“ซาบีดา” ยัน “กรมศิลป์” มีศักยภาพบูรณะปราสาทได้ แต่ต้องรอเหตุการณ์สงบ  รับ ลงสมัครปาร์ตี้ลิสต์ภูมิใจไทย เชื่อได้ไปต่อ

ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย, 17 ธันวาคม – น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการบูรณะโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา โดยยืนยันว่า ไทยไม่ได้โจมตีก่อน แต่ดำเนินการตามหลักการป้องกันตัวตามหลักสากล และตามหลักความมั่นคงของประเทศ และการที่โบราณสถานถูกทำลายนั้น เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุว่ามีการถูกทำลายก่อนเกิดการปะทะหรือไม่ เพราะอย่างที่ทุกคนทราบ โบราณสถาณเหล่านี้ประเทศไทยเพิ่งได้ยึดคืนมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และการยึดของเรา เราก็ต้องพิสูจน์ว่าเมื่อโบราณสถานเหล่านั้น อยู่ในพื้นที่อธิปไตยของเราแล้ว เราจะต้องวางแผนงบประมาณในการบูรณะซ่อมแซม พร้อมยืนยันว่า เราไม่ได้ใช้โบราณสถานในการเป็นบังเกอร์หรือใช้เป็นวัตถุประสงค์ทางการทหาร แต่เราจะทำโบราณสถาณให้เป็นโบราณสถานจริงๆ แล้วก็จะต้องมีการบูรณะซ่อมแซม

นางสาวซาบีดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นกรมศิลปากรยังไม่สามารถเข้าพื้นที่ทำการสำรวจได้ แต่เรื่องเทคนิคการซ่อมแซมไม่ได้มีความซับซ้อน และกรมศิลปากรมีศักยภาพพอที่จะเข้าไปบูรณะซ่อมแซม ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นาน อีกทั้งต้องรอฝ่ายความมั่นคงให้คำยืนยันว่าเราสามารถเข้าไปสำรวจ และทำการบูรณะได้ พร้อมย้ำว่า จะต้องมีการเคลียร์พื้นที่ และเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยถึงจะสามารถเข้าไปสำรวจได้

ขอบคุณภาพจากเพจ Thai Burma railway ทางรถไฟสายมรณะ

ส่วนจะใช้ซากเดิมขึ้นมาบูรณะหรือใส่วัสดุใหม่หรือไม่นั้น  รมว.วัฒนธรรม ระบุว่า ตอนนี้มีเทคนิคใหม่ในการซ่อมแซม แต่รูปแบบยังคงเหมือนเดิม ซึ่งได้มีการศึกษาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ย้ำว่า จะต้องมีการสำรวจก่อนเข้าบูรณะอย่างแน่นอน

ส่วนเรื่องที่ทหารกัมพูชาเข้าไปใช้ตัวปราสาทในการเป็นฐานปฏิบัติการนั้น และเมื่อเกิดการปะทะกัมพูชาโจมตีไทยว่าทำลายโบราณสถาน จะมีการทำหนังสือประท้วงอย่างไรบ้าง น.ส.ซาบีดา กล่าวว่า การที่ประเทศไทยจะทำอะไรต้องยึดหลักสากล และดูข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ตอนนี้เหมือนเรากำลังพูดถึงปลายเหตุจนลืมไปว่าต้นเหตุของโบราณสถานถูกทำลายเกิดจากอะไร ซึ่งกัมพูชาใช้เป็นวัตถุประสงค์ทางการทหารจนทำให้ประเทศไทยต้องป้องกันตัว และปกป้องอธิปไตยของไทย “ เราใช้ทุกเวทีในการตอบโต้ อย่างเวทียูเนสโก้ล่าสุด และตอบโต้ด้วยเหตุ และผลด้วยถ้อยแถลง “ นางสาวซาบีดา กล่าว

นอกจากนี้ นางสาวซาบีดา กล่าวยอมรับว่าตนได้ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากเขตในจังหวัดอุทัยธานีเต็มแล้ว และจากการที่ได้ทำงานเพื่อประชาชนเกือบ 1 ปี มีพลังในการที่จะเป็นตัวแทนของประชาชน และคิดว่าน่าจะไปต่อได้  และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่านายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี ในฐานะคุณพ่อ ได้ให้คำปรึกษาอะไรหรือไม่ นางสาวซาบีดา กล่าวว่า คุณพ่อไม่ได้บอกอะไรบอกเพียงว่าต้องมีผลงาน

“ เป็นความตั้งใจมากกว่า ส่วนผลตอบรับจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชน แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำให้ดีที่สุด ในทุกๆ บทบาท ทุกๆ หน้าที่ “  นางสาวซาบีดา กล่าวทิ้งท้าย

