สธ.ลดระดับศูนย์ปฏิบัติการฯส่วนกลางหลังน้ำท่วมคลี่คลาย เผยสถานพยาบาล เสียหาย 2,223 ล้านบาท

รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์น้ำท่วม “สงขลา” คลี่คลาย ลดระดับศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ ระดับกระทรวงสู่ Alert Mode และให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ ระดับเขตติดตามประเมินสถานการณ์ต่อเนื่อง ดูแลผลกระทบด้านจิตใจ เฝ้าระวังการระบาดของโรคที่มากับน้ำท่วม ส่วนภาพรวมสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 9 จังหวัด รวมกว่า 2,223 ล้านบาท

วันนี้ (15 ธันวาคม 2568) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) กรณีสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม พื้นที่ภาคใต้ นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ ว่า ขณะนี้สถานการณ์ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา คลี่คลายเข้าสู่ระยะฟื้นฟู อยู่ระหว่างการสำรวจความเสียหาย จึงลดระดับ PHEOC กระทรวงเป็น Alert Mode และให้ PHEOC ระดับเขตเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ดูแลผลกระทบทางจิตใจของประชาชนและเจ้าหน้าที่ เฝ้าระวังการระบาดของโรคติดต่อที่มากับน้ำท่วม ส่วนการประเมินความเสียหายของสถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบ 9 จังหวัด มีมูลค่ารวมกว่า 2,223 ล้านบาท แบ่งเป็น สิ่งก่อสร้าง 1,838 ล้านบาท ครุภัณฑ์ 380 ล้านบาท และวัสดุ 4.9 ล้านบาท มากที่สุดคือปัตตานี 1,147 ล้านบาท รองลงมาคือ สงขลา 982 ล้านบาท

นพ.วีรวุฒิกล่าวต่อว่า สำหรับการให้บริการทางการแพทย์ของ จ.สงขลา ในระยะฟื้นฟู (29 พฤศจิกายน – 14 ธันวาคม 2568) จัดทีมปฏิบัติการทางการแพทย์ 387 ทีม ให้บริการ 43,443 ราย ส่งต่อ 110 ราย ส่งทีมหมอเดินเท้ารวม 400 ทีม ให้บริการประชาชนตามบ้าน 37,858 ราย ส่งต่อ 34 ราย จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม 10 แห่ง ให้บริการ 17,815 ราย ส่งต่อ 134 ราย และมีการปรับลดเป็น OPD ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยคงเหลือโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง ได้แก่ หอประชุมเทศบาลนครหาดใหญ่ โดย รพ.หาดใหญ่ และโรงเรียนนานาชาติเซาท์เทิร์น เขต 8 โดยโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดสงขลา

สำหรับงานอนามัยสิ่งแวดล้อม ได้จัดทีมดูแล 5 ส่วน คือ 1) ศูนย์พักพิง 27 แห่ง เฝ้าระวังด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำ จัดการมูลฝอย สิ่งปฏิกูล ควบคุมสัตว์และแมลงพาหะนำโรค 2) ชุมชน 103 แห่ง ดูน้ำดื่มน้ำใช้ การจัดการมูลฝอย การจัดการน้ำเสีย สนับสนุนอุปกรณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม 3) ระบบประปา 76 จุด ได้หารือแนวทางปรับปรุงคุณภาพน้ำประปากับ กปภ.หาดใหญ่ เฝ้าระวังคุณภาพน้ำประปาไม่ให้คลอรีนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 4) ตลาด 12 แห่ง สนับสนุนการรื้อล้างตลาดและฟื้นฟูสุขาภิบาลในตลาด และ 5) ขยะ ได้ช่วยระบบจัดการขยะ และการจัดการน้ำชะขยะ โดยราด EM / ปูนขาว พร้อมมีมาตรการควบคุมป้องกันมลพิษทางอากาศ ส่วนการเฝ้าระวังควบคุมโรค มีการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก แจกจ่ายยาปฏิชีวนะให้แก่กลุ่มเสี่ยง พ่นสารเคมีทำลายยุงตัวเต็มวัยและหนอนแมลงวันในชุมชน ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่กลุ่มเสี่ยง รวมถึงลงพื้นที่สอบสวนโรคกรณีมีผู้เสียชีวิตและค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม รวมทั้งยังส่งทีม MCATT 41 ทีม ออกประเมินสุขภาพจิตสะสม 97,503 ราย พบกลุ่มเครียดสูงสะสม 727 ราย เสี่ยงฆ่าตัวตายสะสม 231 ราย ได้มีการติดตามและให้ดูแลอย่างต่อเนื่อง

