นัดฟังคำพิพากษาคดีสองนักปกป้องสิทธิฯ ธีรเนตร – จำนงค์ พีมูฟถูกฟ้องพ.ร.บ.ชุมนุม 28 ม.ค. 69 ปีหน้า หวังวาง ‘มาตรฐาน’ คุ้มครองสิทธิประชาชน ประธานพีมูฟยันชุมนุมสงบตามสิทธิ พร้อมเตรียมรณรงค์ยกเลิกพ.ร.บ.ชุมนุมฯ! ‘มรดกบาป คสช.’ ยืนกรานกฎหมายเกิดจาก ‘กระบวนการยึดอำนาจ’ ต้องยกเลิก ที่ปรึกษาพีมูฟ มั่นใจศาลรับฟังความจำเป็นในการเรียกร้องเรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน เผยรู้สึกดีกว่าคดีที่ผ่านมา หวังเปิดช่องทางสู้คดีให้กับประชาชนคนอื่นที่ถูกฟ้องในอนาคต

ความคืบหน้าคดีการชุมนุมของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ที่ศาลแขวงดุสิต วันนี้ (12 ธันวาคม 2568) ธีรเนตร ไชยสุวรรณ นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ประธานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) และกรรมการสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) พร้อมด้วย จำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาพีมูฟ และทีมทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) เดินทางเข้าสืบพยานจำเลยในคดีฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ฐานเป็นผู้จัดให้มีการชุมนุมฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุมนุมในรัศมี 50 เมตรรอบทำเนียบรัฐบาล
โดยวานนี้ (11 ธันวาคม 2568) เป็นการสืบพยานโจทก์ซึ่งมีอดีตรองผู้กำกับ สน.ดุสิต ผู้กล่าวหา, ชุดสืบสวนผู้รวบรวมหลักฐาน และพนักงานสอบสวนผู้จัดการเอกสารในคดีที่สั่งฟ้องธีรเนตรและจำนงค์เข้ามาให้ข้อมูล
ทนายชี้ คำสั่ง ตร. ขยายเขตห้ามชุมนุม 50 ม. ‘ไร้เหตุจำเป็น’ เหตุผู้ชุมนุมน้อย-สงบ!
นายทิตศาสตร์ สุดแสน ทนายความเปิดเผยภายหลังการสืบพยานจำเลยเสร็จสิ้นแล้วว่า วันนี้เป็นการนัดสืบพยานสำคัญ โดยมีคุณธีรเนตรและคุณจำนงค์ขึ้นเบิกความ และในช่วงบ่ายได้เชิญ อ.ดร.พัชร์ นิยมศิลป ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายเพื่อประชาชนคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาช่วยเบิกความเกี่ยวกับ มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ
ทนายความกล่าวว่า โดยรวมแล้วรู้สึกพอใจกับการสืบพยานในวันนี้ ซึ่งประเด็นหลักคือการพยายามพิสูจน์ว่ากรณีนี้ ไม่เข้าเงื่อนไขที่ต้องบังคับใช้ทางกฎหมาย ตามมาตรา 7 ดังกล่าว
ทิตศาสตร์ระบุเพิ่มเติมว่า ในบางช่วงของการชุมนุมอาจมีผู้ชุมนุมเข้าไปในเขต 50 เมตร ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศห้ามไว้จริง แต่ยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการ ใช้สิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นการชุมนุมโดย สงบและปราศจากอาวุธ
“เรามองว่าคำสั่งของตำรวจที่ออกมา 50 เมตรนั้น ไม่มีเหตุจำเป็น ที่จะต้องออก” ทนายความกล่าวและชี้ว่านอกจากเรื่องความปลอดภัยสาธารณะแล้ว การออกคำสั่งดังกล่าวต้องคำนึงถึง จำนวนผู้ชุมนุมและพฤติการณ์ ด้วย ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีจำนวนมาก และไม่ได้กระทำการรุนแรง
ทนายความเปิดเผยตัวเลขผู้ชุมนุมตามข้อเท็จจริงว่า แม้จะมีการแจ้งการชุมนุมไว้ที่ 500 คน แต่ในทางปฏิบัติมีผู้ร่วมชุมนุมเพียงบางวันอาจจะอยู่ที่ 50-60 คนเท่านั้น และบางครั้งอาจจะสูงถึงร้อยกว่าคน โดยผู้ชุมนุมส่วนใหญ่อยู่ในเขตที่กำหนดไว้ และมีเพียง แกนนำบางส่วน ที่ลงมาติดตามการทำงานที่ประตูข้างนอกเพื่อ แสดงสัญลักษณ์ และยื่นหนังสือ เพื่อติดตามความคืบหน้าของคณะอนุกรรมการที่รัฐตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้อง
นัดตัดสิน ม.ค. 69 หวังวาง ‘บรรทัดฐาน’ การชุมนุม
ทิตศาสตร์เปิดเผยกำหนดการนัดฟังคำพิพากษาในคดีนี้ โดยศาลได้กำหนดนัดในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2569 เวลา 09.00 น. ทนายความของกลุ่มพีมูฟแสดงความหวังว่า คดีนี้จะสามารถ วางมาตรฐาน ทางกฎหมายให้กับประชาชนและกลุ่มอื่น ๆ ในการใช้สิทธิชุมนุมสาธารณะต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดขอบเขตอำนาจของเจ้าหน้าที่ในการจำกัดพื้นที่การชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุม
พีมูฟ’ ยันชุมนุมสงบตามสิทธิ์ เตรียมรณรงค์ยกเลิก ‘มรดกบาป คสช.’ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ!
ภายหลังเสร็จสิ้นการสืบพยานผู้เชี่ยวชาญในคดีการชุมนุม ธีรเนตร ไชยสุวรรณ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนประธานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ได้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน โดยยืนยันถึงความชอบธรรมในการใช้สิทธิของกลุ่มในการเรียกร้องเชิงนโยบายจากรัฐบาล
ธีรเนตรกล่าวว่า พีมูฟยืนยันมาโดยตลอดว่า การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นการใช้ สิทธิตามรัฐธรรมนูญโดยสงบ เพื่อติดตามการแก้ปัญหาเชิงนโยบายที่กลุ่มได้รับผลกระทบ ซึ่งขณะนี้การติดตามปัญหาดังกล่าวก็มีความคืบหน้า โดยรัฐบาลได้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน คณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการในกระทรวงต่างๆ ขึ้นมาเพื่อดำเนินการเป็นลำดับแล้ว
ติงการใช้ดุลพินิจ ‘ลั่น’ เกินขอบเขต
ประธานพีมูฟกล่าวถึงประเด็นการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความกังวลที่พยานผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวถึงก่อนหน้า โดยระบุว่าการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ทำให้มีการออกแนวทางปฏิบัติที่ค่อนข้างจะ “ลั่น” หรือเกินเลยไปมาก และมองว่าการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่นั้น ควรต้องนำหลักเกณฑ์อื่น ๆ มาประกอบการพิจารณาด้วย เช่น พฤติกรรม พฤติการณ์ และความเหมาะสมต่าง ๆ ของการชุมนุม ไม่ใช่เพียงการตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัด
ย้ำ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ คือ ‘มรดกบาป’ ต้องยกเลิก
ธีรเนตรได้กล่าวถึงจุดยืนของพีมูฟต่อ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ว่า กลุ่มยืนยันมาโดยตลอดตั้งแต่มีการประกาศใช้ว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ ไม่เป็นผลดีต่อพี่น้องประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกองค์กรที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิที่ถูกรัฐละเมิด
“เรายืนยันมาตลอดว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นการออกมาโดยมิชอบ โดยเฉพาะการออกมาตั้งแต่ยังเป็น ผลผลิตของ คสช. กระบวนการยึดอำนาจรัฐประหาร ที่เราคิดว่ามันไม่เป็นผลดีกับพี่น้องอยู่แล้ว และยังมาทิ้ง มรดกบาปชุมนุม นี้ไว้อีก” ประธานพีมูฟกล่าวอย่างหนักแน่น
ธีรเนตรได้ทิ้งท้ายว่า ในอนาคตพีมูฟคงต้องเดินหน้าเรียกร้องให้มีการ ยกเลิก พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในการแสดงออกและเรียกร้องความเป็นธรรมได้อย่างเต็มที่โดยไม่ถูกจำกัดเกินความจำเป็น
จำนงค์ พีมูฟ’ มองเห็นแสงสว่าง! หลังผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลต่อศาลเกี่ยวกับพ.ร.บ.ชุมนุม
จำนงค์ หนูพันธ์ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ได้กล่าวแสดงความรู้สึกภายหลังการสืบพยานในวันนี้ โดยมองเห็นสัญญาณที่ดีในการต่อสู้คดีของภาคประชาชน
นายจำนงค์ระบุว่า บรรยากาศการสืบพยานในวันนี้ถือว่าดีกว่าคดีที่ผ่านมาเนื่องจากมีแนวโน้มว่าศาลจะมีความเข้าใจต่อภาคประชาสังคมมากขึ้น และมองเห็นถึงความจำเป็นของเราที่จะต้องออกมาเรียกร้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเรื่องปากท้องสำคัญของพี่น้องประชาชน
จำนงค์เน้นย้ำกรณีที่ศาลได้รับฟังข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย โดยระบุถึงการเข้าเบิกความของ อาจารย์อ.ดร.พัชร์ นิยมศิลป ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 โดยระบุว่าข้อมูลของ อ.ดร.พัชร์ ทำให้ศาลได้รับฟังมุมมองที่หลากหลายไม่ได้มองด้านเดียวแบบอัยการที่มองมาตลอด ซึ่งเป็นการเปิดมิติใหม่ในการพิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายที่ใช้กับผู้ชุมนุม
“วันนี้ก็รู้สึกว่ามีอะไรที่น่าจะมีโอกาสในการต่อสู้ในคดีต่อ ๆ ไปอีกมาก” ที่ปรึกษาพีมูฟแสดงความมั่นใจ โดยเชื่อว่าการสืบพยานในวันนี้ได้สร้างฐานข้อมูลและมุมมองทางกฎหมายที่เอื้อต่อการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของกลุ่มประชาชนในอนาคต อาจารย์จุฬาฯ เจาะช่องโหว่ ม.7 พ.ร.บ.ชุมนุมขยาย 50 เมตร อำนาจล้นไร้ขอบเขตระบุเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ชั่งน้ำหนักไม่ใช่ใช้ ‘ดาบ’ ปิดกั้นเสรีภาพ
ขณะที่ อ.ดร.พัชร์ นิยมศิลป ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายเพื่อประชาชนคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชุมนุมให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมโดยได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ว่ามีที่มาและกลไกที่ยังไม่สมบูรณ์และเปิดช่องให้เกิดการตีความที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินความจำเป็น
อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรายนี้กล่าวว่า ภาพรวมของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งเป็นสภาที่มาจากการรัฐประหาร (คสช.) ดำเนินการอยู่ ทำให้กระบวนการวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์ความเหมาะสมของตัวบทกฎหมาย ไม่ได้รับการพิจารณาที่รอบด้าน
“สมาชิก สนช. มาจากการรัฐประหาร ณ ขณะนั้น ใครที่ได้รับโอกาสเข้ามาก็จะมีเสียงดังมากที่สุด ทำให้ตัวกฎหมายแม้จะเขียนได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ในความเห็นของตนคือ มันสามารถดีได้มากกว่านี้ และไม่ได้มาจากการวิพากษ์วิจารณ์ที่รอบด้าน” ผู้เชี่ยวชาญระบุ
เจาะช่องโหว่ ม.7 ขยาย 50 เมตร อำนาจล้นไร้ขอบเขต
ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิเคราะห์อย่างเข้มข้นคือ มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ที่ให้อำนาจในการขยายเขตห้ามชุมนุมในระยะ 50 เมตร ออกไปจากสถานที่สำคัญ เช่น ทำเนียบรัฐบาล, รัฐสภา, ศาล, และพระบรมมหาราชวัง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แม้มาตรานี้จะมีเจตนาเพื่อปกป้องสถานที่พิเศษไม่ให้ผู้ชุมนุมปิดล้อม แต่การใช้ “ดาบ” นี้กลับมีปัญหาในทางปฏิบัติ
“ตัวข้อกฎหมายที่คอนโทรลดุลยพินิจมันน้อยหรือแทบไม่มีเลย“ อาจารย์ระบุ โดยชี้ว่ากฎหมายเพียงเขียนให้คำนึงถึง “พฤติการณ์และจำนวนของผู้ชุมนุม” แต่ไม่ได้กำหนดขอบเขตของ “พฤติการณ์” ที่ชัดเจน ทำให้สุดท้ายแล้วการตีความและการใช้ดุลยพินิจขึ้นอยู่กับ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือ ศาล ที่จะวางหลักมาตรฐานในเรื่องนี้เอง
ย้ำหลักสากล: จำกัดสิทธิต้อง ‘เบาที่สุด’ และ ‘ได้สัดส่วน’
ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ได้นำหลักสากลมาเปรียบเทียบ โดยเน้นย้ำว่าการมองเรื่องนี้ให้สอดคล้องตามหลักสากลต้องเลือก วิธีการที่เบาที่สุดเท่าที่มันจะบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ห้ามไปเลยคือตัวเลือกสุดท้าย: “การที่บอกว่าห้ามไปเลยเป็นตัวเลือกสุดท้าย เพราะมันไม่ได้สัดส่วน” และชี้ว่ารัฐต้องทำตาม 3 ขั้นตอน คือ 1. มีกฎหมายให้อำนาจชอบด้วยกฎหมาย 2. ทำโดยตรงตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย และ 3. ต้องจำเป็นและได้สัดส่วน
พร้อมกันนี้ ได้มีการนิยามคำว่าการชุมนุมโดยสงบว่าไม่ได้หมายถึงการชุมนุมที่สงบเสงี่ยม ไร้เสียง หรือราบเรียบ แต่คือการใช้สิทธิได้ตามปกติ แม้จะมีความไม่เป็นระเบียบอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ต้องไม่รุกล้ำสิทธิของผู้อื่นเกินกว่าเหตุ
ความไม่สงบจริงๆตามหลักสากล ดูที่ว่ามันมีเจตนาในการใช้ความรุนแรงหรือไม่ ต้องดูที่ความรุนแรงทางกายภาพเช่นการขว้างปา เผา หรือทำให้ทรัพย์สินเสียหาย”
อาจารย์ได้เสนอแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมคือ การใช้มาตรการควบคุมที่เบาที่สุด เช่น การจัดเลนถนน ว่าอยู่ตรงไหนได้บ้าง ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการ ชั่งน้ำหนัก ระหว่างคนที่ใช้สิทธิ กับคนที่ได้รับผลกระทบจากสิทธิ ไม่ใช่ใช้มาตรการห้ามชุมนุม ณ พื้นที่นี้ ตรงนี้เวลานี้ในทันที
ชี้ หากชุมนุมสงบ ต้องปล่อย! หากอยากสลายต้องร้องขอศาล
ผู้เชี่ยวชาญสรุปในตอนท้ายว่า กลไกภายใต้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ระบุชัดเจนว่า ถ้าผู้ชุมนุมสงบก็ต้องปล่อยให้ชุมนุมต่อไป แต่หากเจ้าหน้าที่ต้องการสลายการชุมนุม พวกเขาต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด คือ ใช้กลไกร้องขอศาลแพ่ง เพื่อให้มีคำสั่งอนุญาตให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมได้ ซึ่งเป็นการย้ำถึงหลักการที่ว่า อำนาจในการจำกัดสิทธิเสรีภาพต้องได้รับการตรวจสอบและควบคุมโดยฝ่ายตุลาการอย่างเคร่งครัด
ด้านปรานม สมวงศ์ จาก Protection Internationalกล่าวว่า เราหวังว่าศาลยุติธรรมจะวางหลักว่าการชุมนุมโดยสงบต้องได้รับการคุ้มครอง และการจำกัดสิทธิต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย คดีนี้จะไม่เพียงสร้างความเป็นธรรมให้กับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสองคนจากพีมูฟเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนถึง สิทธิในการปกป้องสิทธิมนุษยชน ของประชาชนทุกคน ว่าการออกมาเรียกร้อง ตรวจสอบ และท้าทายความอยุติธรรมของรัฐไม่ใช่อาชญากรรม หากเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล และจะเปิดทางให้ประชาชนคนอื่น ๆ ที่ถูกฟ้องจากการชุมนุม มีหลักยืนทางกฎหมายในการต่อสู้คดีและปกป้องสิทธิของตนเองในอนาคต