ด่วน “หลักสูตรวัคซีนชีวิต รุ่น 2” หมดเขตรับสมัคร 19 ธ.ค. นี้

หลักสูตรวัคชีนชีวิตเพื่อสังคม ของสมาคมตำรวจร่วมกับภาคเอกชน ได้เปิดรับสมัคร รุ่น 2 แล้ว ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. ถึง 19 ธ.ค. นี้

หลักสูตรวัคซีนชีวิต สำหรับผู้บริหารชั้นสูงเพื่อสังคม รุ่นที่ 2 ของสมาคมตำรวจร่วมกับภาคเอกชน (Vaccine for Life and Social) ซึ่งเปิดรับสมัคร จำนวน 150 คน ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน -19 ธันวาคม 2568 นี้

คุณสมบัติผู้สมัครเข้ารับการอบรม: ข้าราชการระดับสูงในหน่วยงานของรัฐ: นักการเมือง สส. , สว. และนักการเมืองท้องถิ่น: เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ มียศตั้งแต่พลตรีพลเรือตรี พลอากาศตรีและพลตำรวจตรี ขึ้นไป: ข้าราชการพลเรือนระดับซี 9 ขึ้นไป: ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน: เจ้าของกิจการส่วนตัว

ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการอบรม: ภายในวันที่ 29 ธันวาคม 2568

ค่าใช้จ่ายการเรียนและดูงานภายในประเทศตลอดหลักสูตร 160,000บาท (รวมค่าใช้จ่ายศึกษาดูงานในประเทศทั้ง 4 ภาค 4 ครั้ง และปฐมนิเทศรับน้องต่างจังหวัดเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง รวมเป็น 5 ครั้ง) รวมถึงการศึกษาดูงานหน่วยงานราชการตำรวจและภาคเอกชนสำหรับดูงานต่างประเทศ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ทวีปยุโรป กับทวีปเอเซีย(ในส่วนนี้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถเลือกได้และจะต้องรับผิดชอบออกค่าใช้จ่ายในการดูงานเอง)

สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว กรุณาชำระเงินภายในวันที่ 9 มกราคม 2569 เพื่อเป็นการยืนยันสิทธิ์

เริ่มการอบรมสูตร: ระหว่างวันที่ 17 มกราคม – 30 มิถุนายน 2569 ประมาณ 5 เดือน เรียนทุกวันเสาร์ (รวม 22 ครั้ง)

สถานที่จัดอบรม: ณ สโมสรตำรวจ กรุงเทพฯ หรือสถานที่อื่น ตามความเหมาะสม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: สมาคมตำรวจหรือ สำนักงานเลขานุการหลักสูตร คุณแพรวพรรณ โทร.085-122-4469 คุณฐานิกา โทร.086-795-1097หรือ E-mail : lifevaccine.social@gmail.com

ผู้สนใจสามารถกรอกข้อมูลลงทะเบียน https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSd79J0l_DhJGr_So5KeXJwzfGgpWgLoTrbPZD2clbDjyJ4GjQ/viewform

กทม. – นครเจิ้งโจว หารือความร่วมมือด้านต่าง ๆ พร้อมแนวทางพัฒนาความสัมพันธ์สู่เมืองพี่เมืองน้อง

(17 ธ.ค. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้การต้อนรับ นายเฉิน หงเหว่ย (Mr. Chen Hongwei) รองนายกเทศมนตรีนครเจิ้งโจว และคณะผู้แทนเขตนครเจิ้งโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ห้องอมรพิมาน ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เข้าเยี่ยมคารวะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในโอกาสเยือนกรุงเทพมหานคร พร้อมหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับนครเจิ้งโจวอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การจัดการเมือง การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และอาชีวศึกษา รวมถึงหารือถึงการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างเมือง