“พิพัฒน์” ระดมคมนาคมรับมือชายแดนไทย – กัมพูชา ปิดเส้นทางเสี่ยง – อพยพประชาชน ดูแลศูนย์พักพิงทุกจังหวัด

กรุงเทพฯ, วันที่ 15 ธ.ค. – นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (รมว.คค.) ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชาอย่างใกล้ชิด พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมบูรณาการกำลัง เดินหน้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชน การอพยพกลุ่มเปราะบาง และการอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ศูนย์พักพิง

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายจังหวัดชายแดน กระทรวงคมนาคมได้เร่งสนับสนุนภารกิจของจังหวัดและฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงจุด โดยในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ได้เกิดเหตุปะทะบริเวณช่องสายตะกู ส่งผลให้มีการสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่อำเภอบ้านกรวดและอำเภอละหานทราย พร้อมทั้งงดใช้ทางหลวงหมายเลข 224 (บ้านกรวด – ละหานทราย – พนมดงรัก) เพื่อความปลอดภัย ซึ่งสำนักงานขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ได้สนับสนุนรถ จำนวน 10 คัน สำหรับอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบางไปยังสถานพยาบาลและศูนย์พักพิง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกภายในศูนย์พักพิงชั่วคราว และงดการเดินรถในพื้นที่เสี่ยงตามข้อสั่งการของจังหวัด

จังหวัดสุรินทร์ยังคงมีสถานการณ์ความไม่สงบในหลายพื้นที่ ส่งผลให้มีผู้อพยพเข้าศูนย์พักพิงชั่วคราว จำนวน 145 แห่ง กว่า 80,000 คน สำนักงานขนส่งจังหวัดสุรินทร์ได้จัดเจ้าหน้าที่และยานพาหนะลงพื้นที่ดูแลศูนย์พักพิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนภารกิจของจังหวัดและกรมการขนส่งทางบก โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในการดูแลความปลอดภัยและสร้างขวัญกำลังใจแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่

ด้านจังหวัดตราด กรมทางหลวงได้รายงานเหตุลูกกระสุนตกบนทางหลวงหมายเลข 3 ตอนแม่น้ำตราด – หาดเล็ก ส่งผลให้ต้องปิดเส้นทางบางช่วงเป็นการชั่วคราว ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงได้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ชายแดนเข้าสู่ตัวเมืองตราด เพื่อความปลอดภัย โดยแขวงทางหลวงตราดได้ดำเนินการอพยพหมวดทางหลวงในพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ หมวดทางหลวงแหลมกลัด ช้างทูน และด่านชุมพล ให้ปฏิบัติงานในพื้นที่ปลอดภัย ตามแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินของหน่วยงาน 

นายพิพัฒน์ กล่าวย้ำว่า กระทรวงคมนาคมได้กำชับให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รายงานความคืบหน้าแบบต่อเนื่อง ปรับแผนการเดินรถและการใช้เส้นทางให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง พร้อมสนับสนุนการอพยพประชาชนและการดำเนินงานของศูนย์พักพิงในทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ และจะยังคงบูรณาการการทำงานร่วมกับจังหวัด ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ และยืนหยัดอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

“กกล.บูรพา” ส่ง “โดรน” ถล่มที่ตั้งยิงอาวุธเขมรฝั่งตรงข้าม “บ้านหนองจาน” ราบ

กองทัพภาพที่ 1, วันที่ 15 ธ.ค. –  กองทัพภาพที่ 1ได้รับรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.40 น. กองกำลังบูรพา ใช้อากาศยานไร้คนขับ (Drone) ทำการทิ้งระเบิดทำลายที่ตั้งยิงอาวุธยิงสนับสนุนฝ่ายกัมพูชา จนได้รับความเสียหาย พื้นที่ตรงข้ามบ้านหนองจาน ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว

ตชด.12 ส่งต่อกำลังใจ มอบสิ่งของบำรุงขวัญกำลังพลชายแดนสระแก้ว

ผู้บังคับการ ตชด.12 นำคณะผู้บังคับบัญชามอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่แนวชายแดนจังหวัดสระแก้ว เสริมขวัญกำลังใจ พร้อมย้ำภารกิจรักษาความมั่นคงเป็นไปอย่างเรียบร้อย

