“ทหาร-ตร.-มท.”บอด-ใบ้-แบมือ”
บ่ายวันที่ 29 กรกฎาคม เกิดโศกนาฏกรรม ครั้งใหญ่กลางเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อโกดังเก็บพลุ ดินดำ ตั้งที่หมู่ 1 ต.มูโนะ ระเบิดรัศมีทำลายกว่า 500 เมตร บ้านเรือนหลายร้อยหลังราพณาสูร
ชาวบ้านประสพชะตากรรม บาดเจ็บกว่าร้อย ตาย 12 คน บางครอบครัวตายเกือบยกครัว ไร้ที่อยู่อาศัยเกือบพัน
“จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าโกดังแห่งนี้น่าจะเก็บดินดำหรือดินปืนไว้กว่า 10 ตัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของพลุ ตะไล ดอกไม้เพลิง”
เมื่อตรวจสอบหลักเกณฑ์ควบคุมและกำกับดูแลการผลิต การค้า การครอบครอง และการชนส่ง ตามประกาศกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2547 ระบุว่าอาคารสถานที่หรือบริเวณที่ใช้ในการผลิตดอกไม้เพลิง ต้องตั้งอยู่ในทำเลและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ไม่อยู่ในย่านชุมชน โรงเรียน สถาบันการศึกษา โรงมหรสพ วัด โรงพยาบาลและโบราณสถาน
โกดังแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก กั้นระหว่างไทยกับมาเลเซีย เป็นช่องธรรมชาติเข้าออก 2 ประเทศได้อย่างสะดวก มีท่าเรือข้ามไปฝั่งมาเลเซีย และควบคุมด้วยกฎอัยการศึกและพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และมีศูนย์อำนวยการการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)หน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ดูแลโดยตรงอีกต่างหาก
เมื่อมองบริบทโดยรวมแล้วเหตุดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เพราะส่วนประกอบการทำพลุ ดอกไม้ไฟ คือดินดำสามารถนำไปประกอบเป็นวัตถุระเบิดเพื่อสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ได้
ยิ่งไปตรวจสอบหลักเกณฑ์การควบคุมฯก็เป็นประกาศของกระทรวงกลาโหม ความรับผิดชอบนี้กองทัพภาคที่ 4 ก็ยากที่จะปฏิเสธ
” เมื่อเหตุเกิดขึ้นข้อครหาก็จะพุ่งตรงทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ปกครอง เอื้อประโยชน์หรือแบมือรับผลประโยชน์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
โดยเฉพาะเสียงนินทาของประชาชน ต.มูโนะ ว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง จะไม่รู้เลยหรือ เพราะโกดังนี้ตั้งมานานมีเถ้าแก่ไหว และเจ้หลิน เป็นเจ้าของ ทั้งสองหนีไปกบดานอยู่ที่มาเลเซีย
เถ้าแก่ไหวและเจ้หลิน เปิดขายของเบ็ดเตล็ดบังหน้า มีธุรกิจขายประทัดและพลุส่งออกมาเลเซีย ปี 2559 เคยถูกจับโดยชุดกองอำนวยการักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) แต่ก็หลุดคดีมาได้แบบมีข้อกังขา
“ปัจจุบันเถ้าแก่ไหวต้องจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่เดือนละ 3-5 หมื่นบาท ผ่านจ่าคนหนึ่งที่ดูแลธุรกิจสีเทาในพื้นที่”
นี่คือผลประโยชน์เพียงพื้นที่เดียวเท่านั้น ยังไม่นับรวมพื้นที่อื่นๆใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่อุดมไปด้วยธุรกิจสีเทา ทั้งทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครอง รวมถึงศุลกากร ต่างทราบและเก็บผลประโยชน์กันอยู่
ประชาชนทั่วไปอาจจะมองว่าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้น่ากลัว อันตราย ไม่อยากไปท่องเที่ยวหรือถ้าไม่มีธุระจำเป็นจริงๆก็ไม่อยากไปเพราะกลัวอันตราย
แต่ทางตรงข้ามข้าราชการไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครอง รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ต่างกระเหี้ยนกระหือรือ อยากลงไปทั้งสิ้น เพราะนอกจากผลประโยชน์จากงบประมาณของรัฐและอายุราชการทวีคูณแล้ว สามารถกอบโกยจากธุรกิจสีเทาได้อีกด้วย
ข้าราชการบางกลุ่มที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เมื่อถึงฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายแทนที่จะเกรงกลัวถึงความไม่ปลอดภัยต้องย้ายออก กลับวิ่งเต้นขออยู่ต่อ
ตำรวจชั้นประทวน ในพื้นที่คนหนึ่งเล่าว่าทำงานสบายเพราะทำแค่ 15 วัน พัก 15 วัน เบี้ยเลี้ยงได้เต็มจำนวน บางโรงพักถ้านายใจดีก็แบ่งเงินจากธุรกิจสีเทามาให้อีกต่างหากและอายุราชการทวีคูณเมื่อเกษียณอายุ
“ยิ่งเมื่อส่องงบประมาณดับไฟใต้ตั้งแต่ปี2547-2565 รวม 19 ปี ใช้งบไปแล้วถึง 484,134 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 25,480 ล้านบาท แต่ในปีงบประมาณ 2565 สูงถึง 36,561 ล้านบาท”
งบประมาณมหาศาลที่เทลงไปในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนกับ 4 อำเภอของสงขลา คือ สะเดา เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย เป็นเวลา 19 ปี ปัญหาความสงบในพื้นที่ก็ยังปรากฏอยู่เนื่องๆ
แต่งบประมาณเหล่านี้ชาวบ้านในพื้นที่ต่างทราบกันดีว่ามีการทุจริตกันยิ่งกว่าวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง
คนในพื้นที่เล่าว่าหากเกิดเหตุใหญ่เช่น ห้างใหญ่หรือร้านค้าใหญ่ๆถูกวางระเบิด เผาทำลาย เจ้าของร้านมิได้หวั่นไหวต่อความเสียหาย เพราะจะมีงบประมาณจากรัฐเยี่ยวยาอย่างเต็มกำลัง อาทิห้างถูกวางระเบิดเสียหายยับเยิน เจ้าของตีราคาความเสียหาย 10 ล้าน แต่เจ้าหน้าที่จะตีให้ 15 ล้าน เจ้าของรับ 10 ล้าน อีก 5 ล้าน เป็นค่าน้ำหมึกเซ็นอนุมัติ
จึงอย่าได้แปลกใจถ้าคนพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้จะมองว่าเหตุป่วนที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆคือการเลี้ยงไข้ ของเจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาลบางยุค โดยใช้ชีวิตของประชาชนเป็นเครื่องมือ
เหตุโกดังเก็บพลุระเบิดที่สุไหงโก-ลก ก็พอสะท้อนได้เช่นกันว่า ทหาร ตำรวจ และมหาดไทย ล้วนทำหน้าที่แบบ บอด ใบ้ และแบมือ !!!