ระทึก เกิดเหตุ บอดี้การ์ดร้านบาร์โฮส ถูกไล่แทงดับ คาลานจอดรถ โรงเหล้าแสงจันทร์ พระราม 2

วันที่ 15 ธ.ค. 68 เวลา 10.30 น. ที่ สน.ท่าข้ามพล.ต.ต.สามารถ พรหมชาติ ผบก.น.9 เดินทางเข้าติดตามคดี ทั้งนี้ มีรายงานจากการสอบสวนทราบว่า นายกิตติธัช เพิ่มวรัญญู ผู้ตาย มีอาชีพการ์ดของร้านบาร์โฮส ฝั่งตรงข้ามร้านที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ก่อเหตุคือนายปวัล สโณวรรณ์ อายุ 43 ปี อาชีพขับรถโม่ปูน ก่อนเกิดเหตุ นายกิตติธัช ผู้ตาย และนายวิทยาธร พันสาย อายุ 30 ปี เด็กเสิร์ฟโรงเหล้าแสงจันทร์เพื่อนรุ่นน้อง ได้มีปากเสียงทะเลาะวิวาทกับนายปวัล สโณวรรณ์ ผู้ก่อเหตุ ซึ่งทั้งหมดชอบเล่นพระ โดยทั้ง 3 คน ถกเถียงทะเลาะวิวาทกันเรื่องพระเก๊ หลังนายปวัลไปทักนายวิทยาธร ว่าคล้องเหรียญพ่อไปล่ วัดกำแพง เป็นของปลอม

โดย เหตุเกิดที่ร้านอาหารตามสั่งที่ตั้งอยู่ติดบริเวณลานจอดรถ หน้าร้านอาหารดัง หลังจากทั้ง 3 คน เลิกเที่ยวแล้วมานั่งทานอาหาร ก่อนทั้ง2 ฝ่ายจะแยกย้ายกันไปต่อมาประมาณ 15 นาที นายกิตติธัช ผู้ตายขี่รถ จยย.ฮอนด้า ลีด สีขาวทะเบียน 8 ขส 2733 กรุงเทพมหานคร มาที่บริเวณลานจอดรถจุดเกิดเหตุอีกครั้ง และ พบกับนายปวัล ผู้ก่อเหตุ กำลังจะขับรถกระบะอีซูซุ ดีแม็กไฮแลนเดอร์ สีบรอนซ์เทา ทะเบียน 1 ฒฌ 8255 กรุงเทพมหานคร กลับที่พัก จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกันอีกครั้ง กระทั่งมีเสียงดังคล้ายอาวุธปืน 2–3 นัด นายกิตติธัชเสียชีวิต ส่วนนายปวัล ขับรถกระบะหลบหนีไป

ทั้งนี้ ตำรวจพบปืนไทยประดิษฐ์ ของผู้ตายตกอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเวลาต่อมานายปวัล สโณวรรณ์ ผู้ก่อเหตุ บาดเจ็บมีบาดแผลถูกปืนยิงเฉี่ยวที่ขาขวา และมีร่องรอยถูกอาวุธมีดที่บริเวณหน้าท้องขับรถกระบะเข้ามอบตัวพบพนักงานสอบสวน ที่สน.ท่าข้าม พร้อมอาวุธมีดพับยาวประมาณ 10 นิ้ว ที่ใช้ก่อเหตุ

ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ก่อเหตุจริง ผู้ตายได้ใช้อาวุธปืนยิงตนก่อนแต่แค่เฉี่ยวขา ตนเข้าปล้ำใช้อาวุธมีดแทงและฟันป้องกันตัวตำรวจจึงแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สาวไทยทำได้​ ตบดับฝันเวียดนาม​ 3-2เซต คว้าแชมป์ซีเกมส์สมัยที่ 17

นักตบลูกยางสาวทีมชาติไทยโชว์หัวใจแกร่ง พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะเวียดนาม 3-2 เซ็ต ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์ซีเกมส์สมัยที่ 17 และเป็นแชมป์ 15 สมัยติดต่อกัน ท่ามกลางเสียงเชียร์กึกก้องอินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงรอบชิงชนะเลิศ ศึกซีเกมส์ สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้แฟนกีฬาไทยอย่างสุดขีด เมื่อทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ทีมอันดับ 18 ของโลก และแชมป์เอเชีย โชว์ฟอร์มแกร่งพลิกกลับมาเอาชนะทีมชาติเวียดนาม อันดับ 28 ของโลก และแชมป์ AVC Nations Cup 3 สมัยซ้อน ไปอย่างสุดมันส์ 3-2 เซ็ต 19-25, 25-13, 25-18, 23-25 และ 25-23 คว้าเหรียญทองและแชมป์ซีเกมส์สมัยที่ 17 มาครองได้สำเร็จ พร้อมทำสถิติแชมป์ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 15