โอกาสนี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้กล่าวต้อนรับรองนายกเทศมนตรีนครเจิ้งโจวและคณะ ซึ่งที่ผ่านมากรุงเทพมหานครมีความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องกับประเทศจีน จำนวน 11 เมือง การมาเยือนของรองนายกเทศมนตรีนครเจิ้งโจวในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพมหานครและนครเจิ้งโจวในอนาคตได้ ที่ผ่านมาตนเคยไปเยือนซัวเถา และเซินเจิ้น มีความประทับใจในความก้าวหน้าของประเทศจีนเป็นอย่างมาก ทั้งแง่ด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความเป็นอยู่ของผู้คน โดยเฉพาะนครเจิ้งโจวมีการพัฒนาที่เข้มแข็งทั้งด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม เป็นสิ่งที่ประเทศไทยสามารถเรียนรู้ได้ เพราะพื้นฐานของไทยเป็นเกษตรกรรมแต่ก็ต้องพัฒนาด้านอุตสาหกรรมให้เข้มแข็งขึ้นด้วย เชื่อว่าในการมาเยือนครั้งนี้จะมีประโยชน์และน่าจะพัฒนาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้ ซึ่งการมีสายการบินตรงจากนครเจิ้งโจวมากรุงเทพมหานครน่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากเรื่องของเทคโนโลยี การเชื่อมโยงระหว่างคนก็เป็นเรื่องสำคัญ เช่น ศิลปะ วัฒนธรรม ถ้ามีโครงการในอนาคตจะทำให้ 2 เมืองมีความแน่นแฟ้นขึ้น โดยจะมอบหมายให้คณะทำงานลองทำงานร่วมกันในลักษณะเหมือนข้อตกลงก่อน เช่น แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม อาจมีการเชิญชวนนครเจิ้งโจวมาจัดนิทรรศการแนะนำนครเจิ้งโจวให้ชาวกรุงเทพฯ ได้รู้จักนครเจิ้งโจวมากขึ้น มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนบ้าง ก็จะเกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกัน แล้วพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง เพราะความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงระหว่างกันมีอยู่แล้ว หวังว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะพัฒนาไปสู่การเป็นเมืองพี่เมืองน้องในอนาคตได้ ซึ่งจะมีการประสานในรายละเอียดต่อไป ส่วนนักลงทุนจากนครเจิ้งโจวที่อยู่ที่กรุงเทพฯ กรุงเทพมหานครยินดีให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง

ด้านรองนายกเทศมนตรีนครเจิ้งโจว กล่าวว่า นครเจิ้งโจวมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะสานสัมพันธ์ระหว่างนครเจิ้งโจวและกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองพี่เมืองน้องต่อไป พร้อมกันนี้ได้เชิญชวนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและคณะเดินทางเยือนนครเจิ้งโจว

โอกาสนี้ นายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายภิมุข สิมะโรจน์ เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับรองนายกเทศมนตรีนครเจิ้งโจว และคณะผู้แทนเขตนครเจิ้งโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบด้วย นางสาวหวัง ซู่เหมย ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคม นครเจิ้งโจว นางสาวซ่ง เส้าตาน ผู้อำนวยการสำนักสถิติ นครเจิ้งโจว เจ้าหน้าที่นครเจิ้งโจว และนักลงทุนจากนครเจิ้งโจว โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มอบชุดจานโชว์เบญจรงค์ ขนาด 9 นิ้ว จำนวน 1 ชุด เป็นของที่ระลึก

ทีมยัดห่วงหญิงไทยสุดเจ๋ง!! คว้าชัย 2 นัดรวด เข้ารอบตัดเชือก ซีเกมส์

กรุงเทพฯ วันที่ 17 ธ.ค. ทีมบาสเกตบอลหญิงทีมชาติไทย ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 หลังเก็บชัยชนะ 2 นัดติดต่อกัน คว้าอันดับ 1 ของกลุ่มได้สำเร็จ พร้อมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ โดยจะเข้าไปยืนรอพบกับผู้ชนะระหว่างทีมชาติมาเลเซียและทีมชาติเวียดนาม หลังจบการแข่งขัน ไมช่า โปปาดิช (Misa Popadic) หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมบาสเกตบอลหญิงทีมชาติไทย ให้สัมภาษณ์แสดงความพอใจในผลงานของลูกทีม พร้อมชื่นชมถึงวินัยและทัศนคติในการเล่น

 “ผมภูมิใจในตัวนักกีฬาทุกคนมาก เด็กๆ เล่นด้วยวินัยสูง ทำตามแผนที่ซ้อมมาอย่างเคร่งครัด และช่วยกันเล่นเป็นทีม นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในเกมระดับนานาชาติ”

โค้ชมิช่ายังกล่าวถึงศักยภาพของนักกีฬาหญิงไทยในระยะยาว โดยมองว่าหลายคนสามารถก้าวไปสู่เวทีที่สูงกว่านี้ได้  “จากที่ผมเห็น มีนักกีฬาหลายคนที่มีคุณภาพ ทั้งพื้นฐาน ทัศนคติ และความมุ่งมั่น หากได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และได้สัมผัสระบบการแข่งขันที่เข้มข้น ผมเชื่อว่านักกีฬาบางคนมีโอกาสไปเล่นในยุโรปได้จริง”

พร้อมกันนี้ โค้ชไมช่ายังย้ำถึงเป้าหมายในรอบต่อไปว่า ทีมจะไม่ประมาทคู่แข่ง และจะโฟกัสที่การพัฒนาฟอร์มการเล่นของตัวเองเป็นหลัก  “ไม่ว่าเราจะเจอกับใคร สิ่งสำคัญคือการเล่นตามมาตรฐานของเราเอง และยกระดับเกมให้ดียิ่งขึ้นในทุกนัด”

ศรัทธาถูกฉวยโอกาส! ตม.1 จับสึกพระกัมพูชาลอบเข้าเมือง สวมจีวรตระเวนบิณฑบาตกลางกรุง​ !!

