ชื่นชมแท็กซี่คนดีเป็นจิตอาสารับส่งคนไปสนามหลวงฟรี ล่าสุดหนุ่มเซเว่นโอนเงินผิดเข้าบัญชี 10,000 เตรียมส่งคืน

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 15 ธันวาคม 68 นายวินัย นึกมั่น อายุ 51 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ เดินทางเข้าแจ้งความขอลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานกับ พ.ตท.ณัฐวุฒิ มิ่งเมือง สว.(สอบสวน) สภ.รัตนาธิเบศร์ ว่าเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 68 เวลา13.30 น. ผู้แจ้งได้นำเงินสดจำนวน 10,000 บาทไปฝากที่ 7-11 ย่านพหลโยธิน พนักงานบอกกับผู้แจ้งว่ามีค่าธรรมเนียมครั้งละ 15 บาท จึงขอฝากแค่ 1,000 บาท และเอา 9,000 บาทกับคืนมา ต่อมาปรากฏว่าผู้แจ้งพบว่ามีเงินที่ต้องการฝากโอนเงินเข้ามาเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท ซึ่งไม่ตรงกับที่ผู้แจ้งต้องการฝากจึงแสดงตนเพื่อความบริสุทธิ์ใจต่อพนักงานสอบสวนว่ามิได้มีเจตนาประสงค์ที่จะเอาเงินจำนวนดังกล่าวที่พนักงานโอนเงินเกินมาและขอติดต่อพนักงานเพื่อส่งมอบคืนเงินจำนวน 9,000 เพราะตนเกรงว่าพนักงานคนดังกล่าวจะได้รับความเดือดร้อนและถูกหักเงินเดือน

โชเฟอร์แท็กซี่น้ำใจงาม กล่าวต่อว่า ตนนขับแท็กซี่มานานหลายสิบปี หลังจากสมเด็จพระพันปี เสด็จสวรรคต ตนก็เป็นจิตอาสารับส่งผู้โดยสาร ที่จะไปเคารพพระศพ ที่สนามหลวงฟรี ตั้งแต่วันแรกจนถึงทุกวันนี้ โดยติดป้ายบริการทั่วรอบรถว่า “ส่งฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย” ขอเพียงแค่ผู้โดยสารแจ้งความประสงค์ว่าจะไปสนามหลวงในเพื่อเคารพพระศพตนเองจะไม่มีปฏิเสธแม้แต่รายเดียว สำหรับการให้บริการตนเองก็ทำมาตั้งแต่ครั้งเสด็จพ่อร. 9 เสด็จสวรรคตแล้ว นอกจากนี้ผู้โดยสารที่จะว่าจ้างตนให้ไปส่งโรงพยาบาลหากไม่มีกำลังทรัพย์หรือเงิน ตนก็จะไม่เก็บค่าโดยสารแต่อย่างใด เพราะว่าเราทำงานจิตอาสาตรงนี้แล้ว เราก็อยากจะช่วยทุกคนไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม ภายใต้สฌลแกนที่ว่า”ถ้าท่านหายคือกำไรของเรา”

สำหรับที่มาของการส่งผู้โดยสารฟรีที่โรงพยาบาลเนื่องจากสมัยที่ตนยังหนุ่ม ๆ แม่ของตนได้เจ็บป่วย ตนเอง พยายามอย่างยิ่งที่จะเรียกรถเพื่อที่จะให้ไปส่งโรงพยาบาล แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ทำให้ตนเองคิดอยู่ในใจเสมอมาว่า สักวันหนึ่งถ้าตนเองมีรถขับเป็นของตัวเองจะขอบริการผู้เจ็บไข้ได้ป่วยเพื่อไปส่งฟรียังโรงพยาบาลทุกรายไปโดยไม่ปฏิเสธ หากใครต้องไปสนามหลวงหรือเดือดร้อนจริงๆที่จะต้องไปส่งโรงพยาบาลแล้วเรียกรถไม่ได้โทรหาตนที่เบอร์นี้เลย 098-4499087 “ฟรีทุกการเดินทาง” นายวินัย กล่าว

วงจรปิด โจรคล้ายชายอินเดีย ทำทีซื้อเบียร์ 2 กระป๋อง พูดอังกฤษหว่านล้อม ก่อนเชิดเงินทอนพร้อมเบียร์หนี

