อดีต FBI เปิดตัวหนังสือ “Beyond the Badge” เผยเบื้องลึกปฏิบัติการคดีสำคัญ “ผู้ช่วยก้อง” ชื่นชมเคยช่วยตำรวจไทยคลี่คลายคดีซับซ้อน การันตีหนังสือสนุก สะท้อนประสบการณ์จริง

เอเชียบุ๊กส์ เซ็นทรัลเวิลด์, เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายจอห์น ชาคนอฟสกี (Mr.John Schachnovsky) อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ FBI ประจำประเทศไทย ผู้มากไปด้วยประสบการณ์ ได้จัดงานเปิดตัวหน้าสือ “Beyond the Badge : Crime, Justice, and the FBI in Thailand” ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกของเจ้าตัว เล่าถึงเบื้องลึกเบื้องหลังประสบการณ์ในการปฏิบัติภารกิจของเขาในฐานะ FBI ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเคยมีปฏิบัติการร่วม กับนายจอห์น และทีมเจ้าหน้าที่สหรัฐในการคลี่คลายคดีสำคัญหลายคดี ให้กียรติเป็นผู้เขียนคำนำให้หนังสือเล่มดังกล่าว

พล.ต.ท.จิรภพ ขึ้นกล่าวในงานเปิดตัวหนังสือว่า การได้มายืนอยู่ตรงนี้เพื่อเฉลิมฉลองหนังสือที่ยอดเยี่ยมเล่มนี้ ร่วมกับ จอห์น ซึ่งเป็นผู้เขียน มีความหมายต่อตนมากจริง ๆ ที่ผ่านมามีโอกาสได้ร่วมงานกับจอห์นในช่วงที่เขามาอยู่ที่ประเทศไทย และตนบอกได้จากประสบการณ์ว่า เขาเป็นผู้อุทิศตน มีความซื่อสัตย์ และมีวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมในทุกๆ คดีที่เราร่วมกันรับผิดชอบ

“จอห์นไม่ใช่แค่ตัวแทนจากเอฟบีไอ แต่เขาเป็นพันธมิตรที่แท้จริงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย ความมุ่งมั่นในการทำงานข้ามวัฒนธรรม และความเป็นมืออาชีพของเขาช่วยให้เราคลี่คลายคดีที่ซับซ้อนที่สุดบางคดีได้ เขารับมือกับความท้าทายของการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและเคารพ และด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เคยร่วมงานกับเขาจึงชื่นชมเขาอย่างมาก” ผู้ช่วยผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่สนุกน่าอ่านเท่านั้น แต่ยังสะท้อนประสบการณ์จริงจากชายผู้เข้าใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังข่าวพาดหัว การเขียนคำนำถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับตน ไม่ใช่แค่เพราะการทำงานร่วมกันและมิตรภาพของเรา แต่เพราะตนเชื่อมั่นอย่างแท้จริงในมุมมองที่เขาแบ่งปันในหนังสือเล่มนี้หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเข้าถึงผู้คนได้อย่างกว้างขวาง และหวังว่ามิตรภาพและความร่วมมือของเราจะคงอยู่ต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า

ด้านนายเบน เวอร์ชู (Mr. Ben Virtue) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ FBI ประจำประเทศไทย คนปัจจุบัน กล่าวในงานเดียวกันว่า เขาเป็นเพื่อนกับจอห์นมายาวนานกว่าสิบปี ทั้งในและนอกเวลางาน จอห์นเป็นคนขยันทุ่มเทในการทำงาน สิ่งต่าง ๆ ที่เขาเขียนในหนังสือเล่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ของเขา ที่สำคัญจอห์นเป็นผู้ปูทางให้กับความสัมพันธ์ระหว่าง FBI กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

ขณะที่นายจอห์น กล่าวถึงสาเหตุที่เขียนหนังสือเล่มนี้ว่า เพื่อเล่าให้ผู้คนฟังว่า 1. FBI ที่ประจำการอยู่ต่างประเทศทำอะไรบ้าง, 2. การทำงานหนักของตำรวจไทย เพราะต้องยอมรับว่าภาพของตำรวจไทยมักจะไม่ค่อยถูกนำเสนอในเชิงบวก ภาพยนตร์ และรายการโทรทัศน์มักแสดงภาพตำรวจในบทบาทตัวตลกหรือไร้ความสามารถ แต่ตนอยากแสดงให้เห็นถึงตำรวจไทยในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทุ่มเท มีทักษะ และมีความมุ่งมั่นอย่างที่เคยร่วมงานด้วย 3. การร่วมมือระหว่างประเทศของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย เพราะไม่ใช่แค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ทุกชาติมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายมาประจำการในประเทศไทย จึงต้องการแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้อดีตเจ้าหน้าที่ FBI ประจำประเทศไทย ได้ยกตัวอย่างเรื่องในหนังสือที่แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่เป็นสิ่งที่เขาประทับใจ ว่า เขาได้รับการประสานงาน FBI ที่ประจำการอยู่ในประเทศแอฟริกาใต้ และรับผิดชอบหลายประเทศใกล้เคียงรวมทั้งโมซัมบิก ว่ามีอาชญากรรายสำคัญที่ก่อคดีลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ และฆาตกรรมเหยื่อกว่า 50 คดี หลบหนีมากบดานในประเทศไทย ซึ่งตำรวจโมซัมบิกต้องการตัวคนร้ายรายนี้กลับไปดำเนินคดีแต่ไทยกับโมซัมบิกไม่มีสนธิสัญญาความร่วมมือส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน จึงขอให้เขาช่วยเป็นตัวกลางประสานงาน ซึ่งเขาอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีกับตำรวจไทยเชื่อมให้ 2 ฝ่ายได้พบกัน และด้วยสำเนียงที่ต่างกันแม้จะสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ทำให้เขาต้องช่วยแปลจาก “อังกฤษ เป็นอังกฤษ” จนในที่สุดนำไปสู่ความร่วมมือในการจับกุม และส่งตัวอาชญากรตัวเอ้รายนี้ไปเข้ากระบวนการยุติธรรมที่ประเทศต้นทาง

“แม้บทบาทของผมจะมีแค่เป็นล่ามแปลจากภาษาอังกฤษเป็นอังกฤษ แต่ผมก็ประทับใจเคสนี้ เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดี” ผู้เขียนหนังสือ“Beyond the Badge” กล่าวติดตลก

ทั้งนี้ผู้ที่สนใจหนังสือ “Beyond the Badge : Crime, Justice, and the FBI in Thailand” ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ สามารถหาซื้อได้จากร้าน Asia Books ทุกสาขา และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ รวมทั้งหาซื้อได้ทางออนไลน์จาก Amazon.com ส่วนเวอร์ชั่นแปลภาษาไทยอยู่ระหว่างการดำเนินการโดยสำนักพิมพ์อัมรินทร์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถวางจำหน่ายได้ในช่วงต้นปีหน้า

CIB–อย. ทลาย “4×100 มรณะ” ล้ม 3 เครือข่าย ยึดยาเขียวเหลืองกว่า 1.3 ล้านเม็ด มูลค่ากว่า 20 ล้าน

ตำรวจสอบสวนกลางผนึกกำลัง อย. ปูพรมค้น 10 จุด 4 จังหวัด ตัดวงจรยาพิษมอมเมาเยาวชน “4×100” ยึดยาแก้ไอ-ทรามาดอลอื้อ จับผู้ต้องหาสวมรอยเภสัชกร เดินหน้าขยายผลเอาผิดถึงต้นตอ

พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก.

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ ทลายเครือข่ายลักลอบจำหน่าย “ยาเขียวเหลือง” (ทรามาดอล) และยาแก้ไอ เพื่อนำไปผสมกับน้ำกระท่อม หรือที่เรียกว่า “4×100” ซึ่งเป็นภัยร้ายต่อเยาวชน โดยเข้าตรวจค้นพร้อมกัน 10 จุด ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี สมุทรปราการ สิงห์บุรี และกรุงเทพมหานคร

ปฏิบัติการดังกล่าวอยู่ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. พร้อมผู้บริหาร บก.ปคบ. และผู้บริหาร อย. ระดมกำลังกวาดล้าง 3 เครือข่ายหลัก ทั้งเครือข่ายจำหน่ายยาในพื้นที่ภาคตะวันออก–กรุงเทพฯ และเครือข่ายโรงงานผลิตยาแก้ไอปลอมใน จ.สิงห์บุรี

ผลการตรวจค้นสามารถตรวจยึดของกลางกว่า 300 รายการ มูลค่ารวมกว่า 20 ล้านบาท ประกอบด้วย ยาทรามาดอลรวม 1,366,810 แคปซูล ยาแก้ไอ–ยาแก้แพ้ 10,496 ขวด ยาอื่น ๆ รวมถึงเครื่องจักร วัตถุดิบ และบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตยาแก้ไอปลอมจำนวนมาก พร้อมจับกุมผู้ต้องหา 1 ราย ฐานประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมโดยมิได้รับใบอนุญาต และอยู่ระหว่างรอผลตรวจพิสูจน์ของกลางเพื่อเรียกผู้เกี่ยวข้องรายอื่นมารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม

จากการสืบสวนพบว่า เครือข่ายดังกล่าวอาศัยการเปิดสถานพยาบาลหรือร้านขายยาเพื่อขอรับโควตาซื้อยา ก่อนลักลอบนำไปเก็บในสถานที่ไม่ได้รับอนุญาต และโพสต์ขายผ่านช่องทางออนไลน์ กระจายสู่กลุ่มวัยรุ่นและร้านขายน้ำกระท่อมในชุมชน ขณะที่อีกเครือข่ายหนึ่งลักลอบผลิตยาแก้ไอปลอม ส่งขายให้ร้านยาในแหล่งระบาด เพื่อนำไปผสมเสพสร้างความมึนเมา

ภญ.สุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการ อย. ระบุว่า พบการสั่งซื้อทรามาดอลในปริมาณนับล้านแคปซูลในช่วงปี 2567–2568 ซึ่งผิดปกติ จึงประสาน บก.ปคบ. สืบสวนจนพบการรั่วไหลสู่ตลาดมืด เตือนผู้ประกอบการอย่านำใบอนุญาตไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพราะจะถูกพักใช้ใบอนุญาตและดำเนินคดีถึงที่สุด พร้อมขอประชาชนช่วยแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน อย. 1556

ด้าน พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. ย้ำว่า ปฏิบัติการครั้งนี้คือการ “ตัดตอนต้นทางทำลายเยาวชน” ไม่ใช่เพียงตัวเลขการจับกุม พร้อมเน้นว่า “ทรามาดอล” เป็นยาควบคุมพิเศษ การลักลอบจำหน่ายเพื่อเสพถือเป็นการวางระเบิดเวลาทางสังคม เจ้าหน้าที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ดำเนินคดีกับทุกเครือข่ายถึงที่สุด และขอความร่วมมือประชาชนแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ปคบ. 1135 หรือเพจ “ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค”

CIBรวบมือยิงกลางเมืองสุราษฎร์ธานี หนีคดีกว่า 10 ปี กบดานจันทบุรี

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ป., พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว รอง ผบก.ป., ว่าที่ พ.ต.อ.เนติวิทย์ ธนาสิทธิ์นิติกุล ผกก.2 บก.ป.,พ.ต.ท.พงศกร ตันอารีย์, พ.ต.ท.พลวุฒิ ผาตินุวัติ, พ.ต.ท.ทัตพร เลขะวัฒนพงษ์, พ.ต.ท.สิทธิพร มีอาษา, พ.ต.ท.ปรัชญ์ แม้นเดช รอง ผกก.2 บก.ป.

เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุม กก.2 บก.ป. นำโดย พ.ต.ต.หญิง นฤมล กัวซือกุ สว.กก.2 บก.ป.,พ.ต.ต.สหรัฐ ยิ่งยวด, ว่าที่ พ.ต.ต.เตมีย์ นาคะวิสุทธิ์ สว.กก.2 บก.ป., ด.ต.บัณฑิต น้อยสุวรรณ ผบ.หมู่ กก.2 บก.ป., ด.ต.อรรถพล บุญลิลา, ด.ต.ธีระพัทธ์ บุรี และ ส.ต.ท.ขันติศักดิ์ ฉายาพัฒน์ ผบ.หมู่ กก.2 บก.ป.

ร่วมกันจับกุม นายธวัชชัยฯ อายุ 32 ปี หมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ 21/2558 ลงวันที่ 23 ม.ค.58
ข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว”

ย้อนรอยเหตุการณ์อุกอาจกลางเมือง เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2558 บริเวณด้านหน้าสำนักงานการบินไทย
ในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี โดยผู้ก่อเหตุได้ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้าประกบและใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้บาดเจ็บ
ในระยะเผาขน 6นัด กระสุนเข้าที่บริเวณด้านหลัง ส่งผลให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งแสดงถึง
ความไม่เกรงกลัวกฎหมายของผู้ก่อเหตุ สืบสวนแกะรอยนานนับ 10 ปี หลังเกิดเหตุ ผู้ต้องหาได้หลบหนีการจับกุม ออกจากพื้นที่ภาคใต้ และขาดการติดต่อไปเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ป.
ไม่ได้ละความพยายาม ได้ทำการสืบสวนแกะรอยเรื่อยมาจนกระทั่งพบเบาะแสว่า ผู้ต้องหาได้หนีมากบดานและใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ภาคตะวันออก เป็นเวลาร่วม 10 ปี

ปิดฉากการหลบหนีที่จันทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังบุกเข้าทำการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น, และข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว”

ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาทั้งสองรายให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาส่ง
พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ถือเป็นการปิดคดีสำคัญที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจ

เตือนประชาชน รัฐจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการรายย่อย

วันที่ 16 ธันวาคม 2568 นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป รัฐบาลจะเริ่มบังคับใช้มาตรการจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และอากรขาเข้า สำหรับสินค้านำเข้าทุกชิ้น ตั้งแต่มูลค่า 1 บาทขึ้นไป ซึ่งเป็นการยกเลิกการยกเว้นอากรขาเข้าที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าและคุ้มครองผู้ประกอบการไทย

รองโฆษกฯ ชี้แจงว่า ปัจจุบันจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ยังคงจัดเก็บเฉพาะ VAT 7% เท่านั้น โดยยังไม่เก็บอากรขาเข้า และเมื่อเข้าสู่ปี 2569 จะจัดเก็บ ทั้ง VAT และอากรขาเข้า ตามพิกัดศุลกากรของสินค้า