ตม.1 ร่วมสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สนธิกำลังเข้ม จับพระกัมพูชาหลบหนีเข้าเมือง สวมจีวรออกบิณฑบาตในพื้นที่สาธารณะ เข้าข่ายฉวยโอกาสจากความศรัทธาประชาชน ก่อนทำพิธีสึกและส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย ย้ำช่วงสถานการณ์ชายแดนตึงเครียด เพิ่มการเฝ้าระวังต่างด้าวแฝงตัวสร้างสถานการณ์

ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี รอง ผบช.ศ. ปฏิบัติราชการ สตม., พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.พลสิทธิ์ สุทธิอาจ ผกก.สืบสวน บก.ตม.1, พ.ต.ท.ยศธน กระบิน รอง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 ที่กำชับให้ยกระดับตรวจเข้มต่างชาติ ในช่วงเวลานี้ มีรายงานเหตุปะทะประปรายตามแนวชายแดน เจ้าหน้าที่จึงได้ เพิ่มระดับการเฝ้าระวังพื้นที่อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมือง การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ และลดความเสี่ยงที่สถานการณ์ชายแดนจะถูกใช้เป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.68 เวลา 06.00 น. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และชุดปฎิบัติการธนบุรี กก.สืบสวน บก.ตม.1 นำโดย พ.ต.ต.ภัทรโชติ ฉัตรทวีศักดิ์ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 พร้อมชุดปฏิบัติการ ได้ทำการสืบสวนหาข่าวพบคนต่างด้าว มีพฤติกรรมแต่งกายคล้ายพระภิกษุ ออกบิณฑบาตในพื้นที่สาธารณะ โดยมีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นการแสวงหาประโยชน์จากศรัทธาประชาชน และอาจสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าบุคคลดังกล่าวเป็นคนต่างด้าวดังกล่าวมีสัญชาติกัมพูชา ไม่มีเอกสารอนุญาตประจำตัว และเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวมายังวัดวิสุทธาราม หรือวัดน้อย โดยมีพระครูปรีชาวุฒิกร เจ้าคณะเขตบางบอนและพระปลัดชัยมงคล คุตฺตสีโล เจ้าคณะแขวงบางบอน เป็นผู้สอบปากคำเบื้องต้น ก่อนทำพิธีสึกพระต่างด้าวทั้งสองรูปตามขั้นตอน เพื่อส่งดำเนินการตรวจสอบสถานะบุคคล และควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.บางขุนเทียนดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองต่อไป

เจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวน บก.ตม.1 ขอเน้นย้ำว่า คนต่างด้าวแต่งกายเลียนแบบพระภิกษุ หรือเป็นพระภิกษุ แต่ออกบิณฑบาตหรือเรี่ยไรเพื่อรับเงินหรือสิ่งของจากประชาชน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและบ่อนทำลายความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา หากประชาชนพบเห็นพฤติการณ์ลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สำนักงานพระพุทธศาสนา เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ มีรายงานเหตุปะทะตามแนวชายแดน

เจ้าหน้าที่สืบสวนกองกำกับการสืบสวน บก.ตม.1 จึงได้เพิ่มระดับการเฝ้าระวังพื้นที่อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมือง การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ และลดความเสี่ยงของกลุ่มบุคคลต่างด้าวที่อาจจะเข้ามาเพื่อสร้างสถานการณ์ ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนที่ตึงเครียดอยู่ในขณะนี้

“อัครา” ห่วงใยกลุ่มเปราะบาง-ปชช. ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่ง ทีม พม.ใกล้คุณจังหวัด เร่งช่วยเหลือ เยียวยาจิตใจ

วันที่ 17 ธันวาคม 2568 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ตามที่ ตนได้กำชับให้หน่วยงานทีม พม.ใกล้คุณจังหวัด ที่ประสบภัยจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา เร่งลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือดูแลกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีความเปราะบางมากที่สุด และต้องได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) กระทรวง พม. ว่า ทีม พม.ใกล้คุณ จังหวัดสระแก้ว ได้เร่งให้ความช่วยเหลือดูแลกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบภัย ซึ่งอพยพเข้ามาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว จังหวัดสระแก้ว โดยเก็บข้อมูลครัวเรือนเปราะบาง คัดกรองกลุ่มเปราะบาง และสำรวจความต้องการช่วยเหลือตามสิทธิสวัสดิการสังคมของกระทรวง พม. , ออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการตัดผม ร่วมกับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จังหวัดสระแก้ว และจัดกิจกรรมดูแลเยียวยาจิตใจ กิจกรรมนันทนาการ สร้างความผ่อนคลายความเครียด ลดความกังวล ให้กับเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และประชาชน อาทิ การร้องเพลงประกอบจังหวะ การวาดภาพระบายสี ฐานการเรียนรู้ และการออกกำลังกาย นอกจากนี้ ทีม พม.ใกล้คุณ จังหวัดสระแก้ว มีการประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย -กัมพูชา พร้อมรายงานปัญหาอุปสรรค และร่วมกันแนวทางการดำเนินงานช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง

นายอัครา กล่าวว่า สำหรับพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ นั้น ทีม พม.ใกล้คุณ จังหวัดสุรินทร์ ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ปฏิบัติการเชิงรุกในศูนย์พักพิงชั่วคราว หลายแห่งที่ทางจังหวัดจัดตั้งขึ้น เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือดูแลกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบภัย ได้แก่ การมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น อาทิ สิ่งของสนับสนุนจาก UNICEF สำหรับเด็กแรกเกิด -1 ปี , ชุดของใช้เด็ก (Baby Kit) และชุดสุขอนามัย (Hygiene Kit) , การเยียวยาสภาพจิตใจ , การสอบข้อเท็จจริงเพื่อมอบเงินสงเคราะห์สำหรับกลุ่มเปราะบาง และการจัดกิจกรรมนันทนาการเพื่อผ่อนคลายความเครียด อาทิ การบริการเพ้นท์เล็บและทาสีเล็บ การวาดรูประบายสี การเล่นเกมการศึกษาสำหรับเด็ก นอกจากนี้ ทีม พม.ใกล้คุณ จังหวัดสุรินทร์ ได้สอบถามความต้องการสิ่งของจำเป็นเร่งด่วน พบว่า ในพื้นที่ยังขาดแคลนผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ และนมกล่องรสจืด จำนวนมาก ซึ่งจะได้ประสานกระทรวง พม. และเครือข่ายท้องถิ่น เพื่อขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมต่อไป

นายอัครา กล่าวว่า สำหรับพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ นั้น ทีม พม.ใกล้คุณ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้เร่งให้ความช่วยเหลือดูแลกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยพิจารณาจ่ายเงินสงเคราะห์กรณีฉุกเฉิน , ให้คำแนะนำปรึกษาเรื่องสิทธิสวัสดิการสังคมของรัฐตามภารกิจกระทรวง พม. , เยียวยาจิตใจสร้างขวัญกำลังใจ , คัดกรองกลุ่มเปราะบางและสอบถามความต้องการช่วยเหลือเร่งด่วน , ร่วมประสานการจัดหาสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับกลุ่มเปราะบาง , จัดกิจกรรมนันทนาการและกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และจิตอาสา อาทิ การร้อยลูกปัด เล่นเกม วาดภาพ ระบายสีตุ๊กตาปูนพลาสเตอร์ เล่านิทาน เล่นบัตรคำ ร้องเพลง และเล่นดนตรี เพื่อสร้างความผ่อนคลายความเครียด ลดความกังวล และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และตั้งครัว พม. บุรีรัมย์ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ร่วมกับภาคีเครือข่าย

อย่างไรก็ตาม กระทรวง พม. ขอส่งกำลังใจ และความห่วงใยกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบภัยในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา และขอให้ทุกท่านปลอดภัยและสถานการณ์คลี่คลายคืนสู่ความสงบโดยเร็ว หากต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ติดต่อ “พม.ใกล้คุณ” พร้อมเคียงข้างคุณ โทร. 1300 สายด่วน พม. ตลอด 24 ชั่วโมง

กองทัพเรือ ขัดขวางขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติและ Cyber Scam ตามแนวชายแดนจันทบุรีอย่างต่อเนื่อง จับกุมบุคคลต่างด้าว 19 ราย

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี (กปช.จต.) ได้ดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและขัดขวางขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 เวลา 04.30 น. กปช.จต. โดย ฉก.นย.จันทบุรี (ชค.ทพ.นย.2) ร่วมกับกองร้อยทหารพรานนาวิกโยธินที่ 523 (บ้านสวนส้ม) ภายใต้การอำนวยการของ นาวาเอก วีระเชษฐ์ ขยันทำ หัวหน้าชุดควบคุมทางยุทธการ ชค.ทพ.นย.2 และการควบคุมการปฏิบัติของ ร้อยโท ทนงศักดิ์ วงษ์วิลัย ผู้บังคับกองร้อยฯ

ได้บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรสะตอน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 สย.3 และผู้นำท้องถิ่น

ผลการปฏิบัติ สามารถ จับกุมบุคคลต่างด้าวจำนวน 19 ราย ประกอบด้วย สัญชาติจีน 18 ราย และสัญชาติเมียนมา 1 ราย บริเวณไร่แตงโมด้านหลังฐานปฏิบัติการที่ 6 จากการตรวจสอบพบว่า ทั้งหมดไม่มีเอกสารการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยชอบด้วยกฎหมาย จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่ามีความพยายามจะหลบหนีเข้าไปในกัมพูชา โดยมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการผิดกฎหมาย Cyber Scam เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.สะตอน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ การปฏิบัติภารกิจดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และได้ยึดถือหลักสิทธิมนุษยชน โดยปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 อย่างครบถ้วนในทุกขั้นตอน

