“กรมอนามัย” แนะใช้ระบบคัดกรองดูแลหญิงตั้งครรภ์-เด็กเล็ก ลดเสี่ยงฉุกเฉินในศูนย์พักพิง

กรมอนามัย, 17 ธันวาคม –  แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผย ว่า จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะนี้ มีผู้เข้าพักในศูนย์พักพิงเขตสุขภาพที่ 9 จำนวน 98,687 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ จำนวน 127 คน และเด็กเล็ก จำนวน 6,593 คน ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ดังนั้น แนวทางการดูแลหญิงตั้งครรภ์และเด็กปฐมวัยในศูนย์พักพิง ให้คัดกรองตั้งแต่แรกเข้า โดยแยกหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูง และเสี่ยงต่ำ พร้อมแบ่งระดับความรุนแรง เพื่อให้เกิดการส่งต่อผู้ป่วยอย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อแม่และเด็ก

แบ่งระดับความเสี่ยงออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ปกติ-สีเขียว เฝ้าระวัง-สีเหลือง เสี่ยงสูง-สีส้ม และฉุกเฉินวิกฤต-สีแดง อาการสำคัญของกลุ่มสีแดง เช่น เจ็บครรภ์ น้ำเดิน เลือดออก ความดันโลหิตสูงร่วมอาการรุนแรง ชัก หมดสติ หรือทารกดิ้นน้อยลง จะต้องส่งโรงพยาบาลและรับไว้รักษาทันที ขณะที่กลุ่มสีส้มควรพิจารณาส่งโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ไม่ควรพักอาศัยในศูนย์พักพิง สำหรับกลุ่มสีเหลือง และกลุ่มสีเขียว ให้การจัดบริการ Mobile ANC หรือการฝากครรภ์เคลื่อนที่ โดยติดตามทุก 2–4 สัปดาห์ ด้วยการวัดสัญญาณชีพ ชั่งน้ำหนัก ตรวจสุขภาพจิต ประเมินการเจริญเติบโตของทารกและให้คำแนะนำสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปโรงพยาบาลพร้อมเตรียมอุปกรณ์และระบบการแพทย์ทางไกล เพื่อปรึกษาสูติแพทย์ในกรณีจำเป็น หากพบเหตุฉุกเฉินในหญิงตั้งครรภ์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข รายงานหัวหน้าศูนย์พักพิง เรียกรถพยาบาล พร้อมประสานโรงพยาบาลปลายทางเพื่อนำส่ง

แพทย์หญิงนงนุช ภัทรอนันตนพ กล่าวว่า สำหรับเด็กปฐมวัยอายุ 0–5 ปี ที่เข้าศูนย์พักพิงต้องได้รับการคัดกรองและขึ้นทะเบียน บันทึกข้อมูลผู้ดูแล ประวัติโรคประจำตัว การแพ้ยา และการได้รับวัคซีน โดยให้ความสำคัญกับ 5 มิติหลัก ได้แก่ สุขภาพร่างกาย พัฒนาการ โภชนาการ สุขภาพจิต และความปลอดภัย พร้อมเฝ้าระวังโรคติดต่อ แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติทันที และจัดระบบส่งต่อหากมีอาการรุนแรง

โดยการแบ่งระดับอาการเด็ก ใช้ระบบ Triage เช่นเดียวกัน โดยกลุ่มสีแดงที่มีอาการหายใจลำบาก ซึม ชัก ไข้สูงมาก อาเจียนพุ่ง หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง ต้องส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนกลุ่มสีส้มควรพบแพทย์และติดตามใกล้ชิด ขณะที่กลุ่มสีเหลืองสามารถดูแลในศูนย์พักพิงได้แต่ต้องประเมินซ้ำทุกวัน และกลุ่มสีเขียวให้ดูแลตามปกติ พร้อมส่งเสริมโภชนาการและพัฒนาการตามวัย ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้ศูนย์พักพิงทุกแห่งสามารถดูแลกลุ่มเปราะบางได้อย่างเป็นระบบ ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนเพื่อให้หญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็กในศูนย์พักพิงได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยและเหมาะสมตามมาตรฐานสาธารณสุข