สำหรับคำถามจากประชาชนกรณีการเก็บจะเก็บอย่างไร และของจะช้าไหม เรื่องดังกล่าว รองโฆษกฯ ระบุว่า ขั้นตอนการจัดเก็บภาษีได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว และ ไม่ทำให้การรับสินค้าล่าช้ากว่าปกติ

ทั้งนี้ กรณีนำเข้าทางไปรษณีย์ไทย ทางเจ้าหน้าที่ประเมินภาษีหน้ากล่อง และหากผู้รับอยู่บ้าน สามารถชำระภาษีผ่าน QR Code ได้ทันที แต่กรณีที่หากต้องรับที่ไปรษณีย์ อาจใช้เวลาตรวจเพิ่ม 3–5 วันเฉพาะกรณีสุ่มตรวจ

ส่วนกรณีนำเข้าทางบริษัทขนส่งด่วน (Courier) กรณีนี้ บริษัทขนส่งจะสำแดงและชำระภาษีแทนล่วงหน้า ส่วนผู้รับชำระคืนเมื่อรับสินค้า และระยะเวลาขนส่งโดยรวม ใกล้เคียงเดิม

เหตุผลสำคัญของมาตรการ รองโฆษกฯ กล่าวว่า มาตรการนี้จะช่วยลดการสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี และช่วยลดการนำเข้าสินค้าราคาถูกผิดปกติเข้ามากระทบตลาดในประเทศ โดยคาดว่าจะสร้างรายได้เข้ารัฐ ไม่น้อยกว่าปีละ 3,000 ล้านบาท และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มออนไลน์หลายแห่งได้เริ่มปรับระบบเพื่อ เก็บ VAT ณ ที่จ่าย ตั้งแต่ขั้นตอนสั่งซื้อ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ลดความยุ่งยากในการชำระภาษีปลายทาง

รองโฆษกฯ ย้ำว่า ขอให้ประชาชนและผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า โดยเฉพาะผู้นำเข้าสินค้ามาจำหน่าย ซึ่งตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป จะมีต้นทุนด้านอากรขาเข้าเพิ่มขึ้นตามประเภทสินค้า พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลเดินหน้ามาตรการนี้อย่างรอบคอบ โปร่งใส และคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนเป็นสำคัญ

ผบ.ตร.เยี่ยมให้กำลังใจ ตชด.แนวหน้า ย้ำดูแลกำลังพลเต็มที่

ผบ.ตร.เยี่ยมให้กำลังใจ ตชด.แนวหน้า ที่ส่งมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ และตำรวจที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ยืนยันสำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลเต็มที่

วันนี้ (16 ธันวาคม 2568) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เดินทางไปเยี่ยม ด.ต.อภินันท์ ลาโพธิ์ ผบ.หมู่ กก.ตชด.22 เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนแนวหน้าที่ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยเคียงข้างกองทัพ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะแล้วรับการรักษาเบื้องต้นก่อนกลับไปปฏิบัติหน้าที่แนวหน้าทันที จนกระทั่งได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งที่ 2 จึงส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลตำรวจเมื่อวานนี้ โดยมี พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8) รักษาราชการแทนนายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ ร่วมตรวจเยี่ยมและดูแลใกล้ชิด

ผบ.ตร. ได้แสดงความห่วงใยและให้กำลังใจ ด.ต.อภินันท์ฯ ยืนยันสำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลสวัสดิการตำรวจเต็มที่ พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สำราญ นวลมา รอง ผบ.ตร. จัดส่งอุปกรณ์ในการดูแลป้องกันตนเองให้กับตำรวจตระเวนชายแดนแนวหน้า โดยขณะนี้ได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ว่าได้รับอุปกรณ์ดังกล่าวและส่งถึงมือตำรวจตระเวนชายแดนเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ ด.ต.อภินันท์ฯ กล่าวว่า ยังมีกำลังใจดี และพร้อมดูแลประชาชน ปกป้องอธิปไตยชาติอย่างเต็มกำลัง โดยหากหายจากอาการบาดเจ็บก็พร้อมกลับไปปฏิบัติหน้าที่แนวหน้าทันที ซึ่ง ผบ.ตร.ได้ชื่นชม ด.ต.อภินันท์ฯ พร้อมตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจในพื้นที่ทุกนาย ในความเข้มแข็ง กล้าหาญ ยืนยันว่า ในฐานะ ผบ.ตร.จะสนับสนุนและดูแลทุกนายอย่างดีที่สุด

นอกจากนี้ ผบ.ตร.ได้นำกระเช้าและเงินช่วยเหลือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ มอบให้ ด.ต.อภินันท์ฯ และข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ที่มารักษาตัวยังโรงพยาบาลตำรวจ อีก 5 ราย ได้แก่ ร.ต.ท.วิทยา ฉลวย รอง สว.(จร.) สน.สำราษฎร์, ร.ต.ต.ชัยยุทธ ชุมชน รอง สว.(จร.) งานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีฯ กก.2 บก.จร., ด.ต.ชัยยุทธ์ สุจริต ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เมืองลพบุรี, ด.ต.วิชิต แก้วฉิม ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เกาะช้าง และจ.ส.ต.วิสูตร ผดุง ผบ.หมู่ สน.วังทองหลาง โดยได้ให้กำลังใจพร้อมกำชับให้คณะแพทย์โรงพยาบาลตำรวจดูแลทุกนายให้ดีที่สุด

ดาบฟาดวงการอีสปอร์ต! การีนาประกาศแบนแข้ง RoV หลัง TESF ชี้ผิดกติกาซีเกมส์ 33

ไม่ละเว้นแม้เวทีซีเกมส์ การีนาเคารพคำตัดสิน TESF ฟันโทษแบนถาวรจากทุกรายการ RoV มีผลทันที 16 ธ.ค. 2568 ย้ำจุดยืนรักษามาตรฐาน โปร่งใส และความยุติธรรมของอีสปอร์ตไทย

ทางการีนาได้รับทราบประกาศอย่างเป็นทางการจากสมาคมกีฬาอีสปอร์ตแห่งประเทศไทย (TESF) กรณีการกระทำผิดกติกาในการแข่งขันอีสปอร์ต รายการ Arena of Valor ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33

ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเทคนิค ได้มีคำตัดสินอย่างเป็นทางการว่า นางสาวณภัทร วราสินธ์ (Naphat Warasin) นักกีฬาประเภททีมหญิง รายการ Arena of Valor ได้กระทำผิดกฎระเบียบการแข่งขัน และมีผลให้ถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันอีสปอร์ตในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การีนาเคารพคำตัดสินดังกล่าว และเพื่อรักษามาตรฐานการแข่งขัน มาตรฐานความประพฤตินักกีฬา รวมถึงความเป็นธรรมและความน่าเชื่อถือของการแข่งขันอีสปอร์ต การีนาขอประกาศแบน นางสาวณภัทร วรสิทธิ์ ออกจากการแข่งขัน Arena of Valor ทุกรายการการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยการีนา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป

การีนายังคงยืนยันจุดยืนในการยึดมั่นกฎ กติกา และมาตรฐานการแข่งขันอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความถูกต้อง ความโปร่งใส และจริยธรรมของการแข่งขันอีสปอร์ต

