สรุปภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ประจำวันที่ 16 ธันวาคม 2568

SET ปิดร่วง 12.72 จุด รับแรงขาย DELTA ปรับพอร์ตปลายปี

SET ปิดวันนี้ที่ 1,260.68 จุด ลดลง 12.72 จุด (-1.00%) มูลค่าซื้อขาย 30,835.38 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ร่วงลงจากแรงหุ้น DELTA ปรับพอร์ตปลายปี รวมถึงกลุ่มน้ำมันปรับลงรับโอกาสรัสเซีย-ยูเครนหยุดยิง ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีเจอปัจจัยตัวเลขเศรษฐกิจจีนอ่อนแอ แนวโน้มพรุ่งนี้ตลาดอาจแกว่งตัว sideway-sideway down ให้แนวต้าน 1,270 และ 1,274 จุด แนวรับ 1,250 และ 1,240 จุด
SET ปิดวันนี้ที่ 1,260.68 จุด ลดลง 12.72 จุด (-1.00%) มูลค่าซื้อขาย 30,835.38 ล้านบาท

นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ลงไปค่อนข้างมาก หลักๆ รับแรงขาย DELTA จากการปรับพอร์ตปลายปีกดดัชนีลงไป 10 จุด และเชื่อว่าโครงการ TISA ยังมีโอกาสจะกลับมาในปีหน้า รวมถึงกลุ่มน้ำมันและพลังงานลงไปรับโอกาสหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครนคาดว่ากดราคาน้ำมัน WTI ลงต่ำ รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวลงเช่นกันจากปัจจัยตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาอ่อนแอขณะที่ซัพพลายในตลาดโลกยังมีอยู่มากส่วนหุ้น AOT, SCB, BBL แม้บวกขึ้นมาได้แต่ไม่สามารถพยุงดัชนีไว้


แนวโน้มในวันพรุ่งนี้ น่าจะแกว่งตัว sideway-sideway down ให้แนวต้านที่ 1,270 และ 1,274 จุด แนวรับ 1,250 และ 1,240 จุด

สิริวรรณ ลีลาประกอบชัย เรียบเรียง /ภาพ

ยกเลิกประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด ในพื้นที่ 5 อำเภอ จ.ตราด

พลเรือโท อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ลงนามในประกาศกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เรื่อง ยกเลิกประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด
ตามที่กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดได้ออกประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด ในพื้นที่ จังหวัดตราด เฉพาะ อำเภอคลองใหญ่ อำเภอบ่อไร่ อำเภอแหลมงอบ อำเภอเขาสมิง และอำเภอเมืองตราด ลงวันที่ 14 ธันวาคม พุทธศักราช 2568 นั้น

เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ที่ปรากฏภัยคุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากภายนอกราชอาณาจักรอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้แล้ว เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการดำเนินชีวิตประจำวัน ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัด จึงให้ยกเลิกประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระหว่างระยะเวลาที่กำหนดดังกล่าว ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

“หลิว​ จงอี้” หารือ​ รมว.ยธ.กระชับความร่วมมือ ปราบสแกมเมอร์–อาชญากรรมข้ามชาติ

รมว.ยุติธรรม​ ให้การต้อนรับ “หลิว จงอี้” ผู้ช่วย รมต.ความมั่นคงสาธารณะจีน หารือยกระดับความร่วมมือปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คอลเซ็นเตอร์ และยาเสพติด สะท้อนสัมพันธ์แน่นแฟ้นในวาระครบรอบ 50 ปี ไทย–จีน

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม 2568​ เวลา 13.30​ น. พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล
รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายนิทัศน์ แสงวัฒนะ รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม
และคณะผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ได้ให้การต้อนรับนายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ ณ ห้องรับรองประจำกระทรวงยุติธรรม ชั้น 3 (ห้อง 3-01) อาคารกระทรวงยุติธรรม ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน และในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 13-17 พฤศจิกายน 2568​ ตามคำทูลเชิญของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทย – จีน

ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือและเน้นย้ำถึงความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการป้องกันและ
ปราบปราบอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือสแกมเมอร์ ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติของประเทศไทย โดยฝ่ายจีนได้แสดงความขอบคุณที่ไทยได้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนรายสำคัญในคดีสแกมเมอร์ รายนายแส จื้อเจียง กลับไปดำเนินคดี เมื่อวันที่ 12พฤศจิกายน 2568​

ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ให้ข้อมูลกับฝ่ายจีนว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการขับเคลื่อน
​การดำเนินงานภายใต้คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการตามแนวทางความร่วมมือจากการทำ MOU กับ 15 หน่วยงานที่รับผิดชอบ รวมถึงมีการแต่งตั้งอนุกรรมการฯ

อาทิ คณะอนุกรรมการปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานอนุกรรมการฯ คณะอนุกรรมการป้องกันการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานอนุกรรมการฯ และคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานอนุกรรมการฯ

ทั้งนี้ ในส่วนของคณะอนุกรรมการปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานอนุกรรมการฯ มีหน้าที่กำหนดมาตรการในการปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสานความร่วมมือและบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ฝ่ายจีนได้แสดงความขอบคุณและชื่นชมรัฐบาลไทยในความมุ่งมั่นแก้ปัญหา โอกาสนี้จึงได้เสนอแนวทางความร่วมมือในการแก้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือสแกมเมอร์ 3 ประเด็น ดังนี้ 1) การส่งกลับผู้กระทำความผิดหรือผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งหลบหนีหรือเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทย รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้กระทำความผิดระหว่างกัน 2) การส่งเสริมความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายและสร้างกลไกเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3) การเชิญประเทศในภูมิภาค รวมถึงไทย เข้าร่วมการประชุมหารือ
เพื่อแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์ระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ ยังได้หารือในประเด็นด้านการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการดำเนินงานร่วมกัน
ผ่านกรอบความร่วมมือต่างๆ โดยเฉพาะในกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง โดยกระทรวงยุติธรรมพร้อมสนับสนุนและพัฒนาความร่วมมือกับฝ่ายจีนเพื่อยกระดับการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

ดำดิ่งคริสต์มาสใต้ทะเล! SEA LIFE Bangkok ชวนเที่ยวส่งท้ายปีกับ Greenie & Elfie ถึง 15 ม.ค. 69

SEA LIFE Bangkok เปิดประสบการณ์ฉลองคริสต์มาสไม่เหมือนใคร ภายใต้ธีม Into the Wonderverse พาท่องโลกใต้ทะเลสุดมหัศจรรย์กับคู่หูสุดน่ารัก Greenie & Elfie เพลิดเพลินประติมากรรมธีมพิเศษ สัตว์น้ำกว่า 4,000 ตัว และโซนเพนกวินโฉมใหม่ วันนี้–15 มกราคม 2569 ที่สยามพารากอน

คริสต์มาสนี้ไม่เหมือนเดิม! ซีไลฟ์ แบงคอก (SEA LIFE Bangkok) แหล่งเรียนรู้และสถานที่ท่องเที่ยวโลกใต้น้ำชั้นนำของประเทศไทยมาตรฐานระดับโลก ชวนแฟนๆ ดำดิ่งสู่โลกใต้ทะเลสุดจินตนาการ กับ Greenie & Elfie (กรีนนี่&เอลฟี่) นางฟ้าจิ๋ว กับ ช้างน้อยเพื่อนรัก คาแรกเตอร์สุดน่ารักที่โด่งดังไปทั่วโลกผลงาน คุณตู่-ณัฐทพงศ์ รัตนโชคสิริกูล ศิลปินและนักแอนิเมชันชื่อดังของไทย ภายใต้แนวคิด Into the Wonderverse (อินทู เดอะ วันเดอร์เวิร์ส) ตั้งแต่วันนี้ – ถึง 15 มกราคม 2569 ณ ซีไลฟ์ แบงคอก ชั้น บี1 – บี2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

ร่วมสนุกไปกับการผจญภัยครั้งใหม่ของ กรีนนี่ นางฟ้าตัวจิ๋วในชุดสีเขียว กับ เพื่อนซี้ เจ้าช้างเอลฟี่ ที่จะพาทุกคนตะลุยดินแดนมหัศจรรย์ของโลกใต้ทะเลที่บรรจบกับโลกแห่งจินตนาการ เพลิดเพลินกับการค้นหาประติมากรรม (sculpture) ขนาดใหญ่ หลากหลายรูปแบบ ทั้ง 3 ธีม ได้แก่ ฮาโลวีน, ฉลองครบรอบ 20 ปี และ คริสต์มาส ตามหาซานต้าคลอสที่กำลังให้อาหารปลา รถลากเลื่อนใต้ท้องทะเล ที่ซ่อนตัวอยู่ตามโซนต่างๆ ท่ามกลางสัตว์น้ำมากกว่า 200 สายพันธุ์ และมากกว่า 4,000 ตัว

พลาดไม่ได้กับ “โซนเพนกวิน” โฉมใหม่ เย็นกว่า ใหญ่กว่าเดิม ให้แฟนๆ ได้ใกล้ชิดเพนกวินทั้ง 17 ตัวกันแบบเต็มอิ่มจุใจ และไฮไลต์พิเศษช่วงเทศกาล แวะเช็กอิน “ต้นคริสต์มาส” ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางโซนปลาฉลามและปลากระเบนหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น ฉลามเสือทราย ฉลามเสือดาว ฉลามครีบดำ และปลาหายากอย่าง ปลาฉนาก กระเบนยักษ์ใหญ่คล้ายฉลาม แต่มีปากที่ยื่นยาวและมีกระดูกคล้ายฟันเลื่อย ฯลฯ ที่พร้อมแหวกว่ายต้อนรับทุกคนที่ซีไลฟ์ แบงคอก

เที่ยวส่งท้ายปี พร้อมสร้างความสุขและความทรงจำสุดพิเศษได้แล้ววันนี้ – ถึง 15 มกราคม 2569 เท่านั้น ณ SEA LIFE Bangkok สยามพารากอน พร้อมโปรโมชันพิเศษอีกมากมาย โดยสามารถตรวจสอบราคาในแต่ละวันได้ทางเว็บไซต์ ซื้อตั๋วเข้าชมล่วงหน้าถูกกว่า 10% ผ่านเว็บไซต์

https://www.visitsealife.com/bangkok/tickets


สอบถามข้อมูลและติดต่อได้ที่ โทร. 02 842 2000

http://www.sealifebangkok.com

https://www.facebook.com/share/p/1BaDGWHxvN

“เสนา” ปฏิวัติอสังหา ดัน LivNex – RentNex เน้นเช่าแทนซื้อ รับเทรนด์ผู้บริโภค พร้อมเปิดเกมรุกตลาดปี 69 ขยายพอร์ต Recurring Income โตต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, วันที่ 16 ธ.ค. – เสนา ปักธงผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยเซกเมนต์ Affordable รักษาส่วนแบ่งตลาด เดินเกมรุกปี 2569 รับเทรนด์“ยุคทองเช่า–เช่าซื้อบ้าน” ที่พุ่งแรงจากเศรษฐกิจผันผวนและแบงค์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ดัน 2 โซลูชั่น LivNex (เช่าออมบ้าน) และ RentNex (เช่าตรง) เป็นทางตัวเลือกใหม่ให้ผู้บริโภคลดข้อจำกัดด้านการเงินสู่การเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น ตั้งเป้าเป็นเจ้าตลาดเช่าซื้อกว่า 3,000 ยูนิต สร้างพอร์ต Recurring Income เป็นรายได้ใหม่ที่เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  SENA เปิดเผยว่า จากเทรนด์ผู้บริโภคปี 2568 ที่เปลี่ยนจากการซื้อบ้านเป็นของตัวเองมาเป็นการเช่าแทน ซึ่งเสนาได้พัฒนาโซลูชัน LivNex (เช่าออมบ้าน) และ RentNex (เช่าตรง) เพื่อเปิดตลาดใหม่ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคที่ต้องการยืดหยุ่นสูง โดยโซลูชันทั้งสองได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางภาพรวมที่ตลาดที่มีกำลังซื้อที่อ่อนแรง อัตรากู้ไม่ผ่านที่สูงขึ้น และรายได้ที่ไม่สัมพันธ์กับราคาที่อยู่อาศัย เสนาจึงมองว่า ปี 2569 ตลาดอสังหาฯ จะเข้าสู่ “ยุคทองแห่งการเช่า – เช่าซื้อ” อย่างเต็มรูปแบบ โดยโซลูชัน LivNex และ RentNex จะเป็นหัวใจเชิงกลยุทธ์ในการเดินเกมรุกของบริษัท เพื่อยึดตำแหน่งผู้นำตลาดที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง 

ทั้งนี้ เสนา ย้ำจุดแข็งที่ทำให้บริษัทยืนหนึ่งและเป็นผู้นำในตลาด Affordable Segment  ปัจจุบันทางบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 20% คือการเข้าใจชีวิตจริง ต้นทุนจริงของคนรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/เดือน ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดคิดเป็น 54% ของครัวเรือนในกรุงเทพฯและปริมณฑล ขณะที่ปัจจุบันทางบริษัทมีสต็อกบ้าน และคอนโด ซึ่งอยู่ระดับราคาที่สามารถจับต้องได้กว่า 13,000 ยูนิต 

“ตลาดบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาทยังคงเป็นแกนหลักของกรุงเทพฯ คิดเป็นกว่า 70% ของทั้งตลาด และเป็นตลาดที่มีแข่งขันกันสูงมาก แม้ดีเวลลอปเปอร์จะเลือกใช้กลยุทธ์ตัดราคา ลดสูงถึง 10% ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นยอดขายได้ เพราะอุปสรรคสำคัญวันนี้ไม่ใช่แค่ ‘ราคา’ แต่คือ ‘กู้ไม่ผ่าน’ ของผู้ซื้อ แม้กำลังซื้อจะอ่อนแรง แต่บ้านก็ยังเป็นปัจจัยสี่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น เสนาจึงเลือกพัฒนาบนจุดแข็งของตัวเอง โฟกัสเซกเมนต์ในตลาดที่เราถนัดและที่เข้าใจลูกค้าจริง ทางรอดและความท้าทายของอสังหาฯ วันนี้ ไม่ใช่แข่งลดราคาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจชีวิตจริงของผู้ซื้อ ทั้งเรื่องภาระรายเดือน การเดินทาง และข้อจำกัดด้านเครดิตของลูกค้า” ดร.เกษรา กล่าว 

สำหรับ LivNex  ซึ่งกลายเป็นเรือธงในการแก้ Pain Point ใหญ่สุดของตลาด คือ “กู้ไม่ผ่าน” โดยตั้งแเต่เริ่มโครงการมีผู้สนใจเข้าร่วมแล้วกว่า 2,000 ยูนิต  ซึ่งได้ผลการตอบรับที่ดีมาก ทำให้เห็นผลลัพธ์แล้วว่าลูกค้าที่เคยกู้ไม่ผ่านแต่ “มีบ้านได้จริง” แล้ว 102 ยูนิต และอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมด้านเครดิตอีก 790 ราย  ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็น “แบ็กล็อกอนาคต (Backlog)” ของบริษัทกว่า 2,300 ล้านบาท  และสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ต่อปีราว 80 – 100 ล้านบาท  ซึ่งจะเป็นรายได้ประจำ ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่ามีบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งที่หันมาทำเช่าออมบ้านแทบจะทุกโครงการ แต่จุดเด่นของ LivNex คือ “เสนาไม่ได้ขายแค่ยูนิตแต่ขายโอกาสในการเป็นเจ้าของบ้านได้จริง” ผ่านระบบเช่าออมบ้านที่ผ่านกระบวนคิดอย่างครบวงจร ดอกเบี้ยต่ำ 1.8% พร้อมทีมที่ปรึกษาให้คำแนะนำเรื่องเครดิตทุก 6 เดือนจนกว่าลูกค้าจะกู้ธนาคารได้ รวมถึงความร่วมมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในการชำระค่าเช่า–ออมผ่านโครงการ “โรงเรียนการเงิน” ของธอส. เพื่อให้ธนาคารสามารถเห็นประวัติและศักยภาพในการผ่อนชำระของลูกค้าซึ่งเป็นการช่วยสร้างเครดิตและความพร้อมด้านสินเชื่อให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ และล่าสุด ธนาคารออมสินยังให้การสนับสนุนวงเงินกู้เฉพาะสำหรับ LivNex สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพของโมเดลนี้

ขณะเดียวกัน RentNex ที่ให้เช่าที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการผูกพันกับหนี้ระยะยาว  RentNex มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทั้งปี โดยมีผู้เช่าแล้ว 520 ยูนิต และปล่อยเช่าเฉลี่ย 70–80 ยูนิต/เดือน แม้ปัจจุบันยังไม่เริ่มทำการตลาดเต็มรูปแบบ  ซึ่งโซนบางนา พระราม 9 และรังสิต คือทำเลที่สร้างผลตอบแทนค่าเช่าสูงสุด โดยอยู่ที่ประมาณ 7%  และมาร์จิ้นเฉลี่ย 15- 20% โดยภาพรวมความต้องการเช่าสูง ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลใกล้รถไฟฟ้า แหล่งงาน และย่านมหาวิทยาลัย สะท้อนพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่มองการเช่าเพื่อคุณภาพชีวิต มากกว่าการซื้อบ้านทันที ซึ่งราคาเช่าของเสนาก็ใกล้เคียงกับค่าเช่าในทำเลเดียวกัน แต่จุดเด่นของ  RentNex  คือหากผู้เช่าต้องการซื้อบ้านในอนาคต สามารถแปลงสัญญาเข้าระบบเช่าซื้อได้ และค่าเช่าที่จ่ายจะถูกนำไปเป็นเงินต้น ช่วยลดเงินดาวน์ก้อนแรกได้

ทั้งนี้คาดว่าในปีหน้าจะขยายพอร์ตเช่าและเช่าซื้ออีก 2,000 – 3,000 ยูนิต รวม 30 โครงการ ทำให้โมเดลนี้กลายเป็นรายได้ประจำที่มีเสถียรภาพสูง มีกำไรขั้นต้นกว่า 15% สูงกว่าการขายบ้านทั่วไป โดยมองว่าค่าเช่าในกรุงเทพฯ สูงติดอันดับโลกเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้กลุ่มเช่า และเช่าซื้อจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นกลยุทธ์สำคัญในปี 2569 ของเสนา 

ขณะเดียวกัน เสนาจะเร่งปรับปรุงโครงการที่พร้อมเข้าอยู่กว่า 5,000 ยูนิต มูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มคุณค่า ทั้งการออกแบบ ฟังก์ชัน และดีไซน์ใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน สงครามราคา ทำให้ต้นทุนการหาลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น จึงต้องใช้กลยุทธ์ Economy of Scope คือการใช้สต็อกเดิมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแทนการเร่งผลิตใหม่แบบ Economy of Scale  ความท้าทายใหญ่ของตลาดคือ “อัตรากู้ไม่ผ่าน” โดยเฉพาะโซนบางใหญ่ที่สูงถึง 80%

ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ของเสนาในปี 2569 เป็นการผสานโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้ง LivNex เพื่อเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าศักยภาพให้เป็นเจ้าของบ้านได้จริงและ RentNex เพื่อรองรับ เทรนด์การเช่าที่กำลังมาแรง โดยยึดหลักการเข้าใจลูกค้า Real Demand อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการฝ่ามรสุมเศรษฐกิจและยืนหยัดเป็นผู้นำตลาด Affordable Segment ต่อไป

“อนุทิน” นำ ครม. ชมแสดงโยธวาทิตโลก, ผู้บริหาร – ศิลปิน ขอบคุณ รบ.หนุน Cash Rebate ดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์, ชวนทำบุญผ่านสลากกาชาด

ทำเนียบรัฐบาล, วันที่ 16 ธันวาคม – นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับชมการแสดงวงโยธวาทิตโลกชิงถ้วยพระราชทานฯ แห่งประเทศไทย ประจำปี 2568 พร้อมด้วยนายโกสินทร์ สืบประสิทธิ์วงศ์ นายกสมาคมวงโยธวาทิตแห่งประเทศไทย นายพัลลภ จีบสุวรรณ์ อุปนายกสมาคมและผู้บริหารสมาคมฯ โดยนายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับชมการแสดงวงโยธวาทิ ดังนี้ 1) การแสดงโชว์วงโยธวาทิตของประเทศรัสเซีย 2) การแสดงโชว์วงโยธวาทิตของประเทศสหรัฐอเมริกา

จากนั้น นายสุภาพ คลี่ขจาย นายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) นายเขมทัตต์ พลเดช นายกสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ผู้บริหาร ศิลปิน นักร้องและนักแสดง ได้เข้าขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลสำหรับการสนับสนุนมาตรการ Cash Rebate ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีผู้แทนศิลปิน นักร้อง นักแสดง กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีประกอบด้วย 1) สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล 2) สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ 3) ผู้บริหารกลุ่ม GMM GRAMMY 4) ผู้บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด 5) ผู้บริหาร ONEE 6) ผู้แทนสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ 7) Mono29 ตัวแทนผู้แทนศิลปิน นักร้อง นักแสดง มอบกระเช้าดอกไม้และร่วมถ่ายภาพกับนายกรัฐมนตรี

ต่อมาเวลา 10.00 น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวรปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นำคณะ เข้าพบนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อประชาสัมพันธ์สลากการกุศลบำรุงสภากาชาดไทย ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมออกร้านในงานกาชาด ประจำปี 2568 เพื่อแสดงความอาลัยและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สภานายิกาสภากาชาดไทย

โดยงานกาชาดประจำปี 2568 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 21 ธันวาคม 2568 เวลา 11.00–22.00 น. ณ สวนลุมพินี ภายใต้แนวคิด “ร้อยดวงใจปวงประชา น้อมสำนึกพระเมตตา องค์สภานายิกาสภากาชาดไทย” ภายในงานมีการจัดนิทรรศการเผยแพร่พระราชกรณียกิจสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สภานายิกาสภากาชาดไทย นิทรรศการ“ 69 ปี แสงแห่งพระเมตตา องค์สภานายิกาสภากาชาดไทย” และเพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย นำไปใช้ในการดำเนินภารกิจบรรเทาทุกข์ บำรุงสุข บำบัดโรค กำจัดภัย แก่ประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมสอยดาว พร้อมของรางวัลมากมาย รวมทั้งการจำหน่ายสลากกาชาด

ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุนรวม SRI ยกระดับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล ผลักดันตลาดทุนไทยเติบโตในระยะยาว

กรุงเทพฯ, วันที่ 16 ธันวาคม – สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับ กองทุนรวม SRI* (Sustainable and Responsible Investing Fund) เพื่อยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแล เพิ่มความโปร่งใส ลดความเสี่ยงจากการฟอกเขียว (greenwashing) และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุน โดยคาดหวังการเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการลงทุนอย่างยั่งยืน และสนับสนุนการเติบโตของตลาดทุนไทยในระยะยาว ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป

การปรับปรุงครั้งนี้ ก.ล.ต. มุ่งเน้นให้กองทุนรวม SRI กำหนดวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน (sustainability objective) ที่ชัดเจน พร้อมยกระดับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลตลอดกระบวนการลงทุน ตั้งแต่การคัดเลือกหลักทรัพย์ การบริหารจัดการ ไปจนถึงการติดตามตรวจสอบผลลัพธ์ เพื่อสนับสนุนให้กองทุนรวม SRI เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนของตลาดทุนไทยและขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2593 ตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดฉบับที่ 2 (NDC 3.0)

ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการและร่างประกาศ จำนวน 2 ครั้ง ในช่วงไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 โดยผู้แสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางการปรับปรุง และเสนอให้ปรับถ้อยคำให้ชัดเจนและสอดคล้องกับแนวปฏิบัติจริงของอุตสาหกรรม ซึ่ง ก.ล.ต. ได้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวมาปรับปรุงร่างประกาศให้เหมาะสมก่อนประกาศใช้

ก.ล.ต. จึงได้ออกประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 ฉบับ ดังนี้

(1) กำหนดวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน (sustainability objective) โดยบริษัทจัดการกองทุนรวม (บลจ.) ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนของกองทุนรวม SRI และเปิดเผยตราสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ได้แก่ SRI Focus SRI Improver SRI Promote SRI Impact และ SRI Mixed Goals  เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนที่ต้องการสนับสนุน

(2) ยกระดับการเปิดเผยข้อมูลตลอดกระบวนการลงทุน โดย บลจ. ต้องเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกหลักทรัพย์ การประเมินผล และการติดตามการลงทุน เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการกองทุนรวม SRI

(3) การรายงานภายหลังการลงทุน (post-investment reporting) โดย บลจ. ต้องจัดทำรายงานผลจากการบริหารจัดการลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถติดตามและตรวจสอบผลจากการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

(4) การจัดทำ Sustainability corner โดยเพิ่มส่วนสรุปข้อมูลด้านความยั่งยืนในหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ (fund factsheet) เพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเปรียบเทียบข้อมูลของกองทุนได้ง่ายขึ้น

(5) ผ่อนคลายหลักเกณฑ์ผู้ตรวจสอบผลกระทบเชิงบวก (impact verifier) โดยปรับปรุงข้อกำหนดสำหรับกองทุนรวม SRI ที่มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวก (SRI Impact) ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยยังคงความสอดคล้องกับแนวทางกำกับดูแลในระดับสากล

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังได้กำหนดแนวทางการเปิดเผยข้อมูลสำหรับกองทุนรวม SRI ที่เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุน (Fund of Funds) และกองทุนรวมฟีดเดอร์ (Feeder Fund) เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติและรักษามาตรฐานความโปร่งใสในทุกประเภทของกองทุนรวม SRI ด้วย

สำหรับกองทุนรวม SRI ที่จดทะเบียนแล้ว บลจ. ต้องปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ใหม่ ภายใน 9 เดือน นับจากวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ส่วนกองทุนรวมอื่นที่มีชื่อหรือนโยบายการลงทุนเกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ให้ บลจ. ยกระดับการเปิดเผยข้อมูลให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ใหม่ภายใน 1 ปี นับจากวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ (16 ธันวาคม)

นายกรัฐมนตรี มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ 2569 “รักชาติไทย ใส่ใจโลก”

วันที่ 16 ธันวาคม 2568 นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีระกุล นายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2569 ว่า “รักชาติไทย ใส่ใจโลก” เพื่อปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ มีความรักและความภาคภูมิใจในชาติ ควบคู่กับการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และประชาคมโลก

คำขวัญดังกล่าวสะท้อนแนวคิดการพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างรอบด้าน ให้มีจิตสำนึกในความเป็นไทย เคารพกติกา อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ พร้อมเปิดมุมมองสู่โลกยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระดับโลก

รัฐบาลยืนยันความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการเรียนรู้ การพัฒนาศักยภาพ และการสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้เติบโตอย่างมั่นคง แข็งแรง และเป็นพลังสำคัญของประเทศในอนาคต

“นฤมล” ต้อนรับอดีต สส.กลุ่มเฉลิมชัย – เพื่อนยศสิงห์ เข้าครอบครัวกล้าธรรม เสริมทัพสู้ศึกเลือกตั้ง 69

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่พรรคกล้าธรรม (กธ.) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรคกล้าธรรม ให้การต้อนรับอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตสมาชิกสภาจังหวัด กลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรม เพื่อเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้ง โดย ศ.ดร.นฤมล ได้สวมเสื้อพรรคให้แก่สมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ บุคคลที่เข้าร่วมประกอบด้วย นายประมวล วงศ์ถาวรเดช อดีต สส.ประจวบคีรีขันธ์, พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ อดีต สส.สงขลา, นายยูนัยดี วาบา อดีต สส.ปัตตานี, นายวุฒิพงษ์ นามบุตร อดีต สส.อุบลราชธานี, ว่าที่ร้อยโทยุทธการ รัตนมาศ อดีต สส.นครศรีธรรมราช, น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร อดีต สส.พัทลุง, นายชาตรี หล้าพรหม อดีต สส.สกลนคร, น.ส.เจนจิรา รัตนเพียร อดีตโฆษกพรรคประชาธิปัตย์,นายฐิตินัย ตั้งบูรพากิจ สมาชิกสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ อดีต สส.ประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ ยังมี จ.อ.ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ อดีต สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ร่วมงานด้วย

ศ.ดร.นฤมล ระบุว่า การต้อนรับ “กลุ่มเพื่อนต่อ” ของนายเฉลิมชัย ที่เข้าร่วมพรรคกล้าธรรม เป็นการเสริมพลังขับเคลื่อนการเมืองเพื่อประชาชน ครอบคลุมทั้งภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคอีสาน โดยเร็ว ๆ นี้ พรรคจะเปิดตัวแคมเปญหาเสียงและผู้สมัคร สส. อย่างเป็นทางการ ยืนยันไม่มีปัญหาพื้นที่ซ้ำซ้อน และเชื่อมั่นการแข่งขันในภาคใต้ แม้ต้องชนพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ พร้อมส่งผู้สมัครครบ 400 เขต ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ขอรอผลเลือกตั้งก่อน ยังไม่กำหนดพรรคใดไว้ล่วงหน้า

กรมอนามัย ห่วงสุขอนามัยผู้อพยพ ส่งทีม SEhRT คุมเข้มสุขาภิบาล-สิ่งแวดล้อมศูนย์พักพิงชายแดน จัดคลอรีน-สบู่เสริม

ที่กระทรวงสาธารณสุข, วันที่ 16 ธ.ค. – กรมอนามัย ห่วงสุขภาพประชาชนในศูนย์พักพิงชายแดนไทย–กัมพูชา หลังพบปัญหาคลอรีนในน้ำใช้ไม่ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน และการขาดแคลนสบู่ล้างมือ อาจเสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร ส่งทีม SEhRT ลงพื้นที่ให้ความรู้ เร่งจัดหาคลอรีนและสบู่ล้างมือให้เพียงพอ และแนะนำการบริจาคอาหารอย่างปลอดภัย

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะนี้ มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบเข้าพักในศูนย์พักพิง จำนวน 263,105 คน ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำ โดยเฉพาะการขาดแคลนคลอรีนสำหรับใช้ฆ่าเชื้อในน้ำอุปโภคบริโภค ทั้งนี้ ระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในศูนย์พักพิง พบว่า ผลตรวจคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อาจเสี่ยงการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาสบู่ล้างมือไม่เพียงพอ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน อาหารเป็นพิษ ไวรัสตับอักเสบเอ และเกิดการปนเปื้อน จากกระบวนการปรุงประกอบ การล้างทำความสะอาดอาหาร ภาชนะ อุปกรณ์ได้ กรมอนามัยจึงได้ส่งทีม SEhRT ลงพื้นที่ดูแลด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำ เร่งให้ความรู้กับประชาชนในศูนย์พักพิง ทั้งการตรวจวัดระดับคลอรีนและการเติมคลอรีน เร่งจัดหาคลอรีนให้เพียงพอ รวมถึงให้คำแนะนำในการล้างมือที่ถูกต้อง และการใช้ห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดโรค

นายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ภายในศูนย์พักพิงจะมีประชาชนมาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก การจัดเตรียมและปรุงประกอบอาหารในศูนย์พังพิงจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ทั้งความสะอาด ความปลอดภัยตามหลักสุขาภิบาลอาหาร อาทิ ผู้เตรียมอาหารต้องล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ก่อนจัดอาหาร การเตรียม ทำ ประกอบหรือปรุงอาหารบนโต๊ะสูงจากพื้น อย่างน้อย 60 ซม. ให้อยู่ในร่ม ไม่จัดหรือวางอาหารตากแดด แจกอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ไม่เกิน 2 ชั่วโมง บรรจุอาหารในกล่องที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แยกตามประเภทอาหาร และทิ้งขยะในบริเวณที่กำหนด ประชาชนที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิง ต้องล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ก่อนรับประทานอาหารและหลังออกจากห้องส้วมเช่นเดียวกัน

สำหรับประชาชนที่จะร่วมบริจาคอาหาร ขอให้หลีกเลี่ยงอาหารที่เน่าเสียง่าย เช่น อาหารหมักดอง อาหารค้างคืน อาหารไม่สุก อาหารที่ทำจากกะทิ ยำ พร้อมแนะแนวทางการบริจาคอาหาร เน้น อาหารแห้ง ได้แก่ ข้าวสาร ขนมปังกรอบ แครกเกอร์ ข้าวแผ่น ซีเรียล ปลากรอบ ไก่เค็ม หมูแผ่น หมูเส้น กุนเชียง ถั่วลิสงคั่ว ถั่วทอด กระยาสารท ถั่วตัด งาตัด อาหารสำเร็จรูป เช่น ข้าวสวยกระป๋อง ปลากระป๋อง ผลไม้แห้ง เช่น กล้วยตาก กล้วยอบ มะม่วงกวน มะละกออบ และที่สำคัญ คือ น้ำดื่ม นมถั่วเหลือง นมสดยูเอชที น้ำผลไม้บรรจุกล่อง เป็นต้น ทั้งนี้ ขอให้ตรวจสอบวันหมดอายุ และลักษณะของบรรจุภัณฑ์ต้องปิดสนิท ไม่ขาด ไม่บวม หรือขึ้นรา เพราะการดูแลด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำ และสุขอนามัยในศูนย์พักพิงอย่างเข้มงวด จะช่วยลดความเสี่ยงการเจ็บป่วย และสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