“ยศสิงห์” ร่วมฉลอง 53 ปี กนอ. ดัน Eco Town สั่งคุม รง.เข้ม “สุเมธ” ชูวิสัยทัศน์ “One for All” พลิกโฉมสู่กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยุคใหม่

ที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) 12 ธันวาคม – จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รมช.อุตสาหกรรม เป็นประธานในงานวันคล้ายวันสถาปนา กนอ. ครบ 53 ปี โดยมี นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานคณะกรรมการ กนอ. นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ กนอ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร พนักงาน และผู้ประกอบการ เข้าร่วมงาน โดย รมช.อุตสาหกรรม กล่าวแสดงความยินดี และชื่นชมบทบาทของ กนอ. พร้อม มอบนโยบาย “เปิดเร็ว-ปิดเร็ว-พึ่งพาได้” สั่งคุมเข้มโรงงานผิดกฎหมายต้องปิดทันที หวังสร้างอุตสาหกรรมไทยที่โปร่งใส และอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ จ่าเอกยศสิงห์ ยังได้เน้นย้ำบทบาทของ กนอ. ในยุคใหม่ว่าจะต้องเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้าง “อุตสาหกรรมพึ่งพาได้” โดยไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่จัดตั้งหรือบริหารพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่เป็น “เพื่อนบ้านที่ดี” ที่อยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเกื้อกูล สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสานต่อแนวคิด “เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ” (Eco-Industrial Town) เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจเดินหน้าไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืนต่อไป

ด้านนายสุเมธ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 5 ทศวรรษ กนอ. ได้ทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของไทย ปัจจุบัน กนอ. ดูแลนิคมอุตสาหกรรม 81 แห่ง และ 1 ท่าเรือ ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 2 แสนไร่ใน 17 จังหวัด มีโรงงานมาตรฐานกว่า 5,471 แห่ง เม็ดเงินลงทุนสะสมกว่า 15.21 ล้านล้านบาท และจ้างงานกว่า 1 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics), ห่วงโซ่อุปทานที่เปลี่ยนทิศ (Value Chain Shift), และการเข้าสู่ยุคดิจิทัล ( Digital Transformation ) กนอ. จึงต้องปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่เพื่อก้าวสู่ทศวรรษใหม่ภายใต้แนวคิด “One for All” โดยมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน

“กนอ. ในยุคใหม่จะไม่ใช่เพียงคนขายที่ดิน แต่เราคือกลไกหลักที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน เราจะเป็น Platform ที่เชื่อมโยงนวัตกรรม เทคโนโลยี และการศึกษา เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ แม้ กนอ. อาจไม่ใช่หน่วยงานที่ใหญ่ที่สุด แต่เรามุ่งมั่นที่จะเป็นก้าวเล็กๆ ที่สำคัญและมั่นคงของภาคอุตสาหกรรมไทยในอนาคต”ผู้ว่าการ กนอ.กล่าว

“โภคิน” นำทีม ไทยสร้างไทย บุกสภาอุตสาหกรรม บรรยากาศชื่นมื่น ถกแก้ทุจริตและวิกฤติเศรษฐกิจไทย เสนอพักใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับใบอนุญาต เพื่อให้เอกชนทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น

ดร.โภคิน พลกุล ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย นำคณะผู้บริหารพรรคเข้าพบนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และคณะผู้บริหาร เพื่อร่วมประชุมหารือถึงสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจไทยและแนวทางการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และชื่นมื่น

คณะจากพรรคไทยสร้างไทยประกอบด้วยนายไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ รองหัวหน้าพรรค นายวัชรพงศ์ อึ้งศิริสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบราชการและกระบวนการยุติธรรม นายณัฐวัฒน์ พอใช้ได้ รองเลขาธิการพรรค ดร.ณรงค์ รุ่งธนวงศ์ ผู้อำนวยการพรรค นายปริเยส อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญ ทั้งการเติบโตของ GDP ที่ต่ำต่อเนื่อง ปัญหากับดักรายได้ปานกลาง สินค้าจีนทะลักตลาด และโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะที่ภาคธุรกิจไทยยังประสบปัญหากฎหมายล้าสมัยและขั้นตอนที่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน

ดร.โภคิน กล่าวว่า ปัญหาเร่งด่วนที่สุดคือระบบใบอนุญาตและกฎหมายจำนวนมากที่ซ้ำซ้อน ใช้เวลาอนุมัตินาน และเปิดช่องให้เกิดการทุจริตเชิงระบบ หากต้องแก้กฎหมายทีละฉบับ ประเทศจะเสียเวลาอีกหลายปี จึงเสนอให้มีการ“พักใช้กฎหมายและใบอนุญาตที่เป็นอุปสรรค” แบบชั่วคราว เพื่อให้เอกชนสามารถเดินหน้าธุรกิจได้ทันที แล้วค่อยทบทวนเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นจริงในภายหลัง มาตรการนี้จะช่วยลดขั้นตอน ลดต้นทุน และเพิ่มความคล่องตัวให้ SMEs ซึ่งกำลังเผชิญสภาพคล่องตึงตัวอย่างหนักขณะเดียวกัน พรรคไทยสร้างไทยยังเสนอจัดตั้ง 3 กองทุนเพื่อช่วยเหลือ SMEs และผู้ประกอบการรายเล็ก ให้เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น และสนับสนุนการปรับตัวสู่เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใหม่ โดยเน้นการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมแบบรับจ้างผลิตไปสู่ธุรกิจที่สร้างนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่ม (Innovation & High Value)

ดร.โภคิน ยังย้ำถึงการปราบคอร์รัปชันทั้งในระบบราชการและการเมือง พร้อมเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดัน “Re-invent Thailand” เพื่อสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่แข็งแรง และให้กฎหมายเอื้อต่อธุรกิจมากกว่าขัดขวาง

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้นำเสนอสมุดปกขาว “Re-invent Thailand” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของพรรคไทยสร้างไทย โดยเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องรีบ “ปฏิรูปโครงสร้างใหญ่” ทั้งเศรษฐกิจ กฎหมาย และระบบราชการ เพื่อปลดล็อกอุปสรรคที่ขัดขวางเอกชน ลดคอร์รัปชันเชิงระบบ และสร้างความสามารถในการแข่งขันใหม่ให้ประเทศ โดยเชื่อว่าหากเดินหน้าอย่างจริงจัง ไทยยังสามารถฟื้นตัวและก้าวสู่เศรษฐกิจนวัตกรรมได้ในอนาคตอันใกล้

“ศึกษิษฏ์” ดักคอ อย่าสร้างสถานการณ์ล้มเลือกตั้ง หลัง “โสภณ” อ้างอาจจัดไม่ได้จากเหตุปะทะกัมพูชา

กรุงเทพฯ วันที่ 13 ธ.ค. – จากกรณีที่นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ระบุว่าเหตุปะทะชายแดนจะทำให้จัดการเลือกตั้งไม่ได้เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ต้องจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศพร้อมกัน นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษก พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เชื่อว่าประชาชนจำนวนมากกำลังคาดหวังว่าจะได้ใช้สิทธิในการเลือกตั้งในเร็ววันนี้ และก็มีความหวังว่าสถานการณ์ชายแดนจะกลับสู่สภาพปรกติด้วยผลลัพธ์ที่เป็นบวกต่อประเทศไทยโดยเร็วที่สุด การที่นายโสภณให้สัมภาษณ์เชิงคาดเดาว่าไม่น่าจะเลือกตั้งได้ก็ขอตั้งข้อสังเกต และคาดหวังไว้ก่อนว่า จะไม่มี เหตุการณ์ หรือความพยายามจะสร้างสถานการณ์ใดๆ ที่จะทำให้เกิดยื้อการคืนอำนาจให้กับประชาชน หรือสร้างความวิตกกังวลและความไม่ปลอดภัย

ทั้งนี้ตามกฎหมายเลือกตั้ง กกต. จะต้องประกาศกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 5 วันหลังจากที่มีการยุบสภา และการเลือกตั้งต้องทำพร้อมกันทั่วราชอาณาจักร แต่ถ้ามีเหตุใดที่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ กฎหมายได้ให้อำนาจ กกต. ไว้ด้วยเสียง 2 ใน 3 สามารถเลื่อนการเลือกตั้งได้แต่ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 30 วันนับจากวันที่เหตุการณ์สิ้นสุดลง ขอให้รัฐบาลรักษาการและ กกต. ทำตามคำมั่นและหลักกฎหมายในการคืนอำนาจให้พี่น้องประชาชนตัดสินใจ และให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการสร้างความมั่นคง อธิปไตยและสันติภาพให้กับประเทศไทยตามเสียงของประชาชนต่อไป

“ธรรมนัส” ตรวจศูนย์ถ่ายทอด IBC–MPC ซีเกมส์ กำชับมาตรฐานออกอากาศระดับโลก ยกระดับการสื่อสารกีฬาไทยสู่สายตานานาชาติ

กรุงเทพฯ, วันที่ 12 ธ.ค. – ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เดินทางเข้าเยี่ยมชมและตรวจความพร้อม ศูนย์ถ่ายทอดวิทยุและโทรทัศน์นานาชาติ (International Broadcast Centre : IBC) รวมถึง ศูนย์ประสานงานสื่อมวลชน (Media Press Centre : MPC / Social Media Press Centre : SPC) ซึ่งใช้เป็นศูนย์กลางด้านการสื่อสารและการถ่ายทอดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ณ อาคารศูนย์ปฏิบัติการ 1 NBT Connext สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ โดยมี พลตำรวจเอก ประจวบ วงศ์สุข ที่ปรึกษา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา, นายมนตรี หาญใจ กรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ, นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และนางสุดฤทัย เลิศเกษม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ให้การต้อนรับและร่วมตรวจเยี่ยม

สำหรับ ศูนย์ IBC เป็นอาคารสูง 3 ชั้น ออกแบบตามมาตรฐานสากล ติดตั้งเทคโนโลยีการแพร่ภาพที่ทันสมัยและครบวงจร รองรับการทำงานของสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศจาก 11 ชาติ เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและสัญญาณการแข่งขันได้อย่างรวดเร็วและแบบเรียลไทม์ตลอดการแข่งขัน

การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ พันเอก ชูชาติ พิมพ์ประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์ ได้นำรองนายกรัฐมนตรีและคณะเยี่ยมชมพื้นที่ปฏิบัติงานสำคัญ อาทิ ห้องควบคุมการออกอากาศกลาง (Master Control Room), ห้องอุปกรณ์กลาง (Central Apparatus Room), ศูนย์ปฏิบัติการโทรคมนาคม (Telecommunication Operation Centre) รวมถึงห้องปฏิบัติการผลิตสัญญาณของผู้รับสิทธิ์ถ่ายทอดสดจากต่างประเทศ (Rights Holding Broadcasters) จาก 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และเมียนมา รวมทั้งสิ้น 13 สถานีโทรทัศน์

จากนั้น ร.อ.ธรรมนัส และคณะได้เยี่ยมชมสตูดิโอผลิตสัญญาณออกอากาศภายในประเทศ ทั้งของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานด้วยความเรียบร้อย รอบคอบ และยึดมาตรฐานสูงสุดในทุกขั้นตอน เพื่อให้การถ่ายทอดการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 เป็นไปอย่างสมบูรณ์ สร้างความเชื่อมั่นแก่สื่อมวลชนและประเทศสมาชิก ตลอดจนสะท้อนศักยภาพและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพสู่สายตานานาชาติ

“อามินทร์” ถก ทูตอิหร่าน ขยายตลาดสินค้าเกษตร-อาหารฮาลาล สู่ ตอ.กลาง พร้อมส่งผู้เชี่ยวชาญไทยไปให้ความรู้เรื่องโรคกุ้ง

กรุงเทพฯ, วันที่ 12 ธ.ค. นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังให้การต้อนรับ นายนอเศเรดดีน ฮัยแดรี (H.E. Mr. Nassereddin Heidari) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะและหารือในประเด็นความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทย-อิหร่าน ว่า ไทยและอิหร่านมีความสัมพันธ์ทางการทูตมานานกว่า 70 ปี ในหลายมิติ รวมทั้งด้านการเกษตร ซึ่งในโอกาสนี้ได้มีการหารือแนวทางการยกระดับความร่วมมือ และขยายโอกาสทางการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มอาหารฮาลาล เพื่อขยายสู่ตลาดตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ฝ่ายอิหร่านประสงค์เชิญผู้เชี่ยวชาญประมงไปให้คำแนะนำและอบรมให้ความรู้ด้านโรคกุ้ง      

พร้อมทั้งยังได้เชิญชวนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะจากภาคอุตสาหกรรมปศุสัตว์และประมงมาลงทุนในทางตอนใต้ของอิหร่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ พร้อมเน้นย้ำให้อิหร่านทราบว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งมั่นที่จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก ครอบคลุมผลิตภัณฑ์และอาหารฮาลาลที่เป็นไปตามมาตรฐานของประเทศผู้นำเข้าต่าง ๆ ทั้งนี้ รมช.อามินทร์ ได้เชิญชวนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ อิหร่าน เอกอัครราชทูตฯ เข้าร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 อีกด้วย

“อนุทิน” แจงผลคุย “ทรัมป์” ย้ำกัมพูชาละเมิดข้อตกลงก่อน ไทยจำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย แนะอยากให้หยุดยิงต้องคุยเขมรก่อน เผยข่าวดี ผู้นำสหรัฐฯ ยันเหตุปะทะไม่เกี่ยวเจรจาภาษี

ทำเนียบรัฐบาล, วันที่ 12 ธันวาคม – นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงภายหลังหารือทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถึงสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี โดยฝ่ายสหรัฐแสดงความห่วงใยและต้องการให้สถานการณ์กลับไปอยู่ภายใต้กรอบ “ปฏิญญาร่วมสันติภาพ” ที่เคยลงนามกันไว้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

นายอนุทินระบุว่า ได้ยืนยันกับประธานาธิบดีสหรัฐอย่างชัดเจนว่า ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงและปฏิญญาดังกล่าวมาโดยตลอด ไม่เคยละเมิดเงื่อนไขใด แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงก่อน ทั้งการไม่ถอนกำลัง การยั่วยุ และการกระทำที่นำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิต อวัยวะ และทรัพย์สินของฝ่ายไทย ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ไทยมีความจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย ดินแดน และชีวิตของประชาชนตามสิทธิอันชอบธรรม

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้อธิบายต่อผู้นำสหรัฐว่า การตอบโต้ของไทยไม่ใช่การรุกราน แต่เป็นการป้องกันตนเอง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ว่าไม่สามารถกระทำต่อประเทศไทยได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ พร้อมย้ำว่า การรับฟังข้อมูลควรต้องรับฟังจากฝ่ายที่ถูกกระทำด้วย ไม่ใช่เพียงข้อมูลฝ่ายเดียว

สำหรับข้อเสนอให้หยุดยิง นายอนุทินระบุว่า ได้บอกกับประธานาธิบดีทรัมป์ตรงไปตรงมาว่า หากต้องการให้สถานการณ์คลี่คลาย สหรัฐควรสื่อสารไปยังฝ่ายกัมพูชาให้ประกาศหยุดยิงอย่างชัดเจน ถอนกำลังออกจากพื้นที่ และยุติการวางวัตถุระเบิด โดยต้องแสดงให้ประชาคมโลกเห็นอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงการเรียกร้องให้หยุดยิงฝ่ายเดียว ขณะที่ประเทศไทยไม่เคยมีความประสงค์จะได้ดินแดนหรือทรัพยากรใดจากประเทศเพื่อนบ้าน

นายอนุทินยังย้ำว่า ประเด็นการเมืองภายในประเทศหรือการเลือกตั้ง ไม่ควรถูกนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความมั่นคงชายแดน เนื่องจากขณะนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกป้องชีวิตของทหารและประชาชนไทย โดยยืนยันว่าเรื่องการเมืองไม่มีความสำคัญเท่ากับชีวิตของคนไทยแม้แต่คนเดียว

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยสามารถประสานงานกับฝ่ายสหรัฐได้ตลอดเวลา และเปิดช่องให้ติดต่อโดยตรงได้หากจำเป็น อย่างไรก็ตาม นายอนุทินระบุว่า ประเทศไทยยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ และกระทรวงการต่างประเทศของไทยมีการสื่อสารกับฝ่ายสหรัฐในหลายระดับอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลยืนยันยึดมั่นกฎหมายและกติกาสากล ไม่เคยละเมิดสัญญาหรืออธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันได้หารือร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพและปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน และพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายและเป็นประโยชน์ต่อประเทศสูงสุด

ด้านประเด็นภาษีการค้า ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดน และเตรียมเร่งรัดเรื่องดังกล่าวหลังจากติดค้างมาระยะหนึ่ง

“อนุทิน” แจงผลคุย “ทรัมป์” ย้ำไทยถูกกัมพูชาละเมิดข้อตกลง จำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย แนะคุยคู่ขัดแย้งหยุดยิงไทย เผยข่าวดี ผู้นำสหรัฐฯ พร้อมเร่งรัดกระบวนการขอลดภาษี

วันที่ 12 ธันวาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงภายหลังหารือทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถึงสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี โดยฝ่ายสหรัฐแสดงความห่วงใยและต้องการให้สถานการณ์กลับไปอยู่ภายใต้กรอบ “ปฏิญญาร่วมสันติภาพ” ที่เคยลงนามกันไว้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

นายอนุทิน ระบุว่า ได้ยืนยันกับประธานาธิบดีสหรัฐอย่างชัดเจนว่า ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงและปฏิญญาดังกล่าวมาโดยตลอด ไม่เคยละเมิดเงื่อนไขใด แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงก่อน ทั้งการไม่ถอนกำลัง การยั่วยุ และการกระทำที่นำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิต อวัยวะ และทรัพย์สินของฝ่ายไทย ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ไทยมีความจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย ดินแดน และชีวิตของประชาชนตามสิทธิอันชอบธรรม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้อธิบายต่อผู้นำสหรัฐว่า การตอบโต้ของไทยไม่ใช่การรุกราน แต่เป็นการป้องกันตนเอง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ว่าไม่สามารถกระทำต่อประเทศไทยได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ พร้อมย้ำว่า การรับฟังข้อมูลควรต้องรับฟังจากฝ่ายที่ถูกกระทำด้วย ไม่ใช่เพียงข้อมูลฝ่ายเดียวสำหรับข้อเสนอให้หยุดยิง

นายอนุทิน ระบุว่า ได้บอกกับประธานาธิบดีทรัมป์ตรงไปตรงมาว่า หากต้องการให้สถานการณ์คลี่คลาย สหรัฐควรสื่อสารไปยังฝ่ายกัมพูชาให้ประกาศหยุดยิงอย่างชัดเจน ถอนกำลังออกจากพื้นที่ และยุติการวางวัตถุระเบิด โดยต้องแสดงให้ประชาคมโลกเห็นอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงการเรียกร้องให้หยุดยิงฝ่ายเดียว ขณะที่ประเทศไทยไม่เคยมีความประสงค์จะได้ดินแดนหรือทรัพยากรใดจากประเทศเพื่อนบ้าน

นายอนุทิน ยังย้ำว่า ประเด็นการเมืองภายในประเทศหรือการเลือกตั้ง ไม่ควรถูกนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความมั่นคงชายแดน เนื่องจากขณะนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกป้องชีวิตของทหารและประชาชนไทย โดยยืนยันว่าเรื่องการเมืองไม่มีความสำคัญเท่ากับชีวิตของคนไทยแม้แต่คนเดียว ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยสามารถประสานงานกับฝ่ายสหรัฐได้ตลอดเวลา และเปิดช่องให้ติดต่อโดยตรงได้หากจำเป็น

อย่างไรก็ตาม นายอนุทิน ระบุว่า ประเทศไทยยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ และกระทรวงการต่างประเทศของไทยมีการสื่อสารกับฝ่ายสหรัฐในหลายระดับอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลยืนยันยึดมั่นกฎหมายและกติกาสากล ไม่เคยละเมิดสัญญาหรืออธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันได้หารือร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพและปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน และพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายและเป็นประโยชน์ต่อประเทศสูงสุดด้านประเด็นภาษีการค้า

นายอนุทิน เผยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดน และเตรียมเร่งรัดเรื่องดังกล่าวหลังจากติดค้างมาระยะหนึ่ง

ศอ.บต. ร่วมประชุมขับเคลื่อนพัฒนา-แก้ปัญหา จ.นราธิวาส เตรียมจัด 2 งานยักษ์รับปีใหม่ หวังกระตุ้น ศก.

ที่จังหวัดนราธิวาส, วันที่ 12 ธ.ค. – น.อ.จักรพงษ์ อภิมหาธรรม. ผู้อำนวยการ กองบริหารยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กบย.) ผู้แทน ศอ.บต. ร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการพัฒนา และแก้ไขปัญหาจังหวัดนราธิวาสอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมฯ ผ่านระบบออนไลน์ และมีผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ,หัวหน้าส่วนราชการ  ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมด้วย ที่ศาลากลางจังหวัด

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ดำเนินการขึ้นเพื่อกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสในด้านต่างๆ อาทิ ปัญหาด้านที่ดินทำกิน การพัฒนาอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต การท่องเที่ยวและกีฬา การบริหารจัดการน้ำ และด้านการศึกษา เพื่อเร่งรัดดำเนินการแก้ไข ปัญหาอุปสรรคในเชิงบูรณาการทางกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ

นายอามินทร์ กล่าวว่า ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มุ่งขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดนราธิวาส และพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม อย่างยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ โดยเรื่องสำคัญขณะนี้ คือ เรื่องเงินเยียวยาจากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา ครอบครัวละ 9,000 บาท กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหายและประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่น ดำเนินงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนและเกษตรกร นอกจากนี้ให้เร่งประชาสัมพันธ์การจัดงานกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 Amazing Thailand Su-ngaikolok Countdown 2026 ซึ่งกำหนดจัดระหว่างวันที่ 28-31 ธันวาคม 2568 ณ บริเวณสวนสิรินธร  อ.สุไหงโกลก

รวมถึงกิจกรรมงานวิ่งแสงแรก KOH YAO RUN BEACH ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 – 1 มกราคม 2569 ณ ชุมชนบ้านเกาะยาว อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส เพื่อสร้างการรับรู้และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ กระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง  อีกทั้งได้เน้นย้ำผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ให้เร่งบูรณาการขับเคลื่อนประเด็นที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการฯ เพื่อขับเคลื่อนงานในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ศูนย์​ ACSC ตัดวงจรมิจฉาชีพ ช่วยผู้สูงวัย 76 ปีทันก่อนขายทองโอนเงิน

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์​ (ACSC) ระงับความเสียหายทันท่วงที เข้าช่วยเหลือเหยื่อวัย76 ปีหวิดเสียทรัพย์ หลังถูกมิจฉาชีพลวงขายสร้อยทอง-แหวนเพชร อ้างโอนตรวจสอบคดีฟอกเงิน

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์
รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดข้อมูลการเข้าช่วยเหลือเหยื่อ ในวันที่ 11-12 ธ.ค.68 โดยพบว่ามีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) เกี่ยวกับแผนประทุษกรรมของคนร้ายโดยพบว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงเป็นเรื่องของการโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมข่มขู่ว่าผู้เสียหายเกี่ยวข้องการกระทำความผิด ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว ยอมแอดไลน์เจ้าหน้าที่ตำรวจปลอม พร้อมทั้งยอมโอนเงินและทรัพย์สินไปให้ตรวจสอบ ก่อนจะมารู้ภายหลังว่าเป็นกลลวงมิจฉาชีพ

ซึ่งศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) สามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที โดยเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด 4 เคส และเราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมด 4 รายเช่นกัน คิดเป็นจำนวนเงิน 510,000 บาท นอกจากนี้ยังสามารถจับกุมได้ 1 คดี ผลงานของศปอส.ภ.4 ที่เข้าทลายฟาร์มบัญชีม้าในพื้นที่จ.สกลนคร จับกุม 17 ผู้ต้องหา

สำหรับเคสที่น่าสนใจ เจ้าหน้าที่ warroom ศูนย์ ACSC ประสานเจ้าหน้าที่ ศปอส.ภ.5 เข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นชาย อายุ 76 ปี หลังรับสายมิจฉาชีพอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ บริษัท เอไอเอสฯ แจ้งว่าเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน และให้แอดไลน์ ชื่อไลน์ “สถานีตำรวจภูธรเมืองอ่างทอง”(ของปลอม) ก่อนจะแจ้งว่า ผู้เสียหายมีหมายจับให้โอนทรัพย์สินทั้งหมดไปให้เพื่อตรวจสอบ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงเตรียมสร้อยพระเลี่ยมทอง จำนวน 1 เส้น, ตุ้มหูเพชร 1 คู่ และแหวนทองเพชร จำนวน 2 วง มูลค่ารวม 165,500 บาท พร้อมเดินทางไปร้านทอง ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ เพื่อที่จะนำไปขายและโอนเงินให้แก่คนร้าย ซึ่งระหว่างเดินทางคนร้ายได้วิดีโอคอลติดตามความเคลื่อนไหวของผู้เสียหายโดยตลอด ซึ่งทันที่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเรื่อง รีบติดตามตัวผู้เสียหายก่อนจะไปพบที่ชั้น 3 ภายในห้างสรรพสินค้าดังกล่าว จึงเข้าแสดงตัว พร้อมแจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่ากำลังถูกมิจฉาชีพหลอก ให้หยุดการกระทำดังกล่าว เป็นการระงับ ยับยั้งความเสียหายได้อย่างทันท่วงที ซึ่งในระหว่างนั้นคนร้ายก็ยังมีการโทรและวิดีโอคอลเข้ามาหาผู้เสียหายอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้บันทึกหลักฐาน ก่อนพาผู้เสียหายไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมและรวบรวมเบอร์โทรศัพท์ทั้งหมดเพื่อใช้ในการสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่ายมิจฉาชีพต่อไป

เคสที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน เข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นหญิง อายุ 18 ปี ถูกมิจฉาชีพวิดีโอคอลผ่านไลน์ข่มขู่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ปปง. แจ้งว่าผู้เสียหายเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ต้องโอนเงินเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเข้าบัญชีคนร้าย มูลค่าความเสียหายรวม 1,459,126 บาท

เคสที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุตรดิตถ์ เข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นชาย อายุ 64 ปี ถูกมิจฉาชีพโทรศัพท์เข้ามาลวงเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต แจ้งว่ามีหนังสือตรวจสอบผู้รับประโยชน์แล้วจะคุ้มครองเงินฝาก โดยให้แอดไลน์พร้อมแจ้งให้ติดตั้งแอปพลิเคชันกรมสรรพสามิต จากนั้นให้ทำตามขั้นตอนจนสิ้นเสร็จแล้วทำการสแกนใบหน้า ก่อนเงินจะถูกโอนออกจากบัญชีผู้เสียหาย มูลค่าความเสียหายรวม 201,910 บาท

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ขอเตือนภัยและยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วย จะไม่โทรศัพท์หาประชาชน เพื่อแจ้งข้อหาหรือการกระทำความผิด ,ไม่ส่งหมายเรียก หมายจับ หรือเอกสารทางราชการใดๆทางไลน์ , ไม่วิดีโอคอลสอบปากคำทางไลน์ และสำคัญที่สุดจะไม่ให้โอนเงินหรือทรัพย์สินมาให้ตรวจสอบเป็นอันขาด ดังนั้นหากประชาชนพบพฤติกรรมลักษณะดังกล่าว นั่นคือเป็นมิจฉาชีพ ขอให้ประชาชนตั้งสติ อย่าหลงเชื่อ และอย่าโอนเงินหรือทำธุรกรรมใดๆเด็ดขาด

“เอื้องม้าวิ่ง”เสน่ห์กล้วยไม้ป่าบานกลางผืนหินแห่งทุ่งค่าย

ท่ามกลางโขดหินและความชุ่มชื้นของผืนป่า “เอื้องม้าวิ่ง” กล้วยไม้ป่าสีม่วงอ่อน เผยความงดงามตามธรรมชาติในสวนพฤกษศาสตร์ทุ่งค่าย จังหวัดตรัง สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าไทย

กล้วยไม้งามแห่งผืนป่าและก้อนหิน
บนผืนป่าที่โอบล้อมด้วยความชื้นและอากาศเย็น โดยเฉพาะบริเวณโขดหินและลานหินธรรมชาติ “เอื้องม้าวิ่ง” หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ กล้วยไม้ม้าวิ่ง ยืนหยัดเติบโตอย่างสง่างาม เป็นหนึ่งในกล้วยไม้ดินที่พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย

เอื้องม้าวิ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น กล้วยไม้ดิน ในพื้นที่ชุมพรและนราธิวาส, กล้วยหิน ที่จังหวัดตราด, แดงอุบล ในกรุงเทพมหานคร รวมถึง ละเม็ด และ หญ้าดอกหิน ในจังหวัดเลย ชื่อที่หลากหลายเหล่านี้สะท้อนถึงความผูกพันระหว่างพืชป่ากับวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละพื้นที่

จุดเด่นของเอื้องม้าวิ่งอยู่ที่ดอกสีม่วงละมุน ออกเป็นช่อเหนือกอใบเขียวสด ขึ้นแซมตามซอกหินในป่าดิบเขา หรือแม้แต่บนหาดทรายตามป่าชายหาด แสดงถึงความสามารถในการปรับตัวของพืชชนิดนี้ได้อย่างน่าทึ่ง

เมื่อฤดูฝนมาเยือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป เอื้องม้าวิ่งจะเริ่มแทงช่อดอก และบานต่อเนื่องยาวนานจนถึงราวเดือนพฤศจิกายน เติมสีสันให้ผืนป่าและภูเขาสูง กลายเป็นช่วงเวลาที่ธรรมชาติแสดงความงดงามอย่างเต็มเปี่ยม

สวนพฤกษศาสตร์ทุ่งค่าย จังหวัดตรัง คือหนึ่งในแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติที่ยังคงรักษาเอื้องม้าวิ่งไว้ในสภาพแวดล้อมดั้งเดิม ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความงามของกล้วยไม้ป่าหายาก พร้อมตระหนักถึงคุณค่าของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย

ที่มา : สวนพฤกษศาสตร์ทุ่งค่าย จ.ตรัง