เกมนัดนี้จัดขึ้นที่อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก ท่ามกลางกองเชียร์ชาวไทยที่เข้ามาแน่นสนาม โดย “ออมสิน” ศศิภาพร จันทวิสูตร ทำผลงานโดดเด่น ทำคะแนนสูงสุดให้ทีมไทย 28 คะแนน จากการตบ 25 คะแนน และเสิร์ฟเอซ 1 คะแนน ขณะที่ “บีม” พิมพิชยา ก๊กรัมย์ ทำเพิ่ม 21 คะแนน และ “บุ๋มบิ๋ม” ชัชชุอร โมกศรี อีก 15 คะแนน ส่วนเวียดนามได้ Tran Thi Thanh Thuy ทำ 22 คะแนน

ทีมชาติไทยจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนาม นำโดย “พู่” พรพรรณ เกิดปราชญ์ เซ็ตเตอร์มือหนึ่ง ร่วมด้วย ทัดดาว นึกแจ้ง, ศศิภาพร จันทวิสูตร, พิมพิชยา ก๊กรัมย์, ชัชชุอร โมกศรี, วิมลรัตน์ ทะนะพันธุ์ และ ปิยะนุช แป้นน้อย ขณะที่เวียดนามนำทัพโดย Tran Thi Thanh Thuy กัปตันทีม และ Tran Thi Bich Thuy สองผู้เล่นที่ค้าแข้งในลีกญี่ปุ่น

เริ่มเกมในเซ็ตแรก สาวไทยพลาดเองหลายจังหวะ เปิดโอกาสให้เวียดนามเล่นอย่างมั่นใจและเก็บชัยไปก่อน 25-19 ก่อนที่ทีมไทยจะตั้งเกมได้ ตบทำคะแนนอย่างเฉียบขาด เอาชนะสองเซ็ตถัดมา 25-13 และ 25-18 พลิกขึ้นนำ 2-1 เซ็ต

อย่างไรก็ตาม เซ็ตที่สี่ เวียดนามไม่ยอมง่ายๆ เล่นได้อย่างสูสีและเฉียบคมในช่วงท้าย ก่อนเอาชนะไป 25-23 ตีเสมอ 2-2 ต้องตัดสินกันในเซ็ตสุดท้าย ซึ่งสาวไทยตกเป็นฝ่ายตาม 5-10 แต่ไม่ยอมแพ้ รวมพลังไล่แซงกลับมาเอาชนะ 25-23 ปิดแมตช์คว้าแชมป์ไปครอง ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องและความปลาบปลื้มของแฟนวอลเลย์บอลทั่วทั้งสนาม

ขอขคุณภาพและข้อมูลจาก​ FB​ /ปรีชาชาญ​​ วิริยานุภาพพงศ์​

“หนุ่ม กรรชัย” ส่งทนายไต่สวนมูลฟ้อง “ปู มัณฑนา” ในข้อหาหมิ่นประมาท แนะเจ้าตัวให้หยุดการกระทำ

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2568 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ ทนายความได้รับมอบอำนาจจากนายกรรชัย หรือ ภูดิท กำเนิดพลอย พิธีกรและผู้ประกาศข่าวชื่อดัง มาศาลตามนัดไต่สวนมูลฟ้องคดี หมายเลขดำที่ อ2880/2568 ที่นายกรรชัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางมัณฑณา หิมะทองคำ หรือ ปู มัณฑนา นักแสดงชื่อดัง ในข้อหา ดูหมิ่น,หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

โดยนายพรศักดิ์ ทนายความของ นายกรรชัย กล่าวว่า วันนี้ตนได้รับมอบอำนาจจากนายกรรชัย มาฟ้องคดีกับ นางมัณฑนา ขอหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่ 3 มีทั้งหมด 10 กรรม แต่ถ้ารวมทุกคดีคือ 24 กรรม แล้วจะมีเพิ่มอีก 2 คดี รวมเป็น 5 คดี ในส่วนของคดีนี้มาจากการโพสต์เฟซบุ๊กว่าร้ายนายกรรชัยมาโดยตลอด หากยังไม่หยุดก็จะมีการฟ้องคดีอีกเรื่อย ๆ โดยก่อนหน้านี้ศาลได้รับไว้แล้ว 1 คดีในข้อหาหมิ่นประมาทเช่นกัน ซึ่งทางนายกรรชัยเองก็บอกให้ตนดำเนินการตามขั้นตอน วันนี้ทางคู่กรณีก็ปฏิเสธ ก็ให้เป็นเรื่องของดุลพินิจทางศาล พิจารณาจากพยานหลักฐาน ส่วนเรื่องไก่เกลี่ยหรือถอนฟ้องนั้น ตนมองว่าทางนายกรรชัยคงไม่ยอมใจอ่อน เพราะถูกว่าร้าย พาดพิงถึงภรรยาและครอบครัวนานหลายเดือน แต่หากว่าสุดท้ายเกิการขอโทษกันอย่างจริงใจ ก็ให้ทางนายกรรชัยพิจารณาเอง ตนคงพูดแทน ผู้เสียหายไม่ได้ ตนขอแนะนำคู่กรณีว่าให้หยุดการกระทำ อย่าสร้างคดีให้ตัวเองเลย และศาลท่านก็เห็นว่า เมื่อคุณถูกฟ้องคดีดังกล่าวเยอะ ๆ มันจะส่อถึงเรื่องพฤติการณ์ที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม วันนี้ตนได้รับมอบอำนาจเบิกความแทนนายกรรชัย ไต่สวนเป็นที่เรียบร้อยและศาลนัดฟังคำสั่งในวันที่ 26 ธ.ค. นี้ ว่าจะรับเป็นคดีไว้หรือไม่