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ว่าที่ พ.ต.อ.พิภพ พรหมยก ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 และผู้บังคับการชุดควบคุมตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 (ผกก.ตชด.12/ผบ.ชค.ตชด.12) พร้อมด้วย พ.ต.ท.ณัฐฐา ดาวไธสง และ พ.ต.ท.ณัฐฑกร มังคลากุล รอง ผกก.ตชด.12 รวมถึง พ.ต.ท.วรธันย์ ทองจำปา สว.กก.ตชด.12 (ธกวส.) ได้นำเครื่องอุปโภคบริโภคไปมอบให้แก่กำลังพลในสังกัดที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดน

ทั้งนี้ เครื่องอุปโภคบริโภคดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงตามแนวชายแดนในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว

ในการนี้ มี พ.ต.ท.นิรุตติ์ หลิ่มวิรัช รอง ผกก.ตชด.12/รอง ผบ.ชค.ตชด.12 และ ร.ต.อ.นิยม เจริญศิริ รองผู้บังคับกองร้อย ตชด.125 พร้อมกำลังพลในสังกัดร่วมรับมอบ ณ ที่ทำการชุดควบคุม ตชด.12 (ร้อย ตชด.125) อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว

ผู้บังคับบัญชาย้ำว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้นอกจากเป็นการส่งมอบสิ่งของจำเป็นแล้ว ยังเป็นการแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งการปฏิบัติภารกิจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย.

นายกฯ ตอบ “ยูเอ็น” ชี้ไทยต้องปกป้องอธิปไตย หลังกัมพูชายิง BM-21 เป็นชุด ย้ำพร้อมช่วยคนไทยตกค้างเต็มที่

ที่พรรคภูมิใจไทย, วันที่ 15 ธันวาคม – นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ณ นครเจนีวา ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ประเทศคู่ขัดแย้งยุติการสู้รบ โดยระบุว่าพลเรือนไม่ควรตกเป็นเป้าหมายทางทหาร ว่า ประเทศไทยยึดมั่นในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และไม่จำเป็นต้องออกไปชี้แจงต่อนานาประเทศ เนื่องจากข้อเท็จจริงได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้ว

นายอนุทิน กล่าวว่า มีหลักฐานทั้งภาพถ่ายและข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มยิงจรวดบีเอ็ม-21 เข้ามาในฝั่งไทยในลักษณะเป็นชุดและต่อเนื่อง ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ซึ่งถือเป็นข้อเท็จจริงที่สังคมโลกสามารถพิจารณาได้ด้วยตนเอง ขณะที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นความรุนแรงแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าวันเดียวกัน นายอนุทิน ยังได้กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือคนไทยที่ติดค้างอยู่ในประเทศกัมพูชา ว่า รัฐบาลพร้อมดำเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในทุกด้าน แม้ขณะนี้ยังไม่ได้หารือรายละเอียดอย่างเป็นทางการกับกระทรวงการต่างประเทศ แต่การปฏิบัติงานสามารถดำเนินการได้ตามปกติ โดยไม่จำเป็นต้องรอการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรี เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยของคนไทยเป็นสำคัญ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความเป็นไปได้ในการเช่าเหมาลำเครื่องบินพาณิชย์เพื่อรับคนไทยกลับประเทศ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หากเป็นแนวทางที่ช่วยให้คนไทยได้รับความสะดวกและปลอดภัย รัฐบาลพร้อมดำเนินการทั้งหมด โดยขณะนี้ได้รับรายงานว่ามีคนไทยติดค้างอยู่ในกัมพูชาหลายพันคน และจะเร่งช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง

DSI ร่วมกับกรมอุทยานฯ ยึดไม้ลักลอบตัดจากเขตอุทยานฯคาโรงไม้นายทุนจีน จ.หนองคาย มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม 2568) เวลา 14.00 น. ณ โกดังบริษัท เอสซี เจริญทรัพย์ 789 จำกัด จังหวัดหนองคาย นายศรัณย์ศักดิ์ ศรีเครือเนตร ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม นายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นายพัฒน์พงษ์ สมิตติพัฒน์ รองอธิบดีกรมป่าไม้ ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณี DSI ร่วมกับกรมอุทยานฯ ยึดไม้ลักลอบตัดจากเขตอุทยานแห่งชาติในโกดังโรงไม้นายทุนจีน จังหวัดหนองคาย มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับการแจ้งเบาะแสว่ามีการลักลอบตัดไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติในเขตภาคเหนือ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้สั่งการให้กองกิจการอำนวยความยุติธรรมทำการสืบสวนเป็นเลขสืบสวนที่ 114/2568 โดยเจ้าหน้าที่กองกิจการอำนวยความยุติธรรมได้สืบสวนร่วมกับ เจ้าหน้ากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พบว่ามีรถบรรทุกสิบล้อดำเนินการขนไม้เถื่อนผิดกฎหมาย


จากการลักลอบตัดจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในจังหวัดเชียงใหม่ แพร่ ลำปาง และจังหวัดอื่น ๆ ทางภาคเหนือ ส่งเข้ามายังโกดังของบริษัท เอสซี เจริญทรัพย์ 789 จำกัด และบริษัท ล็อควู้ด จำกัด ตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ซึ่งทั้งสองบริษัทตั้งอยู่ภายในบริเวณเดียวกัน โดยเมื่อรถบรรทุกขนส่งไม้ดังกล่าวมาถึงจะทำการแปรรูปไม้โดยทันที และออกเอกสารที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายไม้ และส่งออกไม้ดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยมีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เข้ามารับไม้ยังภายในโกดังและนำส่งต่อไปยังท่าเรือแหลมฉบัง และไม้บางส่วนจะถูกขนส่งต่อไปยังโกดังในจังหวัดฉะเชิงเทรา

เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำโดย นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย และเจ้าหน้าตำรวจตระเวนชายแดนที่ 24 นำหมายค้นของศาลจังหวัดหนองคาย เลขที่ ค193/2568 และเลขที่ ค194/2568 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2568 เข้าทำการตรวจค้นโกดังของทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว โดยจากการตรวจค้นบริษัท ล็อควู้ด จำกัด พบ นางสาวกัญญาณัฐ และนายอาทิตย์ (สงวนนามสกุล) ทั้งสองคนเป็นคนบริหารจัดการภายในบริษัท ดำเนินกิจการรับซื้อแปรรูปไม้และส่งออกมาแล้วเป็นเวลาประมาณ 1 ปี อยู่ระหว่างขออนุญาตโรงงานแปรรูปไม้ด้วยแรงคน และจากการตรวจค้นบริษัท เอสซี เจริญทรัพย์ 789 จำกัด พบนาย WU JIAXIN อายุ 21 ปี สัญชาติจีน ชาวเวียดนาม จำนวน 2 คน และชาวลาว จำนวน 8 คน มีนายอู้ อู่เผิง เป็นเจ้าของโกดังและเป็นคนดำเนินงานภายในโกดังทั้งหมด โดยบริษัท ล็อควู้ด จำกัด เป็นผู้จัดทำเอกสารและดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกให้

นอกจากนี้คณะพนักงานสืบสวนฯ ได้บูรณาการร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษเขตพื้นที่ 4 และเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ทำการสกัดจับรถยนต์บรรทุกหัวลากพร้อม ตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นไม้ที่เคลื่อนย้ายออกจากโกดังของบริษัทฯ ดังกล่าวในคืนวันที่ 12 ธันวาคม 2568 จากการเปิดตู้พบไม้ประดู่แปรรูปจำนวนมาก จึงได้ทำการควบคุมผู้ขับขี่และรถนำกลับมาที่โกดังซึ่งจากการตรวจนับและจัดทำรายละเอียดบัญชีไม้ของกลาง พบว่ามีไม้จำนวนประมาณ 350 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท และจากการตรวจสอบย้อนหลังพบว่ากลุ่มขบวนการที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีการลักลอบนำไม้หวงห้ามส่งออกไปยังต่างประเทศมาก่อนหน้านี้แล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 4,000 ล้านบาท

รัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรมและอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีนโยบายในการปราบปรามคดีความผิดที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาการลักลอบตัดไม้ บุกรุกทำลายแพ้วถางป่าทั้งในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ หรือที่ดินของรัฐ ดังนั้น หากประชาชนพบเห็นการลักลอบตัดไม้ บุกรุกทำลายป่าสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวได้ที่กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือเว็บไซต์กรมสอบสวนคดีพิเศษ www.dsi.go.th หรือ สายด่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ โทร. 1202 (โทรฟรีทั่วประเทศ)

ดีอี ผนึก 4 หน่วยงานรัฐ จับมือ LINE ลงนาม MOU ยกระดับการเตือนภัยผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” เพิ่มความเร็ว-ความน่าเชื่อถือข้อมูลภาครัฐสู่ประชาชน