Garena RoV Thailand

สืบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ใช้เวลา 5 ชม. รวบหนุ่มหลอกจำนำทอง ก่อนตามเงินคืนเจ้าของร้าน 5.2 แสนบาท

เมื่อเวลา 22.00 น. ( 15 ธ.ค. ) พลตำรวจตรี เกียรติคุณ สนธิเณร ผบก.น.2 พ.ต.อ.ยุทธศิลป์ การินทร์ ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง สั่งการให้ พ.ต.ท.ปกป้อง ฟองเลา รอง ผกก.สส.สน.ทุ่งสองห้อง พ.ต.ท.รัชพล เหลากลม สว.สส.สน. ร.ต.อ.อมรพล เทพหัตถี ร.ต.ท.อภิรมณ์ ชาวโพธิ์สระ ร.ต.ต.ชัชวาลย์ กระจับหอม ร.ต.ต.นันทวัฒน์ ประสิทธิ์สิเศษ รอง สว.สส.สน.ทุ่งสองห้อง กำลังฝ่ายสืบสวน ทำการสืบสวนและจับกุมนายวิชญ์ศรุต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ชาวจ.อุทัยธานี พร้อมของกลาง ชุดที่ใส่ก่อดหตุ สร้อยข้อมือวัสดุโลหะสีทองคำที่คนร้ายสวมใส่ขณะก่อเหตุ จำนวน 1 เส้น ทองคำรูปพรรณ ( ปลอม ) หนัก 10 บาท จำนวน 1 เส้น และเงินสดจำนวน 520,000 บาท และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อมาสด้า รุ่นมาสด้า 2 จำนวน 1 คัน โดยจับกุมได้บริเวณเชิงสะพานพิบูลสงคราม ถนนประชาราษฎร์สาย 1 แขวงบางชื่อ เขตบางซื่อ กทม.

โดยก่อนการจับกุมเวลาประมาณ ฝ่ายสืบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ สน.ทุ่งสองห้อง ว่ามีเหตุคนร้ายนำสร้อยคอทองคำปลอมมาหลอกจำนำ ให้กับร้านทองแห่งหนึ่งใกล้ห้างสรรพสินค้าชื่อดังริมถนนแจ้งวัฒนะ โดยคนร้ายได้เงินสดจากการจำนำทองคำปลอมไปเป็นเงินจำนวน 520,000 บาท

ภายหลังได้รับแจ้งตำรวจฝ่ายสืบสวน ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่ไปตรวจสอบร้านทองดังกล่าว โดยทางเจ้าของร้านได้นำสร้อยคอทองคำปลอมของกลาง และข้อมูลบัตรประชาชนที่คนร้ายนำมาเป็นหลักฐานในการจำนำให้กับเจ้าหน้าที่ และจากการตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดภายในร้าน จนทราบว่าคนร้ายรายนี้คือนายวิชญ์ศรุต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ได้ขับรถเก๋งยี่ห้อมาสด้า รุ่นมาสด้า 2 มาจอดที่ริมถนนก่อนจะเดินเข้ามาที่ร้านแล้วถอดสร้องคอทองคำปลอมที่สวมอยู่ที่คอออกมาให้ทางร้านเพื่อขอจำนำ และหลังจากทางร้านได้ตรวจสอบแล้วจึงนำเงินสดจำนวน 520,000 บาท ส่งให้คนร้ายเมื่อได้เงินก็เดินออกจากร้านไป

จากแนวทางการสืบสวนพบว่าคนร้ายได้หลบหนีไปพักอาศัยอยู่บ้านหลังหนี่งใกล้เชิงสะพานพิบูลสงคราม ถนนประชาราษฎร์สาย 1 จึงเดินทางไปตรวจสอบและพบชายซึ่งมีลักษณะรูปพรรณ รวมถึงการแต่งกายตรงกับภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด ฝ่ายสืบสวนจึงได้เข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอตรวจสอบ พบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับข้อมูลที่ทางร้านทองแจ้งไว้

ซึ่งจากการซักถามเบื้องต้นนายวิชญ์ศรุต ยอมรับว่าได้นำสร้อยคอทองคำปลอมไปจำนำที่ร้านทองดังกล่าวจริง แต่ให้การวงวนเรื่องเงินที่ได้จากการจำนำจำนวน 520,000 บาทอยู่ที่ไหน เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวมาทำการสอบสวนต่อที่ สน.ทุ่งสองห้อง ก่อนจะให้การยอมรับและนำเงินมาคืน พร้อมยอมรับว่ามีคนที่รู้จักกันในโซเชียลให้นำทองไปจำนำกับร้านทองซึ่งเขาจะระบุมาว่าจะให้ไปที่ร้านไหน และเคยนำทองปลอมไปจำนำกับร้านทองก่อนหน้านี้มา 7 ครั้ง ในพื้นที่ลาดพร้าว บางแสน พัทยา สัตหีบ

ส่วนทองที่นำมาก่อเหตุนั้นคนจ้างเป็นคนหามาให้โดยจะให้ตนเองไปเอาตามจุดที่วางไว้ซึ่งทุกครั้งจะเป็นเส้นละ 10 บาท และจะเป็นการจำนำ ไม่ได้ขายขาด เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของทางร้าน เพราะรู้ว่าร้านไม่กล้าขูดตัวเา้นทองที่จะทำให้ทองเกิดความเสียหาย ซึ่งจะมีส่วนที่เป็นทองแท้เพียงแค่ตัวตะขอที่ทางร้านจะตรวจ และก่อนหน้าที่จะมาร้านนี้คนจ้างได้บอกให้ไปที่ร้านแรกย่าน ม.ธุรกิจ แต่กลับเปลี่ยนใจให้มาที่ร้านนี้ ซึ่งตนจะแต่ตัวให้ดูหรู ใส่สร้อยข้อมือเส้นใหญ่ ใส่แหวนทองวงใหญ่ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ แล้วนำทองคำรูปพรรณปลอม น้ำหนัก 10 บาท ที่คอออกมาจำนำโดยทางร้านให้ในราคาบาทละ 52000 บาท รวมเป็นเงินกว่า 520000 บาท

ด้านเจ้าของร้านยอมรับว่าทางร้านผิดพลาดในการตรวจสอบจริง แต่โดยปกติแล้วร้านทองจะไม่ได้ค่อยกล้าขูดหรือตัดตัวสร้องที่ลูกค้ามาจำนำเพร่ะความเสียหายจะสูง ส่วนเส้นนี้ทำไมถึงยอมรับจำนำไว้ เนื่องจากตรวจสอบด้วยตา หรือชั่งน้ำหนักจะไม่มีความแตกต่างจากของจริง และเมื่อตรวจสอบรายละเอียดก็พบว่ามีตราประทับของร้านทองชื่อดัง และเมื่อทำการตรวจสอบที่ตะขอด้วยน้ำยาก็เป็นทองจริง แต่ถ้าหากลูกค้านำมาขายทางร้านก็สามารถตัดสินใจตัดเพื่อดูแกนกลางหรือเผาหลอมได้เลย เชื่อว่าทองที่นำมาหลอกต้องเป็นช่างทองที่มีความชำนาญ และทำทองในลักษณะนี้มาหลอกร้านทองโดยเฉพาะ ซึ่งก็ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนที่ทำงานไวจับคนร้ายพร้อมนำเงินกลับมาคืนได้ครบตามจำนวน

