัฐ ให้เข้าถึงประชาชนเข้าถึงได้ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว น่าเชื่อถือ ลดความสับสนจากข้อมูลบิดเบือนในช่วงวิกฤต

นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอี กล่าวว่า ในสถานการณ์ภัยพิบัติ เวลา คือปัจจัยชี้ขาด แต่ความเร็วเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การสื่อสารและการแจ้งเตือนภัยจากภาครัฐต้องมาพร้อมความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้สถานการณ์ เตรียมพร้อม และป้องกันตนเองได้อย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงและบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ดีอี จึงจับมือกับพันธมิตรมุ่งสร้าง “กลไกการทำงานร่วมกัน” ระหว่างหน่วยงานรัฐและแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่จำเป็นจากภาครัฐอย่างทันท่วงที และสามารถยืนยันความปลอดภัยของตนเอง เมื่อเผชิญเหตุภัยพิบัติ ผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” ทำให้ประชาชนสามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชัน LINE ที่ยกระดับระบบสื่อสารสาธารณภัยของประเทศทำให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์ เข้าถึงการดูแลความปลอดภัยในยามฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ร้อยตำรวจตรี สัณฐิติ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ปภ. กล่าวว่า ปภ.มีบทบาทในแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า กระจายข่าว ติดตามภาวะคุกคาม และความรุนแรงของสาธารณภัย จนสิ้นสุดการเตือนภัย รวมทั้งให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาธารณภัยผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยประสานงานและร่วมมือกับองค์กรเครือข่ายทั้งใน และต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลด้านสาธารณภัยไปยังช่องทางอื่น ๆ บริหารจัดการสาธารณภัย และเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติ และประกาศอย่างเป็นทางการในทุกระดับ รวมทั้งให้คำแนะนำด้านเนื้อหา และภาษา เพื่อให้ข้อมูลที่เผยแพร่เข้าใจง่าย เข้าถึงประชาชนได้ทั่วถึง

นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า กสทช.มีบทบาทสำคัญเพื่อให้การแจ้งเตือนภัยเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่งเสริมให้ประชาชนรับรู้ และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องจากภาครัฐในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน โดย กสทช. มุ่งสนับสนุนความร่วมมือด้านระบบสื่อสาร และโครงข่ายโทรคมนาคม เพื่อให้การแจ้งเตือนภัยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมีประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง และทำงานได้อย่างเหมาะสมในภาวะฉุกเฉิน พร้อมสนับสนุนการสื่อสารผ่านช่องทางภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน กสทช. และร่วมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการใช้ช่องทางดิจิทัลเพื่อติดตามข้อมูลจากภาครัฐ ยืนยันความปลอดภัย และรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างถูกต้อง

นายธนัญชัย วรรณสุข รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า เหตุการณ์ด้านมลพิษ และอุบัติภัยด้านมลพิษจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้อง และทันเวลา เพื่อให้ประชาชนป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม คพ. บริหารจัดการมลพิษ และสิ่งแวดล้อม และเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อให้การควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ คพ.จะมุ่งสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย ตลอดจนร่วมประสานการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีความร่วมมือในการกำหนดกลไกเชื่อมโยงข้อมูลและการเผยแพร่ข่าวสาร รวมถึงสนับสนุนการเตรียมความพร้อม การฝึกซ้อม และการประเมินผลการสื่อสารในภาวะวิกฤต เพื่อพัฒนาการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพ

นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (สปภ.) กล่าวว่า ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักในการดูแลความปลอดภัยในเมืองหลวง มี 2 เรื่องที่กรุงเทพมหานครต้องทำ คือต้องทำให้ “ข้อมูลโปร่งใส ถึงมือประชาชนทันที” กทม. ต้องทำหน้าที่เป็น “ศูนย์กลางในการจัดทำและเผยแพร่ข้อมูล” โดยนำข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และเชื่อถือได้เกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติ เชื่อมเข้าสู่ฟีเจอร์“Safety Check” โดยตรง และต้อง “ประสานงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นหนึ่งเดียว” โดย กทม. จะเป็นศูนย์กลางในการประสานงานอย่างเต็มที่ แพลตฟอร์มนี้จะเป็นกลไกในการเชื่อมต่อการทำงานและการสื่อสารเตือนภัยให้สอดคล้องกับทุกภาคีที่ร่วมมือกัน เพื่อให้การรับมือภัยพิบัติเป็นไปอย่างมีเอกภาพ และมีประสิทธิภาพที่สุด

นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) กล่าวว่า LINE ประเทศไทยพร้อมสนับสนุนการยกระดับการสื่อสารภาวะฉุกเฉินของภาครัฐผ่านผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” ซึ่ง LINE ริเริ่มพัฒนาขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในช่วงเหตุการณ์สำคัญได้อย่าง รวดเร็ว ถูกต้อง และครอบคลุม สามารถติดตามสถานการณ์ และยืนยันความปลอดภัยของตนเองได้สะดวกยิ่งขึ้น โดย LINE จะสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติไปยังประชาชนเป็นไปอย่างเหมาะสม ทันเวลา และทั่วถึง พร้อมสนับสนุนการลดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ และบิดเบือนในช่วงวิกฤต

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนความไว้วางใจที่ภาครัฐมีต่อ LINE ให้ที่พึ่งพาของคนไทยยามคับขัน และเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบเตือนภัยที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย และช่วยให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยและพร้อมกว่าเดิมจากการทำงานร่วมกันของรัฐและเอกชน รับมือภัยพิบัติในอนาคต โดย “Safety Check” จะเปิดให้ประชาชนใช้ได้เร็วๆ นี้ ขอให้ผู้ใช้ LINE อัปเดตแอปพลิเคชันเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ

พรรคพลวัต มีมติเลือก “กัณวีร์” เป็นหัวหน้าพรรค เซอร์ไพรส์ !! “สุรพันธ์” อดีต สส.นนทบุรี พรรคประชาชน นั่งรองหัวหน้า

วันที่ 15 ธ.ค. 68 พรรคพลวัต มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคพลวัต ครั้งที่ 3/2568 ที่โรงเรียนโภคาราม อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี มีมติเลือก นายกัณวีร์ สืบแสง เป็นหัวหน้าพรรคพลวัต นายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล เลขาธิการพรรค นางดวงจันทร์ พรหมวิอินทร์ เหรัญญิกพรรค น.ส.ภัทรานิษฐ์ พณิชธนันต์ชัย นายทะเบียนพรรค และ ม.ล.กุลธร เกษมสันต์ เป็น โฆษกพรรค

นายกัณวีร์ เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคพลวัตอย่างเป็นทางการ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น โดยมีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่ต้องขอบคุณนายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ อดีต สส.นนทบุรี เขต 1 จ.นนทบุรี ที่มาร่วมงานกับพรรค รวมถึงนายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ซึ่งเคยร่วมงานในพรรคการเมืองเดิม และ ม.ล.กุลธร เกษมสันต์ คนทำงานการเมืองที่มีอุดมการณ์เดียวกันอีกหลายท่าน มาร่วมก่อตั้งพรรคพลวัต เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.กับพี่น้องประชาชนในครั้งนี้

“การเมืองไทยหาทางออกไม่ได้ ประชาชนต้องการการเมืองที่ไม่ใช่แค่ทางรอด ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางเดียวที่จะนำพาประเทศชาติไปได้ ประเทศของเราต้องมีจุดยืนที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่เวทีระหว่างประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องพี่น้องประชาชน สวัสดิการ เกษตรกรรม เราต้องเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศให้ได้ ซึ่งผมมีความพร้อมจะนำเสนอนโยบายเพื่อให้ประเทศชาติมีทางเดียวที่จะเดินหน้าไปได้”

นายกัณวีร์ กล่าวว่า พรรคพลวัต เริ่มคัดสรรผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และจะเปิดตัวให้ครบ 77 จังหวัด ตั้งใจจะส่ง สส.ให้ได้มากที่สุด และได้มีการเตรียมพร้อมเป็นพรรคที่ตอบรับกับการเมืองใหญ่ของประเทศ ซึ่งได้เตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรก วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ยืนยันว่าพรรคพลวัต มีความพร้อมส่งผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร

นายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ เปิดเผยว่า วันนี้ได้มาเปิดตัวกับพรรคพลวัต ที่เลือกเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่เตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง ตนได้รับเลือกเป็นรองหัวหน้าพรรคดูแลยุทธศาสตร์เลือกตั้ง ซึ่งจะส่ง สส.เขตในการเลือกตั้งให้ได้มากที่สุด โดยวันที่ 17 ธ.ค.นี้จะเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการ Soft Opening พูดคุยกับพี่น้องสื่อมวลชนและประชาชน

นายสุรพันธ์ เปิดเผยว่า ตนได้ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาชน มาสมัครสมาชิกพรรคพลวัต และได้แจ้งกับพรรคประชาชน ทั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคเรียบร้อยแล้ว

“ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร กับพรรคประชาชนครับ เราทำการเมืองร่วมกันได้ ต้องขออภัยพี่น้องประชาชน ขออภัยหัวหน้าพรรค ว่าเราต้องหาผู้สมัครกระชั้นชิด และแจ้งไปยังพี่น้องประชาชนให้รับทราบแล้ว ผมได้แจ้งหัวหน้าพรรครับทราบแล้วครับ ได้ลาออกจากพรรคประชาชน และสมัครสมาชิกพรรคพลวัตแล้ว ตั้งใจอยากให้สนับสนุนพรรคพลวัตในการเลือกตั้งครั้งนี้ครับ” นายสุรพันธ์ กล่าว

นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล เลขาธิการพรรค เปิดเผยว่า ตนทำงานการเมืองมาในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ได้ร่วมงานมาหลายพรรคการเมือง มีความรู้สึกไม่แตกต่างกับคนไทย รู้สึกว่าตนเองอยู่ในภาวะเดียวกันว่าไม่รู้จะเลือกใครจริงๆ ผ่านมา 3 ปี รู้สึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นแทบไม่แตกต่าง และมีโอกาสมาทำหน้าที่นี้อีกครั้ง

“ทางหัวหน้าพรรค คุณกัณวีร์ ได้ร่วมงานกันตั้งแต่พรรคเดิม น้องเขาชวนว่าที่พี่เสนอไอเดียไว้หลายอย่างน่าจะทำได้ ถ้าจะทำจริง ก็ต้องสร้างโอกาสให้ตัวเองและประเทศไทย วันนี้เรารู้แล้วว่า ประเทศไทยต้องเดินไปข้างหน้า พลวัต ไม่ได้แค่เปลี่ยน แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เปลี่ยนประเทศไทยไปข้างหน้า”

นายสรยุทธ กล่าวว่า พรรคพลวัต ทำงานกันมาสักระยะแล้ว พรรคเราเปิดกว้าง ยินดีรับสมัครสมาชิกพรรคและทุกคนที่อยากร่วมงานกับพรรค หากมีความประสงค์จะร่วมในการลงสมัคร สามารถแชร์ไอเดีย ร่วมกันผลักดันนโยบายร่วมกับพรรคพลวัตต่อไป

ม.ล.กุลธร เกษมสันต์ เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบโอกาสให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลวัต หลังจากได้ทำงานการเมืองประมาณ 6 ปีได้ มีอะไรหลายอย่างที่ประเทศไทย ต้องเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่เท่าที่เฝ้าดูยังไม่เปลี่ยนไปตามที่เราคาดหวัง จึงตั้งใจเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น

“ผมมีใจมีไฟที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ ได้คุยกับพี่ๆทีมบริหารหลายคน มีอะไรหลายอย่างที่จะใช้ความสามารถที่มีอยู่เข้ามาช่วยกันทำนโยบาย ผลักดันประเทศเพื่อลูกหลานในอนาคต” ม.ล.กุลธร กล่าว

อสส. รับคดี 2 พ่อลูกฮุนฯ สั่งยิงเป็นคดีนอกราชฯ “วัชรินทร์”จัดอัยการลงพื้นที่

อัยการสูงสุดรับคดี 2 พ่อลูกตระกูลฮุนฯ สั่งยิงระเบิดตกในไทยรอบเเรกเป็นคดีนอกราชอาณาจักรเเล้ว “วัชรินทร์”อธ.อัยการสอบสวน จัดคณะอัยการลงพื้นที่ภาค 3 ร่วมสอบคดี

วันนี้ (15 ธ.ค.) นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวถึงความคืบหน้า กรณีเมื่อช่วงวันที่ 24 – 29 ก.ค. 2568 เกิดเหตุทหารกัมพูชายิงทั้งปืนและระเบิดตกมายังพื้นที่ 4 จังหวัดชายเเดนในไทย เป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิต 32 ราย เเละบาดเจ็บ 238 ราย ทรัพย์สินเสียหายเกือบร้อยล้านบาท ว่า เรื่องนี้ในส่วนคดีอาญาไม่ได้เงียบเฉย เพราะเมื่อเร็วๆนี้ นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุดได้พิจารณามีคำสั่งรับคดีที่ผู้บัญชาการตำรวจ ภูธรภาค 3 ที่ได้ยื่นขอให้ดำเนินคดีกับนายฮุนเซนและนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่สั่งการยิงระเบิดจนเป็นเหตุให้คนไทยบาดเจ็บล้มตายไว้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรแล้ว

พร้อมกันนี้ อัยการสูงสุดยังมีคำสั่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค3 เป็นพนักงานสอบสวนและให้อัยการจากสำนักงานการสอบสวนไปร่วมสอบสวนคดี

ในส่วนของสำนักงานการสอบสวนตนได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานโดยตนเองเป็นหัวหน้าคณะทำงานและมีทีมอัยการสำนักงานสอบสวนรวมทั้งหมด 18 คน อีกทั้งทางอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งตั้งให้อัยการจังหวัดในพื้นที่ที่เกิดความเสียหายเป็นอัยการเข้าร่วมการสอบสวนด้วย เเละจะมีนัดประชุมกับทีมสอบสวนของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค3 เพื่อวางหลักเกณฑ์แนวทางว่าควรต้องทําอย่างไร โดยคณะเราจะลงไปในพื้นที่ภาค3 เอง ซึ่งป.วิอาญา มาตรา 20 ให้อํานาจอัยการร่วมสอบสวน มีอํานาจสั่งการแนะนําในการรวบรวมพยานหลักฐานซึ่งถือว่าในคดีนอกราชอาณาจักรอัยการจะเป็นผู้คุมคดีนี้

“เราจะเข้าไปให้คําแนะนําและสั่งการในการรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าเราวางแนวทางเสร็จแล้วพยานหลักฐานใดที่ทางกองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 3 จะสอบสวนเพิ่มเติม มีพยานอะไรอื่นใด ทางทีมงานเราพร้อมที่จะสอบให้ แต่ถ้าเกิดว่าเหตุจําเป็นเร่งด่วนในกรณีเช่นว่ามีพยาน ที่จะต้องสอบสวนก็สามารถมอบอัยการจังหวัดในพื้นที่เกิดเหตุร่วมสอบสวนได้”

อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวต่อว่า เเต่อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีนี้คือผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค 3 ซึ่งท่านจะเป็นผู้สรุปสํานวนทําความเห็น ว่าเห็นควรสั่งฟ้องเห็นควรสั่งไม่ฟ้องคดีเสนอท่านอัยการสูงสุดพิจารณาแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งคดีนอกราชอาณาจักรเป็นอำนาจอัยการสูงสุด ซึ่งอัยการสูงสุดพิจารณาเเล้ว อาจจะสั่งสอบเพิ่มเติม หรืออาจจะเห็นด้วยในพยานหลักฐานที่ชัดเจนทั้งหมด และก็สั่งฟ้องหรืออาจจะสั่งไม่ฟ้อง อันนี้เป็นดุลพินิจของอัยการสูงสุด

ส่งทหารบาดเจ็บ4 นาย เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา รักษา รพ.พระมงกุฎเกล้า

เจ้าหน้าที่ทำการเคลื่อนย้ายกำลังพลบาดเจ็บสาหัส 4 นาย โดยเครื่องบิน ลงที่ บน.6 ดอนเมือง

เวลา 13.10น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริและจราจรทางพิเศษ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย อำนวยความสะดวกการจราจรในเส้นทาง โดยใช้เส้นทางเทวฤทธิ์พันลึก-วิภาวดี-โทล์เวย์-ด่านดินแดง1-ต่างระดับมักสัน-ลงด่วนพหลโยธิน1-อนุเสาวรีชัย-รพ.พระมงกฏเกล้า

ล่าสุดเวลา 13.33 น. ขบวนรถ ถึงรพ.พระมงกุฎเกล้า ใช้เวลาประมาณ20นาที ถึงรพ.พระมงกุฎเกล้า นำทหารที่บาดเจ็บจากชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้ง 4 นาย ส่งตัวเข้ารับการรักษาทันที

สำหรับกำลังพลที่เดินทางไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ประกอบด้วย 1.ร.อ.ปูรณ์ ทองพ่วง 2.ส.อ.จัตราวุฒิ มาประสพ 3.พลทหาร วันชัย รำไฟพนา และ 4.พลทหารจักรภัทร อันตะโก

“ในหลวง” พระราชทานของขวัญปีใหม่ 2569 เป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ชายแดนภาคใต้

ปัตตานี, วันที่ 15 ธันวาคม – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี เชิญสิ่งของพระราชทาน เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ. 2569 จำนวน 400 ชุด มอบแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ณ สนามฟุตซอลนาควานิช ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี

ในการนี้ นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี พร้อมด้วย พลโท นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และ นายแพทย์สมหมาย บุญเกลี้ยง  ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ตลอดจนคณะผู้บังคับบัญชา หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระราชประสงค์พระราชทานขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้เสียสละ ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ และความตั้งใจในการปฏิบัติภารกิจเพื่อความมั่นคงและความสงบสุขของประเทศชาติ โดย องคมนตรีได้เชิญพระราชกระแสความห่วงใยของพระเจ้าอยู่หัว กล่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ พร้อมทั้งทรงชื่นชมในความเข้มแข็ง ความเสียสละ และความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลทุกนาย ซึ่งได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด

“อภิสิทธิ์” นำทัพ ปชป. ส่งกำลังใจหาดใหญ่ ขอทุกภาคส่วนร่วมมือฟื้นฟูเมือง “อย่าลืมหาดใหญ่” เสนอ 2 ข้อ เร่งด่วน ฟื้นกำลังซื้อและความเชื่อมั่น