จากกรณีเฟซบุ๊กชื่อ “เจ้าสัวน้อยหมูกะทะ สาขาสนามบินน้ำ” ได้โพสต์ คลิปภาพจากกล้องวงจรปิดภายในร้าน สามารถบันทึกพฤติกรรมของชายต้องสงสัยรูปร่างท้วม ลักษณะคล้ายชาวต่างชาติ สวมหมวกแก๊ป ใส่เสื้อยืดคอปกแขนสั้นสีขาวสลับดำ ทำทีเข้ามาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนใช้การพูดคุยหว่านล้อมจนพนักงานเกิดความสับสน ส่งผลให้ร้านสูญเสียทั้งสินค้าและเงินสด

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.68 เวลา 18.30 น. ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เกิดเหตุ ร้านเจ้าสัวน้อยหมูกะทะ สาขาสนามบินน้ำ ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี พบกับนายจามร ของสันเทียะ อายุ 47 ปี ผู้จัดการร้าน และนางสาวทองศรี กองพระทัย อายุ 32 ปี พนักงานต้อนรับ ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตามคลิปกล้องวงจรปิด

นายจามร เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 เวลาประมาณ 20.00 น. คนร้ายลักษณะคล้ายชาวอินเดีย รูปร่างท้วม สวมเสื้อคอปกแขนสั้นสีขาวดำ และใส่หมวกแก๊ป เดินเข้ามาขอซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 กระป๋อง โดยยื่นธนบัตรใบละ 1,000 บาทให้กับพนักงานแคชเชียร์ แต่ระหว่างการซื้อขายได้พูดคุยเป็นภาษาอังกฤษ ทำทีสอบถามว่าจะซื้อ 1 หรือ 2 กระป๋อง ทำให้พนักงานเกิดความสับสน

นายจามร กล่าวต่อว่า พนักงานแคชเชียร์ได้ทอนเงินให้คนร้ายไปจำนวนกว่า 800 บาท พร้อมเครื่องดื่ม 2 กระป๋อง ต่อมาคนร้ายได้ทำทีจะขอเพิ่มสินค้าอีก 1 กระป๋อง จังหวะที่พนักงานหันไปหยิบของ คนร้ายได้ดึงธนบัตรใบละ 1,000 บาทกลับขณะยื่นให้กับพนักงาน ทำให้พนักงานไม่ทันสังเกต กระทั่งการซื้อขายเสร็จสิ้นก็ไม่มีใครเอะใจ จนเวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที พนักงานจึงมาแจ้งให้ตนทราบ เมื่อย้อนตรวจสอบกล้องวงจรปิดจึงพบพฤติกรรมทั้งหมดอย่างชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าคนร้ายน่าจะตั้งใจมาก่อเหตุและมีลักษณะคล้ายมืออาชีพขณะนี้ทางร้านได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ แล้ว พร้อมฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี เพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับร้านอื่นอีก

ด้านนางสาวทองศรี พนักงานที่อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุมีลูกค้าไม่มากนัก แต่คนร้ายใช้คำพูดและท่าทางหว่านล้อม ทำให้ตนเกิดความสับสนและไม่ทันระวัง จนกระทั่งมีลูกค้าอีกรายเข้ามาชำระเงิน ตนจึงเปิดลิ้นชักเงินเพื่อทอนเงิน และสังเกตว่าธนบัตรใบละ 1,000 บาทที่ได้รับมาก่อนหน้านี้หายไป จึงรีบแจ้งผู้จัดการและตรวจสอบกล้องวงจรปิด จนพบหน้าคนร้ายและพฤติกรรมการก่อเหตุอย่างชัดเจน

นางสาวทองศรี กล่าวต่ออีกว่า ปกติตนไม่ได้ทำหน้าที่แคชเชียร์ประจำ แต่ในวันเกิดเหตุพนักงานแคชเชียร์ลางาน จึงมารับหน้าที่แทน ทำให้เกิดความไม่ชำนาญและตกเป็นเป้าของคนร้ายดังกล่าว

ตำรวจรวบหนุ่มโรคจิตคิดไม่ดีแอบลักเสื้อชั้นในสาวในหอพักเอามาสูดดมสำเร็จความใคร่

เมื่อเวลา 16.00 น วันที่ 15 ธันวาคม 68 ที่ห้องสืบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสน์ ผกก. พ.ต.ท.ประชา หุงหวลวีรกุล สว.สส. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ร่วมกันจับกุมตัวนายเอกชัย สินจันทร์ อายุ 47 ปี ชาวจังหวัดกำแพงเพชร โดยจับกุมตัวได้ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ภายในซอยงามวงศ์วาน 19 แยก 5 ซึ่งผู้ต้องหา เป็นลูกจ้างเฝ้าโกดัง ดังกล่าว ตรวจค้นห้องพักพบเสื้อชั้นใน 4 จำนวน 4 ตัว ซึ่งเป็นของกลางที่ผู้ต้องหา ขโมยมาจากหอพักซึ่งอยู่ใกล้กัน และผู้เสียหายได้แจ้งความไว้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 68


หลังรับแจ้งความทางพ.ตอ.พฤฒ จำรูญศาสน์ ผกก. สภรัตนาธิเบศร์ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิด จนทราบว่าคนที่ก่อเหตุรายนี้คือนายเอกชัย ซึ่งทำงานอยู่ในบริษัท ใกล้กับหอพักจึงได้นำกำลังเข้าจับกุมตัวได้ ในช่วงบ่ายของวันนี้ ก่อนนำของกลางและผู้ต้องหามาสอบสวน ปากคำที่โรงพัก โดยแจ้งข้อกล่าวหาเบื้องต้น “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางวัน” โดย ต้องหาสารภาพว่าชื่นชอบในเสื้อชั้นใน และ เพิ่งจะก่อเหตุเป็นครั้งแรก ส่วนของกลางที่ขโมยมาก็จะนำไปสูดดมเพราะเป็นความสุขทางใจและชื่นชอบ เนื่องจากตนเองไม่มีครอบครัวและไม่มีเงินไปซื้อ


ขณะที่ น.ส.เบล อายุ 28 ปี และนางบังอร มารดาซึ่งพักอยู่ในหอพักชั้นล่างข้างบริษัทและเดินทางมาชี้ของกลาง เปิดเผยว่า ตนตากชุดชั้นในอยู่ ผ้าชั้นล่างของหอพัก เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมช่วงบ่าย พอกลับมา จากการทำงานตอนเย็น พบว่าเสื้อชั้นในที่แขวนไว้หลายตัวรวมทั้งของคุณแม่ ได้หายไปจึงได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนกระทั่งมาได้รับแจ้งว่าสามารถจับคนร้ายได้แล้ว ก็ดีใจและขอบคุณชุดที่จับกุมที่ทำงานได้รวดเร็ว

“เหมยขาบ” ปกคลุมยอดดอยอินทนนท์ต่อเนื่อง 11 ครั้ง ฤดูหนาวปี 2568 อุณหภูมิยอดหญ้าต่ำสุดติดลบ -0.5 องศา

บรรยากาศหนาวจัดบนยอดดอยอินทนนท์ “หลังคาประเทศไทย” ยังคงต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติสวยงาม เมื่อ “เหมยขาบ” หรือน้ำค้างแข็งปกคลุมพื้นหญ้าบริเวณยอดดอยต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน – 16 ธันวาคม 2568 รวม 11 ครั้ง

จุดเริ่มต้นฤดูหนาวปีนี้ เกิดขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 โดยบริเวณกิ่วแม่ปานบันทึกอุณหภูมิต่ำสุด 4 องศาเซลเซียส ถือเป็นอุณหภูมิต่ำสุดของฤดูหนาวปีนี้ พร้อมกับการปรากฏของเหมยขาบครั้งแรกบริเวณลานจอดรถหน่วยพิทักษ์ฯ อน.5 ยอดดอย

ช่วงหนาวหนักสุด เกิดขึ้นในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 เมื่ออุณหภูมิอากาศลดลงเหลือเพียง 2 องศาเซลเซียส ขณะที่อุณหภูมิบนยอดหญ้าในหลายวันบันทึกได้ ติดลบ ต่ำสุดที่ -0.5 องศาเซลเซียส ในวันที่ 30 พฤศจิกายน และ 16 ธันวาคม 2568

เหมยขาบปีนี้ พบปรากฏต่อเนื่อง 6 วันติด (29 พ.ย. – 2 ธ.ค. และ 8 ธ.ค.) โดยปกคลุมพื้นที่บริเวณลานจอดรถยอดดอยและหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติฯ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ได้ทำการบันทึกข้อมูลอุณหภูมิอย่างต่อเนื่องในเวลา 06.00 น. ของทุกวัน เพื่อติดตามสภาพอากาศและแจ้งเตือนนักท่องเที่ยว

สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศหนาวเย็นและชมเหมยขาบ แนะนำให้เตรียมเสื้อผ้ากันหนาว เดินทางขึ้นสู่ยอดดอยในช่วงเช้าตรู่ก่อน 07.00 น. และติดตามข้อมูลสภาพอากาศจากอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์อย่างสม่ำเสมอ
.
ข้อมูลเพิ่มเติม: อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โทร. 053-286-729

“เอื้องนางชี”พรรณไม้งามจากภูวัว​ -​ภูลังกา​ สู่ความจริงทางวิชาการ

พรรณไม้งามจากภูวัว–ภูลังกา ไม่ได้งดงามเพียงรูปโฉม แต่ยังสะท้อนความสำคัญของการ “เรียกชื่อให้ถูกต้อง” เพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

เอื้องนางชี พรรณไม้งามจากภูวัว–ภูลังกา

ท่ามกลางผืนป่าหินทรายและผืนป่าดิบแล้งของอุทยานแห่งชาติภูลังกา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ซ่อนตัวอยู่ของขวัญจากธรรมชาติ—กล้วยไม้อิงอาศัยสีขาวสะอาด ที่ชาวบ้านเรียกขานด้วยความอ่อนโยนว่า “เอื้องนางชี” หรือ “เอื้องชีปะขาว” บ้างก็เรียก “เอื้องเงินวิลาส” ด้วยความงามบริสุทธิ์ที่สะกดสายตา

การสำรวจและศึกษาพรรณไม้โดยทีมสำรวจพรรณไม้ภูลังกา–ภูวัว ได้ไขคำตอบสำคัญทางวิชาการ พบว่าเอื้องนางชีที่พบในพื้นที่ดังกล่าว มีชื่อพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้องคือ Dendrobium kontumense Gagnep. อยู่ในวงศ์ Orchidaceae ไม่ใช่ Dendrobium virgineum ดังที่เคยเข้าใจกันมาในอดีต

แก้ความเข้าใจผิด เพื่ออนาคตของการอนุรักษ์
ความคลาดเคลื่อนในการเรียกชื่อพืช ไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวอักษร แต่หมายถึงการจัดการองค์ความรู้ การอนุรักษ์ และการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพอย่างถูกทิศทาง การจำแนกชนิดที่แม่นยำช่วยให้การดูแลรักษา การวิจัย และการใช้ประโยชน์เป็นไปอย่างเหมาะสมและยั่งยืน

เอื้องนางชีจึงไม่ใช่แค่กล้วยไม้ป่าที่งดงาม หากแต่เป็นบทเรียนสำคัญของธรรมชาติ ที่ย้ำเตือนว่า “ความถูกต้อง” คือรากฐานของการอนุรักษ์—เพื่อให้พรรณไม้งามจากภูวัว–ภูลังกา ยังคงเบ่งบานอยู่คู่ผืนป่าไทยต่อไป

ข้อมูล: ทีมสำรวจพรรณไม้ภูลังกา–ภูวัว
อ้างอิง: หอพรรณไม้ Forest Herbarium (BKF) สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช

เปิดศูนย์ “BAM Remedy Center” ขับเคลื่อน UNGPs เสาหลักที่ 3 สร้างกลไกเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม

ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM Remedy Center นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันศึกษาและพัฒนาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (มูลนิธิ ส.พ.ส.) อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และอดีตประธานคณะทำงานขับเคลื่อนหลักการชี้แนะเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UNGPs) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดที่ 3 ได้รับเชิญกล่าวปาฐกถาพิเศษ และร่วมพิธีเปิด ศูนย์เยียวยาสมานฉันท์ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM Remedy Center

นางประกายรัตน์ ระบุว่า การจัดตั้ง BAM Remedy Center ถือเป็นการนำ กรอบงานเสาหลักที่ 3 “การเยียวยา (Remedy)” ตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน มาขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของ BAM ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่ค้า พนักงาน รวมถึงประชาชนทั่วไปที่อาจได้รับผลกระทบ สามารถเข้าถึงกลไกร้องทุกข์และการเยียวยาได้อย่างมีประสิทธิผล โปร่งใส และเป็นธรรม