กรุงเทพฯ, 15 ธันวาคม – กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สนับสนุนการขับเคลื่อนความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน จับมือ 4 หน่วยงานรัฐ ได้แก่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานคร และบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการแจ้งเตือนภัยผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” บนแอปพลิเคชัน LINE ยกระดับการสื่อสารข้อมูลด้านภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินจากภาครัฐ ให้เข้าถึงประชาชนเข้าถึงได้ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว น่าเชื่อถือ ลดความสับสนจากข้อมูลบิดเบือนในช่วงวิกฤต

นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอี กล่าวว่า ในสถานการณ์ภัยพิบัติ เวลา คือปัจจัยชี้ขาด แต่ความเร็วเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การสื่อสารและการแจ้งเตือนภัยจากภาครัฐต้องมาพร้อมความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้สถานการณ์ เตรียมพร้อม และป้องกันตนเองได้อย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงและบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ดีอี จึงจับมือกับพันธมิตรมุ่งสร้าง “กลไกการทำงานร่วมกัน” ระหว่างหน่วยงานรัฐและแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่จำเป็นจากภาครัฐอย่างทันท่วงที และสามารถยืนยันความปลอดภัยของตนเอง เมื่อเผชิญเหตุภัยพิบัติ ผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” ทำให้ประชาชนสามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชัน LINE ที่ยกระดับระบบสื่อสารสาธารณภัยของประเทศทำให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์ เข้าถึงการดูแลความปลอดภัยในยามฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ร้อยตำรวจตรี สัณฐิติ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ปภ. กล่าวว่า ปภ.มีบทบาทในแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า กระจายข่าว ติดตามภาวะคุกคาม และความรุนแรงของสาธารณภัย จนสิ้นสุดการเตือนภัย รวมทั้งให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาธารณภัยผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยประสานงานและร่วมมือกับองค์กรเครือข่ายทั้งใน และต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลด้านสาธารณภัยไปยังช่องทางอื่น ๆ บริหารจัดการสาธารณภัย และเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติ และประกาศอย่างเป็นทางการในทุกระดับ รวมทั้งให้คำแนะนำด้านเนื้อหา และภาษา เพื่อให้ข้อมูลที่เผยแพร่เข้าใจง่าย เข้าถึงประชาชนได้ทั่วถึง

นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า กสทช.มีบทบาทสำคัญเพื่อให้การแจ้งเตือนภัยเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่งเสริมให้ประชาชนรับรู้ และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องจากภาครัฐในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน โดย กสทช. มุ่งสนับสนุนความร่วมมือด้านระบบสื่อสาร และโครงข่ายโทรคมนาคม เพื่อให้การแจ้งเตือนภัยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมีประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง และทำงานได้อย่างเหมาะสมในภาวะฉุกเฉิน พร้อมสนับสนุนการสื่อสารผ่านช่องทางภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน กสทช. และร่วมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการใช้ช่องทางดิจิทัลเพื่อติดตามข้อมูลจากภาครัฐ ยืนยันความปลอดภัย และรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างถูกต้อง

นายธนัญชัย วรรณสุข รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า เหตุการณ์ด้านมลพิษ และอุบัติภัยด้านมลพิษจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้อง และทันเวลา เพื่อให้ประชาชนป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม คพ. บริหารจัดการมลพิษ และสิ่งแวดล้อม และเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อให้การควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ คพ.จะมุ่งสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย ตลอดจนร่วมประสานการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีความร่วมมือในการกำหนดกลไกเชื่อมโยงข้อมูลและการเผยแพร่ข่าวสาร รวมถึงสนับสนุนการเตรียมความพร้อม การฝึกซ้อม และการประเมินผลการสื่อสารในภาวะวิกฤต เพื่อพัฒนาการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพ

นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (สปภ.) กล่าวว่า ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักในการดูแลความปลอดภัยในเมืองหลวง มี 2 เรื่องที่กรุงเทพมหานครต้องทำ คือต้องทำให้ “ข้อมูลโปร่งใส ถึงมือประชาชนทันที” กทม. ต้องทำหน้าที่เป็น “ศูนย์กลางในการจัดทำและเผยแพร่ข้อมูล” โดยนำข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และเชื่อถือได้เกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติ เชื่อมเข้าสู่ฟีเจอร์“Safety Check” โดยตรง และต้อง “ประสานงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นหนึ่งเดียว” โดย กทม. จะเป็นศูนย์กลางในการประสานงานอย่างเต็มที่ แพลตฟอร์มนี้จะเป็นกลไกในการเชื่อมต่อการทำงานและการสื่อสารเตือนภัยให้สอดคล้องกับทุกภาคีที่ร่วมมือกัน เพื่อให้การรับมือภัยพิบัติเป็นไปอย่างมีเอกภาพ และมีประสิทธิภาพที่สุด

นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) กล่าวว่า LINE ประเทศไทยพร้อมสนับสนุนการยกระดับการสื่อสารภาวะฉุกเฉินของภาครัฐผ่านผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” ซึ่ง LINE ริเริ่มพัฒนาขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในช่วงเหตุการณ์สำคัญได้อย่าง รวดเร็ว ถูกต้อง และครอบคลุม สามารถติดตามสถานการณ์ และยืนยันความปลอดภัยของตนเองได้สะดวกยิ่งขึ้น โดย LINE จะสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติไปยังประชาชนเป็นไปอย่างเหมาะสม ทันเวลา และทั่วถึง พร้อมสนับสนุนการลดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ และบิดเบือนในช่วงวิกฤต

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนความไว้วางใจที่ภาครัฐมีต่อ LINE ให้ที่พึ่งพาของคนไทยยามคับขัน และเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบเตือนภัยที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย และช่วยให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยและพร้อมกว่าเดิมจากการทำงานร่วมกันของรัฐและเอกชน รับมือภัยพิบัติในอนาคต โดย “Safety Check” จะเปิดให้ประชาชนใช้ได้เร็วๆ นี้ ขอให้ผู้ใช้ LINE อัปเดตแอปพลิเคชันเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ

พรรคพลวัต มีมติเลือก “กัณวีร์” เป็นหัวหน้าพรรค เซอร์ไพรส์ !! “สุรพันธ์” อดีต สส.นนทบุรี พรรคประชาชน นั่งรองหัวหน้า

วันที่ 15 ธ.ค. 68 พรรคพลวัต มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคพลวัต ครั้งที่ 3/2568 ที่โรงเรียนโภคาราม อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี มีมติเลือก นายกัณวีร์ สืบแสง เป็นหัวหน้าพรรคพลวัต นายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล เลขาธิการพรรค นางดวงจันทร์ พรหมวิอินทร์ เหรัญญิกพรรค น.ส.ภัทรานิษฐ์ พณิชธนันต์ชัย นายทะเบียนพรรค และ ม.ล.กุลธร เกษมสันต์ เป็น โฆษกพรรค

นายกัณวีร์ เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคพลวัตอย่างเป็นทางการ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น โดยมีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่ต้องขอบคุณนายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ อดีต สส.นนทบุรี เขต 1 จ.นนทบุรี ที่มาร่วมงานกับพรรค รวมถึงนายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ซึ่งเคยร่วมงานในพรรคการเมืองเดิม และ ม.ล.กุลธร เกษมสันต์ คนทำงานการเมืองที่มีอุดมการณ์เดียวกันอีกหลายท่าน มาร่วมก่อตั้งพรรคพลวัต เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.กับพี่น้องประชาชนในครั้งนี้

“การเมืองไทยหาทางออกไม่ได้ ประชาชนต้องการการเมืองที่ไม่ใช่แค่ทางรอด ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางเดียวที่จะนำพาประเทศชาติไปได้ ประเทศของเราต้องมีจุดยืนที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่เวทีระหว่างประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องพี่น้องประชาชน สวัสดิการ เกษตรกรรม เราต้องเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศให้ได้ ซึ่งผมมีความพร้อมจะนำเสนอนโยบายเพื่อให้ประเทศชาติมีทางเดียวที่จะเดินหน้าไปได้”

นายกัณวีร์ กล่าวว่า พรรคพลวัต เริ่มคัดสรรผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และจะเปิดตัวให้ครบ 77 จังหวัด ตั้งใจจะส่ง สส.ให้ได้มากที่สุด และได้มีการเตรียมพร้อมเป็นพรรคที่ตอบรับกับการเมืองใหญ่ของประเทศ ซึ่งได้เตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรก วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ยืนยันว่าพรรคพลวัต มีความพร้อมส่งผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร

นายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ เปิดเผยว่า วันนี้ได้มาเปิดตัวกับพรรคพลวัต ที่เลือกเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่เตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง ตนได้รับเลือกเป็นรองหัวหน้าพรรคดูแลยุทธศาสตร์เลือกตั้ง ซึ่งจะส่ง สส.เขตในการเลือกตั้งให้ได้มากที่สุด โดยวันที่ 17 ธ.ค.นี้จะเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการ Soft Opening พูดคุยกับพี่น้องสื่อมวลชนและประชาชน