กองทัพเรือ ยืนยัน จะดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและขัดขวางขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติโดยเฉพาะอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Cyber Scam) ในประเทศกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสกัดกั้นและตัดตอน ไม่ให้ใช้พื้นที่ของประเทศไทยเป็นทางผ่านในการกระทำผิดกฎหมาย อันเป็นภัยต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาคมโลก และจะยังคงบูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อปกป้องอธิปไตย รักษาความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยของประชาชน

“นฤมล” เฝ้าฯ รับเสด็จ กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงเปิดเวทีวิชาการ Thailand-Japan Student Science Fair 2025 หนุนเยาวชนไทย-ญี่ปุ่นโชว์นวัตกรรมวิทยาศาสตร์ สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่สู่เวทีโลก

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.68 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงานประชุมวิชาการ Thailand-Japan Student Science Fair 2025 (TJ-SSF2025) โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กราบบังคมทูลรายงาน และเฝ้าฯ รับเสด็จ พร้อมด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ทรงคุณวุฒิที่ปรึกษา คณะกรรมการพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย คณะผู้บริหาร ครู และนักเรียน ณ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัส ว่า ในปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยากจะคาดการณ์ ซึ่งกำลังคุกคามชีวิตมนุษย์ อาทิ ภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเพิ่มพูนความเข้าใจถึงต้นเหตุของภัยพิบัติเหล่านี้ ช่วยให้เราสามารถพยากรณ์การเกิดภัย พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงนวัตกรรม เพื่อการเตือนภัยล่วงหน้า บรรเทาผลกระทบ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ

ดังนั้น ข้าพเจ้ามั่นใจว่าการประชุมครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพเยาวชน เพื่อสร้างนวัตกรรม และนำไปประยุกต์ใช้จริง ถือเป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วนของทุกประเทศ ด้วยการมอบการศึกษาที่มีคุณภาพ ทรัพยากรที่เพียงพอ การให้คำปรึกษาแนะนำ และโอกาสในการเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ที่กระตุ้นความใฝ่รู้ ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์ ด้วยความเข้มแข็งและอดทน เพื่อให้พวกเขาก้าวขึ้นเป็นนักวิจัยรุ่นใหม่ ที่จะทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการนำพาชาติบ้านเมือง ผ่านพ้นความเปลี่ยนแปลงและสร้างความก้าวหน้าในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการให้เข้มแข็ง และกระชับสายสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างเยาวชนไทยและญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่มีความหมายของปัญญาชนรุ่นใหม่ ไปช่วยขับเคลื่อนความก้าวหน้าของโลก ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม อันจะนำมาซึ่งความยั่งยืน ทั้งในประเทศของเราและประชาคมโลก

ศ.ดร.นฤมล กราบบังคมทูลรายงาน ความตอนหนึ่งว่า การจัดงานประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของนักเรียนไทยและญี่ปุ่น ประจำปี 2567 (Thailand-Japan Student Science Fair 2024) ครั้งนี้ นับเป็นเกียรติและเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสต้อนรับผู้เข้าร่วมงานกว่า 571 คน จากสถานศึกษา 75 แห่ง ประกอบด้วย คณะผู้บริหาร ครู และนักเรียน จากกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ทั้ง 18 แห่ง โรงเรียนคู่พัฒนา และโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั่วประเทศไทย ตลอดจนคณะนักเรียนจากโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำ (Super Science High Schools) และสถาบัน National Institute of Technology (KOSEN) จากประเทศญี่ปุ่น

ในโอกาสนี้ ขอพระราชทานพระราชานุญาตให้ตัวแทนนักเรียนจากประเทศไทย 1 กลุ่ม และตัวแทนนักเรียนจากประเทศญี่ปุ่น 1 กลุ่ม ได้นำเสนอผลงานทางวิชาการ ตามลำดับ จากนั้นขอพระราชทานพระราชานุญาต เบิกตัว ศาสตราจารย์ ดร. อามาโนะ ฮิโรชิ (Professor Dr. Amano Hiroshi) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประจำปี 2014 จากมหาวิทยาลัยนาโกย่า บรรยายพิเศษผ่านระบบออนไลน์ และเบิกตัว นายแพทย์ ธีรเมธ ปังประเสริฐ แพทย์ประจำบ้านด้านประสาทวิทยา โรงพยาบาลศิริราช เพื่อบรรยายในลำดับต่อไป

