ดีอี ผนึก 4 หน่วยงานรัฐ จับมือ LINE ลงนาม MOU ยกระดับการเตือนภัยผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” เพิ่มความเร็ว-ความน่าเชื่อถือข้อมูลภาครัฐสู่ประชาชน

291

กรุงเทพฯ, 15 ธันวาคม – กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สนับสนุนการขับเคลื่อนความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน จับมือ 4 หน่วยงานรัฐ ได้แก่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานคร และบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการแจ้งเตือนภัยผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” บนแอปพลิเคชัน LINE ยกระดับการสื่อสารข้อมูลด้านภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินจากภาครัฐ ให้เข้าถึงประชาชนเข้าถึงได้ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว น่าเชื่อถือ ลดความสับสนจากข้อมูลบิดเบือนในช่วงวิกฤต

นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอี กล่าวว่า ในสถานการณ์ภัยพิบัติ เวลา คือปัจจัยชี้ขาด แต่ความเร็วเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การสื่อสารและการแจ้งเตือนภัยจากภาครัฐต้องมาพร้อมความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้สถานการณ์ เตรียมพร้อม และป้องกันตนเองได้อย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงและบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ดีอี จึงจับมือกับพันธมิตรมุ่งสร้าง “กลไกการทำงานร่วมกัน” ระหว่างหน่วยงานรัฐและแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่จำเป็นจากภาครัฐอย่างทันท่วงที และสามารถยืนยันความปลอดภัยของตนเอง เมื่อเผชิญเหตุภัยพิบัติ ผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” ทำให้ประชาชนสามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชัน LINE ที่ยกระดับระบบสื่อสารสาธารณภัยของประเทศทำให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์ เข้าถึงการดูแลความปลอดภัยในยามฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ร้อยตำรวจตรี สัณฐิติ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ปภ. กล่าวว่า ปภ.มีบทบาทในแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า กระจายข่าว ติดตามภาวะคุกคาม และความรุนแรงของสาธารณภัย จนสิ้นสุดการเตือนภัย รวมทั้งให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาธารณภัยผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยประสานงานและร่วมมือกับองค์กรเครือข่ายทั้งใน และต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลด้านสาธารณภัยไปยังช่องทางอื่น ๆ บริหารจัดการสาธารณภัย และเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติ และประกาศอย่างเป็นทางการในทุกระดับ รวมทั้งให้คำแนะนำด้านเนื้อหา และภาษา เพื่อให้ข้อมูลที่เผยแพร่เข้าใจง่าย เข้าถึงประชาชนได้ทั่วถึง

นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า กสทช.มีบทบาทสำคัญเพื่อให้การแจ้งเตือนภัยเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่งเสริมให้ประชาชนรับรู้ และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องจากภาครัฐในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน โดย กสทช. มุ่งสนับสนุนความร่วมมือด้านระบบสื่อสาร และโครงข่ายโทรคมนาคม เพื่อให้การแจ้งเตือนภัยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมีประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง และทำงานได้อย่างเหมาะสมในภาวะฉุกเฉิน พร้อมสนับสนุนการสื่อสารผ่านช่องทางภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน กสทช. และร่วมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการใช้ช่องทางดิจิทัลเพื่อติดตามข้อมูลจากภาครัฐ ยืนยันความปลอดภัย และรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างถูกต้อง

นายธนัญชัย วรรณสุข รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า เหตุการณ์ด้านมลพิษ และอุบัติภัยด้านมลพิษจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้อง และทันเวลา เพื่อให้ประชาชนป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม คพ. บริหารจัดการมลพิษ และสิ่งแวดล้อม และเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อให้การควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ คพ.จะมุ่งสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย ตลอดจนร่วมประสานการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีความร่วมมือในการกำหนดกลไกเชื่อมโยงข้อมูลและการเผยแพร่ข่าวสาร รวมถึงสนับสนุนการเตรียมความพร้อม การฝึกซ้อม และการประเมินผลการสื่อสารในภาวะวิกฤต เพื่อพัฒนาการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพ

นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (สปภ.) กล่าวว่า ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักในการดูแลความปลอดภัยในเมืองหลวง มี 2 เรื่องที่กรุงเทพมหานครต้องทำ คือต้องทำให้ “ข้อมูลโปร่งใส ถึงมือประชาชนทันที” กทม. ต้องทำหน้าที่เป็น “ศูนย์กลางในการจัดทำและเผยแพร่ข้อมูล” โดยนำข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และเชื่อถือได้เกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติ เชื่อมเข้าสู่ฟีเจอร์“Safety Check” โดยตรง และต้อง “ประสานงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นหนึ่งเดียว” โดย กทม. จะเป็นศูนย์กลางในการประสานงานอย่างเต็มที่ แพลตฟอร์มนี้จะเป็นกลไกในการเชื่อมต่อการทำงานและการสื่อสารเตือนภัยให้สอดคล้องกับทุกภาคีที่ร่วมมือกัน เพื่อให้การรับมือภัยพิบัติเป็นไปอย่างมีเอกภาพ และมีประสิทธิภาพที่สุด

นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) กล่าวว่า LINE ประเทศไทยพร้อมสนับสนุนการยกระดับการสื่อสารภาวะฉุกเฉินของภาครัฐผ่านผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” ซึ่ง LINE ริเริ่มพัฒนาขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในช่วงเหตุการณ์สำคัญได้อย่าง รวดเร็ว ถูกต้อง และครอบคลุม สามารถติดตามสถานการณ์ และยืนยันความปลอดภัยของตนเองได้สะดวกยิ่งขึ้น โดย LINE จะสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติไปยังประชาชนเป็นไปอย่างเหมาะสม ทันเวลา และทั่วถึง พร้อมสนับสนุนการลดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ และบิดเบือนในช่วงวิกฤต

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนความไว้วางใจที่ภาครัฐมีต่อ LINE ให้ที่พึ่งพาของคนไทยยามคับขัน และเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบเตือนภัยที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย และช่วยให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยและพร้อมกว่าเดิมจากการทำงานร่วมกันของรัฐและเอกชน รับมือภัยพิบัติในอนาคต โดย “Safety Check” จะเปิดให้ประชาชนใช้ได้เร็วๆ นี้ ขอให้ผู้ใช้ LINE อัปเดตแอปพลิเคชันเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