ผบช.น. ร่วมพิธีปิดโครงการ “ชุดปฏิบัติการพิเศษทางยุทธวิธี(MPB BASIC SWAT 2026)”

วันนี้ (จันทร์ที่ 15 ธ.ค.68) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ประธานในพิธี พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รอง ผบช.น., พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.2, พล.ต.ต.กัมปนาท อรุณคีรีโรจน์ ผบก.น.4., พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5., พล.ต.ต.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผบก.น.7., พล.ต.ต.สามารถ พรหมชาติ ผบก.น.9., พล.ต.ต.ทินกร สมวันดี ผบก.อก.บช.น., พ.ต.อ.เอกภพ ตันประยูร รอง ผบก.น.1 และ พ.ต.อ.เศกสิทธิ์ สุภาอ้วน รอง ผบก.น.2 เข้าร่วมพิธีปิดโครงการ “ชุดปฏิบัติการพิเศษทางยุทธวิธี ระดับสถานีตำรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล 2569 (MPB BASIC SWAT 2026)”

มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความรู้ ศักยภาพและทักษะการเข้าควบคุมสถานการณ์ด้านยุทธวิธีให้มีความปลอดภัยทั้งผู้ปฏิบัติและประชาชน ณ กองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย บก.สปพ.

สิ้นชื่อ ‘KK Park – ชเวก๊กโก’! 3 ชาติผนึกกำลังทลายรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทุบตึกทิ้งราบคาบ เตรียมหิ้วตัวกลับจีนล็อตใหญ่

ปฏิบัติการกวาดล้างครั้งประวัติศาสตร์! ไทย-จีน-เมียนมา จับมือลุยพื้นที่สีเทาชายแดน ทุบทำลายตึกบัญชาการแก๊งสแกมเมอร์ในตำนานอย่าง “KK Park” และ “ชเวก๊กโก” จนราบเป็นหน้ากลอง ส่งผลกลุ่มมิจฉาชีพไร้ที่กบดาน ก่อนถูกรวบตัวเตรียมส่งกลับจีนนับไม่ถ้วน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 ธันวาคม 2568 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. พร้อมด้วย นายหลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ ได้ลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อผนึกกำลังกับทางการเมียนมา ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติครั้งใหญ่ที่สุด

เปิดภาพการ “ทลายรัง” สแกมเมอร์ – ตึกหรูสู่ซากปรักหักพัง จุดสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ คือการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของเมียนมา ได้นำคณะทำงานของไทยและจีน เข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายหลัก 2 แห่ง ได้แก่ KK Park และ ชเวก๊กโก ฐานบัญชาการใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงคนทั่วโลก

จากการลงพื้นที่พบว่า อาคารตึกสูงและสำนักงานที่เคยเป็นแหล่งกบดานของเหล่าสแกมเมอร์ ได้ถูกทุบทำลายทิ้งอย่างถาวร สภาพปัจจุบันเหลือเพียงความว่างเปล่าและซากอาคาร ยืนยันให้เห็นถึงความร่วมมือ และความจริงจังในการ “ตัดรากถอนโคน” ไม่ให้เหลือสถานที่สำหรับตั้งฐานปฏิบัติการหลอกลวงประชาชนได้อีกต่อไป ส่งผลให้กลุ่มจีนเทาและลูกจ้างสแกมเมอร์แตกฮือ ไม่สามารถทำการหลอกลวงคนในหลายประเทศได้อีกต่อไป

