นัดชี้ชะตา 2 นักปกป้องสิทธิฯ พีมูฟ ศาลตัดสินคดี พ.ร.บ.ชุมนุม 28 ม.ค.69

นัดฟังคำพิพากษาคดีสองนักปกป้องสิทธิฯ ธีรเนตร – จำนงค์ พีมูฟถูกฟ้องพ.ร.บ.ชุมนุม 28 ม.ค. 69 ปีหน้า หวังวาง ‘มาตรฐาน’ คุ้มครองสิทธิประชาชน ประธานพีมูฟยันชุมนุมสงบตามสิทธิ พร้อมเตรียมรณรงค์ยกเลิกพ.ร.บ.ชุมนุมฯ! ‘มรดกบาป คสช.’ ยืนกรานกฎหมายเกิดจาก ‘กระบวนการยึดอำนาจ’ ต้องยกเลิก ที่ปรึกษาพีมูฟ มั่นใจศาลรับฟังความจำเป็นในการเรียกร้องเรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน เผยรู้สึกดีกว่าคดีที่ผ่านมา หวังเปิดช่องทางสู้คดีให้กับประชาชนคนอื่นที่ถูกฟ้องในอนาคต

ความคืบหน้าคดีการชุมนุมของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ที่ศาลแขวงดุสิต วันนี้ (12 ธันวาคม 2568) ธีรเนตร ไชยสุวรรณ นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ประธานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) และกรรมการสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) พร้อมด้วย จำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาพีมูฟ และทีมทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) เดินทางเข้าสืบพยานจำเลยในคดีฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ฐานเป็นผู้จัดให้มีการชุมนุมฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุมนุมในรัศมี 50 เมตรรอบทำเนียบรัฐบาล


โดยวานนี้ (11 ธันวาคม 2568) เป็นการสืบพยานโจทก์ซึ่งมีอดีตรองผู้กำกับ สน.ดุสิต ผู้กล่าวหา, ชุดสืบสวนผู้รวบรวมหลักฐาน และพนักงานสอบสวนผู้จัดการเอกสารในคดีที่สั่งฟ้องธีรเนตรและจำนงค์เข้ามาให้ข้อมูล

ทนายชี้ คำสั่ง ตร. ขยายเขตห้ามชุมนุม 50 ม. ‘ไร้เหตุจำเป็น’ เหตุผู้ชุมนุมน้อย-สงบ!

นายทิตศาสตร์ สุดแสน ทนายความเปิดเผยภายหลังการสืบพยานจำเลยเสร็จสิ้นแล้วว่า วันนี้เป็นการนัดสืบพยานสำคัญ โดยมีคุณธีรเนตรและคุณจำนงค์ขึ้นเบิกความ และในช่วงบ่ายได้เชิญ อ.ดร.พัชร์ นิยมศิลป ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายเพื่อประชาชนคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาช่วยเบิกความเกี่ยวกับ มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ

ทนายความกล่าวว่า โดยรวมแล้วรู้สึกพอใจกับการสืบพยานในวันนี้ ซึ่งประเด็นหลักคือการพยายามพิสูจน์ว่ากรณีนี้ ไม่เข้าเงื่อนไขที่ต้องบังคับใช้ทางกฎหมาย ตามมาตรา 7 ดังกล่าว

ทิตศาสตร์ระบุเพิ่มเติมว่า ในบางช่วงของการชุมนุมอาจมีผู้ชุมนุมเข้าไปในเขต 50 เมตร ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศห้ามไว้จริง แต่ยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการ ใช้สิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นการชุมนุมโดย สงบและปราศจากอาวุธ

“เรามองว่าคำสั่งของตำรวจที่ออกมา 50 เมตรนั้น ไม่มีเหตุจำเป็น ที่จะต้องออก” ทนายความกล่าวและชี้ว่านอกจากเรื่องความปลอดภัยสาธารณะแล้ว การออกคำสั่งดังกล่าวต้องคำนึงถึง จำนวนผู้ชุมนุมและพฤติการณ์ ด้วย ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีจำนวนมาก และไม่ได้กระทำการรุนแรง

ทนายความเปิดเผยตัวเลขผู้ชุมนุมตามข้อเท็จจริงว่า แม้จะมีการแจ้งการชุมนุมไว้ที่ 500 คน แต่ในทางปฏิบัติมีผู้ร่วมชุมนุมเพียงบางวันอาจจะอยู่ที่ 50-60 คนเท่านั้น และบางครั้งอาจจะสูงถึงร้อยกว่าคน โดยผู้ชุมนุมส่วนใหญ่อยู่ในเขตที่กำหนดไว้ และมีเพียง แกนนำบางส่วน ที่ลงมาติดตามการทำงานที่ประตูข้างนอกเพื่อ แสดงสัญลักษณ์ และยื่นหนังสือ เพื่อติดตามความคืบหน้าของคณะอนุกรรมการที่รัฐตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้อง

นัดตัดสิน ม.ค. 69 หวังวาง ‘บรรทัดฐาน’ การชุมนุม

ทิตศาสตร์เปิดเผยกำหนดการนัดฟังคำพิพากษาในคดีนี้ โดยศาลได้กำหนดนัดในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2569 เวลา 09.00 น. ทนายความของกลุ่มพีมูฟแสดงความหวังว่า คดีนี้จะสามารถ วางมาตรฐาน ทางกฎหมายให้กับประชาชนและกลุ่มอื่น ๆ ในการใช้สิทธิชุมนุมสาธารณะต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดขอบเขตอำนาจของเจ้าหน้าที่ในการจำกัดพื้นที่การชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุม

พีมูฟ’ ยันชุมนุมสงบตามสิทธิ์ เตรียมรณรงค์ยกเลิก ‘มรดกบาป คสช.’ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ!

ภายหลังเสร็จสิ้นการสืบพยานผู้เชี่ยวชาญในคดีการชุมนุม ธีรเนตร ไชยสุวรรณ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนประธานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ได้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน โดยยืนยันถึงความชอบธรรมในการใช้สิทธิของกลุ่มในการเรียกร้องเชิงนโยบายจากรัฐบาล

ธีรเนตรกล่าวว่า พีมูฟยืนยันมาโดยตลอดว่า การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นการใช้ สิทธิตามรัฐธรรมนูญโดยสงบ เพื่อติดตามการแก้ปัญหาเชิงนโยบายที่กลุ่มได้รับผลกระทบ ซึ่งขณะนี้การติดตามปัญหาดังกล่าวก็มีความคืบหน้า โดยรัฐบาลได้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน คณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการในกระทรวงต่างๆ ขึ้นมาเพื่อดำเนินการเป็นลำดับแล้ว

ติงการใช้ดุลพินิจ ‘ลั่น’ เกินขอบเขต

ประธานพีมูฟกล่าวถึงประเด็นการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความกังวลที่พยานผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวถึงก่อนหน้า โดยระบุว่าการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ทำให้มีการออกแนวทางปฏิบัติที่ค่อนข้างจะ “ลั่น” หรือเกินเลยไปมาก และมองว่าการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่นั้น ควรต้องนำหลักเกณฑ์อื่น ๆ มาประกอบการพิจารณาด้วย เช่น พฤติกรรม พฤติการณ์ และความเหมาะสมต่าง ๆ ของการชุมนุม ไม่ใช่เพียงการตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัด

ย้ำ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ คือ ‘มรดกบาป’ ต้องยกเลิก

ธีรเนตรได้กล่าวถึงจุดยืนของพีมูฟต่อ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ว่า กลุ่มยืนยันมาโดยตลอดตั้งแต่มีการประกาศใช้ว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ ไม่เป็นผลดีต่อพี่น้องประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกองค์กรที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิที่ถูกรัฐละเมิด
“เรายืนยันมาตลอดว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นการออกมาโดยมิชอบ โดยเฉพาะการออกมาตั้งแต่ยังเป็น ผลผลิตของ คสช. กระบวนการยึดอำนาจรัฐประหาร ที่เราคิดว่ามันไม่เป็นผลดีกับพี่น้องอยู่แล้ว และยังมาทิ้ง มรดกบาปชุมนุม นี้ไว้อีก” ประธานพีมูฟกล่าวอย่างหนักแน่น

ธีรเนตรได้ทิ้งท้ายว่า ในอนาคตพีมูฟคงต้องเดินหน้าเรียกร้องให้มีการ ยกเลิก พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในการแสดงออกและเรียกร้องความเป็นธรรมได้อย่างเต็มที่โดยไม่ถูกจำกัดเกินความจำเป็น

จำนงค์ พีมูฟ’ มองเห็นแสงสว่าง! หลังผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลต่อศาลเกี่ยวกับพ.ร.บ.ชุมนุม

จำนงค์ หนูพันธ์ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ได้กล่าวแสดงความรู้สึกภายหลังการสืบพยานในวันนี้ โดยมองเห็นสัญญาณที่ดีในการต่อสู้คดีของภาคประชาชน

นายจำนงค์ระบุว่า บรรยากาศการสืบพยานในวันนี้ถือว่าดีกว่าคดีที่ผ่านมาเนื่องจากมีแนวโน้มว่าศาลจะมีความเข้าใจต่อภาคประชาสังคมมากขึ้น และมองเห็นถึงความจำเป็นของเราที่จะต้องออกมาเรียกร้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเรื่องปากท้องสำคัญของพี่น้องประชาชน

จำนงค์เน้นย้ำกรณีที่ศาลได้รับฟังข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย โดยระบุถึงการเข้าเบิกความของ อาจารย์อ.ดร.พัชร์ นิยมศิลป ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 โดยระบุว่าข้อมูลของ อ.ดร.พัชร์ ทำให้ศาลได้รับฟังมุมมองที่หลากหลายไม่ได้มองด้านเดียวแบบอัยการที่มองมาตลอด ซึ่งเป็นการเปิดมิติใหม่ในการพิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายที่ใช้กับผู้ชุมนุม

“วันนี้ก็รู้สึกว่ามีอะไรที่น่าจะมีโอกาสในการต่อสู้ในคดีต่อ ๆ ไปอีกมาก” ที่ปรึกษาพีมูฟแสดงความมั่นใจ โดยเชื่อว่าการสืบพยานในวันนี้ได้สร้างฐานข้อมูลและมุมมองทางกฎหมายที่เอื้อต่อการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของกลุ่มประชาชนในอนาคต​ อาจารย์จุฬาฯ เจาะช่องโหว่ ม.7 พ.ร.บ.ชุมนุมขยาย 50 เมตร อำนาจล้นไร้ขอบเขตระบุเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ชั่งน้ำหนักไม่ใช่ใช้ ‘ดาบ’ ปิดกั้นเสรีภาพ

ขณะที่ อ.ดร.พัชร์ นิยมศิลป ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายเพื่อประชาชนคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชุมนุมให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมโดยได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ว่ามีที่มาและกลไกที่ยังไม่สมบูรณ์และเปิดช่องให้เกิดการตีความที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินความจำเป็น


อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรายนี้กล่าวว่า ภาพรวมของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งเป็นสภาที่มาจากการรัฐประหาร (คสช.) ดำเนินการอยู่ ทำให้กระบวนการวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์ความเหมาะสมของตัวบทกฎหมาย ไม่ได้รับการพิจารณาที่รอบด้าน

“สมาชิก สนช. มาจากการรัฐประหาร ณ ขณะนั้น ใครที่ได้รับโอกาสเข้ามาก็จะมีเสียงดังมากที่สุด ทำให้ตัวกฎหมายแม้จะเขียนได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ในความเห็นของตนคือ มันสามารถดีได้มากกว่านี้ และไม่ได้มาจากการวิพากษ์วิจารณ์ที่รอบด้าน” ผู้เชี่ยวชาญระบุ

เจาะช่องโหว่ ม.7 ขยาย 50 เมตร อำนาจล้นไร้ขอบเขต

ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิเคราะห์อย่างเข้มข้นคือ มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ที่ให้อำนาจในการขยายเขตห้ามชุมนุมในระยะ 50 เมตร ออกไปจากสถานที่สำคัญ เช่น ทำเนียบรัฐบาล, รัฐสภา, ศาล, และพระบรมมหาราชวัง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แม้มาตรานี้จะมีเจตนาเพื่อปกป้องสถานที่พิเศษไม่ให้ผู้ชุมนุมปิดล้อม แต่การใช้ “ดาบ” นี้กลับมีปัญหาในทางปฏิบัติ

“ตัวข้อกฎหมายที่คอนโทรลดุลยพินิจมันน้อยหรือแทบไม่มีเลย“ อาจารย์ระบุ โดยชี้ว่ากฎหมายเพียงเขียนให้คำนึงถึง “พฤติการณ์และจำนวนของผู้ชุมนุม” แต่ไม่ได้กำหนดขอบเขตของ “พฤติการณ์” ที่ชัดเจน ทำให้สุดท้ายแล้วการตีความและการใช้ดุลยพินิจขึ้นอยู่กับ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือ ศาล ที่จะวางหลักมาตรฐานในเรื่องนี้เอง

ย้ำหลักสากล: จำกัดสิทธิต้อง ‘เบาที่สุด’ และ ‘ได้สัดส่วน’

ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ได้นำหลักสากลมาเปรียบเทียบ โดยเน้นย้ำว่าการมองเรื่องนี้ให้สอดคล้องตามหลักสากลต้องเลือก วิธีการที่เบาที่สุดเท่าที่มันจะบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ห้ามไปเลยคือตัวเลือกสุดท้าย: “การที่บอกว่าห้ามไปเลยเป็นตัวเลือกสุดท้าย เพราะมันไม่ได้สัดส่วน” และชี้ว่ารัฐต้องทำตาม 3 ขั้นตอน คือ 1. มีกฎหมายให้อำนาจชอบด้วยกฎหมาย 2. ทำโดยตรงตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย และ 3. ต้องจำเป็นและได้สัดส่วน

พร้อมกันนี้ ได้มีการนิยามคำว่าการชุมนุมโดยสงบว่าไม่ได้หมายถึงการชุมนุมที่สงบเสงี่ยม ไร้เสียง หรือราบเรียบ แต่คือการใช้สิทธิได้ตามปกติ แม้จะมีความไม่เป็นระเบียบอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ต้องไม่รุกล้ำสิทธิของผู้อื่นเกินกว่าเหตุ

ความไม่สงบจริงๆตามหลักสากล ดูที่ว่ามันมีเจตนาในการใช้ความรุนแรงหรือไม่ ต้องดูที่ความรุนแรงทางกายภาพเช่นการขว้างปา เผา หรือทำให้ทรัพย์สินเสียหาย”

อาจารย์ได้เสนอแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมคือ การใช้มาตรการควบคุมที่เบาที่สุด เช่น การจัดเลนถนน ว่าอยู่ตรงไหนได้บ้าง ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการ ชั่งน้ำหนัก ระหว่างคนที่ใช้สิทธิ กับคนที่ได้รับผลกระทบจากสิทธิ ไม่ใช่ใช้มาตรการห้ามชุมนุม ณ พื้นที่นี้ ตรงนี้เวลานี้ในทันที

ชี้ หากชุมนุมสงบ ต้องปล่อย! หากอยากสลายต้องร้องขอศาล

ผู้เชี่ยวชาญสรุปในตอนท้ายว่า กลไกภายใต้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ระบุชัดเจนว่า ถ้าผู้ชุมนุมสงบก็ต้องปล่อยให้ชุมนุมต่อไป แต่หากเจ้าหน้าที่ต้องการสลายการชุมนุม พวกเขาต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด คือ ใช้กลไกร้องขอศาลแพ่ง เพื่อให้มีคำสั่งอนุญาตให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมได้ ซึ่งเป็นการย้ำถึงหลักการที่ว่า อำนาจในการจำกัดสิทธิเสรีภาพต้องได้รับการตรวจสอบและควบคุมโดยฝ่ายตุลาการอย่างเคร่งครัด

ด้านปรานม สมวงศ์ จาก Protection Internationalกล่าวว่า เราหวังว่าศาลยุติธรรมจะวางหลักว่าการชุมนุมโดยสงบต้องได้รับการคุ้มครอง และการจำกัดสิทธิต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย คดีนี้จะไม่เพียงสร้างความเป็นธรรมให้กับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสองคนจากพีมูฟเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนถึง สิทธิในการปกป้องสิทธิมนุษยชน ของประชาชนทุกคน ว่าการออกมาเรียกร้อง ตรวจสอบ และท้าทายความอยุติธรรมของรัฐไม่ใช่อาชญากรรม หากเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล และจะเปิดทางให้ประชาชนคนอื่น ๆ ที่ถูกฟ้องจากการชุมนุม มีหลักยืนทางกฎหมายในการต่อสู้คดีและปกป้องสิทธิของตนเองในอนาคต

ผบ.ตร.กำชับ 5 ภารกิจตำรวจ ป้องกันอธิปไตยชายแดนไทย–กัมพูชา

ผบ.ตร.กำชับตำรวจเดินหน้า 5 ภารกิจพิทักษ์อธิปไตยชายแดนไทย – กัมพูชา “ตชด. และชุดปฏิบัติการพิเศษ” สู้แนวหน้า พิทักษ์ส่วนหลัง ปกป้อง สืบสวน ดูแล บังคับใช้กฎหมายเข้ม

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

วันนี้ (13 ธันวาคม 2568) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ส่งกำลังใจให้ตำรวจทุกหน่วย ทุกนาย ที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจพิทักษ์อธิปไตยชายแดนไทย – กัมพูชา ทั้งตำรวจที่เป็นกองกำลังแนวหน้าป้องกันชายแดน และร่วมพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง โดย ผบ.ตร.กำชับให้ตำรวจทุกนายเดินหน้าภารกิจตำรวจทั้ง 5 ด้านในสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยให้ระลึกเสมอว่านี่คือภารกิจสำคัญในการปกป้องชาติ รักษาอธิปไตย และปกป้องดูแลประชาชน พร้อมย้ำว่าผู้บังคับบัญชาพร้อมดูแลและสนับสนุนทุกด้านทั้งยุทโธปกรณ์ และสวัสดิการ

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า 5 ภารกิจสำคัญของตำรวจในการพิทักษ์อธิปไตยไทย และปกป้องประชาชน ประกอบด้วย

1.ภารกิจตำรวจแนวหน้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารในการปฏิบัติการทางทหาร ประกอบด้วย ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และชุดปฏิบัติการพิเศษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งร่วมปฏิบัติการแนวหน้ากับกองทัพอย่างเข้มแข็ง กล้าหาญมาตลอด โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 13 ธันวาคม 2568) มีรายงานมีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว 24 ราย

2.ภารกิจปกป้องพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ดูแลบ้านเรือนพี่น้องประชาชนที่อพยพไปอยู่ศูนย์พักพิง อำนวยความสะดวกด้านการจราจรในการนำส่งผู้บาดเจ็บเข้าสู่โรงพยาบาล ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ด่านตรวจฝ้าระวังภัยตลอด 24 ชั่วโมง ตรวจตราดูแลรอบศูนย์พักพิงและดูแลประชาชนในศูนย์พักพิง

3.ภารกิจสืบสวนข่าวและการสืบสวน โดยตำรวจรับหน้าที่ในการปฏิบัติการด้านการข่าวร่วมกับฝ่ายทหารและศูนย์รักษาความปลอดภัย หรือ ศรภ. รับหน้าที่ในการเฝ้าระวังตรวจตราอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน รวมทั้งการเฝ้าระวังบุคคลที่อาจเข้ามาสอดแนม โจรกรรมข้อมูลหรือก่อวินาศภัย ที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคง

4.ภารกิจดูแลโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 20 แห่ง และดูแลเด็กนักเรียน 728 คน ที่อยู่ในศูนย์พักพิงเพื่อให้อยู่อย่างปลอดภัยและสามารถรับการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่อง โดยมี ตชด.รับหน้าที่หลักในการดูแล

    และ 5. ภารกิจบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดทุกฐานความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

    นอกจากนี้ ยังมีโรงพยาบาลตำรวจ และกองบินตำรวจ เป็นอีกสรรพกำลังสำคัญทำหน้าที่สนับสนุนและส่งต่อทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติและตำรวจทุกนายพร้อมปฏิบัติภารกิจนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยและความผาสุกของประชาชน

    “อภิสิทธิ์” เยี่ยมทหาร-ผู้ประสบภัย จ.สุรินทร์ ซาบซึ้งคนไทยมีน้ำใจส่งต่อกำลังใจสู่ อ.หาดใหญ่

    วันที่ 13 ธันวาคม 2568 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ได้เดินทางเข้าเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจแก่พี่น้องประชาชนและทหารผู้ได้รับบาดเจ็บในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ความไม่สงบและการสู้รบตามแนวชายแดน

    นายอภิสิทธิ์ เปิดเผยหลังจากการเยี่ยมชมโรงพยาบาลและศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยหลายจุดว่า ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในพื้นที่ ตนตั้งใจนำ “กำลังใจของพี่น้องคนทั้งประเทศ” มาส่งต่อให้กับพี่น้องชาวสุรินทร์

    หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า สิ่งที่พบคือพี่น้องในศูนย์พักพิงยังคงต้องเผชิญกับปัญหาอีกยาวนาน และมีผู้อพยพเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกคนได้รับความช่วยเหลือและการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากหน่วยงานราชการ อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทั้งพี่น้องทหารที่ได้รับบาดเจ็บก็มีกำลังใจที่ดีเยี่ยม

    “สิ่งที่สำคัญที่สุดครับ ผมได้สัมผัสถึงความมีน้ำใจของคนไทยด้วยกัน… พี่น้องที่นี่กลับบอกให้ผมส่งกำลังใจไว้ให้พี่น้องชาวหาดใหญ่ ซึ่งยังจะต้องฟื้นฟูบ้านเรือนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

    นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าต่อว่า สิ่งเหล่านี้ควรเป็นกำลังใจให้กับคนไทยทุกคนที่กำลังเผชิญวิกฤตต่าง ๆ และสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางจิตใจของคนไทยที่ไม่ทอดทิ้งกัน

    พร้อมกันนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังได้กล่าวเชิญชวนให้พี่น้องคนไทยที่เหลือสามารถช่วยเหลือผู้ที่ลำบากอยู่ในพื้นที่สุรินทร์ได้ โดยการบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ประจำวัน หรือการสนับสนุนในเรื่องของอาหารต่าง ๆ ผ่านหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พี่น้องชาวสุรินทร์สามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี

    ปลัด​ กทม.สั่ง 50 สำนักงานเขต คุมเข้มมาตรการ “พลุ-โคมลอย” ช่วงปีใหม่ เน้นความปลอดภัยสูงสุดแก่ประชาชน

    นายณรงค์ เรืองศรี ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งมีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน กรุงเทพมหานครมีความห่วงใยต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างยิ่ง เนื่องจากในห้วงเวลาดังกล่าวประชาชนมักนิยมเล่นดอกไม้เพลิง รวมถึงมีการจุดและปล่อยพลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ หรือโคมควันอย่างแพร่หลาย และที่ผ่านมาพบว่ามักเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ที่เกิดจากการกระทำดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง

    เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและลดความสูญเสีย ตลอดจนเพื่อให้การเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่เป็นไปอย่างมีความสุขและปลอดภัยสูงสุดสำหรับประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครทุกคน กรุงเทพมหานครจึงได้กำชับไปยังสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ให้ดำเนินการพิจารณาอนุญาตการจุดและปล่อยพลุ หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกันของประชาชนและผู้จัดงานในสถานที่ต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การอนุญาตที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

    โดยมาตรการดังกล่าวอ้างอิงตาม ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการจุดและปล่อยบั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน พ.ศ. 2561 โดยหัวใจสำคัญของข้อบัญญัติคือ ห้ามมิให้ผู้ใดจุดและปล่อยบั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน ขึ้นไปสู่อากาศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการเขตพื้นที่นั้น

    สำหรับผู้ที่ประสงค์จะขออนุญาตต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด และต้องยื่นคำขออนุญาตพร้อมด้วยแผนการป้องกันเหตุอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น และแผนผังบริเวณที่จะจุดและปล่อย ต่อผู้อำนวยการเขตพื้นที่ โดยต้องขออนุญาตล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนวันจุดและปล่อย

    กรณีที่ได้รับอนุญาตให้จุดพลุในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จะกระทำได้ในช่วงคืนวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ตั้งแต่เวลา 23.00 นาฬิกา ถึงเวลา 01.00 นาฬิกา ของวันที่ 1 มกราคมของทุกปี เท่านั้น โดยสามารถอ่านรายละเอียดข้อบัญญัติได้ที่ https://bmc.go.th/wp-content/uploads/2020/05/262.pdf

    ทั้งนี้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจุดพลุ บั้งไฟ ตะไล โคมลอย หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 27/2559

    “พลรักษ์” ถอดรหัส KPI Poll ชี้ ปชช. ต้องการคนมือสะอาดมาแก้ปัญหาปากท้อง หมดยุคส่งเสาโทรเลข หมดเวลาสงครามสาดโคลน

    กรุงเทพฯ 13 ธันวาคม 2568 – พลรักษ์ รักษาพล อดีตคณะทำงาน รมว.ยุติธรรม (พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง) วิเคราะห์ถึงผลการสำรวจหัวข้อ “เสียงประชาชนต่อการเมืองและการเลือกตั้ง ครั้งใหม่” ของ KPI Poll โดยสถาบันพระปกเกล้า ที่สำรวจกลุ่มตัวอย่างกว่า 2,000 คนทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. – 10 ธ.ค. 68 ว่าในฐานะนักสื่อสารการเมือง ได้ค้นพบ “จุดเปลี่ยน” สำคัญของสมการการเมืองไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ได้แก่ วิกฤตศรัทธา คือโจทย์ข้อแรก โดยตัวเลข 45.7% ที่มองว่าการเมือง “แย่ลง” ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางสถิติ แต่คือ “อารมณ์ร่วมของสังคม” ที่กำลังรู้สึกว่ายังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ นี่คือโจทย์หินที่รัฐบาลและพรรคการเมืองต้องรีบกู้ความเชื่อมั่นกลับมา

    นายพลรักษ์ กล่าวว่า ประเด็นต่อมาคือ หมดเวลาขายฝัน ถึงเวลา “กินได้จริง” โดยประชาชนไม่ได้มองหา “ฮีโร่ในอุดมคติ” แต่มองหา “นักบริหารมืออาชีพ” ที่แก้ปัญหาปากท้องได้จริง (36.2%) แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ “ปราบโกง” กลับเป็นวาระเร่งด่วนอันดับ 1 ซึ่งสะท้อนว่า ประชาชนรู้เท่าทันแล้วว่า “คอร์รัปชัน” คือปลิงที่ดูดเลือดจนเศรษฐกิจไม่โต การแก้ปากท้องจึงต้องทำควบคู่ไปกับความมือสะอาด

    นอกจากนี้ การเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึงเป็นจุดจบของระบบ “เสาโทรเลข” หมดยุคที่พรรคจะส่งใครลงก็ได้แล้วหวังคะแนนจากโลโก้พรรค เพราะ 59.2% พร้อมจะ “ปันใจ” ทันทีถ้าผู้สมัครไม่มีคุณภาพ ดังนั้นแบรนด์พรรคอาจดึงดูดความสนใจ แต่ “ตัวบุคคล” คือปัจจัยตัดสินชัยชนะ พรรคการเมืองต้องคัดคนเก่งจริง ดีจริง ไม่ใช่แค่คนของใคร

    “การเลือกตั้งครั้งใหม่ (2569) จะไม่ใช่สงครามของการสาดโคลนหรือวาทกรรมทางการเมือง แต่จะเป็นการแข่งขันกันที่ Trust & Performance หรือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และ ผลงาน ใครที่ประกาศตัวผู้นำชัดเจน มีนโยบายเศรษฐกิจที่จับต้องได้ และที่สำคัญคือ ซื่อสัตย์ ต่อประชาชน คนนั้นคือผู้ที่จะได้ครอบครองเข็มทิศ ที่ชื่อว่าเสียงของประชาชนอย่างแท้จริงครับ” อดีตคณะทำงาน รมว.ยุติธรรม สรุป

    อ่านผลสำรวจ KPI Poll ฉบับเต็มได้ที่

    https://kpi.ac.th/wp-content/uploads/2025/12/ผล-KPI-Poll-ครั้งที่-1-Dec-2025-ฉบับ-เผยแพร่-สมบูรณ์.pdf

    “ยศสิงห์” ร่วมฉลอง 53 ปี กนอ. ดัน Eco Town สั่งคุม รง.เข้ม “สุเมธ” ชูวิสัยทัศน์ “One for All” พลิกโฉมสู่กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยุคใหม่

    ที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) 12 ธันวาคม – จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รมช.อุตสาหกรรม เป็นประธานในงานวันคล้ายวันสถาปนา กนอ. ครบ 53 ปี โดยมี นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานคณะกรรมการ กนอ. นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ กนอ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร พนักงาน และผู้ประกอบการ เข้าร่วมงาน โดย รมช.อุตสาหกรรม กล่าวแสดงความยินดี และชื่นชมบทบาทของ กนอ. พร้อม มอบนโยบาย “เปิดเร็ว-ปิดเร็ว-พึ่งพาได้” สั่งคุมเข้มโรงงานผิดกฎหมายต้องปิดทันที หวังสร้างอุตสาหกรรมไทยที่โปร่งใส และอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน

    นอกจากนี้ จ่าเอกยศสิงห์ ยังได้เน้นย้ำบทบาทของ กนอ. ในยุคใหม่ว่าจะต้องเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้าง “อุตสาหกรรมพึ่งพาได้” โดยไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่จัดตั้งหรือบริหารพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่เป็น “เพื่อนบ้านที่ดี” ที่อยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเกื้อกูล สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสานต่อแนวคิด “เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ” (Eco-Industrial Town) เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจเดินหน้าไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืนต่อไป

    ด้านนายสุเมธ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 5 ทศวรรษ กนอ. ได้ทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของไทย ปัจจุบัน กนอ. ดูแลนิคมอุตสาหกรรม 81 แห่ง และ 1 ท่าเรือ ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 2 แสนไร่ใน 17 จังหวัด มีโรงงานมาตรฐานกว่า 5,471 แห่ง เม็ดเงินลงทุนสะสมกว่า 15.21 ล้านล้านบาท และจ้างงานกว่า 1 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics), ห่วงโซ่อุปทานที่เปลี่ยนทิศ (Value Chain Shift), และการเข้าสู่ยุคดิจิทัล ( Digital Transformation ) กนอ. จึงต้องปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่เพื่อก้าวสู่ทศวรรษใหม่ภายใต้แนวคิด “One for All” โดยมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน

    “กนอ. ในยุคใหม่จะไม่ใช่เพียงคนขายที่ดิน แต่เราคือกลไกหลักที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน เราจะเป็น Platform ที่เชื่อมโยงนวัตกรรม เทคโนโลยี และการศึกษา เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ แม้ กนอ. อาจไม่ใช่หน่วยงานที่ใหญ่ที่สุด แต่เรามุ่งมั่นที่จะเป็นก้าวเล็กๆ ที่สำคัญและมั่นคงของภาคอุตสาหกรรมไทยในอนาคต”ผู้ว่าการ กนอ.กล่าว

    “โภคิน” นำทีม ไทยสร้างไทย บุกสภาอุตสาหกรรม บรรยากาศชื่นมื่น ถกแก้ทุจริตและวิกฤติเศรษฐกิจไทย เสนอพักใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับใบอนุญาต เพื่อให้เอกชนทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น

    ดร.โภคิน พลกุล ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย นำคณะผู้บริหารพรรคเข้าพบนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และคณะผู้บริหาร เพื่อร่วมประชุมหารือถึงสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจไทยและแนวทางการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และชื่นมื่น

    คณะจากพรรคไทยสร้างไทยประกอบด้วยนายไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ รองหัวหน้าพรรค นายวัชรพงศ์ อึ้งศิริสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบราชการและกระบวนการยุติธรรม นายณัฐวัฒน์ พอใช้ได้ รองเลขาธิการพรรค ดร.ณรงค์ รุ่งธนวงศ์ ผู้อำนวยการพรรค นายปริเยส อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญ ทั้งการเติบโตของ GDP ที่ต่ำต่อเนื่อง ปัญหากับดักรายได้ปานกลาง สินค้าจีนทะลักตลาด และโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะที่ภาคธุรกิจไทยยังประสบปัญหากฎหมายล้าสมัยและขั้นตอนที่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน

    ดร.โภคิน กล่าวว่า ปัญหาเร่งด่วนที่สุดคือระบบใบอนุญาตและกฎหมายจำนวนมากที่ซ้ำซ้อน ใช้เวลาอนุมัตินาน และเปิดช่องให้เกิดการทุจริตเชิงระบบ หากต้องแก้กฎหมายทีละฉบับ ประเทศจะเสียเวลาอีกหลายปี จึงเสนอให้มีการ“พักใช้กฎหมายและใบอนุญาตที่เป็นอุปสรรค” แบบชั่วคราว เพื่อให้เอกชนสามารถเดินหน้าธุรกิจได้ทันที แล้วค่อยทบทวนเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นจริงในภายหลัง มาตรการนี้จะช่วยลดขั้นตอน ลดต้นทุน และเพิ่มความคล่องตัวให้ SMEs ซึ่งกำลังเผชิญสภาพคล่องตึงตัวอย่างหนักขณะเดียวกัน พรรคไทยสร้างไทยยังเสนอจัดตั้ง 3 กองทุนเพื่อช่วยเหลือ SMEs และผู้ประกอบการรายเล็ก ให้เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น และสนับสนุนการปรับตัวสู่เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใหม่ โดยเน้นการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมแบบรับจ้างผลิตไปสู่ธุรกิจที่สร้างนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่ม (Innovation & High Value)

    ดร.โภคิน ยังย้ำถึงการปราบคอร์รัปชันทั้งในระบบราชการและการเมือง พร้อมเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดัน “Re-invent Thailand” เพื่อสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่แข็งแรง และให้กฎหมายเอื้อต่อธุรกิจมากกว่าขัดขวาง

    ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้นำเสนอสมุดปกขาว “Re-invent Thailand” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของพรรคไทยสร้างไทย โดยเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องรีบ “ปฏิรูปโครงสร้างใหญ่” ทั้งเศรษฐกิจ กฎหมาย และระบบราชการ เพื่อปลดล็อกอุปสรรคที่ขัดขวางเอกชน ลดคอร์รัปชันเชิงระบบ และสร้างความสามารถในการแข่งขันใหม่ให้ประเทศ โดยเชื่อว่าหากเดินหน้าอย่างจริงจัง ไทยยังสามารถฟื้นตัวและก้าวสู่เศรษฐกิจนวัตกรรมได้ในอนาคตอันใกล้

    “ศึกษิษฏ์” ดักคอ อย่าสร้างสถานการณ์ล้มเลือกตั้ง หลัง “โสภณ” อ้างอาจจัดไม่ได้จากเหตุปะทะกัมพูชา

    กรุงเทพฯ วันที่ 13 ธ.ค. – จากกรณีที่นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ระบุว่าเหตุปะทะชายแดนจะทำให้จัดการเลือกตั้งไม่ได้เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ต้องจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศพร้อมกัน นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษก พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เชื่อว่าประชาชนจำนวนมากกำลังคาดหวังว่าจะได้ใช้สิทธิในการเลือกตั้งในเร็ววันนี้ และก็มีความหวังว่าสถานการณ์ชายแดนจะกลับสู่สภาพปรกติด้วยผลลัพธ์ที่เป็นบวกต่อประเทศไทยโดยเร็วที่สุด การที่นายโสภณให้สัมภาษณ์เชิงคาดเดาว่าไม่น่าจะเลือกตั้งได้ก็ขอตั้งข้อสังเกต และคาดหวังไว้ก่อนว่า จะไม่มี เหตุการณ์ หรือความพยายามจะสร้างสถานการณ์ใดๆ ที่จะทำให้เกิดยื้อการคืนอำนาจให้กับประชาชน หรือสร้างความวิตกกังวลและความไม่ปลอดภัย

    ทั้งนี้ตามกฎหมายเลือกตั้ง กกต. จะต้องประกาศกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 5 วันหลังจากที่มีการยุบสภา และการเลือกตั้งต้องทำพร้อมกันทั่วราชอาณาจักร แต่ถ้ามีเหตุใดที่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ กฎหมายได้ให้อำนาจ กกต. ไว้ด้วยเสียง 2 ใน 3 สามารถเลื่อนการเลือกตั้งได้แต่ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 30 วันนับจากวันที่เหตุการณ์สิ้นสุดลง ขอให้รัฐบาลรักษาการและ กกต. ทำตามคำมั่นและหลักกฎหมายในการคืนอำนาจให้พี่น้องประชาชนตัดสินใจ และให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการสร้างความมั่นคง อธิปไตยและสันติภาพให้กับประเทศไทยตามเสียงของประชาชนต่อไป

    “ธรรมนัส” ตรวจศูนย์ถ่ายทอด IBC–MPC ซีเกมส์ กำชับมาตรฐานออกอากาศระดับโลก ยกระดับการสื่อสารกีฬาไทยสู่สายตานานาชาติ

    กรุงเทพฯ, วันที่ 12 ธ.ค. – ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เดินทางเข้าเยี่ยมชมและตรวจความพร้อม ศูนย์ถ่ายทอดวิทยุและโทรทัศน์นานาชาติ (International Broadcast Centre : IBC) รวมถึง ศูนย์ประสานงานสื่อมวลชน (Media Press Centre : MPC / Social Media Press Centre : SPC) ซึ่งใช้เป็นศูนย์กลางด้านการสื่อสารและการถ่ายทอดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ณ อาคารศูนย์ปฏิบัติการ 1 NBT Connext สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ โดยมี พลตำรวจเอก ประจวบ วงศ์สุข ที่ปรึกษา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา, นายมนตรี หาญใจ กรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ, นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และนางสุดฤทัย เลิศเกษม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ให้การต้อนรับและร่วมตรวจเยี่ยม

    สำหรับ ศูนย์ IBC เป็นอาคารสูง 3 ชั้น ออกแบบตามมาตรฐานสากล ติดตั้งเทคโนโลยีการแพร่ภาพที่ทันสมัยและครบวงจร รองรับการทำงานของสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศจาก 11 ชาติ เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและสัญญาณการแข่งขันได้อย่างรวดเร็วและแบบเรียลไทม์ตลอดการแข่งขัน

    การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ พันเอก ชูชาติ พิมพ์ประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์ ได้นำรองนายกรัฐมนตรีและคณะเยี่ยมชมพื้นที่ปฏิบัติงานสำคัญ อาทิ ห้องควบคุมการออกอากาศกลาง (Master Control Room), ห้องอุปกรณ์กลาง (Central Apparatus Room), ศูนย์ปฏิบัติการโทรคมนาคม (Telecommunication Operation Centre) รวมถึงห้องปฏิบัติการผลิตสัญญาณของผู้รับสิทธิ์ถ่ายทอดสดจากต่างประเทศ (Rights Holding Broadcasters) จาก 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และเมียนมา รวมทั้งสิ้น 13 สถานีโทรทัศน์

    จากนั้น ร.อ.ธรรมนัส และคณะได้เยี่ยมชมสตูดิโอผลิตสัญญาณออกอากาศภายในประเทศ ทั้งของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานด้วยความเรียบร้อย รอบคอบ และยึดมาตรฐานสูงสุดในทุกขั้นตอน เพื่อให้การถ่ายทอดการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 เป็นไปอย่างสมบูรณ์ สร้างความเชื่อมั่นแก่สื่อมวลชนและประเทศสมาชิก ตลอดจนสะท้อนศักยภาพและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพสู่สายตานานาชาติ

    “อามินทร์” ถก ทูตอิหร่าน ขยายตลาดสินค้าเกษตร-อาหารฮาลาล สู่ ตอ.กลาง พร้อมส่งผู้เชี่ยวชาญไทยไปให้ความรู้เรื่องโรคกุ้ง

    กรุงเทพฯ, วันที่ 12 ธ.ค. นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังให้การต้อนรับ นายนอเศเรดดีน ฮัยแดรี (H.E. Mr. Nassereddin Heidari) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะและหารือในประเด็นความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทย-อิหร่าน ว่า ไทยและอิหร่านมีความสัมพันธ์ทางการทูตมานานกว่า 70 ปี ในหลายมิติ รวมทั้งด้านการเกษตร ซึ่งในโอกาสนี้ได้มีการหารือแนวทางการยกระดับความร่วมมือ และขยายโอกาสทางการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มอาหารฮาลาล เพื่อขยายสู่ตลาดตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ฝ่ายอิหร่านประสงค์เชิญผู้เชี่ยวชาญประมงไปให้คำแนะนำและอบรมให้ความรู้ด้านโรคกุ้ง      

    พร้อมทั้งยังได้เชิญชวนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะจากภาคอุตสาหกรรมปศุสัตว์และประมงมาลงทุนในทางตอนใต้ของอิหร่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ พร้อมเน้นย้ำให้อิหร่านทราบว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งมั่นที่จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก ครอบคลุมผลิตภัณฑ์และอาหารฮาลาลที่เป็นไปตามมาตรฐานของประเทศผู้นำเข้าต่าง ๆ ทั้งนี้ รมช.อามินทร์ ได้เชิญชวนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ อิหร่าน เอกอัครราชทูตฯ เข้าร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 อีกด้วย