ต่อมา นางมัณฑนา ให้สัมภาษณ์หลังขึ้นไปไต่สวนมูลฟ้องทั้ง 3 คดีแล้วกล่าวว่า วันนี้ตนและทนายมายื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา สาเหตุมาจากการออกรายการทีวีดัง และติ๊กต็อกช่องข่าวแห่งหนึ่ง ที่มีข้อความทำให้ทางด้านฝ่ายตนเสียหาย เกี่ยวกับการทวงหนี้ ประจานว่า ปู มัณฑนา มีหนี้จำนวนมากซึ่งความจริงไม่จริง มีเจ้าหนี้ 2 คน โดยเหตุการณ์เกิดขึ้น ในปี 2567 แต่พวกตนพึ่งมาเห็นเมื่อ ก.ย. ปี 2568 เนื่องจากหลังเกิดเหตุการณ์ใหม่ ๆ ทางโจทก์มีภาวะเครียดจนถึงขั้นอาจคิดทำร้ายตัวเอง ดังนั้น จึงมีการงดเล่นสังคมออนไลน์ ทุกแพลตฟอร์ม มีใบรับรองแพทย์จริง ทำให้ไม่เห็นการกระทำดังกล่าว ทุกคดีที่ฟ้องทางอาญาจะมีการฟ้องแพ่งด้วยเป็นการรักษาสิทธิ์และขอความยุติธรรมไม่ได้กลั่นแกล้ง ส่วนทางตนเองถูกฟ้องทั้งหมด 19 คดีเป็นอาญาทั้งหมด ที่ผ่านมาเครียดมาก และครั้งนี้ได้มีการยื่นฟ้องทนายความไปด้วย เพราะเห็นว่าไม่สมควรทำในฐานะทนายและทำตัวเหมือนเป็นเจ้าหนี้เอง ส่วนคดีที่มีการตัดสินไป เราก็เคารพในศาลชั้นต้นแต่จะมีการสู้เรื่องอุทธรณ์ต่อไป

ส่วนทางที่ลิลลี่ เหงียน ขอความเมตตาให้ถอนฟ้องนั้น ปู มัณฑนา กล่าวว่า ไม่มีการขอความเมตตา อยู่บนศาลยังด่าว่าตนอยู่เลย หาเรื่องตนหน้าบัลลังก์ สำหรับเรื่องไกล่เกลี่ยนั้น ทนายความ

ส่วนตัวของปูมัณฑนากล่าวว่าต้องดูที่เจตนาของจำเลย ว่าอยากพูดคุยแค่ไหนดูน้ำใจของเขาก่อน เงินจำนวน 4 ล้านบาทไม่ได้เยอะเลย แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามใบรับรองแพทย์นั้นเสียหายมากจริง ๆ เรามีแผนจัดการ ทุกคนที่เป็นคู่กรณีไว้หมดแล้ว อาจไม่ได้จบที่ศาลแต่เป็นที่ ตม.ก็ได้

สรุปภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ประจำวันที่ 15 ธันวาคม 2568

SET ปิดพุ่ง 19.30 จุดสวนทางตลาดเอเชีย รับแรงซื้อหุ้นใหญ่หลังเคาะวันเลือกตั้งชัดเจน 8 ก.พ. 69SET ปิดวันนี้ที่ 1,273.40 จุด เพิ่มขึ้น 19.30 จุด (+1.54%) มูลค่าซื้อขาย 33,093.33 ล้านบาท

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ดีดขึ้นแรงสวนทางตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ โดยคาดได้รับปัจจัยหนุนจากการเมืองมีความชัดเจนของวันเลือกตั้ง 8 ก.พ.69 เป็น Sentiment บวกให้กับตลาดหุ้นบ้านเราขณะที่มีแรงซื้อเข้ามามากในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ AOT DELTA PTT เป็นแรงหนุนหลักของดัชนี และค่าเงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องในรอบ 4 ปี ทำให้หนุนต่อกระแสเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้า แม้ว่าวันนี้มูลค่าการซื้อขายยังไม่สูงมากนัก

แนวโน้มตลาดพรุ่งนี้คาดแกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบระหว่างรอติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธที่ 17 ธ.ค.นี้ โดยให้แนวต้าน 1,285 จุด แนวรับ 1,260 จุด

สิริวรรณ ลีลาประกอบชัย เรียบเรียง / ภาพ

ตำรวจร่วมอาลัย “พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ” – ผบ.ตร. ยกย่องต้นแบบผู้บังคับบัญชา เชิดชูคุณความดี ซื่อสัตย์ เสียสละ