ต่อมาเวลา 14.20 น. ณ ห้องประชุมสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ฝั่งเมียนมา ได้มีการประชุมไตรภาคีร่วมกันระหว่าง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. และคณะ (ผู้แทนประเทศไทย) ,พล.ต.ต.มิน ไทก์ เมียว (Min Htike Myo) รองผู้บัญชาการตำรวจเมียนมา และคณะ (ผู้แทนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา) และนายหลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ (ผู้แทนสาธารณรัฐประชาชนจีน) โดยได้ข้อสรุปมาตรการขั้นเด็ดขาด
ซึ่งประเทศไทย จะใช้กลไกของศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (Anti Cyber Scam Center : ACSC) เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน นอกจากนี้ยังมีการเสนอตั้งคณะทำงานร่วม (Joint Task Force) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล/พยานหลักฐานเพื่อขยายผลเครือข่ายร่วมกัน ภายใน 24 ชั่วโมง โดย เน้นย้ำหลักการ “อาชญากรรมไร้พรมแดน การปราบปรามต้องไร้พรมแดน” จะต้องร่วมมือแบบไร้ข้อจำกัดและรวดเร็ว โดยจะยังคงนโยบายประสานงานร่วมกันในการตัดวงจรปัจจัยพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า, สัญญาณอินเตอร์เน็ต ของกลุ่มอาชญากรในพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังตกลงกันที่จะให้ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวก และลดขั้นตอน เรื่องการส่งตัวกลุ่มชาวต่างชาติที่หลบหนีออกจากเมียนมากลับประเทศ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว, ลดภาระเจ้าหน้าที่ฝั่งไทย และ เพื่อความปลอดภัยของชาวต่างชาติ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย

ผลพวงจากการทุบทำลายตึกและฐานที่มั่น ทำให้กลุ่มสแกมเมอร์ชาวจีนจำนวนมากที่พยายามหลบหนีออกจากพื้นที่ KK Park และ ชเวก๊กโก ถูกเจ้าหน้าที่เมียนมาจับกุมตัวได้ในที่สุด โดย นายหลิวจงอี้ และคณะ ได้เดินทางไปตรวจสอบ “ห้องกักตัว” ในเมืองเมียวดี ซึ่งปัจจุบันเต็มไปด้วยผู้ต้องหาชาวจีน โดยทั้งหมดถูกควบคุมตัวไว้ เพื่อรอขั้นตอนการส่งตัวกลับไปดำเนินคดีตามกฎหมายที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือเป็นจุดจบของขบวนการต้มตุ๋นข้ามชาติที่สร้างความเดือดร้อนให้คนไทยและคนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน

ความร่วมมือระหว่างประเทศในครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า พื้นที่ชายแดนจะไม่ใช่ “เซฟโซน” ของอาชญากรอีกต่อไป เมื่อ 3 ประเทศร่วมมือกันจนมีผลเป็นรูปธรรมดังกล่าว

ระทึก เกิดเหตุ บอดี้การ์ดร้านบาร์โฮส ถูกไล่แทงดับ คาลานจอดรถ โรงเหล้าแสงจันทร์ พระราม 2

วันที่ 15 ธ.ค. 68 เวลา 10.30 น. ที่ สน.ท่าข้ามพล.ต.ต.สามารถ พรหมชาติ ผบก.น.9 เดินทางเข้าติดตามคดี ทั้งนี้ มีรายงานจากการสอบสวนทราบว่า นายกิตติธัช เพิ่มวรัญญู ผู้ตาย มีอาชีพการ์ดของร้านบาร์โฮส ฝั่งตรงข้ามร้านที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ก่อเหตุคือนายปวัล สโณวรรณ์ อายุ 43 ปี อาชีพขับรถโม่ปูน ก่อนเกิดเหตุ นายกิตติธัช ผู้ตาย และนายวิทยาธร พันสาย อายุ 30 ปี เด็กเสิร์ฟโรงเหล้าแสงจันทร์เพื่อนรุ่นน้อง ได้มีปากเสียงทะเลาะวิวาทกับนายปวัล สโณวรรณ์ ผู้ก่อเหตุ ซึ่งทั้งหมดชอบเล่นพระ โดยทั้ง 3 คน ถกเถียงทะเลาะวิวาทกันเรื่องพระเก๊ หลังนายปวัลไปทักนายวิทยาธร ว่าคล้องเหรียญพ่อไปล่ วัดกำแพง เป็นของปลอม