วันที่ 15 ธ.ค. 2568 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำคณะลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เข้าเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจประชาชน นักเรียน ภาครัฐ และภาคเอกชนในหาดใหญ่ พร้อมกับชื่นชมจิตใจอันงดงามของสังคมไทย และเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันฟื้นฟูเมืองอย่างเร่งด่วน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในช่วงสุญญากาศทางการเมืองเช่นนี้ ทำให้การช่วยเหลือหรือการขับเคลื่อนงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ต้องหยุดชะงักลง โดยเฉพาะการสนับสนุนโรงเรียนหรือการทำงานของ อบต. ที่ต้องรอการอนุมัติ

“เป็นจังหวะเวลาที่จะต้องฟื้นทุกอย่างให้มาทำให้ได้ ขณะนี้สำหรับพวกผมนะ มันก็คือ สุญญากาศ วันนี้มาโรงเรียนจะเอาของติดมือมาก็ไม่ได้ เพราะยุบสภาไปแล้ว ก็เลือกตั้ง อบต.อยู่ ทุกคนก็บอกว่าขยับอะไรได้น้อยมาก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคฯ กล่าวด้วยความห่วงใยว่า ทุกฝ่ายกำลังให้ความสนใจเรื่องชายแดนเกือบทั้งหมด จึงต้องส่งเสียงดัง ๆ ว่า “อย่าเพิ่งลืมที่นี่” พร้อมกับได้เล่าถึงความน่ารักของคนสุรินทร์ ซึ่งตนเพิ่งไปเยี่ยมศูนย์อพยพมา ที่แม้พวกเขาประสบภัยแต่ก็ยังเป็นห่วงคนหาดใหญ่ที่สูญเสียบ้าน

พร้อมกันนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้เสนอ 2 แนวทางเร่งด่วนที่สามารถทำได้ทันที เพื่อสร้างความร่วมมือและฟื้นฟูหาดใหญ่และภาคใต้

1. ขอ กกต. อย่าเป็นอุปสรรค หัวหน้าพรรคฯ เรียกร้องให้ กกต. เร่งอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อการฟื้นฟูเยียวยา โดยอย่ากังวลเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง

    “อะไรที่รัฐบาลอยากทำเพื่อให้ตรงนี้มันฟื้นขึ้นมาได้ กกต. อนุมัติเถอะนะครับ อย่ามากังวลว่าจะมากระทบเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องการเลือกตั้ง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

    2. รัฐบาลต้องทำ “คนละครึ่ง เฟส 2” แบบจำกัดพื้นที่ นายอภิสิทธิ์ เห็นว่าขณะนี้เป็นเวลาที่สมเหตุสมผลที่สุดที่รัฐบาลควรพิจารณาจัดทำโครงการ “คนละครึ่ง” เฟส 2 โดยจำกัดเฉพาะพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในหาดใหญ่และชายแดนใต้เท่านั้น เพื่อสร้างกำลังซื้อที่รวดเร็วและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่

    นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังเตือนไม่ให้ตีความคำว่า “ฝน 300 ปี” หรือ “ฝน 1,000 ปี” ผิดไปจนเกิดความประมาท แต่ต้องรับรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่ปริมาณฝน แต่เกิดจาก ปัญหาการพัฒนาเมือง ที่มาเป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำ พร้อมเสนอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยให้ความสำคัญของการมองไปในอนาคต โดยได้ระบุว่าการฟื้นฟูไม่ได้หมายถึงการทำให้หาดใหญ่กลับไปเหมือนก่อนน้ำท่วมเท่านั้น แต่ต้องใช้โอกาสนี้ในการถอดบทเรียนและพัฒนาระบบเมืองใหม่ให้มีความยืดหยุ่น

      “ถ้าฟื้นฟูทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้ทำได้เต็มที่ แต่ถ้าปีหน้าเจอสภาพแบบนี้อีก ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถทำให้คนพร้อมที่จะอยู่ที่นี่ ลงทุนที่นี่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว พร้อมเสนอให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการด้านวิชาการที่เป็นอิสระ เพื่อถอดบทเรียนโดยไม่ใช่เพื่อเอาผิดใครแต่เพื่อตอบโจทย์ว่าระบบในวันข้างหน้าต้องปรับปรุงอย่างไร ทั้งในเรื่องโครงสร้างการเตือนภัย การสื่อสาร และการบูรณาการฝ่ายปฏิบัติการ เพื่อให้การป้องกันและบรรเทาภัยมีประสิทธิภาพสูงสุด

      นายอภิสิทธิ์ ทิ้งท้ายว่า การฟื้นตัวของหาดใหญ่จะต้องสอดคล้องกับการวางเป้าหมายที่จะทำให้เมืองมีขีดความสามารถในการระบายน้ำได้ดีขึ้น และมีผลกระทบกับประชาชนที่น้อยลง เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับประชาชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคใต้ต่อไป

      คาดปีหน้าจีนเตรียมหนุน ศก.ผ่านการใช้จ่าย-การลงทุน พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงิน-การคลัง

      กรุงเทพฯ วันที่ 15 ธ.ค. – การประชุมกำหนดแผนงานด้านเศรษฐกิจประจำปีของจีน (CEWC) ในวันที่ 10-11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้ระบุถึงทิศทางการดำเนินเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปสาระสำคัญ ว่า ทางการจีนจะให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (pro-growth) และสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์ และอุปทาน โดยคาดว่ารัฐบาลกลางจะออกมาตรการที่เกี่ยวข้องการกับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาที่อยู่อาศัยคงค้าง ขณะที่นโยบายการเงิน และการคลังยังมีทิศทางผ่อนคลายผ่านอัตราดอกเบี้ย

      ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2569 ทางการจีนมีแนวโน้มตั้งเป้าหมาย GDP อยู่ที่ 5% ตามเดิม ขณะที่เป้าหมายงบประมาณขาดดุลต่อ GDP คาดอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน

      ช็อกวงการสีกากี!! ผู้การฯอุทัยธานี จบชีวิตตัวเองคารถเก๋งหน้าบ้านพัก นครสวรรค์​ เร่งสอบหาสาเหตุ

      เกิดเหตุ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี นรต.รุ่น 41 ยิงตัวเสียชีวิตภายในรถเก๋ง หน้าบ้านพัก จ.นครสวรรค์ ตำรวจเร่งตรวจที่เกิดเหตุและสืบสวนหาสาเหตุอย่างละเอียด

      เกิดเหตุเศร้าสลดในแวดวงตำรวจ เมื่อช่วงสายวันที่ 15 ธันวาคม 2568 พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตภายในรถยนต์ เหตุเกิดภายใน หมู่บ้านแห่งหนึ่ง​ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

      ที่เกิดเหตุบริเวณหน้าบ้านพัก พบรถยนต์เก๋งจอดอยู่ ภายในรถพบร่างผู้เสียชีวิต ทราบชื่อภายหลังคือ พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ ศรีบุญเรือง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี สภาพเสียชีวิตจากบาดแผลถูกอาวุธปืน โดยมีอาวุธปืนอยู่ภายในรถ

      จากการตรวจสอบประวัติ พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 41 และเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 25 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

      เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้กั้นพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พร้อมเก็บพยานหลักฐาน ทั้งภายในรถและบริเวณโดยรอบ รวมถึงสอบปากคำบุคคลใกล้ชิด เพื่อหาสาเหตุและแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ ขณะเดียวกันได้ประสานแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย

      ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่สรุปสาเหตุการเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ โดยอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

      ศูนย์​ ACSC ลุย 24 ชม. สกัดโกงออนไลน์ เซฟเหยื่อ 37 ราย เงินกว่า 7 ล้าน

      ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์​ (ACSC) มอนิเตอร์24 ชั่วโมง เร่งช่วยเหลือเหยื่อแบบเรียลไทม์รอบสัปดาห์เข้าระงับเหยื่อโอนเงิน 37 ราย ยอดเงินกว่า 7 ล้านบาท​พบแผนคนร้ายโทรศัพท์เป็นเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานระบาดหนัก

      ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์​ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดสถิติคดีและความเสียหายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการดำเนินการสืบสวนจับกุมพร้อมช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงภายใต้ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ตั้งแต่วันที่ 7-13 ธ.ค.68 มีคดีที่รับแจ้งเข้ามาผ่านทาง Thaipoliceonline จำนวน 6,934 คดี มูลค่าความเสียหาย 427,627,007 บาท (เฉลี่ย 61.09 ล้านบาทต่อวัน) ซึ่งคดีที่รับแจ้งรอบนี้ลดลงจากห้วงวันที่ 30 พ.ย.- 6 ธ.ค. 68 จำนวน 419 คดี แต่กลับพบว่ามูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นกว่า 16,341,500 บาท พบว่าเป็นความเสียหายเฉลี่ยต่อคดีที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

      หากนับเชิงปริมาณ ของคดีที่มีการแจ้งเข้ามา อันดับ 1. ยังคงเป็นการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่มีจำนวนมากถึง 62.8 เปอร์เซ็นต์ โดยคนร้ายเน้นหลอกจำนวนมาก กระจายตัวกว้าง แม้ว่ามูลค่าต่อคดีจะไม่สูงนัก แต่ก็ยังเป็นภัยคุกคามวงกว้างที่เกาะกระแสเทศกาลนิยม(อย่างในช่วงปลายปี หรือ Double Day เช่น 12.12) จำเป็นต้องแจ้งเตือนประชาชนให้ตรวจสอบเครดิตร้านค้าในช่วงมหกรรมลดราคาอย่างเข้มข้นและระวังเพจปลอมที่สวมรอยจัดโปรโมชั่น ขณะที่อันดับ 2. คือการหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล และอันดับที่ 3. คือการหลอกให้โอนหารายได้พิเศษ เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่แล้ว

      ขณะที่หากเทียบในเชิงมูลค่าความเสียหาย อันดับ1.ยังคงเป็นของ คดีหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัลฯ อันดับที่2. ยังคงเป็นการหลอกลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่แล้ว แต่ที่เปลี่ยนแปลงคือ​อันดับ 3. กลายเป็นการข่มขู่ทางโทรศัพท์ ที่แซงการหลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษขึ้นมา

      การวิเคราะห์จากภาพรวมสถานการณ์พบว่า แม้ว่าจำนวนคดีจะลดลง แต่มูลค่าความเสียหายที่มากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าคนร้ายเน้นการโจมตี “หวังผลสูงมากขึ้น” แม้ว่าตัวเหยื่อจะลดลงก็ตาม ซึ่งแพลตฟอร์มที่ถูกใช้ในแผนประทุษกรรม ยังคงเป็น FACEBOOK ที่ครองแชมป์ ที่คนร้ายใช้ติดต่อเหยื่อ ด้วยจำนวน 3,033 ครั้ง (ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่มี 3,274 ครั้ง) แต่ในทางกลับกันในแง่ความเสียหายสูงสุดกลับพบในกลุ่ม “ช่องทางอื่นๆ” มากที่สุด รองลงมาเป็นการโทรศัพท์ (Call Center) ซึ่งในสัปดาห์นี้พบว่าภัยจากการโทรศัพท์ (Call Center) มีความอันตรายในแง่ “ความสูญเสียต่อราย” สูงขึ้นอย่างชัดเจน จนมียอดความเสียหายแซงหน้า FACEBOOK ซึ่งอาจเกิดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีรูปแบบการหลอกลวงที่ซับซ้อนหรือข่มขู่ที่รุนแรงขึ้น

      สำหรับแผนประทุษกรรมคนร้ายที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ล่อลวงผู้เสียหายในสัปดาห์นี้ เป็นการหลอกลวงโดยอิงสถานการณ์ปัจจุบันกำลังมาแรง โดยประเด็นไหนที่กำลังพูดถึงในสังคมจะถูกนำมาเป็นกลโกงอย่างรวดเร็ว อย่าง การซื้อของแถมภารกิจ สินค้ายอดฮิตอย่างนมผง,เครื่องใช้ไฟฟ้า,ทองคำราคาถูก, เสื้อผ้ามือสอง และแจกของฟรี (เสื้อออกกำลังกาย, ต้นไม้) คนร้ายจะลงโฆษณาขายของราคาถูกหรือแจกฟรี เมื่อเหยื่อทักไปจะถูกเข้า Line Group หรือให้แอดไลน์ส่วนตัว ก่อนอ้างว่าต้อง “ทำกิจกรรม” หรือ “สะสมแต้ม” ก่อนจะส่งสินค้าหรือเพื่อให้ได้ราคานั้น โดยให้โอนเงินสำรองจ่ายเพื่อกดไลค์/กดออเดอร์สินค้า แล้วจะได้เงินคืนพร้อมคอมมิชชัน สุดท้ายถอนเงินไม่ได้ ,การกู้เงินทิพย์ แก้ไขข้อมูล เริ่มจากเหยื่อต้องการกู้เงินผ่านแอปฯหรือลิงก์(มักปลอมเป็นธนาคาร หรือสินเชื่อชื่อแปลกๆ เช่น Speoto Beste ,พลอยรับพลัส) แต่เมื่ออนุมัติวงเงินแล้ว จะถอนเงินไม่ได้ คนร้ายจะอ้างว่า “เหยื่อกรอกเลขบัญชีผิด” หรือ “ข้อมูลผิดพลาด” ระบบเลยล็อก ต้องโอนเงินค่าปลอดล็อกหรือค่าแก้ไขข้อมูล หรือค่าวางมัดจำเข้าไปก่อน ซึ่งเป็นข้ออ้างคลาสสิกที่ใช้ซ้ำๆตลอดทั้งสัปดาห์ ,แก๊งคอลเซ็นเตอร์ Video Call ชุดตำรวจ ครั้งนี้คนร้ายยกระดับความน่าเชื่อถือด้วยการ Video Call โดยแต่งกายชุดตำรวจรวจ และจัดฉากหลังเป็นสถานีตำรวจ(ปลอม) ทั้งยังอ้างว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “บัญชีม้า” หรือ “การฟอกเงิน” จากพัสดุตกค้าง หรือจากการเปิดเบอร์มือถือ ก่อนกดดัน บังคับให้โอนเงิน เพื่อ “ตรวจสอบเส้นทางการเงิน” และห้ามบอกบุคคลที่สามเด็ดขาด, การหลอกให้รักแบบ Hybrid (Romance Scam Mutation) ที่รูปแบบเดิมจะส่งของขวัญติดด่านศุลกากร ต้องจ่ายภาษี เป็นการใช้แอปหาคู่ หรือTiktok เข้ามาจีบจนเชื่อใจ แล้วชวน “ลงทุน”(เทรดทอง,คริปโต) ผ่านแอปฯปลอมหรือลิงก์ปลอม ท้ายที่สุดก็ถอนเงินไม่ได้ อ้างต้องจ่ายภาษี

      นอกจากนี้เพจ Facebook “ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์” หรือ ACSC ได้มีการรวบรวมเว็บไซต์ Scammer ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบเว็บไซต์ต้องสงสัย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้นำข้อมูลเว็บไซต์เหล่านี้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปิดกั้นไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อด้วยเช่นกัน

      ทั้งนี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ ACSC และสามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที โดยเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด 24 เคส และเราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมดจำนวน 37 ราย คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 7,041,708 บาท สามารถจับกุมได้ 8 คดี โดยมีเคสที่น่าสนใจ ดังนี้

      เคสที่ 1 เจ้าหน้าที่ warroom ศูนย์ ACSC ประสานตำรวจสภ.สุไหงโกลก เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายเป็นชาย อายุ 63 ปี หลังพบโฆษณาในเฟซบุ๊ก ชักชวนให้ลงทุน อบรมการซื้อขายหุ้น เมื่อผู้เสียหายทักเข้าไปสนใจ แอดมินเชิญเข้ากลุ่มไลน์ จากนั้นได้ชวนลงทุนในแพลตฟอร์มปลอม ผู้เสียหายตัดสินใจโอนเงินไปครั้งแรกจำนวน 61,000 บาท คนร้ายอ้างว่าได้กำไร แต่ไม่มีเงินเข้ามาในบัญชีจริง แต่คนร้ายหลอกต่อเนื่องอ้างสารพัดเหตุผล สุดท้ายผู้เสียหายโอนเงินไปรวม 18 ครั้ง มูลค่ากว่า 5,375,211 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงอธิบายว่านั่นเป็นมิจฉาชีพพร้อมพาไปแจ้งความ

      เคสที่ 2 ศูนย์ ACSC ประสานตำรวจ สภ.สามพราน เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายเป็นหญิง วัย 50 ปี ทันทีหลังพบว่ามีการโอนเงินไปยังบัญชีบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบัญชีม้า (รับโอนเงินจากการหลอกลวงโดยไม่ได้มีการทำธุรกิจจริง) ก่อนจะทราบว่าเมื่อวันที่ 14 พ.ย.2568 ได้มีคนร้ายใช้ไลน์ ชื่อ “บอม เบ 100” ทักหาผู้เสียหาย พูดคุยลักษณะหลอกให้รัก โดยไม่มีการเปิดกล้องหรือพบตัวกัน กระทั่งโน้มน้าวจนผู้เสียหายเชื่อใจ คนร้ายได้ชักชวนให้ลงทุนทำธุรกิจในลักษณะขายของออนไลน์ โดยอ้างว่าจะได้ผลตอบแทน 20% จากเงินที่ลงทุนไป ซึ่งผู้เสียหายได้โอนเงินลงทุนไป จำนวน 3 ครั้ง ยอดรวม 140,000 บาท

      เคสที่ 3 ศูนย์ ACSC ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เข้าช่วยเหลือชายสูงอายุ หลังถูกคนร้ายโทรศัพท์มาอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมชลประทาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ผู้เสียหายเคยทำงานอยู่ และปัจจุบันเกษียณ​แล้ว โดยหลอกว่าให้แอดไลน์เพื่อรับข้อมูลข่าวสารจากกรมชลประทาน โดยเป็นการแอดไลน์ผ่านเบอร์โทรคนร้าย หลังจากนั้นได้หลอกให้ผู้เสียหายเข้าแอปฯกรุงไทย ก่อนหลอกให้ทำตามขั้นตอน คือการเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นก็ลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย จำนวน 385,910 บาท ก่อนที่ผู้เสียหายจะรู้ตัว คนร้ายได้ยกเลิกข้อความที่เคยคุยกัน แล้วออกจากไลน์ดังกล่าวทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามสืบสวนต่อไป

      “การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน​ให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้างทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด

      ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”