วันนี้ (15 ธันวาคม 2568) เวลา 15.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานในงานรดน้ำศพ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีต ผบ.ตร. โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทวงมหาดไทย รวมถึง พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงค์วิบูล, พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว, พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี, พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา, พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการตำรวจ อดีตข้าราชการตำรวจ ครอบครัว ญาติมิตร ร่วมพิธีกว่า 1,000 คน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอาลัย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และ ผบ.ตร.ได้พูดคุยให้กำลังใจ พญ.วันทนีย์ วัฒนะ อดีตปลัดกรุงเทพมหานคร ภรรยา และครอบครัววัฒนะ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า พล.ต.อ.โกวิทฯ คือตำรวจต้นแบบของความเสียสละ ซื่อสัตย์ สุจริต เป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่อุทิศตนเพื่อปกป้องชาติ ตลอดชีวิตราชการเป็นข้าราชการตำรวจที่ทำคุณงามความดีให้ประเทศชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติมากมาย ยกย่องเป็นต้นแบบของตำรวจ เป็นต้นแบบของผู้บังคับบัญชา

จากนั้น เวลา 17.30 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีต ผบ.ตร. และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ จากนั้นเป็นพระพิธีธรรม สวดพระอภิธรรม

สำหรับกำหนดการพระพิธีธรรม สวดพระอภิธรรม และพิธีสวดพระอภิธรรม พล.ต.อ.โกวิทฯ วันที่ 15 -20 ธันวาคม 2568 เวลา 18.30 น. และพิธีบรรจุศพในวันที่ 21 ธันวาคม 2568 ณ ศาลาสารัชถ์-นลินี รัตนาวะดี วัดพระศรีมหาธาตุ (บางเขน) ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร

รองผู้ว่าฯ กทม. ย้ำหลักการ ‘พูดความจริง’ หัวใจหลักของการบริหารและสื่อสารในภาวะวิกฤต

(15 ธ.ค. 68) รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นวิทยากรพิเศษ บรรยายหัวข้อ การบริหารและสื่อสารในภาวะวิกฤตของกรุงเทพมหานคร ในโครงการสัมมนาผู้บริหารกรมทางหลวง ประจำปี พ.ศ. 2569 เรื่อง กรมทางหลวงกับการขับเคลื่อนภารกิจสู่เป้าหมายทางหลวงคาร์บอนต่ำและความยั่งยืน (DOH Missions Toward Low Carbon and Sustainability Goals) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 16 ธ.ค. 68 ณ ห้องอัศวิน แกรนด์ บีซี ชั้น 4 โรงแรมอัศวินแกรนด์คอนเวนชั่น เขตหลักสี่

รองผู้ว่าฯ ทวิดา ได้กล่าวถึงการบริหารจัดการภาวะวิกฤต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสื่อสารและการจัดการความเสี่ยง หลักการสำคัญคือการ ‘พูดความจริง’ เพราะในยุคโซเชียลมีเดียที่ทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อสารได้ การจำกัดว่าใครเท่านั้นที่เป็นคนพูดได้นั้นไม่มีอยู่จริง สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มต้นด้วยการทำให้ทุกคนมีข้อมูลที่ตรงกัน เพราะความจริงมีเพียงเรื่องเดียว และต้องทำให้ความจริงกับการรับรู้ของประชาชนมีความพอดีกัน

รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวต่อไปว่า การมีชุดข้อมูลเดียวกันตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงประชาชน จะช่วยลดความยากลำบากในการสื่อสาร โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต การเปิดเผยข้อมูลและสร้างความคุ้นชินให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่ดีในช่วงวิกฤตจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการสื่อสารที่ดีในสถานการณ์ปกติ และท้ายที่สุด ข้อมูลที่บูรณาการเข้าด้วยกันถือเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับการบริหารความเสี่ยง

“การสื่อสารควรมีลักษณะเป็นผู้รุกในการให้ข้อมูลบ้าง แทนที่จะเป็นเพียงผู้รับ อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อสารก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง และควรยอมรับอย่างตรงไปตรงมาหากไม่สามารถตอบคำถามใดได้ เพราะในสถานการณ์วิกฤต เป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีใครสามารถทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบ 100% เสมอไป” รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าว

สำหรับโครงการสัมมนาผู้บริหารกรมทางหลวง ประจำปี พ.ศ. 2569 จัดขึ้นโดยกรมทางหลวง มีวัตถุประสงค์เพื่อ ขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน วิเคราะห์ผลงานที่ผ่านมาเพื่อขับเคลื่อนนโยบายปี 2569 ให้บรรลุผล เสริมวิสัยทัศน์ผู้บริหารเพื่อยกระดับการให้บริการประชาชนให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการดำเนินงาน

พม. ปรับเกณฑ์ประเมินความพิการรูปแบบใหม่ เน้นคนพิการเข้าถึงสิทธิมากขึ้น มีผลบังคับใช้แล้ว

วันที่ 15 ธันวาคม 2568 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน คนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ 2,261,154 คน คิดเป็นร้อยละ 3.34 ของประชากรทั้งประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568) ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเรื่องการส่งเสริมให้คนพิการและครอบครัวคนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการได้อย่างทั่วถึง ซึ่งที่ผ่านมา มีการใช้หลักเกณฑ์ทางกายภาพส่งผลให้คนพิการส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงหลักเกณฑ์ดังกล่าว และไม่สามารถทำบัตรประจำตัวคนพิการได้ ทำให้ไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการจากภาครัฐ ทั้งนี้ เพื่อให้คนพิการและครอบครัวคนพิการได้เข้าถึงสิทธิสวัสดิการมากที่สุด ตนจึงได้เร่งให้มีการปรับหลักเกณฑ์การประเมินความพิการ เป็นหลักเกณฑ์ทางกายภาพร่วมกับทางสังคม

นายอัครา กล่าวว่า ล่าสุดได้มีประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง ประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ พ.ศ. 2568 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป โดยมีการปรับปรุงเกี่ยวกับประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น อาทิ คนที่ตาบอดข้างเดียว นิ้วมือขาด นิ้วเท้าขาด หรือมีลักษณะอวัยวะร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งที่ไม่ครบ 32 ประการ เพื่อทำให้คนพิการดังกล่าวสามารถทำบัตรประจำตัวคนพิการได้ และรับสิทธิสวัสดิการจากภาครัฐเพิ่มมากขึ้น เป็นการสร้างความเท่าเทียมและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนพิการทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม การรับสิทธิสวัสดิการคนพิการนั้น ขึ้นอยู่กับความสมัครใจในการเข้ามาทำบัตรประจำตัวคนพิการหรือการใช้สิทธิสวัสดิการคนพิการ ทั้งนี้ ภายหลังจากประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่องประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ แล้ว กระทรวง พม. โดยกรม พก. จะมีการจัดทำคู่มือการวินิจฉัยและตรวจประเมินความพิการ รวมถึงแบบประเมินความพิการทางสังคม ให้สอดคล้องกับประกาศฯ นี้ ต่อไป

“สิงหา สิทธินนท์” ทายาทหนังตะลุง จากนักร้อง สู่บทบาท “พระเอกหนัง” ประเดิมจอเงินเรื่องแรกใน “สรรพลี้หวน”

ก่อนหน้านี้คุ้นหน้าคุ้นตาในฐานะนักร้อง สำหรับ “สิงหา-สิทธินนท์ โรจนเมธากุล” หนุ่มใต้หน้าคม หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของขุนพลเพลงใต้ “เอกชัย ศรีวิชัย” ที่ล่าสุดเตรียมประเดิมฝีมือการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตเรื่อง “สรรพลี้หวน” โดยเจ้าตัวเผยความรู้สึกสุดภูมิใจ ที่ได้นำจิตวิญญาณของ “นายหนังตะลุง” จากชีวิตจริงมาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม

“สิงหา-สิทธินนท์ โรจนเมธากุล”


สิงหา เปิดเผยว่าตนเองเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวศิลปิน จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีคุณตาคือ “หนังเคล้าน้อย” (เคล้า โรจนเมธากุล) ศิลปินแห่งชาติ และคุณยายเป็นมโนราห์ชื่อดัง (มโนราห์ฉลวย ประดิษฐ์ศิลป์) ทำให้เขาได้รับมรดกทางวัฒนธรรมมาอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งหนังตะลุงและมโนราห์ โดยเริ่มหัดเล่นหนังตะลุงมาตั้งแต่จำความได้ ภายใต้การดูแลและฝึกสอนของลุงเอกชัย ศรีวิชัย มาโดยตลอด

“สิงหา-สิทธินนท์ โรจนเมธากุล”

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “สรรพลี้หวน” ถือเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก โดยสิงหารับบทเป็น “สายัณห์” นักศึกษาหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นจริงจัง ซึ่งต้องทำธีสิสจบด้วยความสามารถของตัวเองนั่นคือการเป็น “นายหนังตะลุง” สิงหา เล่าถึงการทำงานว่า “คุณลุง (เอกชัย) ให้โอกาสสิงหามาแสดง และอยากให้มาถ่ายทอดตัวตนของสิงหาที่แท้จริงนั่นคือ นายหนังตะลุงครับ ผมดีใจ ตื่นเต้น และรู้สึกรักกับสิ่งที่ทำอยู่ เพราะคำว่าหนังตะลุงเป็นเหมือนหัวใจของผม แม้จะมีพื้นฐานการเชิดหนังอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่าต้องทำการบ้านหนักในพาร์ทของการแสดง เมื่อต้องมาเข้าในตัวละคร ทุกอย่างต้องเป็นธรรมชาติ และด้วยคาแรกเตอร์สายัณห์ มีความจริงจังมากกับการทำงาน ทุกอย่างเลยต้องปรับจูนกันสักพักครับ ก็อยากจะฝาก พี่น้องทุกภาคของประเทศไทยมาดูหนังเรื่องนี้ แล้วอยากให้ทุกคนได้ภูมิใจกับวัฒนธรรม โดยเฉพาะพี่น้องภาคใต้ ผมว่าทุกคนต้องภูมิใจกับวัฒนธรรมที่กำลังถ่ายทอดในภาพยนตร์นี้แน่นอนครับ”

ติดตามความเคลื่อนไหวและให้กำลังใจ “สิงหา สิทธินนท์” ได้ทาง Instagram และ TikTok: Singha.komm และรอชมฝีมือการเชิดหนังตะลุงผ่านการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกได้ใน “สรรพลี้หวน” เร็วๆ นี้ในโรงภาพยนตร์ ติดตามข้อมูล “สรรพลี้หวน” เพิ่มเติมได้ที่

https://www.facebook.com/moviestudiovip

https://www.moviestudiovip.com

https://www.tiktok.com

https://www.instagram.com/moviestudiovip

ก.ล.ต. มอบรางวัลเชิดชูเกียรติ บริษัทในตลาด-สมาคมการเงิน การลงทุน-Finfluencer ให้ความรู้ประชาชน

กรุงเทพฯ, วันที่ 15 ธันวาคม – ก.ล.ต. เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจด้านการให้ความรู้ทางการเงินและการลงทุนแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน” ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565 – 2570 ของกระทรวงการคลัง เพื่อเสริมสร้างความรู้และภูมิคุ้มกันทางการเงินและการลงทุนแก่ประชาชนในวงกว้าง

โครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน เฟส 2” ปี 2568 ซึ่ง ก.ล.ต. ดำเนินการต่อเนื่องจาก ปี 2567 เป็นกิจกรรมที่ไม่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน แต่เน้นการให้ความรู้ที่ถูกต้อง เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมโครงการและผ่านการพิจารณาผลตามเงื่อนไข จะได้รับการเชิดชูเกียรติและรับมอบโล่รางวัลจาก ก.ล.ต. ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ประเภทรางวัล โดยรางวัลประเภทที่ 4 – 6 เป็นรางวัลเชิดชูเกียรติที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ในปีนี้

สำหรับผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุน สมาคมหรือชมรมด้านการเงินและการลงทุน และ Finfluencer ที่เข้าร่วมโครงการพร้อมนำเสนอแผนการส่งเสริมความรู้ด้านการเงินการลงทุนแก่ประชาชน และผ่านการพิจารณาตามเงื่อนไขในการได้รับการเชิดชูเกียรติ มีจำนวนทั้งสิ้น 41 ราย รวม 71 รางวัล จำแนกตามประเภทสาขารางวัล ดังนี้

1. รางวัล “ขวัญใจมหาชน” (Public Favorite Award) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มีจำนวนผู้ที่เข้าถึงความรู้ตามแผนการให้ความรู้มากกว่า 10 ล้านราย (reach) และ/หรือ มีผู้เข้ารับชมมากกว่า 10 ล้านครั้ง (view) รวมทุกช่องทางการเผยแพร่ โดยเริ่มนับจำนวนผู้เข้าถึงความรู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 (กรณีเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ได้ยื่นสาขารางวัลขวัญใจมหาชนในปี 2567 และได้รับรางวัลแล้ว ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567) มีผู้ได้รับรางวัล จำนวน 10 ราย ได้แก่ 1) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  2) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) 3) บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 4) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) 5) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด 6) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด 7) บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด  8) บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 9) บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด และ 10) บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด

2. รางวัล “การสร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน” (Sustainability Award) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ ที่มีการจัดทำแผนการให้ความรู้เป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป โดยสามารถวัด output และ outcome ในการให้ความรู้ได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงมีการติดตามผลงาน หรือการสร้างเครือข่ายให้ความรู้ที่สามารถส่งต่อความรู้ต่อไปได้ในระดับชุมชน สถานศึกษา องค์กรหรือภูมิภาค มีผู้ได้รับรางวัล จำนวน 24 ราย ได้แก่ 1) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 2) ธนาคารออมสิน 3) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) 4) บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 5) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) 6) บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด 7) บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด

8) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตี้ จำกัด 9) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) 10) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 11) บริษัทหลักทรัพย์ วีบูลล์ (ประเทศไทย) จำกัด 12) บริษัทหลักทรัพย์ เว็ลธ์ เมจิก จำกัด 13) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด 14) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด 15) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด 16) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด 17) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ลีฟแคปปิตอล จำกัด 18) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด 19) บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน บีเอ็มเค เวลธ์ จำกัด 20) บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน เทรเชอริสต์ จำกัด 21) บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด  22) บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 23) บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด 24) บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด

3. รางวัล “ความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม” (Creativity Award) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มีการให้ความรู้การเงินการลงทุนที่สามารถทำให้คนจดจำได้ง่าย โดยอาจนำไปสู่การช่วยให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และ/หรือมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาประกอบการให้ความรู้ได้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม มีผู้ได้รับรางวัล จำนวน 16 ราย ได้แก่ 1) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 2) ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) 3) ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) 4) ธนาคารออมสิน 5) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) 6) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) 7) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด

8) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด 9) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด 10) บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ดีพสโคป จำกัด 11) บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ฮิปโป เวลธ์ (ไทยแลนด์) จำกัด 12) บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด 13) บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 14) บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 15) บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด 16) บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด

4. รางวัล “ผู้สร้างพลังความรู้ทางการเงินและการลงทุน” (The Financial Empowerment Award) รางวัลพิเศษผู้ประกอบธุรกิจที่สะสมรางวัลครบทั้ง 3 ประเภท ได้แก่ รางวัลขวัญใจมหาชน รางวัลการสร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน และรางวัลความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม ในช่วงปี 2567 – 2570 มีผู้ได้รับรางวัล จำนวน 11 ราย ได้แก่ 1) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 2) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) 3) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) 4) บริษัทหลักทรัพย์ เว็ลธ์ เมจิก จำกัด 5) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด 6) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด 7) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด 8) บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด 9) บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 10) บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด 11) บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด

5. รางวัล “สุดยอดความร่วมมือ” (The Excellence Synergy Award) สำหรับสมาคมหรือชมรมด้านการเงินการลงทุนที่ร่วมสร้างคุณประโยชน์ในการให้ความรู้หรือสนับสนุนการให้ความรู้แก่สังคม โดยมีการประชาสัมพันธ์โครงการตลาดทุนไทยฯ ปี 2568 ให้กับสมาชิก หรือผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนที่เกี่ยวข้องและมีโครงการให้ความรู้ที่ดำเนินการเองในนามสมาคม หรือชมรม โดยได้ดำเนินการมาแล้วอย่างต่อเนื่อง หรือ มีแผนการให้ความรู้ที่ชัดเจน เช่น การทำสื่อความรู้ การร่วมส่งวิทยากรในนามสมาคม/ชมรมในกิจกรรม ให้ความรู้ต่าง ๆ มีผู้ได้รับมอบรางวัล 3 ราย ได้แก่ 1) สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย 2) สมาคมนักวางแผนการเงินไทย 3) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย

6. รางวัล “ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเงินสู่ประชาชน” (The Financial Changemaker Award) สำหรับ Finfluencer ที่มีกลุ่มผู้ชม หรือคนติดตามในช่องทางออนไลน์ และให้ความรู้ด้านการเงินการลงทุนแก่ประชาชน ตั้งแต่ 100,000 บัญชีผู้ใช้ขึ้นไป (รวมทุกช่องทาง) มีการเสนอสื่อความรู้ด้านการเงินการลงทุนที่ไม่เป็นการขาย หรือโฆษณา “ผลิตภัณฑ์หรือบริการด้านการเงินชการลงทุน” โดยคัดเลือกสื่อความรู้ รวมจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ชิ้นงาน (ไม่จำกัดรูปแบบ) ที่มีจำนวนผู้เข้าถึง (reach) หรือยอดรับชม (views) สะสม ไม่น้อยกว่า 1,000,000 ครั้ง ในช่วงเดือนมกราคม 2568 ถึง 15 สิงหาคม 2568 และผ่านการอบรมหลักสูตรของ “โครงการ Responsible Voices สำหรับ Finfluencer” ก่อนวันประกาศผลการเชิดชูเกียรติ

มีผู้ได้รับมอบรางวัล 7 ราย ได้แก่ 1) คุณฉัตรดนัย เลิศลักษมีพร จากช่อง ลงทุนแมน 2) คุณชัชวาลย์ วัฒนะโชติ จากช่อง Kim Property Live 3) คุณชัยพร นาคเปลื้อง คุณพัตพร เลี่ยวสุธามาศ จากช่อง ตังค์โต Know How by Thai Credit Bank 4) คุณถนอม เกตุเอม จากช่อง TAXBugnoms 5) คุณธนพร เจียรนัยกุลวานิช จากช่อง Stock JourNoey 6) คุณพัทธนันท์ วชิรวงศ์บุรี จากช่อง Investment Frappe 7) ผศ.ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล จากช่อง ปิง ธนาวัฒน์

สำหรับผู้ที่ได้รับมอบรางวัลในสาขาประเภทรางวัลที่ 1 – 5 จะได้รับตราสัญลักษณ์พิเศษ “Investment Knowledge Provider” จาก ก.ล.ต. โดยสามารถนำไปใช้ประชาสัมพันธ์ในการจัดกิจกรรมการให้ความรู้ หรือในเอกสารประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เพื่อแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของการเป็นองค์กรที่มีปณิธานที่มุ่งมั่นในด้าน “การให้ความรู้” ด้านการเงินการลงทุนที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

“ก.ล.ต. ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับทุกท่าน ทุกองค์กรที่ได้รับมอบรางวัล ซึ่งรางวัลนี้ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จส่วนบุคคล หรือองค์กร แต่ยังเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงทุกความทุ่มเท ทุกความเสียสละ ทุกความตั้งใจจริง ทุกความรับผิดชอบต่อสังคม และทุกบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์ความรู้ทางการเงินและการลงทุนให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ขอมอบรางวัลนี้เป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ทุกองค์กร ได้เดินหน้าทำความดี และร่วมกันสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ แบ่งปัน และพัฒนาอย่างยั่งยืน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะยังคงได้รับความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ จากทุกท่าน ทุกองค์กร ร่วมกันผลักดันภารกิจนี้ต่อไป” นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว

ทั้งนี้ ก.ล.ต. จะประกาศกติกาและเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน เฟส 2” ปี 2569 ในโอกาสต่อไป ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารของโครงการได้ที่เว็บไซต์ https://www.sec.or.th/TH/Pages/educationcampaignphase2.aspx

สธ.ลดระดับศูนย์ปฏิบัติการฯส่วนกลางหลังน้ำท่วมคลี่คลาย เผยสถานพยาบาล เสียหาย 2,223 ล้านบาท

รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์น้ำท่วม “สงขลา” คลี่คลาย ลดระดับศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ ระดับกระทรวงสู่ Alert Mode และให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ ระดับเขตติดตามประเมินสถานการณ์ต่อเนื่อง ดูแลผลกระทบด้านจิตใจ เฝ้าระวังการระบาดของโรคที่มากับน้ำท่วม ส่วนภาพรวมสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 9 จังหวัด รวมกว่า 2,223 ล้านบาท

วันนี้ (15 ธันวาคม 2568) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) กรณีสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม พื้นที่ภาคใต้ นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ ว่า ขณะนี้สถานการณ์ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา คลี่คลายเข้าสู่ระยะฟื้นฟู อยู่ระหว่างการสำรวจความเสียหาย จึงลดระดับ PHEOC กระทรวงเป็น Alert Mode และให้ PHEOC ระดับเขตเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ดูแลผลกระทบทางจิตใจของประชาชนและเจ้าหน้าที่ เฝ้าระวังการระบาดของโรคติดต่อที่มากับน้ำท่วม ส่วนการประเมินความเสียหายของสถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบ 9 จังหวัด มีมูลค่ารวมกว่า 2,223 ล้านบาท แบ่งเป็น สิ่งก่อสร้าง 1,838 ล้านบาท ครุภัณฑ์ 380 ล้านบาท และวัสดุ 4.9 ล้านบาท มากที่สุดคือปัตตานี 1,147 ล้านบาท รองลงมาคือ สงขลา 982 ล้านบาท

นพ.วีรวุฒิกล่าวต่อว่า สำหรับการให้บริการทางการแพทย์ของ จ.สงขลา ในระยะฟื้นฟู (29 พฤศจิกายน – 14 ธันวาคม 2568) จัดทีมปฏิบัติการทางการแพทย์ 387 ทีม ให้บริการ 43,443 ราย ส่งต่อ 110 ราย ส่งทีมหมอเดินเท้ารวม 400 ทีม ให้บริการประชาชนตามบ้าน 37,858 ราย ส่งต่อ 34 ราย จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม 10 แห่ง ให้บริการ 17,815 ราย ส่งต่อ 134 ราย และมีการปรับลดเป็น OPD ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยคงเหลือโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง ได้แก่ หอประชุมเทศบาลนครหาดใหญ่ โดย รพ.หาดใหญ่ และโรงเรียนนานาชาติเซาท์เทิร์น เขต 8 โดยโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดสงขลา

สำหรับงานอนามัยสิ่งแวดล้อม ได้จัดทีมดูแล 5 ส่วน คือ 1) ศูนย์พักพิง 27 แห่ง เฝ้าระวังด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำ จัดการมูลฝอย สิ่งปฏิกูล ควบคุมสัตว์และแมลงพาหะนำโรค 2) ชุมชน 103 แห่ง ดูน้ำดื่มน้ำใช้ การจัดการมูลฝอย การจัดการน้ำเสีย สนับสนุนอุปกรณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม 3) ระบบประปา 76 จุด ได้หารือแนวทางปรับปรุงคุณภาพน้ำประปากับ กปภ.หาดใหญ่ เฝ้าระวังคุณภาพน้ำประปาไม่ให้คลอรีนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 4) ตลาด 12 แห่ง สนับสนุนการรื้อล้างตลาดและฟื้นฟูสุขาภิบาลในตลาด และ 5) ขยะ ได้ช่วยระบบจัดการขยะ และการจัดการน้ำชะขยะ โดยราด EM / ปูนขาว พร้อมมีมาตรการควบคุมป้องกันมลพิษทางอากาศ ส่วนการเฝ้าระวังควบคุมโรค มีการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก แจกจ่ายยาปฏิชีวนะให้แก่กลุ่มเสี่ยง พ่นสารเคมีทำลายยุงตัวเต็มวัยและหนอนแมลงวันในชุมชน ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่กลุ่มเสี่ยง รวมถึงลงพื้นที่สอบสวนโรคกรณีมีผู้เสียชีวิตและค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม รวมทั้งยังส่งทีม MCATT 41 ทีม ออกประเมินสุขภาพจิตสะสม 97,503 ราย พบกลุ่มเครียดสูงสะสม 727 ราย เสี่ยงฆ่าตัวตายสะสม 231 ราย ได้มีการติดตามและให้ดูแลอย่างต่อเนื่อง