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ทำการขอตรวจปัสสาวะ ซึ่งผู้ต้องหายอมรับเองว่าเสพยาไอซ์มา และยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การเนื่องจากมีการจับกุมในลักษณะเดียวกันทั้งน้ำหรักทอง รูปแบบทอง อีกหลายพื้นที่ ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ก่อนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ดำเนินคดีในข้อหา ฉ้อโกงทรัพย์ และ เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า )
โดยผิดกฎหมาย ต่อไป

พรรคเพื่อไทย เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ “ยศชนัน-จุลพงษ์-สุริยะ” ยกเครื่องประเทศไทย

วันที่ 16 ธันวาคม 2568 พรรคเพื่อไทยจัดงาน “ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้” เพื่อเปิดตัวผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยจำนวน 3 คน ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ โดยอดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้าร่วมฟังการแสดงวิสัยทัศน์ครั้งนี้ ร่วมกับสมาชิกพรรคเพื่อไทย และพี่น้องประชาชน

ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศ โดยย้ำว่าชีวิตของตนคือภาพสะท้อนของคนไทยจำนวนมากที่เติบโตจากครอบครัวข้าราชการและพยาบาล ย้ายถิ่นฐานไปหลายจังหวัด เรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด และได้รับการปลูกฝังว่าความรู้และความขยันคือหนทางเปลี่ยนชีวิต พร้อมยืนยันว่า “ในประเทศไทย หากตั้งใจจริง ทุกอย่างเป็นไปได้

ศ.ดร.ยศชนัน เล่าย้อนถึงเส้นทางการทำงานด้านวิศวกรรมศาตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เริ่มต้นกว่า 18 ปีก่อนที่มหาวิทยาลัยมหิดล โดยได้พัฒนาเทคโนโลยี Brain-Computer Interface (BCI) เพื่อช่วยผู้พิการ รวมถึงการก่อตั้งสตาร์ทอัพด้านการป้องกันอุบัติเหตุจากการหลับใน เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเพื่อไม่ให้ผู้คนประสบอุบัติเหตุจนนำไปสู่ความพิการได้ พร้อมไปกับการสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญระดับโลก จนสามารถนำทีมนักศึกษาไทยเข้าแข่งขันระดับนานาชาติในเวที Cybathlon ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดสู่ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย

ศ.ดร.ยศชนัน กล่าวว่า ประเทศไทยเคยผ่านวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 และสามารถฟื้นตัวได้จากความเชื่อมั่นว่าคนไทย “ทำได้” พร้อมยกบทบาทของ “พรรคไทยรักไทย” ในอดีตที่สร้างนโยบายเปลี่ยนชีวิตประชาชน และปลดวิกฤตให้กับประเทศไทยได้ แต่ตลอดเส้นทางกลับเผชิญความไม่เป็นธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนถึงปัจจุบันปี 2568 ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ “Perfect Storm” ทั้งเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยพยามแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์ทางการเมืองของไทยที่ทำให้ต้องเปลี่ยนนายกฯ ปีละครั้ง การที่ทำได้ขนาดนี้ก็ต้องชื่นชมอดีตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย

ศ.ดร.ยศชนัน กล่าวว่า ถึงทิศทางอนาคตของประเทศไทยด้วยว่า วันนี้ถ้าเราเลือกที่จะทำสิ่งใหม่ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปรับโครงสร้างเทคโนโลยี โดยใช้ความคิดสร้างสรรคของคนไทย ก็เชื่อว่าอนาคตที่ดีของประเทศไทยเป็นไปได้

ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ศ.ดร.ยศชนัน ประกาศตัวว่า จะนำพาประเทศไทยพาล้นจากวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ไปให้ได้ โดยเสนอเป้าหมายยกระดับประเทศไทยสู่ประเทศรายได้สูงให้เร็วที่สุด โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ AI เป็นแกนหลัก ผ่านยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพเศรษฐกิจเดิม (Old Economy) ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในส่วนของภาคเกษตรกรรม อุตสาหรกรรมการผลิต และภาคการบริการ พร้อมไปกับการสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ (New Growth Engine) จากศักยภาพท้องถิ่นผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย ครอบคลุมการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ การผลิตอุตสาหกรรม และสุขภาพและคุณภาพชีวิต

ศ.ดร.ยศชนัน ระบุ ขณะเดียวกันบทบาทภาครัฐเองก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เพื่อรองรับเศรษฐกิจมูลค่าสูง โดยมีสิ่งรัฐบาลต้องเดินหน้า 3 ด้าน คือ

1. สร้างความมั่นคงรอบด้าน ทั้งการทหาร ความมั่นคงไซเบอร์ ความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน และการรับมือ Climate Change ควบคู่การทูตที่รักษาสมดุลผลประโยชน์ของไทย

2. สร้างความเชื่อมั่นผ่านการฟื้นฟูหลักนิติธรรม คืนความยุติธรรมให้ประชาชน ใช้ Digital Goverment สร้างความปลอดใสป้องกันการคอร์รับชัน ควบคู่ไปกับ AI Transformation สร้างระบบรัฐแบบ One Stop Service

3. การวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ ตั้งแต่คมนาคม โลจิสติกส์ ความปลอดภัยด้วย AI โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล พลังงานสะอาด สวัสดิการ การศึกษา วิจัย และนวัตกรรม เพื่อรองรับทั้งเศรษฐกิจใหม่และยกระดับเศรษฐกิจเดิม โดยให้ความสำคัญกับการเตรียมคนให้สอดรับกับการวางโครงสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจใหม่

คนไทยทุกคนต้องได้รับโอกาสในการเติบโตที่เท่ากัน ไม่ว่าวันนี้เขาจะเกิดที่ไหน ในแผ่นดินไทยเขาเป็นคนไทย เขาต้องได้รับโอกาสที่เท่ากัน สิ่งที่เราจะทำเราไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่เราจะทำเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยมีหัวใจอยู่ที่ประชาชน ทุกคนครับการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทางของพรรคเพื่อไทย แต่เป็นการเดินทางเพื่อให้เราได้กลับมาเพื่อช่วยกันสร้างประเทศของเราขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

“วันนี้ทุกคนจากพรรคไทยรักไทย จากพรรคที่ไม่ได้รับความยุติธรรม ทุกคนกลับมาที่บ้านของพวกเรา บวกกับคนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทย พวกเรามารวมกัน ผมมั่นใจมากว่าเราทำได้ เริ่มจากวันนี้ เวลานี้ วินาทีนี้ ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้ ถ้าเพื่อไทยทำได้ ประเทศไทยก็ทำได้แน่นอน” ศ.ดร.ยศชนันกล่าว

ส่วนทางด้วนนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศยกเครื่องพรรคเพื่อไทย สู่ภารกิจยกเครื่องประเทศไทย โดยชูนโยบายแก้เศรษฐกิจปากท้องของประชาช โดยกล่าวว่าตนเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่ง แต่คือความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นพรรคเพื่อไทยกลับมาเข้มแข็ง และเป็นความหวังของประเทศอีกครั้ง

นายจุลพันธ์ ระบุว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการสื่อสารกับประชาชนเชิงรุก การทำงานในสภาอย่างเข้มข้น การตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่รวมคนทุกวัย ทุกภูมิภาค และการพัฒนานโยบายที่รับฟังทั้งนักวิชาการและเสียงประชาชน โดยทั้งหมดเกิดจากความร่วมมือของสมาชิกพรรคที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา พรรคไม่เคยละทิ้งประชาชน วันนี้พรรคพร้อมแล้วจากการยกเครื่องภายใน สู่ภารกิจที่ใหญ่กว่า คือการยกเครื่องประเทศไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