สธ. ส่งรถโมบายคลายเครียด ควบคู่บริการจิตเวชทางไกล ดูแลประชาชนและบุคลากรในศูนย์พักพิงขนาดใหญ่

กระทรวงสาธารณสุข ส่งรถโมบายคลายเครียดดูแลสุขภาพจิตประชาชนและบุคลากรการแพทย์ที่ศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ 1,000 -3,000 คน ควบคู่บริการตรวจจิตเวชทางไกล เพื่อดูแลกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำเรื่องการอุปโภค บริโภคน้ำสะอาด และอาหารที่อุ่นร้อน สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยที่มีอาการระบบทางเดินหายใจ

วันนี้ (17 ธันวาคม 2568) ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย – กัมพูชา โดยมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ว่า ภาพรวมโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยง 7 จังหวัด ยังปิดให้บริการ 12 แห่งเท่าเดิม ส่วน รพ.สต. กลับมาเปิดบริการได้อีก 1 แห่ง เหลือปิด 206 แห่ง สำหรับศูนย์พักพิงลดลงเหลือ 992 จุด มีผู้เข้าพักรวม 272,670 คน เป็นกลุ่มเปราะบาง 71,466 คน มีการส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลสะสม 824 ราย ส่วนการดูแลสุขภาพจิตเชิงรุก ได้คัดกรองประชาชนไปแล้ว 176,858 ราย พบเครียดสูงสะสม 1,316 ราย และเสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 238 ราย ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ 8,182 ราย พบเครียดสูงสะสม 462 ราย เสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 154 ราย ทั้งหมดได้รับการปฐมพยาบาลทางจิตใจ และติดตามอย่างต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้น

นพ.เอกชัย กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ที่ยังคงมีการปะทะอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ทั้งความเครียดและความวิตกกังวล วันนี้กระทรวงสาธารณสุขจึงจัดส่งรถโมบายคลายเครียดลงศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ ที่มีประชาชนเข้าพัก 1,000-3,000 คน ที่ จ.สระแก้ว สุรินทร์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ พร้อมทั้งจัดบริการจิตเวชทางไกล หรือ​Telepsychiatry เพื่อดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่อพยพไปอยู่ศูนย์พักพิง รวมทั้งติดตามกลุ่มเสี่ยงในศูนย์พักพิง จ.สระแก้ว สุรินทร์ และอุบลราชธานี ทุกวันจันทร์-ศุกร์ รวมทั้งเปิดสายด่วนปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต 1323 ให้บริการฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ยังคงเข้มมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ การจัดการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคติดเชื้อทางเดินอาหารในศูนย์พักพิงมาจากอาหารที่เตรียมไว้เป็นระยะเวลานานและไม่ได้อุ่นร้อน รวมทั้งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคและบริโภคมีการปนเปื้อน ขณะที่โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ มีปัจจัยเสี่ยงหลักมาจากการรวมกลุ่มกันของคนหมู่มาก จึงได้ให้ทีม SRRT บูรณาการร่วมกับทีม SEhRT ปรับปรุงด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม เน้นย้ำเรื่องการอุปโภค บริโภคน้ำสะอาด และอาหารที่อุ่นร้อนให้กับประชาชน ตรวจจับผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจในศูนย์อพยพที่มีประชากรจำนวนมากและศูนย์อพยพที่หนาแน่นเกินความจุ เพื่อแยกกักโรคได้ทันเวลา และเน้นมาตรการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ

ลูกจ้างเตรียมเฮ!! ก.แรงงาน ขอความร่วมมือนายจ้าง ให้ศุกร์ที่ 2 ม.ค. เป็นวันหยุดพิเศษ

กระทรวงแรงงาน, วันที่ 16 ธ.ค. – เรือเอก สาโรจน์ คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า ด้วยความห่วงใยต่อความเป็นอยู่ ความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตของลูกจ้างในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจึงได้ออก ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขอความร่วมมือนายจ้าง/สถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ เพื่อส่งเสริมให้ลูกจ้างมีโอกาสได้หยุดพักผ่อนอย่างต่อเนื่อง เดินทางกลับภูมิลำเนา และใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่ อันจะช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการทำงาน สร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงเทศกาลสำคัญดังกล่าว

อธิบดี กสร. กล่าวว่า ได้ขอความร่วมมือให้นายจ้างและสถานประกอบกิจการพิจารณากำหนดให้ วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2569 เป็นวันหยุดเพิ่มเติม เพื่อให้ลูกจ้างได้หยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันพุธที่ 31 ธันวาคม 2568 ถึงวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม 2569 ขณะเดียวกัน ในกิจการขนส่งทางบก ขอให้นายจ้างจัดเวลาการทำงานของลูกจ้างผู้ขับขี่ยานพาหนะให้เหมาะสม ไม่ให้ทำงานเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากความอ่อนล้า พร้อมเน้นย้ำให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างใช้ความระมัดระวังในการเดินทาง งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ และวางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อให้การเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นไปด้วยความปลอดภัยสูงสุด

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ กกต. กำหนดวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้า วันอาทิตย์ที่ 1 ก.พ. 69

วันที่ 17 ธ.ค. 2568 – เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่อง กำหนดวันและเวลาการออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลาง ระบุว่า

ด้วยได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 และกกต. ได้กำหนดให้วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เป็นวันเลือกตั้ง อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 5 และมาตรา 22 (2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 ประกอบ มาตรา 5 มาตรา 92 มาตรา 106 และมาตรา 107 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 รวมทั้ง ข้อ 191 ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 กกต. จึงออกประกาศกำหนดวันและเวลาการออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลาง โดยกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. เป็นวันออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง แบ่งเป็น 3 กรณี ได้แก่ การออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้ง การออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลางนอกเขตเลือกตั้ง และการออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลางสำหรับคนพิการหรือผู้ทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ

ศอ.บต.-สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศรีสาคร จัดอบรม-ซ้อมแผนเผชิญเหตุอุทกภัย เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์

นราธิวาส, วันที่ 16 ธันวาคม – นายจรัส บำรุงเสนา ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธานพิธีเปิดโครงการอบรมและฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุอุทกภัยแบบบูรณาการ โดยมีปลัดอำเภอศรีสาคร หัวหน้าส่วนราชการอำเภอศรีสาคร และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิด พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชนและจิตอาสาในพื้นที่อำเภอศรีสาคร เข้าร่วมกิจกรรมอบรม จำนวน 50 คน ที่อาคารอเนกประสงค์เทศบาลตำบลศรีสาคร

สำหรับการจัดโครงการอบรมและฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุอุทกภัยแบบบูรณาการครั้งนี้ ศอ.บต. ร่วมกับสมาคมกู้ชีพกู้ภัยศรีสาคร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 ธ.ค. เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัย ให้แก่หน่วยงานและภาคประชาชน รวมทั้งเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้สามารถปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งมีการจัดกิจกรรมอบรม ให้ความรู้ด้านการจัดการสาธารณภัย การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดอุทกภัย การอพยพ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในสถานการณ์จำลอง บริเวณเกาะกลางน้ำใต้สะพานแม่น้ำสายบุรี อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายจรัส กล่าวว่า ขอชื่นชมสมาคมกู้ชีพกู้ภัยศรีสาคร และหน่วยงานเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต ความเป็นอยู่ และความมั่นคงของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง อุทกภัยเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถลดความสูญเสียได้ หากทุกภาคส่วนมีการเตรียมความพร้อมที่ดี มีความรู้ ความเข้าใจ และการประสานงานที่เป็นระบบ การอบรมและฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในครั้งนี้ จึงถือเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และภาคประชาชน ให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที มีประสิทธิภาพและปลอดภัย พร้อมเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต

รพ.นพรัตนราชธานีโชว์ศักยภาพผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Surgery)รายแรกของโรงพยาบาล

โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์โชว์การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Surgery) รักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก สำเร็จเป็นรายแรกของโรงพยาบาล เพื่อเป็นการปฏิบัติตามนโยบายกรมการแพทย์ พ.ศ. 2569 “ทำให้การแพทย์ไทยก้าวหน้า พัฒนาสู่ภูมิภาค ตอบสนอง Health need และสร้าง impact สูงสุด: I+DMS” เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์เฉพาะทาง

นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนด 5 นโยบายหลัก เพื่อยกระดับระบบสุขภาพ หนึ่งในนโยบายดังกล่าวได้แก่ “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ ของประเทศด้วยการแพทย์มูลค่าสูง” เป็นการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดมารักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง เป็นหนึ่งในแนวทางการดูแลผู้ป่วยให้สามารถเข้าถึงการรักษาขั้นสูง ที่มีความแม่นยำและได้ประสิทธิภาพในการรักษาที่มากกว่าการผ่าตัดรูปแบบเดิม และเป็นการเพิ่มศักยภาพในการดูแลรักษาประชาชน โดยได้มอบหมายให้โรงพยาบาลในกรมการแพทย์ 5 แห่ง (โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี โรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลสงฆ์ และสถาบันโรคทรวงอก) พัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ซึ่งจะทำให้กระบวนการดูแลผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนหรืออยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงยาก สามารถทำการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีของการผ่าตัดผ่านกล้อง (Minimally Invasive Surgery) ที่ผู้ป่วยจะได้ประโยชน์จากการที่มีแผลผ่าตัดขนาดเล็ก เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย

นายแพทย์ปิยวัฒน์ เลาวหุตานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย ดังกล่าวเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์เฉพาะทางที่สำคัญ โดยการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วย ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลที่สองของกรมการแพทย์ ที่สามารถทำการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดสำเร็จ โดยมีนายแพทย์นันทวัฒน์ ศิริธานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ ทำการผ่าตัดผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด สำเร็จเป็นรายแรกของโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี พร้อมด้วยทีมบุคลากรทางการแพทย์แผนกผ่าตัดผ่านกล้องของโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ประกอบด้วยแพทย์สหสาขาวิชาชีพ จากแผนกที่เกี่ยวข้องได้แก่ ศัลยกรรม และสูตินรีแพทย์ ได้มีการวางแผนเพื่อพัฒนาการดูแลผู้ป่วยในโรคอื่นๆ เช่น มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งตับอ่อนและท่อน้ำดี และมะเร็งนรีเวช ให้ได้รับการรักษาด้วยโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยต่อไป

ทส.ประชุม เตรียมรับพระเทพฯ เสด็จฯ โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ จ.ตาก

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.), วันที่ 16 ธันวาคม – นางรวีวรรณ ภูริเดช ปลัด ทส. เป็นประธานการประชุมเตรียมการเฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินไปทรงติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ 21 – 23 ธันวาคม 2568 ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมี นายนิกร ศิรโรจนานนท์ อธิบดีกรมป่าไม้ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

ที่ประชุมได้ติดตามการเตรียมความพร้อมทั้งในด้านการจัดเตรียมสถานที่ ด้านพิธีการ และความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก อาทิ การฟื้นฟูป่าไม้ในพื้นที่โครงการและพื้นที่โดยรอบ การรวบรวมพันธุ์ไม้ผืนป่าตะวันตก ความก้าวหน้าการก่อสร้างสวนพฤกษศาสตร์ การเตรียมการพิธีเปิดห้องปฏิบัติการและฝึกอบรมของศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมกล้วยไม้ป่า และพรรณไม้ท้องถิ่นหายาก (พืชล้มลุก) ตลอดจนโครงการสร้างป่าสร้างรายได้ในพื้นที่จังหวัดตาก และผลการคัดเลือกนักเรียนทุนพระราชทาน นอกจากนี้ ในปีนี้ทางกรมป่าไม้ยังได้จัดเตรียมต้นไม้ทรงปลูกไว้เป็น ต้นไม้วงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE) จำนวน 9 ต้น

โครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดตาก ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่สอด ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ เดิมพื้นที่โครงการฯ เป็นพื้นที่สัมปทานทำเหมืองแร่สังกะสี โดยบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2558 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงรับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณเหมืองสังกะสี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอแม่สอด โดยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เป็นผู้ประสานงาน ปัจจุบันบริษัทได้ยุติการทำเหมืองแร่สังกะสีเมื่อปี 2560 และได้ส่งมอบคืนพื้นที่แก่กรมป่าไม้ในปี 2562

เข้มชายแดนศรีสะเกษ! ตำรวจ–ชรบ. ตั้งด่านคุมเข้าพื้นที่สีแดง อนุญาตชาวบ้านกลับดูสัตว์เลี้ยงได้ 2 ชั่วโมง ฝ่าฝืนผิดกฎหมาย

หลังอพยพ 3 อำเภอในพื้นที่สีแดงกว่า 1 สัปดาห์ ตำรวจร่วมชรบ.ตั้งด่านและจุดลงทะเบียน คุมเข้มความปลอดภัย เปิดทางชาวบ้านกลับดูแลทรัพย์สิน–สัตว์เลี้ยงแบบจำกัดเวลา ขณะที่สถานการณ์ชายแดนยังตึงเครียด เสียงปืนใหญ่ดังต่อเนื่องทั้งวัน

สถานการณ์ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง หลังมีคำสั่งอพยพประชาชนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ใน 3 อำเภอพื้นที่สีแดง ได้แก่ อำเภอกันทรลักษ์ อำเภอภูสิงห์ และอำเภอขุนหาญ นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และฝ่ายปกครอง ได้ตั้งด่านตรวจและจุดลงทะเบียน เพื่อควบคุมการเข้า–ออกพื้นที่อย่างเข้มงวด

ทีมข่าวลงพื้นที่พบว่า เจ้าหน้าที่มีการเรียกตรวจสอบรถยนต์ทุกคัน พร้อมสอบถามวัตถุประสงค์และแจ้งสถานการณ์ด้านความปลอดภัยให้ประชาชนทราบ โดยผู้ที่ขออนุญาตเข้าพื้นที่จะต้องนำบัตรประชาชนมาลงทะเบียนทั้งขาเข้าและขาออกอย่างเคร่งครัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่มีความจำเป็นต้องกลับไปดูแลบ้านเรือน ทรัพย์สิน และสัตว์เลี้ยง

ชาวบ้านรายหนึ่งซึ่งอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิง เปิดเผยกับทีมข่าวว่า จำเป็นต้องกลับมาบ้านเพื่อให้อาหารสัตว์เลี้ยง ทั้งสุนัข แมว และไก่ เนื่องจากอพยพออกมาหลายวันตั้งแต่เกิดเหตุปะทะ เกรงว่าสัตว์จะขาดอาหาร พร้อมสะท้อนความเดือดร้อนว่า ไม่สามารถออกไปทำงานได้ อยากให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว เพราะครั้งนี้ยืดเยื้อกว่ารอบก่อน และหวังจะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ

ด้านนายทองสา สายทรัพย์ อายุ 59 ปี ผู้ใหญ่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า เข้าใจความเดือดร้อนและความจำเป็นของชาวบ้านทุกคนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะความกังวลเรื่องบ้านเรือน ทรัพย์สิน และสัตว์เลี้ยงที่ใช้ในการทำมาหากิน อย่างไรก็ตาม การเข้าพื้นที่จะต้องมีการประสานผ่านผู้นำชุมชนแต่ละหมู่บ้านก่อน เพื่อรับทราบสถานการณ์และกำหนดช่วงเวลาที่สามารถเข้าได้

สำหรับพื้นที่หมู่บ้านของตน อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าพื้นที่ได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง และต้องลงทะเบียนทั้งขาเข้าและขาออกอย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืนจะมีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยวันนี้ถือเป็นวันแรกของการตั้งด่านและจุดลงทะเบียน หลังมีคำสั่งอพยพ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้ขออนุญาตจากทางปลัดอำเภอเรียบร้อยแล้ว

เมื่อสอบถามถึงกรณีมีผู้แอบลักลอบกลับเข้าพื้นที่โดยไม่แจ้งลงทะเบียน ผู้ใหญ่บ้านระบุว่า มีชุดชรบ.ออกลาดตระเวนตลอด พร้อมฝากขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในชีวิต เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุร้ายขึ้น

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ให้ข้อมูลว่า ในช่วงเช้าจนถึงก่อนเวลา 15.00 น. จะยังอนุญาตให้ประชาชนกลับเข้าบ้านได้ตามความเหมาะสม แต่หลังจากนั้นจะไม่อนุญาตให้เข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังความมั่นคง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการลักลอบเข้ามาสอดแนมของกลุ่มสายลับจากประเทศกัมพูชา

อย่างไรก็ตาม รายงานสถานการณ์ล่าสุดพบว่า พื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษยังมีเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นหลายสิบนัดตลอดทั้งวัน และมีการแจ้งเตือนผ่านวิทยุสื่อสารให้อพยพชุดชรบ.และผู้นำชุมชนออกจากพื้นที่สีแดงชั่วคราว หรือหลบเข้าบังเกอร์ หลังได้รับข้อมูลว่าฝั่งกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธหนักยิงเข้ามายังฝั่งไทย ท่ามกลางความกังวลด้านความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด.

“ผู้ว่าฯชัชชาติ​ “นำจิตอาสาพัฒนา “คลองแสนแสบ” เฉลิมพระเกียรติวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ รัชกาลที่ 9

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดทำโครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ขึ้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน รวมทั้งเพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการและประชาชนมีจิตสำนึกสาธารณะ รักบ้านเมือง รู้รักสามัคคี ร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อสังคม บรรเทาความเดือดร้อนและแก้ไขปัญหาให้แก่เพื่อนร่วมชาติ ตลอดจนเพื่อให้ประเทศชาติมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน กรุงเทพมหานครมีความปลาบปลื้มปิติเป็นล้นพ้น ที่ได้น้อมนำโครงการฯ มาสืบสาน ขยายผล โดยระดมพลังความรัก ความสามัคคีทั้งของหน่วยงานในพระองค์ หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชน ร่วมปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน อย่างยั่งยืน

โดยวันนี้ (17 ธ.ค.68) เวลา 08.00 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ บริเวณวัดเทพลีลา แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ

“ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยข้าราชการ จิตอาสาพระราชทาน ประชาชนจิตอาสา หน่วยราชการ ภาคเอกชนและพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ต่างร้อยจิตมั่น ร้อยรวมดวงใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดี และน้อมรำลึก ในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงปฏิบัติตามพระราชปณิธาณด้วยพระราชหฤทัยอันมุ่งมั่น ทรงครองแผ่นดิน โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ โดยถ้วนหน้า ทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระราชวิริยอุตสาหะ เพื่อให้ทวยราษฎร์ มีความผาสุก ร่มเย็น และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทรงค้นคิดวิธีคลี่คลายบรรเทา ปัญหาของราษฎรผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงพระกรุณา พระราชทาน “ศาสตร์พระราชา” เพื่อเป็นแนวทางให้ราษฎรพึ่งพาตนเองได้อย่าง เข้มแข็งและยั่งยืน ใช้ผืนแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด


ดังเห็นได้จากโครงการ มากกว่า 4,000 โครงการ อันเกิดจากพระปรีชาสามารถของพระองค์ ล้วนได้รับยกย่องสดุดีพระเกียรติคุณ ทั้งภายในประเทศ และจากนานาประเทศ ว่าเป็นผลงานที่ทรงคุณค่า อำนวยประโยชน์อย่างยิ่ง แก่ปวงพสกนิกร ชาวไทย ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ นำไปเป็นแนวคิดในการพัฒนาประเทศต่อไป ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันล้นพ้น ที่ทรงมีต่อปวงประชาประดุจดั่ง “พ่อของแผ่นดิน” พระองค์จึงสถิต แนบแน่นอยู่ในดวงหทัย ทั้งทรงเป็นมิ่งขวัญ เป็นกำลังใจ และกำลังศรัทธา ของชาวไทยทุกหมู่เหล่า ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงขอรวมจิตพร้อมน้อมแสดงความจงรักภักดี เทิดทูนพระองค์ไว้เหนือเกล้า เหนือกระหม่อม ตราบนิจนิรันดร์ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร 
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

สำหรับกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในวันนี้ เป็นกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาคลองแสนแสบ จากวัดเทพลีลา ถึงวัดพระไกรสีห์ ระยะทาง 900 เมตร ประกอบด้วย การทาสีผนังเขื่อน ฉีดล้างทําความสะอาดผนังเขื่อน ทาสีสัญลักษณ์จราจร ปลูกต้นเฟื่องฟ้า บํารุงต้นไม้ ตัดแต่งกิ่งไม้ ปรับปรุงภูมิทัศน์ จัดเก็บขยะในคลองแสนแสบและทางเดินริมคลอง

กิจกรรมในวันนี้ นายณรงค์ เรืองศรี ปลัดกรุงเทพมหานคร นายธนิต ตันบัวคลี่ รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำผู้บริหารสำนักการระบายน้ำ สำนักการแพทย์ สำนักงานเขตบางกะปิ สำนักงานเขตวังทองหลาง พร้อมเจ้าหน้าที่จากกองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ จำนวน 25 คน กองระบบคลอง สำนักการระบายน้ำ จำนวน 125 คน สำนักงานเขตบางกะปิ จำนวน 50 คน สำนักงานเขตวังทองหลาง จำนวน 50 คน รวม 250 คน ร่วมกิจกรรมจิตอาสา

เปิดม่านหมอกปลายด้ามขวาน เที่ยวอุทยานฯ น้ำตกทรายขาว ชมทะเลหมอกแดนใต้ รับศักราชใหม่ 2569

ลมหนาวอ่อนๆ หมอกขาวลอยคลอเหนือผืนป่า ปัตตานีชวนออกเดินทางสู่ธรรมชาติบริสุทธิ์ ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว จุดหมายรับปีใหม่ที่มากกว่าการท่องเที่ยว คือการพักใจท่ามกลางความสงบงามของแดนใต้

“ทะเลหมอกแดนใต้ เสน่ห์เงียบงามแห่งอุทยานฯ น้ำตกทรายขาว”

เมื่อฤดูหนาวย่างกรายลงสู่ปลายด้ามขวานของประเทศไทย อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว จังหวัดปัตตานี กลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติไม่ควรพลาด โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2569 ที่ธรรมชาติราวกับจัดฉากต้อนรับผู้มาเยือนอย่างงดงาม

ไฮไลต์สำคัญของที่นี่คือปรากฏการณ์ “ทะเลหมอกแดนใต้” ม่านหมอกสีขาวบางลอยละล่องเหนือผืนป่าเขียวขจีในยามเช้า สร้างภาพงดงามแปลกตาไม่แพ้แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังทางภาคเหนือ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมทะเลหมอกได้อย่างใกล้ชิด พร้อมสัมผัสอากาศเย็นสบายที่หาได้ยากในภาคใต้

นอกจากความประทับใจจากทะเลหมอกแล้ว อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาวยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันสมบูรณ์ ทั้ง น้ำตกทรายขาว ที่ไหลลดหลั่นท่ามกลางโขดหินและผืนป่าอันร่มรื่น เหมาะแก่การเดินเล่น พักผ่อน และปล่อยใจให้เป็นอิสระจากความเร่งรีบของชีวิตเมือง

อีกหนึ่งจุดแวะสำคัญ คือ องค์พระใหญ่ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในอุทยานฯ เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวและผู้มีจิตศรัทธาได้สักการะ ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล เสริมพลังใจในการเริ่มต้นปีใหม่อย่างสงบและมีความหมาย

การมาเยือนอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาวในช่วงเทศกาลนี้ จึงไม่ใช่เพียงการท่องเที่ยว แต่คือการเดินทางเพื่อพักกาย พักใจ ท่ามกลางธรรมชาติบำบัดอันงดงามของแดนใต้ และสร้างความทรงจำดีๆ เพื่อต้อนรับศักราชใหม่ด้วยพลังบวก

ทั้งนี้ อุทยานฯ ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวทุกท่านร่วมกันรักษาความสะอาด และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้ความงดงามแห่งนี้คงอยู่คู่ปัตตานีและนักเดินทางไปอีกยาวนาน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว จังหวัดปัตตานี
Namtok Sai Khao National Park

รองเท้าแก้ว