ทั้งนี้ ศูนย์เยียวยาสมานฉันท์ BAM นับเป็นหนึ่งใน ศูนย์แรกของประเทศ ที่จัดตั้งขึ้นตามหลัก UNGPs อย่างชัดเจน สะท้อนบทบาทภาคธุรกิจไทยในการยกระดับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ควบคู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดย BAM เป็นหนึ่งในเครือข่ายความร่วมมือของมูลนิธิ ส.พ.ส. ในการขับเคลื่อนหลักการดังกล่าว

นางประกายรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การผลักดัน UNGPs ในประเทศไทยตลอดที่ผ่านมา ครอบคลุมทั้ง 3 เสาหลัก ได้แก่​ เสาที่ 1 การคุ้มครอง (Protect) ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐ ได้มีการผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจ จนเกิดการลงนามปฏิญญาขับเคลื่อน UNGPs และการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (NAP) ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจากข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ในฐานะประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่ประกาศใช้ NAP อย่างเป็นทางการ

เสาที่ 2 การเคารพ (Respect) ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาคธุรกิจ ได้มีการผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จัดทำรายงานความยั่งยืนแบบ 56-1 โดยบูรณาการหลัก ESG และการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence : HRDD)

และล่าสุด เสาที่ 3 การเยียวยา (Remedy) ได้ถูกนำมาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการจัดตั้ง BAM Remedy Center ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของภาคธุรกิจไทยในการสร้างความเชื่อมั่น ลดความขัดแย้ง และเสริมสร้างความสมานฉันท์ในสังคม ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนสากลและการพัฒนาที่ยั่งยืน

“ไชยชนก” นำดีอี ผนึก 4 หน่วยงานรัฐ จับมือ LINE ลงนาม MOU ยกระดับการเตือนภัยผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” เพิ่มความเร็วและความน่าเชื่อถือของข้อมูลภาครัฐสู่ประชาชน

วันที่ 15 ธันวาคม 2568 นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ในสถานการณ์ภัยพิบัติ “เวลา” คือ ปัจจัยชี้ขาด แต่ความเร็วเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การสื่อสารและการแจ้งเตือนภัยจากภาครัฐต้องมาพร้อมความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้สถานการณ์ เตรียมพร้อม และป้องกันตนเองได้อย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงและบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ประเด็นนี้ถือเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Win ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล เชื่อมโยงข้อมูลเตือนภัยฉุกเฉินด้วยกลไกที่ตรวจสอบความถูกต้องได้ พร้อมส่งต่อข้อมูลผ่านช่องทางที่ประชาชนเข้าถึงง่าย รองรับการสื่อสารจากภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ระบบเตือนภัยมีความครอบคลุมและพร้อมใช้งานทั่วประเทศ

โดยการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการต่อยอดที่มุ่งสร้าง “กลไกการทำงานร่วมกัน” ระหว่างหน่วยงานรัฐและแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่จำเป็นจากภาครัฐอย่างทันท่วงที และสามารถยืนยันความปลอดภัยของตนเอง เมื่อเผชิญเหตุภัยพิบัติ ผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” ทำให้ประชาชนสามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชัน LINE ที่ยกระดับระบบสื่อสารสาธารณภัยของประเทศทำให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์ เข้าถึงการดูแลความปลอดภัยในยามฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ด้าน ร้อยตำรวจตรี สัณฐิติ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยงานกลางของรัฐในการดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีบทบาทในแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า กระจายข่าว ติดตามภาวะคุกคามและความรุนแรงของสาธารณภัย ตลอดจนการสิ้นสุดการเตือนภัย รวมทั้งให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาธารณภัยผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยประสานงานและร่วมมือกับองค์กรเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ ในด้านข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการเตือนภัยล่วงหน้า และสนับสนุนการกำหนดกลไก หรือช่องทางการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสาธารณภัยไปยังช่องทางอื่นๆ มีบทบาทในการบริหารจัดการสาธารณภัย ผ่านการจัดทำ รวบรวม แบ่งปัน และเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติอย่างเป็นทางการ รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง โดย ปภ.จะมุ่งสนับสนุนข้อมูลสาธารณภัยของประเทศ โดยจัดทำ รวบรวม ตรวจสอบ ยืนยันความถูกต้อง และเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร และประกาศอย่างเป็นทางการในทุกระดับ เพื่อให้ภาคีความร่วมมือใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงหลักในการสื่อสารสู่ประชาชน รวมทั้งให้คำแนะนำด้านเนื้อหาและภาษาสื่อสาร เพื่อให้ข้อมูลที่เผยแพร่เข้าใจง่ายและเข้าถึงประชาชนได้ทั่วถึง ตลอดจนสนับสนุนการกำหนดกลไกเชื่อมโยงข้อมูล การเผยแพร่ข่าวสาร และการฝึกซ้อม ประเมินผลการสื่อสารในภาวะวิกฤตอย่างต่อเนื่อง

นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า กสทช.มีบทบาทสำคัญในการบูรณาการเพื่อให้การแจ้งเตือนภัยเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่งเสริมให้ประชาชนรับรู้และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องจากภาครัฐในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน โดย กสทช. มุ่งสนับสนุนความร่วมมือในมิติที่เกี่ยวข้องกับระบบสื่อสารและโครงข่ายโทรคมนาคม เพื่อให้การแจ้งเตือนภัยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมีประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง และทำงานได้อย่างเหมาะสมในภาวะฉุกเฉิน พร้อมสนับสนุนการสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน กสทช. และร่วมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการใช้ช่องทางดิจิทัลเพื่อติดตามข้อมูลจากภาครัฐ ยืนยันความปลอดภัย และรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างถูกต้อง

นายธนัญชัย วรรณสุข รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า เหตุการณ์ด้านมลพิษและอุบัติภัยด้านมลพิษจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา เพื่อให้ประชาชนป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม กรมควบคุมมลพิษ จึงเป็นหน่วยงานด้านการบริหารจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้การควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ คพ.จะมุ่งสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย ตลอดจนร่วมประสานการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีความร่วมมือในการกำหนดกลไกเชื่อมโยงข้อมูลและการเผยแพร่ข่าวสาร รวมถึงสนับสนุนการเตรียมความพร้อม การฝึกซ้อม และการประเมินผลการสื่อสารในภาวะวิกฤต เพื่อพัฒนาการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพ

นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (สปภ.) กล่าวว่า ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักในการดูแลความปลอดภัยในเมืองหลวง มี 2 เรื่องที่กรุงเทพมหานครต้องทำ เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความอุ่นใจให้กับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ทุกคน สิ่งแรกคือต้องทำให้ “ข้อมูลโปร่งใส ถึงมือประชาชนทันที” เพราะข้อมูลคือชีวิต ที่ผ่านมาเวลาเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำท่วมใหญ่หรือภัยอื่น ๆ ปัญหาที่เราเจอคือ ข้อมูลการแจ้งเตือนไม่ทันการณ์ ไม่แม่นยำ หรือมีหลายแหล่งจนประชาชนสับสน กทม. ต้องทำหน้าที่เป็น “ศูนย์กลางในการจัดทำและเผยแพร่ข้อมูล” โดยนำข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และเชื่อถือได้เกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติ เชื่อมเข้าสู่ฟีเจอร์“Safety Check” โดยตรง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ข้อมูลที่ประชาชนได้รับนั้นถูกต้องที่สุด และส่งถึงมือในเวลาที่สำคัญที่สุด ประการสำคัญต่อมาคือต้อง “ประสานงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นหนึ่งเดียว” เพราะภัยพิบัติไม่รู้จักเขตแดน การรับมือจึงต้องการความร่วมมือ เราต้องการให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานเอกชน หรือภาคประชาชน ทำงานร่วมกันเป็นเนื้อเดียว โดย กทม. จะเป็น “ศูนย์กลางในการประสานงาน” อย่างเต็มที่ แพลตฟอร์มนี้จะเป็นกลไกในการเชื่อมต่อการทำงานและการสื่อสารเตือนภัยให้สอดคล้องกับทุกภาคีที่ร่วมมือกัน เพื่อให้การรับมือภัยพิบัติเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีประสิทธิภาพที่สุด

นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) กล่าวว่า LINE ประเทศไทยพร้อมสนับสนุนการยกระดับการสื่อสารภาวะฉุกเฉินของภาครัฐผ่านผ่านฟีเจอร์ “Safety Check” ซึ่ง LINE ริเริ่มพัฒนาขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในช่วงเหตุการณ์สำคัญได้อย่าง รวดเร็ว ถูกต้อง และครอบคลุม พร้อมช่วยให้สามารถติดตามสถานการณ์และยืนยันความปลอดภัยของตนเองได้สะดวกยิ่งขึ้น ภายใต้ความร่วมมือนี้ LINE จะสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติเป็นไปอย่างเหมาะสมและทันเวลา รวมถึงสนับสนุนด้านเทคนิคและการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และเกิดการใช้งานบริการดังกล่าวอย่างทั่วถึง พร้อมร่วมสนับสนุนการลดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนในช่วงวิกฤต ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนความไว้วางใจที่ภาครัฐมีต่อ LINE ในฐานะแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นอีกหนึ่งที่พึ่งพาของคนไทยยามคับขัน และเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบเตือนภัยที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย และช่วยให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยและพร้อมกว่าเดิมจากการทำงานร่วมกันของรัฐและเอกชน”

ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับระบบสื่อสารสาธารณภัยของประเทศให้ทันต่อสถานการณ์ โดยมุ่งให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลจากภาครัฐได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และเชื่อถือได้ ผ่านช่องทางดิจิทัลที่ใช้งานได้จริง พร้อมต่อยอดการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความพร้อมของประเทศในการรับมือภัยพิบัติในอนาคต ซึ่งฟีเจอร์ “Safety Check” บนแอปพลิเคชัน LINE จะเปิดให้ประชาชนใช้ได้เร็วๆ นี้ โดยแนะนำให้ผู้ใช้ LINE อัปเดตแอปพลิเคชันเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ

กกต. เคาะวันเลือกตั้ง สส. วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ. 69

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) ได้เสนอร่างแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ให้ กกต.พิจารณา โดยที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบ ดังนี้

1. วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นวันเลือกตั้ง สส.

2. วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง/นอกเขตเลือกตั้ง วันลงคะแนน ณ ที่เลือกตั้งสำหรับคนพิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ

3. วันรับสมัครสส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อ และพรรคการเมืองแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนี้

วันที่ 27 – 31 ธันวาคม 2568 เป็นวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งประกาศกำหนด

วันที่ 28 – 31 ธันวาคม 2568 เป็นวันรับสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ (เฉพาะพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้วเท่านั้น) และพรรคการเมืองแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

4. กำหนดระยะเวลาลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า (ในเขตเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง/นอกราชอาณาจักร) ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2569

5. การแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 1 – 7 กุมภาพันธ์ 2569 และ 9 – 15 กุมภาพันธ์ 2569

ทั้งนี้ สำนักงาน กกต. จะได้ส่งประกาศดังกล่าว ให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็วต่อไป

ผบช.น. ร่วมพิธีปิดโครงการ “ชุดปฏิบัติการพิเศษทางยุทธวิธี(MPB BASIC SWAT 2026)”

วันนี้ (จันทร์ที่ 15 ธ.ค.68) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ประธานในพิธี พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รอง ผบช.น., พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.2, พล.ต.ต.กัมปนาท อรุณคีรีโรจน์ ผบก.น.4., พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5., พล.ต.ต.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผบก.น.7., พล.ต.ต.สามารถ พรหมชาติ ผบก.น.9., พล.ต.ต.ทินกร สมวันดี ผบก.อก.บช.น., พ.ต.อ.เอกภพ ตันประยูร รอง ผบก.น.1 และ พ.ต.อ.เศกสิทธิ์ สุภาอ้วน รอง ผบก.น.2 เข้าร่วมพิธีปิดโครงการ “ชุดปฏิบัติการพิเศษทางยุทธวิธี ระดับสถานีตำรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล 2569 (MPB BASIC SWAT 2026)”

มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความรู้ ศักยภาพและทักษะการเข้าควบคุมสถานการณ์ด้านยุทธวิธีให้มีความปลอดภัยทั้งผู้ปฏิบัติและประชาชน ณ กองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย บก.สปพ.

สิ้นชื่อ ‘KK Park – ชเวก๊กโก’! 3 ชาติผนึกกำลังทลายรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทุบตึกทิ้งราบคาบ เตรียมหิ้วตัวกลับจีนล็อตใหญ่

ปฏิบัติการกวาดล้างครั้งประวัติศาสตร์! ไทย-จีน-เมียนมา จับมือลุยพื้นที่สีเทาชายแดน ทุบทำลายตึกบัญชาการแก๊งสแกมเมอร์ในตำนานอย่าง “KK Park” และ “ชเวก๊กโก” จนราบเป็นหน้ากลอง ส่งผลกลุ่มมิจฉาชีพไร้ที่กบดาน ก่อนถูกรวบตัวเตรียมส่งกลับจีนนับไม่ถ้วน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 ธันวาคม 2568 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. พร้อมด้วย นายหลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ ได้ลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อผนึกกำลังกับทางการเมียนมา ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติครั้งใหญ่ที่สุด

เปิดภาพการ “ทลายรัง” สแกมเมอร์ – ตึกหรูสู่ซากปรักหักพัง จุดสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ คือการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของเมียนมา ได้นำคณะทำงานของไทยและจีน เข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายหลัก 2 แห่ง ได้แก่ KK Park และ ชเวก๊กโก ฐานบัญชาการใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงคนทั่วโลก

จากการลงพื้นที่พบว่า อาคารตึกสูงและสำนักงานที่เคยเป็นแหล่งกบดานของเหล่าสแกมเมอร์ ได้ถูกทุบทำลายทิ้งอย่างถาวร สภาพปัจจุบันเหลือเพียงความว่างเปล่าและซากอาคาร ยืนยันให้เห็นถึงความร่วมมือ และความจริงจังในการ “ตัดรากถอนโคน” ไม่ให้เหลือสถานที่สำหรับตั้งฐานปฏิบัติการหลอกลวงประชาชนได้อีกต่อไป ส่งผลให้กลุ่มจีนเทาและลูกจ้างสแกมเมอร์แตกฮือ ไม่สามารถทำการหลอกลวงคนในหลายประเทศได้อีกต่อไป

ต่อมาเวลา 14.20 น. ณ ห้องประชุมสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ฝั่งเมียนมา ได้มีการประชุมไตรภาคีร่วมกันระหว่าง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. และคณะ (ผู้แทนประเทศไทย) ,พล.ต.ต.มิน ไทก์ เมียว (Min Htike Myo) รองผู้บัญชาการตำรวจเมียนมา และคณะ (ผู้แทนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา) และนายหลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ (ผู้แทนสาธารณรัฐประชาชนจีน) โดยได้ข้อสรุปมาตรการขั้นเด็ดขาด
ซึ่งประเทศไทย จะใช้กลไกของศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (Anti Cyber Scam Center : ACSC) เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน นอกจากนี้ยังมีการเสนอตั้งคณะทำงานร่วม (Joint Task Force) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล/พยานหลักฐานเพื่อขยายผลเครือข่ายร่วมกัน ภายใน 24 ชั่วโมง โดย เน้นย้ำหลักการ “อาชญากรรมไร้พรมแดน การปราบปรามต้องไร้พรมแดน” จะต้องร่วมมือแบบไร้ข้อจำกัดและรวดเร็ว โดยจะยังคงนโยบายประสานงานร่วมกันในการตัดวงจรปัจจัยพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า, สัญญาณอินเตอร์เน็ต ของกลุ่มอาชญากรในพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังตกลงกันที่จะให้ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวก และลดขั้นตอน เรื่องการส่งตัวกลุ่มชาวต่างชาติที่หลบหนีออกจากเมียนมากลับประเทศ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว, ลดภาระเจ้าหน้าที่ฝั่งไทย และ เพื่อความปลอดภัยของชาวต่างชาติ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย

ผลพวงจากการทุบทำลายตึกและฐานที่มั่น ทำให้กลุ่มสแกมเมอร์ชาวจีนจำนวนมากที่พยายามหลบหนีออกจากพื้นที่ KK Park และ ชเวก๊กโก ถูกเจ้าหน้าที่เมียนมาจับกุมตัวได้ในที่สุด โดย นายหลิวจงอี้ และคณะ ได้เดินทางไปตรวจสอบ “ห้องกักตัว” ในเมืองเมียวดี ซึ่งปัจจุบันเต็มไปด้วยผู้ต้องหาชาวจีน โดยทั้งหมดถูกควบคุมตัวไว้ เพื่อรอขั้นตอนการส่งตัวกลับไปดำเนินคดีตามกฎหมายที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือเป็นจุดจบของขบวนการต้มตุ๋นข้ามชาติที่สร้างความเดือดร้อนให้คนไทยและคนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน

ความร่วมมือระหว่างประเทศในครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า พื้นที่ชายแดนจะไม่ใช่ “เซฟโซน” ของอาชญากรอีกต่อไป เมื่อ 3 ประเทศร่วมมือกันจนมีผลเป็นรูปธรรมดังกล่าว