นายจุลพันธ์ กล่าวถึงเส้นทางทางการเมืองว่า เข้าสู่การเมืองกว่า 20 ปี จากพื้นที่ชายขอบจังหวัดเชียงใหม่ แม้จะมีโอกาสทางการศึกษาและการทำงานในต่างประเทศ แต่การได้เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างความมั่งคั่งและความยากลำบาก ทำให้เกิดความมุ่งมั่นใช้ความรู้ทางเศรษฐกิจปลดโซ่ตรวนชีวิตของคนไทย

นายจุลพันธ์ ชี้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่ประชาชนเผชิญ ไม่อาจสะท้อนด้วยตัวเลขเพียงอย่างเดียว เพราะคือความทุกข์ ความเครียด และความไม่มั่นคงในชีวิต โดยเฉพาะภาระหนี้สินและสังคมสูงวัยที่ผู้สูงอายุจำนวนมากไม่มีเงินออม

สำหรับนโยบายเร่งด่วน พรรคเพื่อไทยจะผลักดัน “หวยเกษียณ” ภายใน 3 เดือนแรกของการเป็นรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนการเสี่ยงโชคเป็นการออม สร้างหลักประกันทางการเงินให้ผู้สูงอายุ ควบคู่กับสวัสดิการของรัฐ

ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยเตรียมเดินหน้ามาตรการ “ล้างหนี้ให้คนไทย” มองว่าปัญหาหนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยประกอบด้วย การแก้หนี้นอกระบบด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การเปิดโอกาสให้ปิดหนี้เสีย (NPL) ด้วยการจ่ายเพียงบางส่วน การพักหนี้เกษตรกร 3 ปี การปลดหนี้ผู้สูงอายุ และการให้รางวัลลูกหนี้ชั้นดี

นายจุลพันธ์ ย้ำว่า การแก้หนี้ประชาชนไม่ใช่การแจกเงิน แต่คือการซ่อมฐานรากของระบบเศรษฐกิจไทย เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยมุ่งสร้างสังคมที่ประชาชน “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” และพร้อมยกเครื่องประเทศไทยเพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

ส่วนทางด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ชูวิสัยทัศน์ยกเครื่องประเทศ ดันคมนาคมเปิดโอกาสคนไทย สานต่อ 20 บาทตลอดสาย–บ้านเพื่อคนไทยว่า การพัฒนาประเทศต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะระบบคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประชาชนทุกระดับ

นายสุริยะ ระบุว่า ประสบการณ์ในฐานะผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ทำให้เห็นข้อจำกัดของระบบราชการที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ จึงตัดสินใจเข้าสู่การเมืองเพื่อร่วมแก้ไขระบบ โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นฐานการจ้างงานหลักของประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย

ตลอด 27 ปีของการทำงานการเมือง นายสุริยะ กล่าวว่าภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันนโยบายสำคัญ อาทิ การแปรรูป ปตท. และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) รวมถึงการเร่งรัดก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิให้แล้วเสร็จและเปิดใช้งานในปี 2549 ภายในเวลาเพียง 4 ปี 9 เดือน ซึ่งช่วยยกระดับบทบาทประเทศไทยบนเวทีการบินโลก

นายสุริยะ ชี้ว่า สนามบินสุวรรณภูมิไม่ใช่เพียงสนามบิน แต่คือประตูเศรษฐกิจของประเทศที่เชื่อมไทยกับโลก โดยหลังเข้ารับตำแหน่งในปี 2566 ได้เร่งฟื้นฟูคุณภาพการให้บริการ นำเทคโนโลยีสากลมาใช้ ลดเวลารอคิวผู้โดยสารจากเฉลี่ย 40 นาที เหลือประมาณ 5 นาที ส่งผลให้อันดับสนามบินสุวรรณภูมาดีขึ้นจากอันดับที่ 77 ของโลกในปี 2565 มาอยู่ที่อันดับ 39 ในปี 2568

พร้อมกันนี้ ได้เสนอภาพใหญ่การพัฒนาคมนาคมของประเทศ ผ่านการเชื่อมระบบถนน ระบบราง ระบบการบิน และท่าเรือ เข้าด้วยกันเป็นโครงข่ายเดียว ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ IoT บริหารจัดการโลจิสติกส์อย่างไร้รอยต่อ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งของภูมิภาค โดยคมนาคมไม่ได้พาคนไปสู่ที่หมาย แต่ต้องพาคนไปสู่อนาคต

สำหรับนโยบายเร่งด่วน นายสุริยะ ยืนยันการสานต่อ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” โดยหากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ประชาชนจะสามารถใช้ได้ภายใน 3 เดือน พร้อมพัฒนา Feeder ควบคู่ผ่านนโยบาย “รถเมล์แอร์ 10 บาท” เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการเดินทางคุณภาพได้จริง

ขณะเดียวกัน นโยบาย “บ้านเพื่อคนไทย” ได้เริ่มต้นด้วย 4 โครงการนำร่อง เน้นบ้านในทำเลศักยภาพ ใกล้ระบบคมนาคม ใกล้แหล่งงาน และจ่ายไหว เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพาคนเดินทาง แต่ช่วยให้คนไทยตั้งหลัก มีบ้าน มีคุณภาพชีวิต และมีอนาคตที่มั่นคง

นายสุริยะ กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคเพื่อไทยยังมีพลัง อุดมการณ์ และทีมงานที่ผสานประสบการณ์กับพลังคนรุ่นใหม่ พร้อมอาสารับภารกิจในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อรวมพลัง “ยกเครื่องประเทศไทย” ให้เดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และยกระดับชีวิตคนไทยทุกคน

ป.ป.ช.​ ไล่บี้ เอาผิดจนท.ราชทัณฑ์เอี่ยวค้ากาม เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ งัดกฎหมายกันฟ้องปิดปาก เดินหน้าเอาผิดถึงที่สุด !!

ป.ป.ช. ประสานกระทรวงยุติธรรม ติดตามคดีทุจริตเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลัง DSI ส่งสำนวนแล้ว ย้ำอำนาจไต่สวนขยายผลได้ทุกคน ไม่เว้นเจ้าหน้าที่รัฐ–พลเรือน พร้อมคุ้มครองพยาน-งัดกฎหมายกันฟ้องปิดปาก เดินหน้าเอาผิดถึงที่สุด

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 ธ.ค. ที่ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายพัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้รับมอบหมายจากเลขาธิการ ป.ป.ช. ให้มาติดตามความคืบหน้าและประสานงานกับกระทรวงยุติธรรม ในส่วนของความคืบหน้าคดีสืบสวนขบวนการทุจริตในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มผู้ต้องขังจีนเทา โดยที่ผ่านมา วันที่ 28 พ.ย. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้ลงพื้นที่ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจสอบสถานที่จุดเกิดเหตุและรวบรวมข้อเท็จจริง รวบรวมพยาน จึงทำให้ในวันนี้ต้องมาสอบถามความคืบหน้ากับปลัดกระทรวงยุติธรรมในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา หน่วยงานภายใต้สังกัด โดยเฉพาะเรื่องการสอบสวนวินัยของข้าราชการที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนประเด็นเรื่องการสอบสวนทางอาญา จะเป็นในส่วนของกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ ซึ่งล่าสุดตนได้รับรายงานว่าคณะพนักงานสืบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการสรุปสำนวนการสืบสวนนำส่งให้แก่ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ ป.ป.ช. จะดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลที่ดีเอสไอทำการสอบสวนมา ไม่ว่าจะเป็นการสอบสวนปากคำพยาน พฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องอีกบ้าง และพยานหลักฐานเส้นทางการเงิน เพื่อที่ ป.ป.ช. จะได้รับไปดำเนินการสืบสวนต่อไป ไม่เพียงแต่ฐานความผิดอื่นเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงผู้ที่ถูกกล่าวหารายอื่นเพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ ในที่ประชุม เรายังได้หารือเรื่องการคุ้มครองพยานสำหรับผู้แจ้งเบาะแสในคดีอาญา และกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-Slapp Law) ว่าทาง ป.ป.ช. และกระทรวงยุติธรรม จะมีความร่วมมือคุ้มครองพยานในคดีอาญากันอย่างไรบ้าง เพื่อที่ให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพต่อไป

นายพัฒนพงศ์ เผยอีกว่า เนื่องด้วยทางกระทรวงยุติธรรม ได้มีการแจ้งว่า ยังคงอยู่ระหว่างการตรวจสอบเรื่องวินัยของข้าราชการที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ซึ่งทางเราได้แจ้งว่า หากทางกระทรวงยุติธรรมดำเนินการพิจารณาเรื่องวินัยของข้าราชการที่ไปเกี่ยวข้องกับการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเสร็จสิ้นอย่างไร ทาง ป.ป.ช ขอข้อมูลดังกล่าวไปประกอบการสืบสวนไต่สวนในส่วนของกฎหมาย ป.ป.ช. ต่อไปด้วย

นายพัฒนพงศ์ เผยด้วยว่า ส่วนกรอบเวลาที่ ป.ป.ช. ต้องดำเนินการตามขั้นตอนภายหลังรับสำนวนการสืบสวนจากดีเอสไอนั้น ด้วยความที่สำนวนการสืบสวนของดีเอสไอที่ได้ดำเนินการไว้ค่อนข้างมีความคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดในเรื่องของการตรวจค้นจู่โจมเมื่อวันที่ 16 พ.ย.68 ซึ่งนำทีมโดยผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ และยังรวมถึงในส่วนของ ป.ป.ช. เอง ที่ได้ไปตรวจสถานที่จริงเมื่อวันที่ 28 พ.ย.68 ดังนั้น ขั้นตอนต่อไป เมื่อเราตรวจสำนวนของดีเอสไอเรียบร้อยแล้ว เราก็จะมีการเสนอไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. และจึงจะมีความเห็นว่าในคดีการสืบสวนดังกล่าว ป.ป.ช. จะรับไว้ตรวจสอบไต่สวนเองหรือไม่ แจ้งข้อกล่าวหาเองหรือไม่ หรือจะส่งกลับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพื่อสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะหากเรื่องใดที่มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไปมีส่วนเกี่ยว ตามกฎหมายของ ป.ป.ช. เราสามารถจะรับไว้ทำเองต่อไป หรือส่งสำนวนดังกล่าวกลับหน่วยงานต้นเรื่องให้รับไปดำเนินการก็ได้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

นายพัฒนพงศ์ เผยอีกว่า สำหรับข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า ป.ป.ช. มีการเร่งรัดให้ดีเอสไอรีบสรุปสำนวนการสืบสวนส่งให้แก่ ป.ป.ช. ทั้งที่เนื้อหาภายในยังคงมีบุคคลอื่นที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอีกมากนั้น อาจทำให้สำนวนการสืบสวนดังกล่าวไม่สมบูรณ์หรือไม่ ตนขอเรียนว่า ตามกฎหมายของ ป.ป.ช. ได้กำหนดให้พนักงานสอบสวนหรือหน่วยงานต้นเรื่อง จะต้องส่งสำนวนให้แก่ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน หากเรื่องดังกล่าวพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด จึงยืนยันว่าไม่ได้เป็นการเร่งรัดดีเอสไอให้รีบสรุปสำนวนแต่อย่างใด และตามกรอบขั้นตอนแล้ว เมื่อเรารับสำนวนการสืบสวนมาจากดีเอสไอ เราก็ต้องไปดูเนื้อหารายละเอียดภายใน และการที่เราเป็นระบบไต่สวน หากเราเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ หรือมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ต้องการประเด็นเพิ่มเติม เราก็สามารถเรียกพยานบุคคลมาสอบสวนปากคำเพิ่มเติมได้ หรือเรียกพยานหลักฐานพยานเอกสารเพิ่มเติมได้เช่นเดียวกัน ซึ่งมันเป็นอำนาจที่ ป.ป.ช. ดำเนินการได้อยู่แล้ว ดังนั้น แม้ว่าตอนนี้ดีเอสไอจะมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐเพียง 2 ราย มายัง ป.ป.ช. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องตัดจบเท่านั้น เรายังสามารถไต่สวนเพิ่มเติมได้ ขยายผลเองได้ หากพบข้อเท็จจริงอันเป็นประจักษ์ว่ามีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มเติมในการกระทำความผิดดังกล่าว ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นพลเรือนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม ป.ป.ช. ยังสามารถเรียกบุคคลนั้น ๆ มารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในภายหลังได้ด้วย รวมไปถึงกรณีผู้หญิงชาวต่างชาติที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในสถานที่เกิดเหตุ แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรไทย แต่อำนาจการสืบสวนไต่สวนของ ป.ป.ช. จะต้องมีการยืนยันตัวบุคคล เพื่อเชิญมาสอบสวนปากคำ และเมื่อพบการกระทำความผิด ป.ป.ช. ก็จะต้องแจ้งดำเนินคดีเป็นผู้ต้องหาเช่นเดียวกัน โดยถ้าหากบุคคลใดก็ตามตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด เราก็จะแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีเช่นเดียวกัน ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. ระยะเวลา 30 วันแล้วนั้น ตามขั้นตอนเราต้องสรุปสำนวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อส่งฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ต่อไป

นายพัฒนพงศ์ เผยเพิ่มเติมว่า กรณีที่มีรายงานว่าดีเอสไอได้มีการดำเนินคดี ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ 2 ราย เนื่องด้วยพบพยานหลักฐานการปล่อยปละละเลย และยังตรวจพบคราบอสุจิในพื้นที่เกิดเหตุนั้น เรื่องดังกล่าว ปลัดกระทรวงยุติธรรมได้แจ้งว่ารายงานผลจากสถาบันนิติฉบับสมบูรณ์ ยังไม่ได้มีการรายงานกลับมายังกระทรวงยุติธรรมแต่อย่างใด แต่อย่างใดก็ดี เราจะกลับไปดูเนื้อหาภายในสำนวนการสืบสวนของดีเอสไอที่ได้ส่งให้ไว้แล้ว ว่ามีการระบุพฤติการณ์ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ระบุถึงพยานหลักฐานอย่างไรบ้าง

นายพัฒนพงศ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ว่าสถานที่เกิดเหตุ เกิดขึ้นในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ และไม่ใช่สถานที่สำหรับการเยี่ยมญาตินั้น หญิงชาวต่างชาติสองราย จะเข้าข่ายบุกรุกพื้นที่เรือนจำหรือไม่นั้น เรื่องนี้คงต้องไปดูรายละเอียดการสรุปสำนวนการสืบสวนของดีเอสไอก่อน เพื่อดูว่ามีการระบุพฤติการณ์บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง ซึ่งเรายังสามารถไปดูความผิดที่เกี่ยวเนื่องได้ด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ฐานคดีทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น ตามที่ตนได้ยืนยันไปแล้วว่าอำนาจของ ป.ป.ช. สามารถไต่สวน เรียกหาพยานหลักฐาน เรียกสอบสวนปากคำบุคคลเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง

นายพัฒนพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่อดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้มีการร้องขอความเป็นธรรมไปยัง ป.ป.ช. ว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งนั้น ตนขออธิบายว่า วันนี้เรามาประสานกับกระทรวงยุติธรรมในเรื่องคดีการสืบสวนเรื่องเรือนจำฯ ซึ่งเป็นคนละกรณีกันกับที่ผู้ถูกกล่าวหาร้องเรียนขอความเป็นธรรม แต่เราก็จะต้องไปดูรายละเอียดคำร้องของเขาก่อนว่า ร้องถึงผู้กระทำคือใครบ้าง ส่วนจะรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้หรือไม่ อาจต้องไปดูในชั้นการไต่สวนว่าจะรวมหรือแยกเป็นคดีคนละคดีกันหรือไม่ อย่างไร เพราะตัวกฎหมายกำหนดว่าต้องพิจารณาเป็นรายคน ซึ่งก็คงต้องดูประกอบกันทั้งคำร้องของผู้ถูกกล่าวหาที่อ้างว่าถูกกลั่นแกล้ง และในส่วนของคดีการสืบสวนที่ดีเอสไอดำเนินการไว้

ทั้งนี้ นายพัฒนพงศ์ ปิดท้ายว่า แม้ล่าสุดกระทรวงยุติธรรม จะมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จำนวน 6 คน ให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น แต่ในตอนนี้เรายังไม่สามารถระบุสรุปได้ว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 รายนี้ถือว่ามีความผิดหรือไม่ โดย ป.ป.ช. ต้องกลับไปตรวจสอบในรายละเอียดสำนวนของดีเอสไอก่อนที่มีการกล่าวหาดำเนินคดีมา 2 ราย เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาตรงนี้ รวมทั้งบุคคลอื่น ๆ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งในส่วนของการดำเนินการทางวินัยกับอาญานั้น ป.ป.ช. สามารถทำคู่ขนานกันได้ โดยไม่ได้บอกว่าวินัยผิดแล้วอาญาจะต้องผิดไปด้วย แต่ถ้าเป็นการกระทำที่เป็นความผิดจริง เจ้าหน้าที่ของรัฐไปกระทำทุจริตหรือใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ป.ป.ช. ก็สามารถชี้มูลได้ทั้งทางอาญาและทางวินัยได้เช่นกัน นอกจากนี้ ประเด็นการกันพยานบุคคลไว้เป็นพยานในคดีนี้ ยังไม่มีปรากฏ แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมาย ป.ป.ช. มีบทบัญญัติว่าด้วยการการบุคคลไว้เป็นพยานอยู่แล้ว และมีป้องกันการฟ้องปิดปาก จึงขอความร่วมมือพยานที่มีข้อมูลหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องและมีข้อมูล ให้สามารถเข้าให้ข้อมูลกับเราได้ เราสามารถคุ้มครองพยานให้ท่านได้

CIB สกัดไอซ์ครึ่งตัน คาทางพิเศษบางปะอิน–โคราช มูลค่ากว่า 300 ล้าน

ตำรวจสอบสวนกลาง โดยตำรวจทางหลวง วางแผนสกัดรถกระบะต้องสงสัยบนทางพิเศษบางปะอิน–นครราชสีมา ตรวจยึดยาไอซ์ 12 กระสอบ น้ำหนักราว 500 กิโลกรัม คนร้ายทิ้งรถวิ่งหนี เร่งขยายผลล่าขบวนการค้ายาเบื้องหลัง

​ตำรวจสอบสวนกลาง CIB โดยกองบังคับการตำรวจทางหลวง ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย ผบก.ทล. , พ.ต.อ.แมน แม่นแย้ม รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.กึกก้อง ดิศวัฒน์ ผกก.8 บก.ทล. และ พ.ต.ท.วินัย ธนะโชติ รอง ผกก.8 บก.ทล.

​เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส.ทล.3 กก.8 บก.ทล. โดยการนำของ พ.ต.ท.ปริญญ์ โคตรมณี สวญ.ส.ทล.3 กก.8 บก.ทล., พ.ต.ท.ภาณุ พละศักดิ์ สว.ส.ทล.3 กก.8 บก.ทล., พ.ต.ต.ธีรพงศ์ ตาบัวตูม สว.(สอบสวน) ส.ทล.3 กก.8 บก.ทล., ร.ต.อ.ณัฐพล ฤทธิรงค์ รอง สว.(สอบสวน) ส.ทล.1 กก.8 บก.ทล. ช่วยราชการ ส.ทล.3 กก.8 บก.ทล., ร.ต.อ. อำนวย เนาวกุล, ร.ต.ท.ณัฐคม คุณพรม รอง สว.(ป) ช่วยราชการ ส.ทล.3 กก.8 บก.ทล. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงในสังกัด

​ทำการตรวจยึดของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์) จำนวน 12 กระสอบ รวมน้ำหนักประมาณ 500 กก.และ รถยนต์กระบะสี่ประตู ยี่ห้ออีซูซุ สีเทา ทะเบียนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รถที่ใช้ขนยาเสพติด)

​เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงชุดตรวจยึด ได้รับแจ้งจากสายลับว่า ในวันที่ 14 ธ.ค.68 เวลากลางคืน จะมีรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ สีเทา ทะเบียนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะทำการขนยาเสพติดมุ่งหน้าไปยังจังหวัดนครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ส.ทล.3 กก.8 บก.ทล. รับผิดชอบพื้นที่ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชศรีมา จึงได้วางกำลังเฝ้าระวังตลอดเส้นทาง เมื่อพบรถยนต์คันต้องสงสัย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เรียกให้รถยนต์คันดังกล่าว ให้หยุดชะลอความเร็ว เมื่อรถยนต์คันดังกล่าวได้หยุดจอดบริเวณไหล่ทาง คนร้ายได้เปิดประตูรถยนต์และวิ่งหลบหนี โดยได้ทิ้งรถยนต์คันดังกล่าวไว้บริเวณจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามติดตามไป แต่เนื่องด้วยบริเวณดังกล่าว ไม่มีแสงไฟส่องสว่างทำให้ไม่ทราบทิศทางที่คนร้ายวิ่งหลบหนี

​ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบรถยนต์คันดังกล่าว พบยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือยาไอซ์) จำนวน 12 กระสอบ รวมน้ำหนักประมาณ 500 กก. บรรจุใส่กระสอบสีดำวางอยู่ภายในห้องโดยสารของรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการตรวจยึดรถยนต์คันดังกล่าว พร้อมกับ ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์) นำส่ง พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างดำเนินการ สืบสวนขยายผลไปยังกลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังการลักลอบขนยาเสพติดในครั้งนี้ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป