พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ขานรับนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ซึ่งได้กำชับให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย

วันที่ 12 ธ.ค.2568 เวลาประมาณ 13:00 น. พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ รอง ผบก.ตม.3 จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สุริยะ พ่วงสมบัติ ผกก.สส.บก.ตม.3 และ พ.ต.ท.ปิติพัฒน์ ศรีธนาอภินันท์ รอง ผกก.สส.บก.ตม.3 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สืบสวน นำโดย พ.ต.ท.จตุรโชค เพชรคง สว.กก.สส.บก.ตม.3 ลงพื้นที่ห้างสรรพสินค้าดังย่านงามวงศ์วาน

หลังได้รับเบาะแสว่า ภายในห้างดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมืองนนทบุรี จว.นนทบุรี มีชายชาวจีนลักลอบเปิดแผงขายพระเครื่อง โดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 ได้วางแผนกระจายกำลังเข้าตรวจสอบภายในพื้นที่เป้าหมาย และตรวจสอบแผงจำหน่ายพระเครื่องจำนวน 2 แผง โดยมีชาย ลักษณะคล้ายคนต่างด้าว รวม 3 คนประจำอยู่ที่แผงพระทั้งสองแผง มีการพูดคุยซื้อขายพระเครื่องอ้างตนเป็นเซียนพระ รับซื้อ–ขายพระเครื่อง รวมถึงกรอบพระเนื้อทองคำและเงิน อย่างเปิดเผย

เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจสอบเอกสารประจำตัวพบว่าเป็นคนสัญชาติจีน 2 ราย คือนายหมิง และ นายจาง (นามสมมติ) อายุ 35 และ 40 ปีตามลำดับได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชจักรชั่วคราว (ประเภทพำนักชั่วคราว 60 วัน ซึ่งออกให้เพื่อการท่องเที่ยวหรือการติดต่อธุรกิจเฉพาะกรณี) นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบแผงจำหน่ายพระเครื่องอีกแผงนึง พบคนขายเป็นคนจีนชื่อนายหวัง ซึ่งได้รับการตรวจลงตรา ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อศึกษาในสถานศึกษา ไม่มีใบอนุญาตทำงาน และยังพบลูกจ้างคนเมียนมาอีก 1 ราย ตรวจสอบหนังสือเดินทางทราบชื่อนายมินอู (นามสมมติ) อายุ 29 ปี อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ไม่มีเอกสารอนุญาตทำงาน เช่นเดียวกันในชั้นจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาคนจีนทั้ง 3 รายฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่จะทำได้” และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาชาวเมียนมา “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน, เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”
นอกจากนี้ในส่วนของนายหวัง เจ้าหน้าที่ยังได้แจ้งข้อกล่าวหา “เป็นนายจ้างรับบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน“ อีกฐานความผิดหนึ่งด้วยทก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่ง พนักงานสอบสวน สน.รัตนาธิเบศร์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.สุริยะฯ ฝากผู้สื่อข่าวย้ำเตือน ไปยังประชาชนและผู้ที่จะกระทำความผิดว่า การกระทำลักษณะข้างต้น เป็นความผิดฐานทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2561 มีอัตราโทษปรับตั้งแต่ 5,000 บาทถึง 50,000 บาท และหากเป็นนายจ้างจะต้องรับโทษฐานรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่รับอนุญาต ซึ่งจะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท และหลังจากถูกดำเนินคดีแล้วสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะใช้อำนาจในการพิจารณาลงบันทึกรายชื่อเป็นบุคคลต้องห้าม ตามกฏหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองต่อไป