โดย เหตุเกิดที่ร้านอาหารตามสั่งที่ตั้งอยู่ติดบริเวณลานจอดรถ หน้าร้านอาหารดัง หลังจากทั้ง 3 คน เลิกเที่ยวแล้วมานั่งทานอาหาร ก่อนทั้ง2 ฝ่ายจะแยกย้ายกันไปต่อมาประมาณ 15 นาที นายกิตติธัช ผู้ตายขี่รถ จยย.ฮอนด้า ลีด สีขาวทะเบียน 8 ขส 2733 กรุงเทพมหานคร มาที่บริเวณลานจอดรถจุดเกิดเหตุอีกครั้ง และ พบกับนายปวัล ผู้ก่อเหตุ กำลังจะขับรถกระบะอีซูซุ ดีแม็กไฮแลนเดอร์ สีบรอนซ์เทา ทะเบียน 1 ฒฌ 8255 กรุงเทพมหานคร กลับที่พัก จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกันอีกครั้ง กระทั่งมีเสียงดังคล้ายอาวุธปืน 2–3 นัด นายกิตติธัชเสียชีวิต ส่วนนายปวัล ขับรถกระบะหลบหนีไป

ทั้งนี้ ตำรวจพบปืนไทยประดิษฐ์ ของผู้ตายตกอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเวลาต่อมานายปวัล สโณวรรณ์ ผู้ก่อเหตุ บาดเจ็บมีบาดแผลถูกปืนยิงเฉี่ยวที่ขาขวา และมีร่องรอยถูกอาวุธมีดที่บริเวณหน้าท้องขับรถกระบะเข้ามอบตัวพบพนักงานสอบสวน ที่สน.ท่าข้าม พร้อมอาวุธมีดพับยาวประมาณ 10 นิ้ว ที่ใช้ก่อเหตุ

ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ก่อเหตุจริง ผู้ตายได้ใช้อาวุธปืนยิงตนก่อนแต่แค่เฉี่ยวขา ตนเข้าปล้ำใช้อาวุธมีดแทงและฟันป้องกันตัวตำรวจจึงแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สาวไทยทำได้​ ตบดับฝันเวียดนาม​ 3-2เซต คว้าแชมป์ซีเกมส์สมัยที่ 17

นักตบลูกยางสาวทีมชาติไทยโชว์หัวใจแกร่ง พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะเวียดนาม 3-2 เซ็ต ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์ซีเกมส์สมัยที่ 17 และเป็นแชมป์ 15 สมัยติดต่อกัน ท่ามกลางเสียงเชียร์กึกก้องอินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงรอบชิงชนะเลิศ ศึกซีเกมส์ สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้แฟนกีฬาไทยอย่างสุดขีด เมื่อทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ทีมอันดับ 18 ของโลก และแชมป์เอเชีย โชว์ฟอร์มแกร่งพลิกกลับมาเอาชนะทีมชาติเวียดนาม อันดับ 28 ของโลก และแชมป์ AVC Nations Cup 3 สมัยซ้อน ไปอย่างสุดมันส์ 3-2 เซ็ต 19-25, 25-13, 25-18, 23-25 และ 25-23 คว้าเหรียญทองและแชมป์ซีเกมส์สมัยที่ 17 มาครองได้สำเร็จ พร้อมทำสถิติแชมป์ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 15

เกมนัดนี้จัดขึ้นที่อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก ท่ามกลางกองเชียร์ชาวไทยที่เข้ามาแน่นสนาม โดย “ออมสิน” ศศิภาพร จันทวิสูตร ทำผลงานโดดเด่น ทำคะแนนสูงสุดให้ทีมไทย 28 คะแนน จากการตบ 25 คะแนน และเสิร์ฟเอซ 1 คะแนน ขณะที่ “บีม” พิมพิชยา ก๊กรัมย์ ทำเพิ่ม 21 คะแนน และ “บุ๋มบิ๋ม” ชัชชุอร โมกศรี อีก 15 คะแนน ส่วนเวียดนามได้ Tran Thi Thanh Thuy ทำ 22 คะแนน

ทีมชาติไทยจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนาม นำโดย “พู่” พรพรรณ เกิดปราชญ์ เซ็ตเตอร์มือหนึ่ง ร่วมด้วย ทัดดาว นึกแจ้ง, ศศิภาพร จันทวิสูตร, พิมพิชยา ก๊กรัมย์, ชัชชุอร โมกศรี, วิมลรัตน์ ทะนะพันธุ์ และ ปิยะนุช แป้นน้อย ขณะที่เวียดนามนำทัพโดย Tran Thi Thanh Thuy กัปตันทีม และ Tran Thi Bich Thuy สองผู้เล่นที่ค้าแข้งในลีกญี่ปุ่น

เริ่มเกมในเซ็ตแรก สาวไทยพลาดเองหลายจังหวะ เปิดโอกาสให้เวียดนามเล่นอย่างมั่นใจและเก็บชัยไปก่อน 25-19 ก่อนที่ทีมไทยจะตั้งเกมได้ ตบทำคะแนนอย่างเฉียบขาด เอาชนะสองเซ็ตถัดมา 25-13 และ 25-18 พลิกขึ้นนำ 2-1 เซ็ต

อย่างไรก็ตาม เซ็ตที่สี่ เวียดนามไม่ยอมง่ายๆ เล่นได้อย่างสูสีและเฉียบคมในช่วงท้าย ก่อนเอาชนะไป 25-23 ตีเสมอ 2-2 ต้องตัดสินกันในเซ็ตสุดท้าย ซึ่งสาวไทยตกเป็นฝ่ายตาม 5-10 แต่ไม่ยอมแพ้ รวมพลังไล่แซงกลับมาเอาชนะ 25-23 ปิดแมตช์คว้าแชมป์ไปครอง ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องและความปลาบปลื้มของแฟนวอลเลย์บอลทั่วทั้งสนาม

ขอขคุณภาพและข้อมูลจาก​ FB​ /ปรีชาชาญ​​ วิริยานุภาพพงศ์​

“หนุ่ม กรรชัย” ส่งทนายไต่สวนมูลฟ้อง “ปู มัณฑนา” ในข้อหาหมิ่นประมาท แนะเจ้าตัวให้หยุดการกระทำ

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2568 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ ทนายความได้รับมอบอำนาจจากนายกรรชัย หรือ ภูดิท กำเนิดพลอย พิธีกรและผู้ประกาศข่าวชื่อดัง มาศาลตามนัดไต่สวนมูลฟ้องคดี หมายเลขดำที่ อ2880/2568 ที่นายกรรชัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางมัณฑณา หิมะทองคำ หรือ ปู มัณฑนา นักแสดงชื่อดัง ในข้อหา ดูหมิ่น,หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

โดยนายพรศักดิ์ ทนายความของ นายกรรชัย กล่าวว่า วันนี้ตนได้รับมอบอำนาจจากนายกรรชัย มาฟ้องคดีกับ นางมัณฑนา ขอหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่ 3 มีทั้งหมด 10 กรรม แต่ถ้ารวมทุกคดีคือ 24 กรรม แล้วจะมีเพิ่มอีก 2 คดี รวมเป็น 5 คดี ในส่วนของคดีนี้มาจากการโพสต์เฟซบุ๊กว่าร้ายนายกรรชัยมาโดยตลอด หากยังไม่หยุดก็จะมีการฟ้องคดีอีกเรื่อย ๆ โดยก่อนหน้านี้ศาลได้รับไว้แล้ว 1 คดีในข้อหาหมิ่นประมาทเช่นกัน ซึ่งทางนายกรรชัยเองก็บอกให้ตนดำเนินการตามขั้นตอน วันนี้ทางคู่กรณีก็ปฏิเสธ ก็ให้เป็นเรื่องของดุลพินิจทางศาล พิจารณาจากพยานหลักฐาน ส่วนเรื่องไก่เกลี่ยหรือถอนฟ้องนั้น ตนมองว่าทางนายกรรชัยคงไม่ยอมใจอ่อน เพราะถูกว่าร้าย พาดพิงถึงภรรยาและครอบครัวนานหลายเดือน แต่หากว่าสุดท้ายเกิการขอโทษกันอย่างจริงใจ ก็ให้ทางนายกรรชัยพิจารณาเอง ตนคงพูดแทน ผู้เสียหายไม่ได้ ตนขอแนะนำคู่กรณีว่าให้หยุดการกระทำ อย่าสร้างคดีให้ตัวเองเลย และศาลท่านก็เห็นว่า เมื่อคุณถูกฟ้องคดีดังกล่าวเยอะ ๆ มันจะส่อถึงเรื่องพฤติการณ์ที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม วันนี้ตนได้รับมอบอำนาจเบิกความแทนนายกรรชัย ไต่สวนเป็นที่เรียบร้อยและศาลนัดฟังคำสั่งในวันที่ 26 ธ.ค. นี้ ว่าจะรับเป็นคดีไว้หรือไม่