ศ.ดร.นฤมล กล่าวด้วยว่า การจัดงานในปีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ให้มีคุณภาพทัดเทียมกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำระดับนานาชาติ ตลอดจนเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนการนำเสนอผลงานวิชาการ และโครงงานวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นำของประเทศญี่ปุ่น

ภายในงานมีกิจกรรมประกอบด้วย การนำเสนอโครงงานนักเรียนในรูปแบบปากเปล่า ในสาขาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์, กิจกรรมนักเรียนในห้องปฏิบัติการ แบ่งเป็น 6 ห้อง ได้แก่ ห้องฟิสิกส์ ห้องโลกดาราศาสตร์ ห้องเคมีและวัสดุศาสตร์ ห้องสะเต็มและเทคโนโลยี ห้องชีววิทยาและสิ่งแวดล้อม และห้องคณิตศาสตร์, สำหรับกิจกรรมครู เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การพัฒนานักเรียนสู่การสร้างโครงงานที่มีประสิทธิภาพ, การเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างประเทศ จากการประชุมและนำเสนอผลงานวิชาการผู้นำทางการศึกษาระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น Thailand -Japan Educational Leaders Symposium หรือ TJ-ELS2025, การนำเสนอผลงานวิชาการ งานวิจัย และนวัตกรรมการเรียนการสอนของครู ตลอดจนการประชุมผู้บริหาร เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความร่วมมือ เพื่อพัฒนาคุณภาพของนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี พร้อมทั้งการลงนามความร่วมมือ MOU เพื่อขยายคู่มิตรใหม่และต่อ MOU เดิม

โฆษก ภท. เผย เตรียมเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเร็วๆ นี้ ชี้ พูดแล้วทำพลัส ขยายสิ่งที่ “รัฐบาลอนุทิน” ทำไว้ รับ มีข้อจำกัดหาเสียงชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมใช้การแนะนำตัวผ่านออนไลน์ช่วย

วันที่ 17 ธันวาคม 2568 ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย นางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย โฆษกพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงการเตรียมพร้อมการเลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทยว่า เป็นการเตรียมการการเลือกตั้งตามไทม์ไลน์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศ ได้มีการพูดคุยกับผู้สมัครในเรื่องของข้อปฏิบัติ ข้อควรระวังตามแบบแผนปกติ ของการเลือกตั้งอยู่แล้ว

ส่วนการชูสโลแกน “พูดแล้วทำ พลัส” มีความแตกต่างจากเดิมอย่างไรนั้น เป็นในเชิงสโลแกน เรายังยืนหยัดในจุดยืนและอุดมการณ์ของเรา ที่พูดแล้วทำให้สำเร็จ ส่วนคำว่า “พลัส” คือการขยายความ ทั้งแนวนโยบาย และทำให้ประชาชนเห็นว่า สิ่งที่เราทำสำเร็จมาแล้ว หรือสิ่งที่กำลังทำอยู่ในช่วง ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีสองเดือนที่ผ่านมา จะแตกต่างจากสโลแกนที่ผ่านมาอย่างไรนั้น ก็มีทั้งการขยายแนวนโยบาย ครบทุกมิติของประเทศ ซึ่งนายอนุทิน ได้พูดเอาไว้ในแนวหลัก ๆ

สำหรับช่วงสัปดาห์นี้ มีนักการเมือง มีแกนนำบ้านใหญ่เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย มีจำนวนเท่าไหร่ และจะมีเข้ามาเพิ่มเติม อีกหรือไม่ นางสาวแนน บุณย์ธิดา กล่าวว่า เรามีผู้ที่สนใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรค และมีความประสงค์จะลงรับเลือกตั้งในนามของพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเป็นหลายคน บางคนอาจจะบอกว่าเป็นบ้านใหญ่ ซึ่งมีทุกกลุ่ม กลุ่มอาชีพ ส่วนประเด็นบ้านใหญ่ ที่หลายคนอาจมองว่า พรรคภูมิใจไทย รวมไปด้วยบ้านใหญ่ ต้องขอบอกว่า เรามีหลากหลาย ซึ่งเราแสดงให้เห็นว่าเรามีความพร้อมในการทำงาน พร้อมในเรื่องของการลงพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วในที่ต่าง ๆ ถึงความพร้อมในการทำงาน ดูแลประชาชนในพื้นที่

ส่วนประมาณการณ์จะได้ที่นั่ง สส.จำนวนเท่าไหร่นั้น ต้องย้อนไปฟัง คำให้สัมภาษณ์ของ นายอนุทิน ที่ได้ประมาณการเอาไว้ แต่แน่นอนว่า ตอนนี้เป็นแค่การประมาณการเท่านั้น ไม่ใช่แค่ทางเรา แต่เป็นทางสื่อด้วย มีหลายพื้นที่ มีหลายตัวเลข แต่พวกเรายืนยันว่า จะทำให้ดีที่สุดในทุกพื้นที่

ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย ว่าจะเปิดตัวเมื่อไหร่ และจะมีครบทั้ง 3 คนหรือไม่ นางสาวแนน บุณย์ธิดา โฆษก ภท. กล่าวว่า จะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ และจะเปิดตัวแน่นอน ซึ่งถ้าให้ฉายหนังตัวอย่างก่อน ก็เป็นอย่างที่นายอนุทินเคยพูดเอาไว้ คือเราเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากการทำงาน จากประสบการณ์ด้านต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้ทุกท่านที่มีความสามารถ ไม่ใช่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่เป็นแคนดิเดตทุกอย่างของพรรค ที่เราเลือกจากหลายมิติ คือทุกคนต้องพร้อมทำงาน ซึ่งสำคัญที่สุด ส่วนแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีอีก 2 คน จะเป็น นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายเอกนิติ นิติทัฑณ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือไม่นั้น ต้องรอดูอีกที

ส่วนการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานี จะได้ที่นั่ง สส. ยกจังหวัดหรือไม่ นางสาวแนน บุณย์ธิดา ในฐานะอดีต สส.อุบลราชธานี กล่าวว่า ไม่กล้าพูดขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ความไม่สงบก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์ครั้งแรก ว่าช่วงเลือกตั้งมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น และกินพื้นที่หลายจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะโซนอีสานใต้ แต่รวมไปถึงภาคตะวันออกด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ในเรื่องของการเข้าถึงประชาชน ในยุคสมัยนี้ ไม่ใช่แค่การติดป้ายหาเสียงอย่างเดียว แต่ยังมีสื่อออนไลน์ ที่จะสามารถเข้าหาประชาชน ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อยู่แล้ว

ดส.ผนึกกรมแพทย์แผนไทย บุกทลายโกดังปลูกกัญชาเถื่อนกลางกรุง ยึดกว่า 1,600 ต้น มูลค่ากว่า 1.6 ล้านบาท

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมกรมการแพทย์แผนไทย บุกค้นโกดังย่านบางกระดี่ หลังชาวบ้านร้องกลิ่นกัญชาคลุ้ง พบชาวเวียดนาม 3 ราย ลอบปลูกกัญชาเชิงพาณิชย์ไร้ใบอนุญาต ยึดของกลางกว่า 1,685 ต้น น้ำหนักรวมกว่า 168 กิโลกรัม ก่อนคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น.

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผบช.น.ดูแลงานยาเสพติด พ.ต.อ.ศุภชัย ชัยสุวรรณ ผกก.ดส.บช.น. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ท.หญิง ชาดา เสสะเวช สว.กก.ดส. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.ดส.ชุดปฏิบัติการที่ 3 และเจ้าหน้าที่กรมการแพทย์แผนไทย

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผบช.น.

ร่วมกันจับกุมนายเหงียน ดึ๊ก อัน (NGUYEN DUC ANH) อายุ 28 ปี สัญชาติ เวียดนาม นายโด แวน เบย์ (DO VAN BAY) อายุ 27 ปี สัญชาติเวียดนาม นายดัง ซือ ไท (DANG SY TAI) อายุ 35 ปี สัญชาติเวียดนาม พร้อมกลาง ของกลาง รวมทั้งหมดจำนวน 1,685 ต้น น้ำหนักช่อดอกกัญชาต่อต้น ประมาณ 100 กรัม น้ำหนักรวม 168.5 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,685,000 บาท จับกุมได้โกดังแห่งหนึ่งบริเวณ ซ.บางกระดี่ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจากพลเมืองดี ร้องเรียนโกดังบริเวณ ซ.บางกระดี่ มีกลิ่นกัญชาโชยออกมารุนแรงตลอดทั้งวัน สงสัยว่าจะมีการลักลอบปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต พ.ต.อ.ศุภชัย ชัยสุวรรณ ผกก.ดส.,พ.ต.ท.ปียรัช เวสสะโกศล รอง ผกก.ดส. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ท.หญิง ชาดา เสสะเวช สว.กก.ดส.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.ดส.ชุดปฏิบัติการที่ 3 ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้น ศาลแขวงธนบุรี ที่ 52/2568 ลงวันที่ 16 ธ.ค.68 จากการเข้าค้นพบ ชาวเวียดนาม 3 นาย จากการสอบสวนยอมรับเป็นคนปลูกต้นกัญชาในโกดังดังกล่าว มีการจัดตั้งบริษัทมาเพื่อทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาแต่ยังไม่ได้ขอใบอนุญาตในการทำธุรกิจดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการจับกุม แจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันฝ่าฝีนศึกษาวิจัยหรือส่งออก สมุนไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 มาตรา 46” นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 นาย พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สน.แสมดำ เพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป