“อนุทิน” แจงผลคุย “ทรัมป์” ย้ำกัมพูชาละเมิดข้อตกลงก่อน ไทยจำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย แนะอยากให้หยุดยิงต้องคุยเขมรก่อน เผยข่าวดี ผู้นำสหรัฐฯ ยันเหตุปะทะไม่เกี่ยวเจรจาภาษี

ทำเนียบรัฐบาล, วันที่ 12 ธันวาคม – นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงภายหลังหารือทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถึงสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี โดยฝ่ายสหรัฐแสดงความห่วงใยและต้องการให้สถานการณ์กลับไปอยู่ภายใต้กรอบ “ปฏิญญาร่วมสันติภาพ” ที่เคยลงนามกันไว้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

นายอนุทินระบุว่า ได้ยืนยันกับประธานาธิบดีสหรัฐอย่างชัดเจนว่า ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงและปฏิญญาดังกล่าวมาโดยตลอด ไม่เคยละเมิดเงื่อนไขใด แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงก่อน ทั้งการไม่ถอนกำลัง การยั่วยุ และการกระทำที่นำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิต อวัยวะ และทรัพย์สินของฝ่ายไทย ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ไทยมีความจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย ดินแดน และชีวิตของประชาชนตามสิทธิอันชอบธรรม

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้อธิบายต่อผู้นำสหรัฐว่า การตอบโต้ของไทยไม่ใช่การรุกราน แต่เป็นการป้องกันตนเอง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ว่าไม่สามารถกระทำต่อประเทศไทยได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ พร้อมย้ำว่า การรับฟังข้อมูลควรต้องรับฟังจากฝ่ายที่ถูกกระทำด้วย ไม่ใช่เพียงข้อมูลฝ่ายเดียว

สำหรับข้อเสนอให้หยุดยิง นายอนุทินระบุว่า ได้บอกกับประธานาธิบดีทรัมป์ตรงไปตรงมาว่า หากต้องการให้สถานการณ์คลี่คลาย สหรัฐควรสื่อสารไปยังฝ่ายกัมพูชาให้ประกาศหยุดยิงอย่างชัดเจน ถอนกำลังออกจากพื้นที่ และยุติการวางวัตถุระเบิด โดยต้องแสดงให้ประชาคมโลกเห็นอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงการเรียกร้องให้หยุดยิงฝ่ายเดียว ขณะที่ประเทศไทยไม่เคยมีความประสงค์จะได้ดินแดนหรือทรัพยากรใดจากประเทศเพื่อนบ้าน

นายอนุทินยังย้ำว่า ประเด็นการเมืองภายในประเทศหรือการเลือกตั้ง ไม่ควรถูกนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความมั่นคงชายแดน เนื่องจากขณะนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกป้องชีวิตของทหารและประชาชนไทย โดยยืนยันว่าเรื่องการเมืองไม่มีความสำคัญเท่ากับชีวิตของคนไทยแม้แต่คนเดียว

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยสามารถประสานงานกับฝ่ายสหรัฐได้ตลอดเวลา และเปิดช่องให้ติดต่อโดยตรงได้หากจำเป็น อย่างไรก็ตาม นายอนุทินระบุว่า ประเทศไทยยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ และกระทรวงการต่างประเทศของไทยมีการสื่อสารกับฝ่ายสหรัฐในหลายระดับอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลยืนยันยึดมั่นกฎหมายและกติกาสากล ไม่เคยละเมิดสัญญาหรืออธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันได้หารือร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพและปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน และพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายและเป็นประโยชน์ต่อประเทศสูงสุด

ด้านประเด็นภาษีการค้า ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดน และเตรียมเร่งรัดเรื่องดังกล่าวหลังจากติดค้างมาระยะหนึ่ง

“อนุทิน” แจงผลคุย “ทรัมป์” ย้ำไทยถูกกัมพูชาละเมิดข้อตกลง จำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย แนะคุยคู่ขัดแย้งหยุดยิงไทย เผยข่าวดี ผู้นำสหรัฐฯ พร้อมเร่งรัดกระบวนการขอลดภาษี

วันที่ 12 ธันวาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงภายหลังหารือทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถึงสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี โดยฝ่ายสหรัฐแสดงความห่วงใยและต้องการให้สถานการณ์กลับไปอยู่ภายใต้กรอบ “ปฏิญญาร่วมสันติภาพ” ที่เคยลงนามกันไว้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

นายอนุทิน ระบุว่า ได้ยืนยันกับประธานาธิบดีสหรัฐอย่างชัดเจนว่า ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงและปฏิญญาดังกล่าวมาโดยตลอด ไม่เคยละเมิดเงื่อนไขใด แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงก่อน ทั้งการไม่ถอนกำลัง การยั่วยุ และการกระทำที่นำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิต อวัยวะ และทรัพย์สินของฝ่ายไทย ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ไทยมีความจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย ดินแดน และชีวิตของประชาชนตามสิทธิอันชอบธรรม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้อธิบายต่อผู้นำสหรัฐว่า การตอบโต้ของไทยไม่ใช่การรุกราน แต่เป็นการป้องกันตนเอง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ว่าไม่สามารถกระทำต่อประเทศไทยได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ พร้อมย้ำว่า การรับฟังข้อมูลควรต้องรับฟังจากฝ่ายที่ถูกกระทำด้วย ไม่ใช่เพียงข้อมูลฝ่ายเดียวสำหรับข้อเสนอให้หยุดยิง

นายอนุทิน ระบุว่า ได้บอกกับประธานาธิบดีทรัมป์ตรงไปตรงมาว่า หากต้องการให้สถานการณ์คลี่คลาย สหรัฐควรสื่อสารไปยังฝ่ายกัมพูชาให้ประกาศหยุดยิงอย่างชัดเจน ถอนกำลังออกจากพื้นที่ และยุติการวางวัตถุระเบิด โดยต้องแสดงให้ประชาคมโลกเห็นอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงการเรียกร้องให้หยุดยิงฝ่ายเดียว ขณะที่ประเทศไทยไม่เคยมีความประสงค์จะได้ดินแดนหรือทรัพยากรใดจากประเทศเพื่อนบ้าน

นายอนุทิน ยังย้ำว่า ประเด็นการเมืองภายในประเทศหรือการเลือกตั้ง ไม่ควรถูกนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความมั่นคงชายแดน เนื่องจากขณะนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกป้องชีวิตของทหารและประชาชนไทย โดยยืนยันว่าเรื่องการเมืองไม่มีความสำคัญเท่ากับชีวิตของคนไทยแม้แต่คนเดียว ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยสามารถประสานงานกับฝ่ายสหรัฐได้ตลอดเวลา และเปิดช่องให้ติดต่อโดยตรงได้หากจำเป็น

อย่างไรก็ตาม นายอนุทิน ระบุว่า ประเทศไทยยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ และกระทรวงการต่างประเทศของไทยมีการสื่อสารกับฝ่ายสหรัฐในหลายระดับอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลยืนยันยึดมั่นกฎหมายและกติกาสากล ไม่เคยละเมิดสัญญาหรืออธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันได้หารือร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพและปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน และพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายและเป็นประโยชน์ต่อประเทศสูงสุดด้านประเด็นภาษีการค้า

นายอนุทิน เผยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดน และเตรียมเร่งรัดเรื่องดังกล่าวหลังจากติดค้างมาระยะหนึ่ง

ศอ.บต. ร่วมประชุมขับเคลื่อนพัฒนา-แก้ปัญหา จ.นราธิวาส เตรียมจัด 2 งานยักษ์รับปีใหม่ หวังกระตุ้น ศก.

ที่จังหวัดนราธิวาส, วันที่ 12 ธ.ค. – น.อ.จักรพงษ์ อภิมหาธรรม. ผู้อำนวยการ กองบริหารยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กบย.) ผู้แทน ศอ.บต. ร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการพัฒนา และแก้ไขปัญหาจังหวัดนราธิวาสอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมฯ ผ่านระบบออนไลน์ และมีผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ,หัวหน้าส่วนราชการ  ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมด้วย ที่ศาลากลางจังหวัด

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ดำเนินการขึ้นเพื่อกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสในด้านต่างๆ อาทิ ปัญหาด้านที่ดินทำกิน การพัฒนาอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต การท่องเที่ยวและกีฬา การบริหารจัดการน้ำ และด้านการศึกษา เพื่อเร่งรัดดำเนินการแก้ไข ปัญหาอุปสรรคในเชิงบูรณาการทางกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ

นายอามินทร์ กล่าวว่า ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มุ่งขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดนราธิวาส และพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม อย่างยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ โดยเรื่องสำคัญขณะนี้ คือ เรื่องเงินเยียวยาจากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา ครอบครัวละ 9,000 บาท กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหายและประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่น ดำเนินงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนและเกษตรกร นอกจากนี้ให้เร่งประชาสัมพันธ์การจัดงานกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 Amazing Thailand Su-ngaikolok Countdown 2026 ซึ่งกำหนดจัดระหว่างวันที่ 28-31 ธันวาคม 2568 ณ บริเวณสวนสิรินธร  อ.สุไหงโกลก

รวมถึงกิจกรรมงานวิ่งแสงแรก KOH YAO RUN BEACH ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 – 1 มกราคม 2569 ณ ชุมชนบ้านเกาะยาว อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส เพื่อสร้างการรับรู้และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ กระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง  อีกทั้งได้เน้นย้ำผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ให้เร่งบูรณาการขับเคลื่อนประเด็นที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการฯ เพื่อขับเคลื่อนงานในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ศูนย์​ ACSC ตัดวงจรมิจฉาชีพ ช่วยผู้สูงวัย 76 ปีทันก่อนขายทองโอนเงิน

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์​ (ACSC) ระงับความเสียหายทันท่วงที เข้าช่วยเหลือเหยื่อวัย76 ปีหวิดเสียทรัพย์ หลังถูกมิจฉาชีพลวงขายสร้อยทอง-แหวนเพชร อ้างโอนตรวจสอบคดีฟอกเงิน

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์
รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดข้อมูลการเข้าช่วยเหลือเหยื่อ ในวันที่ 11-12 ธ.ค.68 โดยพบว่ามีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) เกี่ยวกับแผนประทุษกรรมของคนร้ายโดยพบว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงเป็นเรื่องของการโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมข่มขู่ว่าผู้เสียหายเกี่ยวข้องการกระทำความผิด ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว ยอมแอดไลน์เจ้าหน้าที่ตำรวจปลอม พร้อมทั้งยอมโอนเงินและทรัพย์สินไปให้ตรวจสอบ ก่อนจะมารู้ภายหลังว่าเป็นกลลวงมิจฉาชีพ

ซึ่งศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) สามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที โดยเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด 4 เคส และเราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมด 4 รายเช่นกัน คิดเป็นจำนวนเงิน 510,000 บาท นอกจากนี้ยังสามารถจับกุมได้ 1 คดี ผลงานของศปอส.ภ.4 ที่เข้าทลายฟาร์มบัญชีม้าในพื้นที่จ.สกลนคร จับกุม 17 ผู้ต้องหา

สำหรับเคสที่น่าสนใจ เจ้าหน้าที่ warroom ศูนย์ ACSC ประสานเจ้าหน้าที่ ศปอส.ภ.5 เข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นชาย อายุ 76 ปี หลังรับสายมิจฉาชีพอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ บริษัท เอไอเอสฯ แจ้งว่าเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน และให้แอดไลน์ ชื่อไลน์ “สถานีตำรวจภูธรเมืองอ่างทอง”(ของปลอม) ก่อนจะแจ้งว่า ผู้เสียหายมีหมายจับให้โอนทรัพย์สินทั้งหมดไปให้เพื่อตรวจสอบ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงเตรียมสร้อยพระเลี่ยมทอง จำนวน 1 เส้น, ตุ้มหูเพชร 1 คู่ และแหวนทองเพชร จำนวน 2 วง มูลค่ารวม 165,500 บาท พร้อมเดินทางไปร้านทอง ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ เพื่อที่จะนำไปขายและโอนเงินให้แก่คนร้าย ซึ่งระหว่างเดินทางคนร้ายได้วิดีโอคอลติดตามความเคลื่อนไหวของผู้เสียหายโดยตลอด ซึ่งทันที่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเรื่อง รีบติดตามตัวผู้เสียหายก่อนจะไปพบที่ชั้น 3 ภายในห้างสรรพสินค้าดังกล่าว จึงเข้าแสดงตัว พร้อมแจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่ากำลังถูกมิจฉาชีพหลอก ให้หยุดการกระทำดังกล่าว เป็นการระงับ ยับยั้งความเสียหายได้อย่างทันท่วงที ซึ่งในระหว่างนั้นคนร้ายก็ยังมีการโทรและวิดีโอคอลเข้ามาหาผู้เสียหายอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้บันทึกหลักฐาน ก่อนพาผู้เสียหายไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมและรวบรวมเบอร์โทรศัพท์ทั้งหมดเพื่อใช้ในการสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่ายมิจฉาชีพต่อไป

เคสที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน เข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นหญิง อายุ 18 ปี ถูกมิจฉาชีพวิดีโอคอลผ่านไลน์ข่มขู่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ปปง. แจ้งว่าผู้เสียหายเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ต้องโอนเงินเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเข้าบัญชีคนร้าย มูลค่าความเสียหายรวม 1,459,126 บาท

เคสที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุตรดิตถ์ เข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นชาย อายุ 64 ปี ถูกมิจฉาชีพโทรศัพท์เข้ามาลวงเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต แจ้งว่ามีหนังสือตรวจสอบผู้รับประโยชน์แล้วจะคุ้มครองเงินฝาก โดยให้แอดไลน์พร้อมแจ้งให้ติดตั้งแอปพลิเคชันกรมสรรพสามิต จากนั้นให้ทำตามขั้นตอนจนสิ้นเสร็จแล้วทำการสแกนใบหน้า ก่อนเงินจะถูกโอนออกจากบัญชีผู้เสียหาย มูลค่าความเสียหายรวม 201,910 บาท

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ขอเตือนภัยและยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วย จะไม่โทรศัพท์หาประชาชน เพื่อแจ้งข้อหาหรือการกระทำความผิด ,ไม่ส่งหมายเรียก หมายจับ หรือเอกสารทางราชการใดๆทางไลน์ , ไม่วิดีโอคอลสอบปากคำทางไลน์ และสำคัญที่สุดจะไม่ให้โอนเงินหรือทรัพย์สินมาให้ตรวจสอบเป็นอันขาด ดังนั้นหากประชาชนพบพฤติกรรมลักษณะดังกล่าว นั่นคือเป็นมิจฉาชีพ ขอให้ประชาชนตั้งสติ อย่าหลงเชื่อ และอย่าโอนเงินหรือทำธุรกรรมใดๆเด็ดขาด

“เอื้องม้าวิ่ง”เสน่ห์กล้วยไม้ป่าบานกลางผืนหินแห่งทุ่งค่าย

ท่ามกลางโขดหินและความชุ่มชื้นของผืนป่า “เอื้องม้าวิ่ง” กล้วยไม้ป่าสีม่วงอ่อน เผยความงดงามตามธรรมชาติในสวนพฤกษศาสตร์ทุ่งค่าย จังหวัดตรัง สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าไทย

กล้วยไม้งามแห่งผืนป่าและก้อนหิน
บนผืนป่าที่โอบล้อมด้วยความชื้นและอากาศเย็น โดยเฉพาะบริเวณโขดหินและลานหินธรรมชาติ “เอื้องม้าวิ่ง” หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ กล้วยไม้ม้าวิ่ง ยืนหยัดเติบโตอย่างสง่างาม เป็นหนึ่งในกล้วยไม้ดินที่พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย

เอื้องม้าวิ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น กล้วยไม้ดิน ในพื้นที่ชุมพรและนราธิวาส, กล้วยหิน ที่จังหวัดตราด, แดงอุบล ในกรุงเทพมหานคร รวมถึง ละเม็ด และ หญ้าดอกหิน ในจังหวัดเลย ชื่อที่หลากหลายเหล่านี้สะท้อนถึงความผูกพันระหว่างพืชป่ากับวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละพื้นที่

จุดเด่นของเอื้องม้าวิ่งอยู่ที่ดอกสีม่วงละมุน ออกเป็นช่อเหนือกอใบเขียวสด ขึ้นแซมตามซอกหินในป่าดิบเขา หรือแม้แต่บนหาดทรายตามป่าชายหาด แสดงถึงความสามารถในการปรับตัวของพืชชนิดนี้ได้อย่างน่าทึ่ง

เมื่อฤดูฝนมาเยือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป เอื้องม้าวิ่งจะเริ่มแทงช่อดอก และบานต่อเนื่องยาวนานจนถึงราวเดือนพฤศจิกายน เติมสีสันให้ผืนป่าและภูเขาสูง กลายเป็นช่วงเวลาที่ธรรมชาติแสดงความงดงามอย่างเต็มเปี่ยม

สวนพฤกษศาสตร์ทุ่งค่าย จังหวัดตรัง คือหนึ่งในแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติที่ยังคงรักษาเอื้องม้าวิ่งไว้ในสภาพแวดล้อมดั้งเดิม ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความงามของกล้วยไม้ป่าหายาก พร้อมตระหนักถึงคุณค่าของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย

ที่มา : สวนพฤกษศาสตร์ทุ่งค่าย จ.ตรัง

ตม.บุกรวบเซียนพระจีน คาแผงพระดังย่านงามวงศ์วาน หลังพบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต

พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ขานรับนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ซึ่งได้กำชับให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย

วันที่ 12 ธ.ค.2568 เวลาประมาณ 13:00 น. พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ รอง ผบก.ตม.3 จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สุริยะ พ่วงสมบัติ ผกก.สส.บก.ตม.3 และ พ.ต.ท.ปิติพัฒน์ ศรีธนาอภินันท์ รอง ผกก.สส.บก.ตม.3 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สืบสวน นำโดย พ.ต.ท.จตุรโชค เพชรคง สว.กก.สส.บก.ตม.3 ลงพื้นที่ห้างสรรพสินค้าดังย่านงามวงศ์วาน

หลังได้รับเบาะแสว่า ภายในห้างดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมืองนนทบุรี จว.นนทบุรี มีชายชาวจีนลักลอบเปิดแผงขายพระเครื่อง โดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 ได้วางแผนกระจายกำลังเข้าตรวจสอบภายในพื้นที่เป้าหมาย และตรวจสอบแผงจำหน่ายพระเครื่องจำนวน 2 แผง โดยมีชาย ลักษณะคล้ายคนต่างด้าว รวม 3 คนประจำอยู่ที่แผงพระทั้งสองแผง มีการพูดคุยซื้อขายพระเครื่องอ้างตนเป็นเซียนพระ รับซื้อ–ขายพระเครื่อง รวมถึงกรอบพระเนื้อทองคำและเงิน อย่างเปิดเผย

เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจสอบเอกสารประจำตัวพบว่าเป็นคนสัญชาติจีน 2 ราย คือนายหมิง และ นายจาง (นามสมมติ) อายุ 35 และ 40 ปีตามลำดับได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชจักรชั่วคราว (ประเภทพำนักชั่วคราว 60 วัน ซึ่งออกให้เพื่อการท่องเที่ยวหรือการติดต่อธุรกิจเฉพาะกรณี) นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบแผงจำหน่ายพระเครื่องอีกแผงนึง พบคนขายเป็นคนจีนชื่อนายหวัง ซึ่งได้รับการตรวจลงตรา ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อศึกษาในสถานศึกษา ไม่มีใบอนุญาตทำงาน และยังพบลูกจ้างคนเมียนมาอีก 1 ราย ตรวจสอบหนังสือเดินทางทราบชื่อนายมินอู (นามสมมติ) อายุ 29 ปี อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ไม่มีเอกสารอนุญาตทำงาน เช่นเดียวกันในชั้นจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาคนจีนทั้ง 3 รายฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่จะทำได้” และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาชาวเมียนมา “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน, เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”

นอกจากนี้ในส่วนของนายหวัง เจ้าหน้าที่ยังได้แจ้งข้อกล่าวหา “เป็นนายจ้างรับบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน“ อีกฐานความผิดหนึ่งด้วยทก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่ง พนักงานสอบสวน สน.รัตนาธิเบศร์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.สุริยะฯ ฝากผู้สื่อข่าวย้ำเตือน ไปยังประชาชนและผู้ที่จะกระทำความผิดว่า การกระทำลักษณะข้างต้น เป็นความผิดฐานทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2561 มีอัตราโทษปรับตั้งแต่ 5,000 บาทถึง 50,000 บาท และหากเป็นนายจ้างจะต้องรับโทษฐานรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่รับอนุญาต ซึ่งจะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท และหลังจากถูกดำเนินคดีแล้วสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะใช้อำนาจในการพิจารณาลงบันทึกรายชื่อเป็นบุคคลต้องห้าม ตามกฏหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองต่อไป

ตร.รุกฆาต ‘ยานรก’ เปิดปฎิบัติการปิดล้อม 3,001 จุด ทั่วประเทศ ล่าขบวนการค้ายา ยึดทรัพย์อื้อกว่า 42 ล้านบาท​

ปฏิบัติการครั้งใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดยุทธการปิดล้อมตรวจค้นพร้อมกันทั่วประเทศ กวาดล้างเครือข่ายยาเสพติด 627 เครือข่าย จับผู้ต้องหาเกือบ 2,500 คน ยึดอาวุธ-ยาเสพติดจำนวนมาก พร้อมอายัดทรัพย์กว่า 42 ล้านบาท ตร.เชิญชวนประชาชนร่วมแจ้งเบาะแส สกัดวงจร “ยานรก” เพื่อสังคมปลอดภัยยั่งยืน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ศอ.ปส.ตร.)
ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด กำกับ ติดตาม เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ เพื่อลด Demand (ผู้เสพ) และ Supply (ผู้ค้า) ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยในด้านการปราบปรามยาเสพติด ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการปิดล้อม ตรวจค้นจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่แพร่ระบาด โดยเน้นการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ในหมู่บ้าน/ชุมชน อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยดำเนินการสืบสวนขยายผล เพื่อนำไปสู่การ ออกหมายจับข้อหาสมคบสนับสนุนฯ และข้อหาฟอกเงิน พร้อมทั้งขยายผลตรวจสอบเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องทุกราย

วันนี้ 12 ธ.ค.68 เวลา 06.00 น. หน่วยงานในสังกัด ตร. ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายนักค้ายาเสพติด เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด กวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่แพร่ระบาด รวมถึงการยึด และอายัดทรัพย์สินกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด

เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.สำราญ นวลมา รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. เป็นประธานในการประชุมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดทั่วประเทศ โดยมี บช.น., ภ.1 – 9 และ ปส. เข้าร่วมประชุม ซึ่งมีผลการปฏิบัติการ ดังนี้

ปิดล้อมตรวจค้น 3,001 จุด 627 เครือข่าย จับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติด 2,466 ราย ผู้ต้องหา 2,498 คน จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 131 หมาย ยึดของกลางยาบ้า 464,371 เม็ด ไอซ์ 12.973 กก., คีตามีน 0.322 กก., เฮโรอีน 0.886 กรัม, ยาอี 1,030 เม็ด, อาวุธปืน 90 กระบอก, เงินสด 260,529 บาท และอายัดทรัพย์สินกว่า 42,733,488 ล้านบาท โดยเป็นปฏิบัติการรุกฆาตยาเสพติดครั้งใหญ่ปฏิบัติการพร้อมทั่วประเทศ

ทั้งนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเชิญชวนประชาชนทุกคนร่วมแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด ได้ที่ สายด่วน 191 หรือที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน เพื่อช่วยกันปกป้องลูกหลานของเราให้ห่างไกลจาก “ยานรก” สร้างสังคมปลอดภัย และอนาคตที่มั่นคงให้ประเทศไทยอย่างยั่งยืน

กรมอนามัย เตือนฝุ่นและก๊าซรอบกองขยะหลังน้ำลดในพื้นที่หาดใหญ่ แนะผู้ปฏิบัติงาน–ประชาชน ป้องกันตนเองเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้เกิดขยะจำนวนมาก และขยะส่วนใหญ่ถูกนำไปไว้ที่จุดพักขยะชั่วคราวสะพานดำ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ลงพื้นที่ตรวจวัดคุณภาพอากาศเบื้องต้น เพื่อประเมินผลกระทบด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยที่อาจส่งผลต่อสุขภาพประชาชน

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ของทีม SEhRT ในการฟื้นฟูพื้นที่หาดใหญ่หลังน้ำท่วมและตรวจคุณภาพอากาศเบื้องต้นในพื้นที่โดยรอบจุดพักขยะชั่วคราวแยกสะพานดำ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2568 จำนวน 10 จุด พบว่า มีความเข้มข้นของค่าฝุ่น PM10 สูง ค่าเฉลี่ย 1 ชั่วโมง ถึง 2,840 µg/m³ ความเข้มข้นฝุ่น PM2.5 บางจุดเฉลี่ย 1 ชั่วโมง 38 µg/m³ และความเข้มข้นก๊าซแอมโมเนีย พบมีค่าสูงสุดที่ตรวจวัดได้ 16 ppm ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา จมูก คอ และระบบทางเดินหายใจ และพบกลิ่นขยะค่อนข้างแรง ทั้งนี้ การที่ค่าฝุ่นและก๊าซเหล่านี้สูง เกิดจากกองขยะที่นำมาสะสมจำนวนมาก ส่วนใหญ่ผสมกับดินโคลนที่แห้งหลังน้ำลด รวมถึงการเคลื่อนย้ายและกำจัดขยะที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายมากขึ้น ซึ่งทีม SEhRT ของกรมอนามัย ยังคงต้องเฝ้าระวังในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

“การสัมผัสฝุ่นและก๊าซเหล่านี้อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยฝุ่น PM 10 ส่งผลให้มีอาการไอ แสบคอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ผื่นคัน หรือการติดเชื้อผิวหนังจากสิ่งสกปรก ผู้ที่เป็นโรคทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ จะทำให้อาการกำเริบได้ อันตรายจากก๊าซแอมโมเนีย ส่งผลให้แสบตา แสบจมูก แสบคอ ไอ แน่นหน้าอก โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ โรคปอด และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานบริเวณกองขยะ พนักงานเก็บกวาด ควรต้องระวังเป็นพิเศษ” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

นายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมอนามัย จึงขอให้ประชาชนที่อยู่ใกล้จุดพักขยะชั่วคราวสะพานดำ และในรัศมี 100 เมตร และผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ดูแลและป้องกันสุขภาพตนเอง ดังนี้ 1) สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากาก N95 และแว่นตาเมื่ออยู่กลางแจ้งหรือใกล้กองขยะ 2) ดื่มน้ำสะอาดบ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 8–10 แก้ว เพื่อลดการระคายเคืองคอ 3) หลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกอาคาร หากไม่จำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง 4) หากมีอาการตาแดง ระคายเคืองตา ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำเกลือล้างตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หากมีผื่นคัน ให้รีบอาบน้ำและใช้ครีมบรรเทาอาการ 5) หากมีอาการไอ หายใจลำบาก ผื่นลุกลาม หรือแสบตารุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที สำหรับการดูแลบ้านเรือนหลังน้ำลด ให้ปิดประตู–หน้าต่างในช่วงกลางวันเพื่อลดฝุ่นเข้าบ้าน ทำความสะอาดภายในด้วยวิธีเช็ดถูด้วยผ้าชุบน้ำ หลีกเลี่ยงการกวาดที่ทำให้ฝุ่นฟุ้ง สวมหน้ากากเมื่อทำความสะอาดบ้าน เพื่อป้องกันฝุ่น เชื้อรา และเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อน สำหรับผู้ปฏิบัติงานเก็บขยะ/เคลียร์พื้นที่ต้องสวม PPE และหน้ากาก N95 ตลอดเวลาปฏิบัติงาน หลีกเลี่ยงการยืนเหนือลมกองขยะ หลังงานเสร็จควรรีบอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างมือและหน้าให้สะอาด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอแสบคอ แสบตา หรือผื่นคัน ให้หยุดงานและพบแพทย์

“กรมอนามัยขอเน้นย้ำว่า แม้น้ำจะลดลงแล้ว แต่อันตรายด้านสุขภาพจากฝุ่นและก๊าซรอบกองขยะยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ความเสี่ยงสูง เช่น จุดพักขยะชั่วคราวและพื้นที่ใกล้ชุมชน พร้อมขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนในช่วงฟื้นฟูหลังน้ำท่วม” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว

“รองแม่ทัพภาคที่ 2 เยี่ยมศูนย์พักพิงชั่วคราว ให้กำลังใจผู้อพยพจากภัยพิบัติฉุกเฉินชายแดน”

ตามที่ได้เกิดสถานการณ์ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนักต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและสิ่งสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ 4 จังหวัดตามแนวชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากต้องอพยพมาพักพิงในศูนย์พักพิงชั่วคราว

พลตรี วิทยา สะแกทอง รองแม่ทัพภาคที่ 2 เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนผู้อพยพที่พักอาศัย ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราว

การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่ต้องอพยพจากภัยพิบัติอย่างใกล้ชิด และมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่จำเป็น โดยได้มีการตรวจสอบความพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวก อาหาร น้ำดื่ม และการรักษาพยาบาล เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนทุกคนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ในโอกาสนี้ ได้กล่าวให้กำลังใจประชาชน กองทัพภาคที่ 2 และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เราจะทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่เพื่อดูแลความปลอดภัย จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในศูนย์พักพิงดูแลประชาชนอย่างอบอุ่น

การปฏิบัติในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของกองทัพและหน่วยงานภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองประชาชนอย่างเต็มกำลังในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างปลอดภัยในที่สุด

รอง ผบ.ตร.ตรวจเยี่ยมกำลังพล ตชด.พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำความพร้อมร่วมปกป้องอธิปไตย

รอง ผบ.ตร.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำลังพล ตชด. อุบลฯ มอบสิ่งของบำรุงขวัญ ย้ำตรวจความพร้อมอาวุธ–ยุทโธปกรณ์ รับมือสถานการณ์ชายแดน พร้อมห่วงใยสวัสดิการ และดูแลครอบครัวตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่และบาดเจ็บอย่างรอบด้าน

วันนี้ (12 ธันวาคม 2568) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.สำราญ นวลมา รอง ผบ.ตร. เดินทางตรวจเยี่ยมกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 จ.อุบลราชธานี มอบสิ่งของบำรุงขวัญให้แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัวในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์

จากนั้นเดินทางไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดน และทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ก่อนเดินทางมอบสิ่งของบำรุงขวัญ กก.ตชด.12 และกองร้อย ตชด.125

พล.ต.อ.สำราญฯ กำชับให้ ตชด. ซึ่งเป็นกองกำลังป้องกันชายแดน ตรวจสอบอาวุธ ยุทโธปกรณ์ของกำลังพลให้พร้อมใช้งาน สำรวจความต้องการเร่งด่วน โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมสนับสนุน เพื่อภารกิจร่วมปกป้องอธิปไตยไทย พร้อมแสดงความห่วงใยสิทธิและสวัสดิการของกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ หรือได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการดูแลครอบครัวของกำลังพล กำชับผู้บังคับบัญชา ให้ช่วยกันดูแลอย่างดีที่สุด