นายสุรพันธ์ เปิดเผยว่า ตนได้ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาชน มาสมัครสมาชิกพรรคพลวัต และได้แจ้งกับพรรคประชาชน ทั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคเรียบร้อยแล้ว

“ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร กับพรรคประชาชนครับ เราทำการเมืองร่วมกันได้ ต้องขออภัยพี่น้องประชาชน ขออภัยหัวหน้าพรรค ว่าเราต้องหาผู้สมัครกระชั้นชิด และแจ้งไปยังพี่น้องประชาชนให้รับทราบแล้ว ผมได้แจ้งหัวหน้าพรรครับทราบแล้วครับ ได้ลาออกจากพรรคประชาชน และสมัครสมาชิกพรรคพลวัตแล้ว ตั้งใจอยากให้สนับสนุนพรรคพลวัตในการเลือกตั้งครั้งนี้ครับ” นายสุรพันธ์ กล่าว

นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล เลขาธิการพรรค เปิดเผยว่า ตนทำงานการเมืองมาในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ได้ร่วมงานมาหลายพรรคการเมือง มีความรู้สึกไม่แตกต่างกับคนไทย รู้สึกว่าตนเองอยู่ในภาวะเดียวกันว่าไม่รู้จะเลือกใครจริงๆ ผ่านมา 3 ปี รู้สึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นแทบไม่แตกต่าง และมีโอกาสมาทำหน้าที่นี้อีกครั้ง

“ทางหัวหน้าพรรค คุณกัณวีร์ ได้ร่วมงานกันตั้งแต่พรรคเดิม น้องเขาชวนว่าที่พี่เสนอไอเดียไว้หลายอย่างน่าจะทำได้ ถ้าจะทำจริง ก็ต้องสร้างโอกาสให้ตัวเองและประเทศไทย วันนี้เรารู้แล้วว่า ประเทศไทยต้องเดินไปข้างหน้า พลวัต ไม่ได้แค่เปลี่ยน แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เปลี่ยนประเทศไทยไปข้างหน้า”

นายสรยุทธ กล่าวว่า พรรคพลวัต ทำงานกันมาสักระยะแล้ว พรรคเราเปิดกว้าง ยินดีรับสมัครสมาชิกพรรคและทุกคนที่อยากร่วมงานกับพรรค หากมีความประสงค์จะร่วมในการลงสมัคร สามารถแชร์ไอเดีย ร่วมกันผลักดันนโยบายร่วมกับพรรคพลวัตต่อไป

ม.ล.กุลธร เกษมสันต์ เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบโอกาสให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลวัต หลังจากได้ทำงานการเมืองประมาณ 6 ปีได้ มีอะไรหลายอย่างที่ประเทศไทย ต้องเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่เท่าที่เฝ้าดูยังไม่เปลี่ยนไปตามที่เราคาดหวัง จึงตั้งใจเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น

“ผมมีใจมีไฟที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ ได้คุยกับพี่ๆทีมบริหารหลายคน มีอะไรหลายอย่างที่จะใช้ความสามารถที่มีอยู่เข้ามาช่วยกันทำนโยบาย ผลักดันประเทศเพื่อลูกหลานในอนาคต” ม.ล.กุลธร กล่าว

อสส. รับคดี 2 พ่อลูกฮุนฯ สั่งยิงเป็นคดีนอกราชฯ “วัชรินทร์”จัดอัยการลงพื้นที่

อัยการสูงสุดรับคดี 2 พ่อลูกตระกูลฮุนฯ สั่งยิงระเบิดตกในไทยรอบเเรกเป็นคดีนอกราชอาณาจักรเเล้ว “วัชรินทร์”อธ.อัยการสอบสวน จัดคณะอัยการลงพื้นที่ภาค 3 ร่วมสอบคดี

วันนี้ (15 ธ.ค.) นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวถึงความคืบหน้า กรณีเมื่อช่วงวันที่ 24 – 29 ก.ค. 2568 เกิดเหตุทหารกัมพูชายิงทั้งปืนและระเบิดตกมายังพื้นที่ 4 จังหวัดชายเเดนในไทย เป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิต 32 ราย เเละบาดเจ็บ 238 ราย ทรัพย์สินเสียหายเกือบร้อยล้านบาท ว่า เรื่องนี้ในส่วนคดีอาญาไม่ได้เงียบเฉย เพราะเมื่อเร็วๆนี้ นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุดได้พิจารณามีคำสั่งรับคดีที่ผู้บัญชาการตำรวจ ภูธรภาค 3 ที่ได้ยื่นขอให้ดำเนินคดีกับนายฮุนเซนและนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่สั่งการยิงระเบิดจนเป็นเหตุให้คนไทยบาดเจ็บล้มตายไว้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรแล้ว