ต่อมา นางมัณฑนา ให้สัมภาษณ์หลังขึ้นไปไต่สวนมูลฟ้องทั้ง 3 คดีแล้วกล่าวว่า วันนี้ตนและทนายมายื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา สาเหตุมาจากการออกรายการทีวีดัง และติ๊กต็อกช่องข่าวแห่งหนึ่ง ที่มีข้อความทำให้ทางด้านฝ่ายตนเสียหาย เกี่ยวกับการทวงหนี้ ประจานว่า ปู มัณฑนา มีหนี้จำนวนมากซึ่งความจริงไม่จริง มีเจ้าหนี้ 2 คน โดยเหตุการณ์เกิดขึ้น ในปี 2567 แต่พวกตนพึ่งมาเห็นเมื่อ ก.ย. ปี 2568 เนื่องจากหลังเกิดเหตุการณ์ใหม่ ๆ ทางโจทก์มีภาวะเครียดจนถึงขั้นอาจคิดทำร้ายตัวเอง ดังนั้น จึงมีการงดเล่นสังคมออนไลน์ ทุกแพลตฟอร์ม มีใบรับรองแพทย์จริง ทำให้ไม่เห็นการกระทำดังกล่าว ทุกคดีที่ฟ้องทางอาญาจะมีการฟ้องแพ่งด้วยเป็นการรักษาสิทธิ์และขอความยุติธรรมไม่ได้กลั่นแกล้ง ส่วนทางตนเองถูกฟ้องทั้งหมด 19 คดีเป็นอาญาทั้งหมด ที่ผ่านมาเครียดมาก และครั้งนี้ได้มีการยื่นฟ้องทนายความไปด้วย เพราะเห็นว่าไม่สมควรทำในฐานะทนายและทำตัวเหมือนเป็นเจ้าหนี้เอง ส่วนคดีที่มีการตัดสินไป เราก็เคารพในศาลชั้นต้นแต่จะมีการสู้เรื่องอุทธรณ์ต่อไป

ส่วนทางที่ลิลลี่ เหงียน ขอความเมตตาให้ถอนฟ้องนั้น ปู มัณฑนา กล่าวว่า ไม่มีการขอความเมตตา อยู่บนศาลยังด่าว่าตนอยู่เลย หาเรื่องตนหน้าบัลลังก์ สำหรับเรื่องไกล่เกลี่ยนั้น ทนายความ

ส่วนตัวของปูมัณฑนากล่าวว่าต้องดูที่เจตนาของจำเลย ว่าอยากพูดคุยแค่ไหนดูน้ำใจของเขาก่อน เงินจำนวน 4 ล้านบาทไม่ได้เยอะเลย แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามใบรับรองแพทย์นั้นเสียหายมากจริง ๆ เรามีแผนจัดการ ทุกคนที่เป็นคู่กรณีไว้หมดแล้ว อาจไม่ได้จบที่ศาลแต่เป็นที่ ตม.ก็ได้

สรุปภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ประจำวันที่ 15 ธันวาคม 2568

SET ปิดพุ่ง 19.30 จุดสวนทางตลาดเอเชีย รับแรงซื้อหุ้นใหญ่หลังเคาะวันเลือกตั้งชัดเจน 8 ก.พ. 69SET ปิดวันนี้ที่ 1,273.40 จุด เพิ่มขึ้น 19.30 จุด (+1.54%) มูลค่าซื้อขาย 33,093.33 ล้านบาท

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ดีดขึ้นแรงสวนทางตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ โดยคาดได้รับปัจจัยหนุนจากการเมืองมีความชัดเจนของวันเลือกตั้ง 8 ก.พ.69 เป็น Sentiment บวกให้กับตลาดหุ้นบ้านเราขณะที่มีแรงซื้อเข้ามามากในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ AOT DELTA PTT เป็นแรงหนุนหลักของดัชนี และค่าเงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องในรอบ 4 ปี ทำให้หนุนต่อกระแสเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้า แม้ว่าวันนี้มูลค่าการซื้อขายยังไม่สูงมากนัก

แนวโน้มตลาดพรุ่งนี้คาดแกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบระหว่างรอติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธที่ 17 ธ.ค.นี้ โดยให้แนวต้าน 1,285 จุด แนวรับ 1,260 จุด

สิริวรรณ ลีลาประกอบชัย เรียบเรียง / ภาพ

ตำรวจร่วมอาลัย “พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ” – ผบ.ตร. ยกย่องต้นแบบผู้บังคับบัญชา เชิดชูคุณความดี ซื่อสัตย์ เสียสละ

วันนี้ (15 ธันวาคม 2568) เวลา 15.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานในงานรดน้ำศพ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีต ผบ.ตร. โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทวงมหาดไทย รวมถึง พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงค์วิบูล, พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว, พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี, พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา, พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการตำรวจ อดีตข้าราชการตำรวจ ครอบครัว ญาติมิตร ร่วมพิธีกว่า 1,000 คน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอาลัย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และ ผบ.ตร.ได้พูดคุยให้กำลังใจ พญ.วันทนีย์ วัฒนะ อดีตปลัดกรุงเทพมหานคร ภรรยา และครอบครัววัฒนะ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า พล.ต.อ.โกวิทฯ คือตำรวจต้นแบบของความเสียสละ ซื่อสัตย์ สุจริต เป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่อุทิศตนเพื่อปกป้องชาติ ตลอดชีวิตราชการเป็นข้าราชการตำรวจที่ทำคุณงามความดีให้ประเทศชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติมากมาย ยกย่องเป็นต้นแบบของตำรวจ เป็นต้นแบบของผู้บังคับบัญชา

จากนั้น เวลา 17.30 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีต ผบ.ตร. และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ จากนั้นเป็นพระพิธีธรรม สวดพระอภิธรรม

สำหรับกำหนดการพระพิธีธรรม สวดพระอภิธรรม และพิธีสวดพระอภิธรรม พล.ต.อ.โกวิทฯ วันที่ 15 -20 ธันวาคม 2568 เวลา 18.30 น. และพิธีบรรจุศพในวันที่ 21 ธันวาคม 2568 ณ ศาลาสารัชถ์-นลินี รัตนาวะดี วัดพระศรีมหาธาตุ (บางเขน) ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร

รองผู้ว่าฯ กทม. ย้ำหลักการ ‘พูดความจริง’ หัวใจหลักของการบริหารและสื่อสารในภาวะวิกฤต

(15 ธ.ค. 68) รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นวิทยากรพิเศษ บรรยายหัวข้อ การบริหารและสื่อสารในภาวะวิกฤตของกรุงเทพมหานคร ในโครงการสัมมนาผู้บริหารกรมทางหลวง ประจำปี พ.ศ. 2569 เรื่อง กรมทางหลวงกับการขับเคลื่อนภารกิจสู่เป้าหมายทางหลวงคาร์บอนต่ำและความยั่งยืน (DOH Missions Toward Low Carbon and Sustainability Goals) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 16 ธ.ค. 68 ณ ห้องอัศวิน แกรนด์ บีซี ชั้น 4 โรงแรมอัศวินแกรนด์คอนเวนชั่น เขตหลักสี่

รองผู้ว่าฯ ทวิดา ได้กล่าวถึงการบริหารจัดการภาวะวิกฤต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสื่อสารและการจัดการความเสี่ยง หลักการสำคัญคือการ ‘พูดความจริง’ เพราะในยุคโซเชียลมีเดียที่ทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อสารได้ การจำกัดว่าใครเท่านั้นที่เป็นคนพูดได้นั้นไม่มีอยู่จริง สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มต้นด้วยการทำให้ทุกคนมีข้อมูลที่ตรงกัน เพราะความจริงมีเพียงเรื่องเดียว และต้องทำให้ความจริงกับการรับรู้ของประชาชนมีความพอดีกัน

รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวต่อไปว่า การมีชุดข้อมูลเดียวกันตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงประชาชน จะช่วยลดความยากลำบากในการสื่อสาร โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต การเปิดเผยข้อมูลและสร้างความคุ้นชินให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่ดีในช่วงวิกฤตจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการสื่อสารที่ดีในสถานการณ์ปกติ และท้ายที่สุด ข้อมูลที่บูรณาการเข้าด้วยกันถือเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับการบริหารความเสี่ยง

“การสื่อสารควรมีลักษณะเป็นผู้รุกในการให้ข้อมูลบ้าง แทนที่จะเป็นเพียงผู้รับ อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อสารก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง และควรยอมรับอย่างตรงไปตรงมาหากไม่สามารถตอบคำถามใดได้ เพราะในสถานการณ์วิกฤต เป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีใครสามารถทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบ 100% เสมอไป” รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าว

สำหรับโครงการสัมมนาผู้บริหารกรมทางหลวง ประจำปี พ.ศ. 2569 จัดขึ้นโดยกรมทางหลวง มีวัตถุประสงค์เพื่อ ขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน วิเคราะห์ผลงานที่ผ่านมาเพื่อขับเคลื่อนนโยบายปี 2569 ให้บรรลุผล เสริมวิสัยทัศน์ผู้บริหารเพื่อยกระดับการให้บริการประชาชนให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการดำเนินงาน

พม. ปรับเกณฑ์ประเมินความพิการรูปแบบใหม่ เน้นคนพิการเข้าถึงสิทธิมากขึ้น มีผลบังคับใช้แล้ว

วันที่ 15 ธันวาคม 2568 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน คนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ 2,261,154 คน คิดเป็นร้อยละ 3.34 ของประชากรทั้งประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568) ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเรื่องการส่งเสริมให้คนพิการและครอบครัวคนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการได้อย่างทั่วถึง ซึ่งที่ผ่านมา มีการใช้หลักเกณฑ์ทางกายภาพส่งผลให้คนพิการส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงหลักเกณฑ์ดังกล่าว และไม่สามารถทำบัตรประจำตัวคนพิการได้ ทำให้ไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการจากภาครัฐ ทั้งนี้ เพื่อให้คนพิการและครอบครัวคนพิการได้เข้าถึงสิทธิสวัสดิการมากที่สุด ตนจึงได้เร่งให้มีการปรับหลักเกณฑ์การประเมินความพิการ เป็นหลักเกณฑ์ทางกายภาพร่วมกับทางสังคม

นายอัครา กล่าวว่า ล่าสุดได้มีประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง ประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ พ.ศ. 2568 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป โดยมีการปรับปรุงเกี่ยวกับประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น อาทิ คนที่ตาบอดข้างเดียว นิ้วมือขาด นิ้วเท้าขาด หรือมีลักษณะอวัยวะร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งที่ไม่ครบ 32 ประการ เพื่อทำให้คนพิการดังกล่าวสามารถทำบัตรประจำตัวคนพิการได้ และรับสิทธิสวัสดิการจากภาครัฐเพิ่มมากขึ้น เป็นการสร้างความเท่าเทียมและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนพิการทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม การรับสิทธิสวัสดิการคนพิการนั้น ขึ้นอยู่กับความสมัครใจในการเข้ามาทำบัตรประจำตัวคนพิการหรือการใช้สิทธิสวัสดิการคนพิการ ทั้งนี้ ภายหลังจากประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่องประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ แล้ว กระทรวง พม. โดยกรม พก. จะมีการจัดทำคู่มือการวินิจฉัยและตรวจประเมินความพิการ รวมถึงแบบประเมินความพิการทางสังคม ให้สอดคล้องกับประกาศฯ นี้ ต่อไป

“สิงหา สิทธินนท์” ทายาทหนังตะลุง จากนักร้อง สู่บทบาท “พระเอกหนัง” ประเดิมจอเงินเรื่องแรกใน “สรรพลี้หวน”

ก่อนหน้านี้คุ้นหน้าคุ้นตาในฐานะนักร้อง สำหรับ “สิงหา-สิทธินนท์ โรจนเมธากุล” หนุ่มใต้หน้าคม หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของขุนพลเพลงใต้ “เอกชัย ศรีวิชัย” ที่ล่าสุดเตรียมประเดิมฝีมือการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตเรื่อง “สรรพลี้หวน” โดยเจ้าตัวเผยความรู้สึกสุดภูมิใจ ที่ได้นำจิตวิญญาณของ “นายหนังตะลุง” จากชีวิตจริงมาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม

“สิงหา-สิทธินนท์ โรจนเมธากุล”


สิงหา เปิดเผยว่าตนเองเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวศิลปิน จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีคุณตาคือ “หนังเคล้าน้อย” (เคล้า โรจนเมธากุล) ศิลปินแห่งชาติ และคุณยายเป็นมโนราห์ชื่อดัง (มโนราห์ฉลวย ประดิษฐ์ศิลป์) ทำให้เขาได้รับมรดกทางวัฒนธรรมมาอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งหนังตะลุงและมโนราห์ โดยเริ่มหัดเล่นหนังตะลุงมาตั้งแต่จำความได้ ภายใต้การดูแลและฝึกสอนของลุงเอกชัย ศรีวิชัย มาโดยตลอด

“สิงหา-สิทธินนท์ โรจนเมธากุล”

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “สรรพลี้หวน” ถือเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก โดยสิงหารับบทเป็น “สายัณห์” นักศึกษาหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นจริงจัง ซึ่งต้องทำธีสิสจบด้วยความสามารถของตัวเองนั่นคือการเป็น “นายหนังตะลุง” สิงหา เล่าถึงการทำงานว่า “คุณลุง (เอกชัย) ให้โอกาสสิงหามาแสดง และอยากให้มาถ่ายทอดตัวตนของสิงหาที่แท้จริงนั่นคือ นายหนังตะลุงครับ ผมดีใจ ตื่นเต้น และรู้สึกรักกับสิ่งที่ทำอยู่ เพราะคำว่าหนังตะลุงเป็นเหมือนหัวใจของผม แม้จะมีพื้นฐานการเชิดหนังอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่าต้องทำการบ้านหนักในพาร์ทของการแสดง เมื่อต้องมาเข้าในตัวละคร ทุกอย่างต้องเป็นธรรมชาติ และด้วยคาแรกเตอร์สายัณห์ มีความจริงจังมากกับการทำงาน ทุกอย่างเลยต้องปรับจูนกันสักพักครับ ก็อยากจะฝาก พี่น้องทุกภาคของประเทศไทยมาดูหนังเรื่องนี้ แล้วอยากให้ทุกคนได้ภูมิใจกับวัฒนธรรม โดยเฉพาะพี่น้องภาคใต้ ผมว่าทุกคนต้องภูมิใจกับวัฒนธรรมที่กำลังถ่ายทอดในภาพยนตร์นี้แน่นอนครับ”

ติดตามความเคลื่อนไหวและให้กำลังใจ “สิงหา สิทธินนท์” ได้ทาง Instagram และ TikTok: Singha.komm และรอชมฝีมือการเชิดหนังตะลุงผ่านการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกได้ใน “สรรพลี้หวน” เร็วๆ นี้ในโรงภาพยนตร์ ติดตามข้อมูล “สรรพลี้หวน” เพิ่มเติมได้ที่

https://www.facebook.com/moviestudiovip

https://www.moviestudiovip.com

https://www.tiktok.com

https://www.instagram.com/moviestudiovip