พร้อมกันนี้ อัยการสูงสุดยังมีคำสั่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค3 เป็นพนักงานสอบสวนและให้อัยการจากสำนักงานการสอบสวนไปร่วมสอบสวนคดี

ในส่วนของสำนักงานการสอบสวนตนได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานโดยตนเองเป็นหัวหน้าคณะทำงานและมีทีมอัยการสำนักงานสอบสวนรวมทั้งหมด 18 คน อีกทั้งทางอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งตั้งให้อัยการจังหวัดในพื้นที่ที่เกิดความเสียหายเป็นอัยการเข้าร่วมการสอบสวนด้วย เเละจะมีนัดประชุมกับทีมสอบสวนของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค3 เพื่อวางหลักเกณฑ์แนวทางว่าควรต้องทําอย่างไร โดยคณะเราจะลงไปในพื้นที่ภาค3 เอง ซึ่งป.วิอาญา มาตรา 20 ให้อํานาจอัยการร่วมสอบสวน มีอํานาจสั่งการแนะนําในการรวบรวมพยานหลักฐานซึ่งถือว่าในคดีนอกราชอาณาจักรอัยการจะเป็นผู้คุมคดีนี้

“เราจะเข้าไปให้คําแนะนําและสั่งการในการรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าเราวางแนวทางเสร็จแล้วพยานหลักฐานใดที่ทางกองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 3 จะสอบสวนเพิ่มเติม มีพยานอะไรอื่นใด ทางทีมงานเราพร้อมที่จะสอบให้ แต่ถ้าเกิดว่าเหตุจําเป็นเร่งด่วนในกรณีเช่นว่ามีพยาน ที่จะต้องสอบสวนก็สามารถมอบอัยการจังหวัดในพื้นที่เกิดเหตุร่วมสอบสวนได้”

อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวต่อว่า เเต่อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีนี้คือผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค 3 ซึ่งท่านจะเป็นผู้สรุปสํานวนทําความเห็น ว่าเห็นควรสั่งฟ้องเห็นควรสั่งไม่ฟ้องคดีเสนอท่านอัยการสูงสุดพิจารณาแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งคดีนอกราชอาณาจักรเป็นอำนาจอัยการสูงสุด ซึ่งอัยการสูงสุดพิจารณาเเล้ว อาจจะสั่งสอบเพิ่มเติม หรืออาจจะเห็นด้วยในพยานหลักฐานที่ชัดเจนทั้งหมด และก็สั่งฟ้องหรืออาจจะสั่งไม่ฟ้อง อันนี้เป็นดุลพินิจของอัยการสูงสุด

ส่งทหารบาดเจ็บ4 นาย เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา รักษา รพ.พระมงกุฎเกล้า

เจ้าหน้าที่ทำการเคลื่อนย้ายกำลังพลบาดเจ็บสาหัส 4 นาย โดยเครื่องบิน ลงที่ บน.6 ดอนเมือง

เวลา 13.10น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริและจราจรทางพิเศษ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย อำนวยความสะดวกการจราจรในเส้นทาง โดยใช้เส้นทางเทวฤทธิ์พันลึก-วิภาวดี-โทล์เวย์-ด่านดินแดง1-ต่างระดับมักสัน-ลงด่วนพหลโยธิน1-อนุเสาวรีชัย-รพ.พระมงกฏเกล้า

ล่าสุดเวลา 13.33 น. ขบวนรถ ถึงรพ.พระมงกุฎเกล้า ใช้เวลาประมาณ20นาที ถึงรพ.พระมงกุฎเกล้า นำทหารที่บาดเจ็บจากชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้ง 4 นาย ส่งตัวเข้ารับการรักษาทันที

สำหรับกำลังพลที่เดินทางไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ประกอบด้วย 1.ร.อ.ปูรณ์ ทองพ่วง 2.ส.อ.จัตราวุฒิ มาประสพ 3.พลทหาร วันชัย รำไฟพนา และ 4.พลทหารจักรภัทร อันตะโก