ไม่เข็ด! ป.ป.ส.บุกคลองเตยซ้ำ รวบ ผตห.ฉี่ม่วงยกแก๊ง แถมเจอหนีหมายจับ

ป.ป.ส. ลุยค้นชุมชนคลองเตย หลังรับเรื่องร้องเรียนผ่านโซเชียล! รวบ ผตห.พร้อมพวก 4 ราย ตรวจฉี่ ม่วงยกแก๊ง-เจอหนีหมายจับคดีขับเสพ

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ส. บูรณาการกำลังร่วมกับ ตำรวจท่องเที่ยว และ สน.ท่าเรือ ลงพื้นที่ชุมชนคลองเตย หลังชาวบ้านสุดทน ร้องเรียนผ่าน Facebook สำนักงาน ป.ป.ส. และสายด่วน ป.ป.ส. 1386 ที่พึ่งทุกปัญหายาเสพติด เป็นครั้งที่ 2 เหตุจากผู้ต้องหา ไม่เข็ดหลาบ มั่วสุมเสพยาไม่เกรงกลัวกฎหมาย ผลตรวจค้นพบฉี่ม่วงยกก๊วน 4 ราย พร้อมรวบผู้ต้องหาหนีหมายจับศาลแขวงสมุทรปราการ

พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก สำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับเรื่องร้องเรียนผ่าน Facebook สำนักงาน ป.ป.ส. และสายด่วน ป.ป.ส. 1386 ที่พึ่งทุกปัญหายาเสพติดแจ้งเบาะแสพฤติการณ์ของ นายนพพลและพวก ที่มักลักลอบมั่วสุมเสพยาเสพติดในพื้นที่ชุมชนคลองเตย สร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้กับผู้อยู่อาศัย ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เคยเข้าจับกุมตัวดำเนินคดีไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังคงมีพฤติการณ์เดิม จึงได้สั่งการให้ สำนักปราบปรามยาเสพติด (ปป.1) ประสานความร่วมมือกับ ปปส.กทม., ตำรวจท่องเที่ยว (ศอ.ปส.สน.บก.ทท.) และ สน.ท่าเรือ เข้าปิดล้อมตรวจค้นซ้ำทันทีในวันนี้

จากการเข้าตรวจค้นบ้านพักภายในชุมชนคลองเตย พบกลุ่มบุคคลกำลังมั่วสุมอยู่ภายในบ้าน จำนวน 4 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือ นายนพพล (สงวนนามสกุล) บุคคลตามเรื่องร้องเรียน เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจหาสารเสพติดในร่างกาย พบผลเป็นบวก (สีม่วง) ทั้ง 4 ราย จึงแจ้งข้อหา “เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ จากการขยายผลตรวจสอบประวัติผู้ถูกจับกุม พบว่า นายประเสริฐ (สงวนนามสกุล) เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลแขวงสมุทรปราการ ในข้อหาสำคัญได้แก่ ‘เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1, เป็นผู้ขับขี่รถในขณะมีสารเสพติดอยู่ในร่างกาย และไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล (ผิดเงื่อนไขคุมประพฤติ)’ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการจับกุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ความผิดฐาน ‘เป็นผู้ขับขี่รถในขณะมีสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) อยู่ในร่างกายโดยผิดกฎหมาย ถือเป็นภัยร้ายแรงต่อผู้ใช้รถใช้ถนนและสังคม เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมทั้งถูกสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ อีกทั้งกรณีที่ผู้ต้องหาผิดเงื่อนไขคุมประพฤติ ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้ นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้เดิมกลับมาบังคับใช้ทันที โดยไม่มีการรอลงอาญาอีกต่อไป

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสืบสวนพบว่าปัญหายาเสพติดในเคสนี้ ส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัวโดยตรง โดยผู้ถูกร้องเรียนมีพฤติกรรมเสพยาจนเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ภรรยาและลูกต้องย้ายหนี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ายาเสพติดเป็นภัยร้ายที่ทำลายทั้งสุขภาพและทำลายความสุขในครอบครัว

ปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการยืนยันว่า ป.ป.ส. ให้ความสำคัญกับทุกเรื่องร้องเรียน โดยเฉพาะในชุมชนเมืองที่มีความหนาแน่น หากประชาชนพบเห็นเบาะแสยาเสพติด หรือพบผู้กระทำผิดซ้ำซาก สามารถแจ้งมาได้ที่สายด่วน ป.ป.ส. 1386 ที่พึ่งทุกปัญหายาเสพติดตลอด 24 ชั่วโมง เราพร้อมดำเนินการตรวจสอบและปราบปรามทันที เพื่อคืนความสงบสุขให้ชุมชน เลขาธิการ ป.ป.ส. เน้นย้ำในตอนท้าย

ผบ.ตร.ลุยชลบุรี สั่งเช็กบิลแก๊งวัยรุ่นกัมพูชาข่มขู่ท้าทาย ลั่นไม่ยอมให้ผิดกฎหมายบนแผ่นดินไทย

ผบ.ตร.ลงพื้นที่ชลบุรี สั่งเด็ดขาดดำเนินคดีกลุ่มวัยรุ่นกัมพูชาข่มขู่ท้าทาย สั่งจับตาเช็กบิลทุกกลุ่มพฤติกรรมเป็นภัยความสงบสุขของคนไทย ย้ำตำรวจพร้อมดูแลประชาชนและต่างชาติเต็มที่ และจะไม่ยอมให้ก่อเหตุ ผิดกฎหมาย

วันนี้ (18 ธันวาคม 2568) เวลา 08.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล/รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปยังตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ติดตามคดีกลุ่มวัยรุ่นชาวกัมพูชากว่า 10 คน ถ่ายคลิปข่มขู่ท้าทาย สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนในสังคม พร้อมโชว์อาวุธ ก่อเหตุความวุ่นวายในพื้นที่ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง ซึ่งตำรวจจับกุมดำเนินคดีแล้ว 3 ราย และกำลังติดตามตัวทั้งหมดมาดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ ผบ.ตร.สั่งการให้ พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2, พล.ต.ต.พงศ์พันธ์ วงษ์มณีเทศ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และ พล.ต.ต.ปราโมทย์ งามประดิษฐ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยอง เร่งสืบสวนจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุทั้งหมดมาดำเนินคดีโดยเร็ว โดยจับกุมวัยรุ่นชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นระดับหัวโจก พร้อมพวกรวม 3 คน แจ้งข้อหาเบื้องต้นร่วมกันมีไว้ในความครอบครองและใช้วัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต,ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร,ร่วมกันก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ ขณะที่กำลังติดตามตัวทั้งกลุ่มมาดำเนินคดี และภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการทางคดีอาญาแล้ว ตํารวจภูธรจังหวัดชลบุรีจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อพิจารณาดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองต่อไป ตามอํานาจหน้าที่ เพื่อป้องกันมิให้เกิดพฤติการณ์ในลักษณะดังกล่าวซ้ำอีก และเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม

ผบ.ตร.กล่าวว่า ประเทศไทยยินดีต้อนรับต่างชาติทุกคนในการเดินทางมาท่องเที่ยว ทำงาน พำนักอาศัย และพร้อมดูแลความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่ แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย ไม่ก่อความเดือดร้อน ผิดกฎหมาย ซึ่งหากกระทำการที่ผิดกฎหมาย เป็นภัยต่อความสงบสุขในประเทศไทย ตำรวจต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดทุกราย

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร. ได้สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น ตำรวจภูธรภาค 2, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบข้อมูลท้องถิ่นและกลุ่มคนต่างด้าวในพื้นที่โดยละเอียด หากพบการฝ่าฝืนกฎหมายต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทั้งการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ตลอดจนพิจารณาเพิกถอนการอนุญาตให้คนต่างด้าวพำนักในประเทศไทย และข้อกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ย้ำว่า ขออย่าสนับสนุนการกระทำดังกล่าวทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการซ่อนเร้น หรือให้ความช่วยเหลือแก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเป็นความผิดที่ร้ายแรงตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 64 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท

กองทัพเรือติดตามใกล้ชิดโครงการเรือดำน้ำ ย้ำความพร้อมเทคโนโลยี-การฝึกกำลังพลมาตรฐานสากล

กองทัพเรือส่งคณะผู้บริหารระดับสูงเยือนจีน ตรวจความก้าวหน้าเรือดำน้ำ S26T ระบบขับเคลื่อนและการผลิตคืบหน้า พร้อมยืนยันดำเนินโครงการด้วยความโปร่งใส เพื่อเสริมความมั่นคงทางทะเลของชาติ

แถลงข่าวสำนักงานโฆษกกองทัพเรือ
เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือ

กองทัพเรือขอเรียนให้ประชาชนทราบว่า ระหว่างวันที่ 9 – 19 ธันวาคม 2568 พลเรือเอก นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ พร้อมคณะ ได้รับมอบหมายจาก พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เดินทางไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำ และหารือความร่วมมือทางทหารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

คณะได้ตรวจเยี่ยมสถาบัน Shanghai Marine Diesel Engine Research Institute (SMDERI) ณ นครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นหน่วยงานออกแบบและวิจัยระบบขับเคลื่อนเรือดำน้ำและเรือผิวน้ำ โดยได้รับฟังการบรรยายด้านเทคโนโลยีจากผู้แทนบริษัท China State Shipbuilding Corporation (CSSC) และสถาบันระบบขับเคลื่อนแบบไม่ใช้อากาศ (AIP) สะท้อนถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยีของฝ่ายผู้ผลิต

ต่อมา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 คณะได้เดินทางไปยังอู่ต่อเรือ Wuchang Shipbuilding Industry Group Co., Ltd. (WSIG) เมืองอู่ฮั่น เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดสร้างเรือดำน้ำแบบ S26T โดยได้รับการยืนยันถึงแผนการดำเนินงาน การควบคุมคุณภาพ และกรอบระยะเวลาของโครงการจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัท China Shipbuilding Trading Co., Ltd. (CSTC) และ WSIG

นอกจากนี้ คณะยังได้เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยวิศวกรรมทหารเรือ ณ เมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นสถาบันหลักด้านการพัฒนากำลังพลเรือดำน้ำ โดยได้ชมการสาธิตการฝึกหนีภัยออกจากเรือดำน้ำ การฝึกป้องกันความเสียหายของเรือผิวน้ำ ระบบเครื่องฝึกจำลองการนำเรือดำน้ำ และการเรียนการสอนในหลักสูตรต่าง ๆ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยได้แสดงความพร้อมในการรองรับกำลังพลกองทัพเรือไทยเข้ารับการฝึกอบรมตามมาตรฐานสากล

กองทัพเรือยืนยันว่า โครงการจัดหาเรือดำน้ำเป็นโครงการสำคัญด้านความมั่นคงของประเทศ ดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ การติดตามความก้าวหน้าในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองทัพเรือในการผลักดันโครงการให้เป็นไปตามแผน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ทางทะเลของชาติอย่างยั่งยืน

แถลงการณ์ สำนักงานโฆษกกองทัพเรือ แจงกรณีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับบริเวณแท่นขุดเจาะกลางทะเล

ตามที่มีสื่อบางสำนักนำเสนอข่าวในลักษณะกล่าวอ้างว่า กองทัพเรือเพิกเฉยและไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ต่อกรณีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับเข้ามาก่อกวนบริเวณแท่นขุดเจาะกลางทะเลของบริษัท ปตท.สผ. นั้น

เรือโทหญิง ปรียาดา บัวสมบุญ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า กองทัพเรือได้มีช่องทางการติดต่อและการประสานงานโดยตรงระหว่างกลุ่มบริษัทผู้ผลิตน้ำมันหลายบริษัทที่ปฏิบัติงานในอ่าวไทย กับทัพเรือภาคที่สองมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์ด้านความมั่นคงทางทะเลในทุกมิติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม

กองทัพเรือ ได้รับแจ้งจากฝ่ายรักษาความปลอดภัยของแท่นเอราวัณว่า ตรวจพบอากาศยานไร้คนขับไม่ทราบฝ่ายเข้ามาในพื้นที่แท่นขุดเจาะ ทันทีที่ได้รับแจ้ง ทัพเรือภาคที่สอง ได้จัดอากาศยานออกตรวจการณ์ในพื้นที่โดยทันที เพื่อค้นหาฐานปล่อยหรือแหล่งที่มาของอากาศยานไร้คนขับดังกล่าว ภายในรัศมีประมาณ 10 กิโลเมตร รอบแท่นขุดเจาะ ควบคู่กับการเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ทัพเรือภาคที่ 2 ยังได้รับแจ้งว่าแท่นขุดเจาะอีกหลายแท่นก็ตรวจพบเช่นเดียวกัน เช่น แท่นไพลิน แท่นสตูล และแท่นฟูนาน ซึ่งได้จัดเรือและอากาศยานลาดตระเวนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2568 จนถึงปัจจุบันนอกจากนี้ กองทัพเรือยังได้ร่วมวางแผนกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันเบื้องต้น และเตรียมความพร้อมในการให้การช่วยเหลือและสนับสนุนด้านความมั่นคงอย่างเป็นระบบ ซึ่งปัจจุบันกองทัพเรือยังคงปฏิบัติภารกิจในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองความปลอดภัยของแท่นขุดเจาะที่ถูกคุกคามจากอากาศยานไร้คนขับไม่ทราบฝ่ายอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กองทัพเรือได้มีการประสานงานกับบริษัท ปตท. อย่างต่อเนื่อง และได้ร่วมกันกำหนดมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สำคัญ ทั้งในทะเลและบนบก เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ด้านพลังงานของประเทศ ล่าสุดได้รับคำยืนยันจากผู้บริหารระดับสูง ของบริษัท ปตท.จำกัดมหาชน ว่าที่ผ่านมา บริษัทได้ประสานงานร่วมกับกองทัพเรือ และ ศรชล. มาอย่างต่อเนื่องเป็นอย่างดีมาโดยตลอด และบริษัทไม่เคยมีการให้ข่าวในลักษณะนั้น แต่อย่างใด

กองทัพเรือ ขอยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงทางทะเลและการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของชาติ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รอบคอบ และไม่เคยบกพร่องตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด และยังคงยึดมั่นในการปฏิบัติภารกิจเพื่อความมั่นคง และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มขีดความสามารถ

ครม. มีมติส่งคำถามในการออกเสียงประชามติ ครั้งที่1 จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ กกต. เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายพร้อมกำหนดวันลงประชามติพร้อมเลือกตั้ง 8 ก.พ.69

วันที่ 18 ธันวาคม 2568 นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาและเห็นชอบกรอบการดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติครั้งที่หนึ่ง เพื่อขอความเห็นชอบจากประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 และที่แก้ไขเพิ่มเติมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ กำหนดวันออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เนื่องจากเป็นการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างคุ้มค่า ลดภาระงบประมาณ และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยไม่ต้องเดินทางมาใช้สิทธิหลายครั้ง พร้อมทั้งช่วยลดภาระการจัดการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

สำหรับ ประเด็นคำถามในการออกเสียงประชามติ คณะรัฐมนตรีพิจารณาไว้ 2 แนวทาง ได้แก่ 1. คำถามตามมติที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” หรือ 2. คำถามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 “ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และข้อมูลที่เผยแพร่แก่ประชาชนมีความชัดเจน สอดคล้องกับบริบทของคำถามที่ใช้ คณะรัฐมนตรีจึงมอบหมายให้ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ปรับปรุงและจัดทำข้อมูลประกอบการออกเสียงประชามติ ก่อนส่งให้สำนักงาน กกต. ดำเนินการเผยแพร่ตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขอเชิญชวนประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเตรียมใช้สิทธิอย่างพร้อมเพรียงในวันดังกล่าว

บุกจับคาโรงแรม! ตำรวจบางละมุงรวบแก๊งชาวจีน 5 ราย ลักลอบเล่นการพนัน​

ตำรวจ สภ.บางละมุง สนองนโยบายปราบอบายมุข บุกจับกลุ่มชาวจีนลักลอบเล่นการพนันภายในโรงแรมย่านนาเกลือ รับสารภาพครบ จัดให้มีการเล่นพนันแลกเงิน ดำเนินคดีตามกฎหมายทุกขั้นตอนโปร่งใส

มีรายงานจากบันทึกการจับกุม​ โดย พ.ต.อ.สราวุธ นุชนารถ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบางละมุง ร่วมกับชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค2 ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองชลบุรี​ และตำรวจท่องเที่ยวชลบุรี​ สืบสวนจับกุมผู้ต้องหาชาวจีน จำนวน 5 ราย พร้อมไพ่จำนวน2สำรับ​เงินสด​7,000บาท​และผ้าปู หลังสืบทราบว่ามีการลักลอบเล่นการพนันภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับ (ขอสงวนนาม) เพื่อขอรับเงินสินบนนำจับ ว่ามีกลุ่มชายชาวจีนรวมตัวลักลอบเล่นการพนันภายในห้องโถงของโรงแรมดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนวางแผนและเดินทางไปตรวจสอบ

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบผู้ต้องหา4รายกำลังนั่งล้อมวงเล่นการพนันจริง จึงแสดงตัวเข้าจับกุม พร้อมตรวจยึดของกลางไว้เป็นหลักฐาน ขณะเดียวกันพบผู้ต้องหาอีก1ราย​ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียง

จากการสอบสวนผ่านล่าม ผู้ต้องหา4ราย​ ให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันเล่นการพนันไพ่สามกองจริง ส่วนผู้ต้องหาอีก1ราย​ รับสารภาพว่าเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยเรียกเก็บค่าจัดการเล่นเป็นเงิน 1,000 บาท ต่อระยะเวลา 4 ชั่วโมง

เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาลำดับที่ 1–4 ในความผิดฐานร่วมกันลักลอบเล่นการพนัน (ไพ่สามกอง) พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาลำดับที่ 5 ในความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์

ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางละมุง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ผู้จับกุมได้บันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องตลอดกระบวนการจับกุมและควบคุมตัว ก่อนส่งมอบให้พนักงานสอบสวน ยกเว้นช่วงที่มีเหตุสุดวิสัยไม่สามารถบันทึกได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอุปกรณ์ขัดข้อง พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีการกระทำใดเข้าข่ายทรมาน โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แต่อย่างใด

นอกจากนี้ ได้แจ้งการจับกุมต่อพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา ผ่านศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย รวมถึงแจ้งต่อกรมการปกครองผ่านระบบเว็บไซต์ตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว พร้อมอ่านบันทึกการจับกุมให้ผู้ต้องหาฟัง ตรวจสอบ และมอบสำเนาเอกสารให้ผู้ต้องหาเป็นหลักฐานครบถ้วนทุกประการ

“ทักษิณ” ฝาก “แพทองธาร” ให้กำลังใจ “ยศชนัน” แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย เผยเข้าสู่วงการการเมือง ตอนอายุเท่า ๆ กัน

วันนี้ (18 ธ.ค.) เมื่อ เวลา 09.40 น. ที่ เรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร นางสาว แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อิ๊งค์” พร้อมด้วย นายปิฎก สุขสวัสดิ์ หรือ “ปอ” สามี ได้เดินทางมาเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งในครั้งนี้จะเป็นการเยี่ยมครั้งที่ 26 หลังคุมขังครบ 3 เดือน เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา

ต่อมาเวลา 10.30 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออิ๊งค์ และ นายปิฎก สุขสวัสดิ์ หรือปอ สามีของ น.ส.แพทองธาร เดินทางออกมาจากเรือนจำ ภายหลังการเยี่ยมอดีตนายกรัฐมนตรีเสร็จ โดยผู้สื่อข่าวสอบถามว่าได้มีการคุยกับคุณพ่อเรื่องการเปิดตัว ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า ได้มีการพูดคุยกัน ซึ่งคุณพ่อบอกว่า ตัวแคนดิเดตเริ่มเข้าวงการการเมือง ตอนอายุ 46 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุเท่าๆ กัน และคุณพ่อก็ได้ฝากให้กำลังใจแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยด้วย

จากนั้นนางสาวแพทองธาร และนายปิฎก ได้ทักทายประชาชนที่เดินทางให้กำลังใจ ก่อนเดินขึ้นรถ เดินทางกลับ

ดราม่าลามโซเชียล! แฟนคลับไทยแห่แบน “เฉาเทียนไค” หลังพูดกลางไลฟ์กลัวมาไทยถูกลักพาตัว

คำพูดเพียงประโยคเดียวจุดชนวนความไม่พอใจ แฟนคลับไทยผิดหวัง “เฉาเทียนไค” พระเอกละครสั้นจีน พูดถึงประเทศไทยในเชิงลบกลางไลฟ์สด กระแสแบนลุกลามหนักทั่วโซเชียล

กลายเป็นดราม่าร้อนแรงในโลกโซเชียล เมื่อแฮชแท็ก พระเอกละครสั้นจีน และ เฉาเทียนไค ติดเทรนด์ หลังนักแสดงหนุ่มจากวงการมินิซีรีส์จีนอย่าง เฉาเทียนไค (曹天恺) ออกมาพูดกลางไลฟ์สดในทำนองว่า “ไม่ค่อยกล้าไปประเทศไทย กลัวถูกจับไปขาย” จนสร้างความไม่พอใจให้แฟนคลับชาวไทยอย่างหนัก

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างที่เฉาเทียนไคไลฟ์สดพูดคุยกับแฟนคลับ ขณะกำลังแต่งหน้าทำผม และมีการพูดถึงประเทศไทย โดยเจ้าตัวกล่าวประโยคที่ถูกมองว่าเป็นการเหมารวมและด้อยค่าประเทศไทย แม้ต่อมาจะพยายามแซวตัวเองว่าเป็นคนออกจากบ้านโดย “ไม่ค่อยพกสมอง” จึงอาจถูกลักพาตัวได้ง่าย แต่แฟนคลับชาวไทยจำนวนมากมองว่าไม่ใช่เรื่องตลก และไม่อาจยอมรับคำพูดดังกล่าวได้

กระแสความไม่พอใจจึงลุกลามอย่างรวดเร็วในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook และ TikTok รวมถึงมีการเข้าไปแสดงความคิดเห็นในบัญชี Douyin ของเฉาเทียนไค เพื่อแสดงความผิดหวัง พร้อมประกาศแบนผลงานของเขาอย่างชัดเจน

สำหรับ เฉาเทียนไค ถือเป็นนักแสดงที่กำลังมาแรงในกลุ่มผู้ชมละครสั้นจีนแนวตั้ง (Short Drama) มีผลงานที่เป็นที่รู้จัก เช่น เรื่อง “รักข้ามเส้นคุณเลขา” (秘色临界) และมียอดผู้ติดตามใน Douyin มากกว่า 200,000 คน

ขณะที่กระแสแบนยังคงขยายวงกว้าง โลกออนไลน์ก็มีการเปรียบเทียบไปถึงนักแสดงระดับแถวหน้าของวงการบันเทิงจีนหลายคน ที่ต่างเดินทางมาเที่ยว พักผ่อน หรือรับงานอีเวนต์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและสบายใจ ยิ่งตอกย้ำมุมมองของแฟนคลับไทยว่า คำพูดของเฉาเทียนไคไม่เหมาะสมและกระทบภาพลักษณ์ประเทศโดยไม่จำเป็น

ดราม่านี้จะจบลงด้วยคำขอโทษหรือการชี้แจงจากเจ้าตัวหรือไม่ ยังต้องจับตาดูท่าทีต่อไปอย่างใกล้ชิด

ป.ป.ส. จับมือ DEA สหรัฐฯ กระชับความร่วมมือ 40 ปี ลุยสกัดยาเสพติด–อาชญากรรมข้ามชาติ ดันประชุม Regional IDEC ที่เชียงราย

เลขาธิการ ป.ป.ส. ให้การต้อนรับคณะผู้แทน DEA สหรัฐฯ หารือยกระดับความร่วมมือปราบปรามยาเสพติด แลกเปลี่ยนข่าวกรอง เทคโนโลยี และการฝึกอบรม พร้อมเดินหน้ากลไก “No Chemical, No Drugs” หลังสกัดสารตั้งต้นกว่า 40 ตัน และเตรียมเป็นเจ้าภาพร่วมประชุม Regional IDEC ปี 2569 ที่เชียงราย ครอบคลุมภัยยาเสพติด–อาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

เมื่อวันพุธที่ 17 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นประธานให้การต้อนรับและหารือข้อราชการกับคณะผู้แทนจากสำนักงานปราบปรามยาเสพติด สหรัฐอเมริกา (Drug Enforcement Administration: DEA) นำโดยนายแมททิว เค. กอมม์ (Mr. Matthew K. Gomm) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นายเจสซี อี โอดัม (Mr.Jesse E. Odum) ผู้ช่วยทูตด้านปราบปรามยาเสพติด DEA และคณะเจ้าหน้าที่ DEA โดยมีนายคณิศร ภาพีรนนท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด ผู้แทนจากสำนักการต่างประเทศ และสำนักปราบปรามยาเสพติด ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องรับรอง เภา สารสิน อาคาร 1 ชั้น 2 สำนักงาน ป.ป.ส.

ในการนี้ นายแมททิว ได้กล่าวขอบคุณ เลขาธิการ ป.ป.ส. ที่อนุญาตให้คณะผู้แทน DEA เข้าพบในวันนี้ และขอบคุณในความร่วมมือด้านยาเสพติดระหว่างสองหน่วยงานที่มีมาอย่างยาวนานและเข้มแข็ง รวมถึงขอบคุณที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ DEA เป็นอย่างดีเสมอมา พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารและผู้ประสานงานของ DEA ในระยะเวลาอันใกล้ โดยในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ นายจอห์น พี. สก็อต (Mr. John P. Scott) ผู้อำนวยการ สำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค จะหมดวาระการปฏิบัติงานในภูมิภาคฯ และนายเดวิด คิง (Mr. David King) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะขึ้นรับตำแหน่งแทน รวมถึงในอีกหกเดือน นายมาร์ค แลงก์ (Mr. Mark Laing) เจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษจะหมดวาระการปฏิบัติหน้าที่ ณ ประเทศไทยเช่นกัน พร้อมกันนี้ฝ่าย DEA ได้เชิญให้สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม Regional International Drug Enforcement Conference (Regional IDEC) ร่วมกับ DEA และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ในระหว่างวันที่ 30 มีนาคม – 3 เมษายน 2569 ณ จังหวัดเชียงราย ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง ไม่เพียงเฉพาะด้านยาเสพติดเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบอื่น อาทิ อาชญากรรมทางออนไลน์และขบวนการหลอกลวง (Scammer) โดยขอเชิญผู้แทนจากสำนักงาน ป.ป.ส. เข้าร่วมการประชุมฯ และขอรับการสนับสนุนการจัดการศึกษาดูงานพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและหอฝิ่น จังหวัดเชียงราย

ทั้งนี้เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้กล่าวต้อนรับคณะผู้แทน DEA และแสดงความขอบคุณในความร่วมมือและการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการปฏิบัติการ ด้านวิชาการ และการฝึกอบรม จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและ DEA ที่มีต่อประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมแนวความคิดและองค์ความรู้ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนร่วมกันระหว่างสองหน่วยงาน ซึ่งได้นำไปสู่การพัฒนาแนวทางการดำเนินงานด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การจัดตั้งคณะกรรมการควบคุมและสกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด และการขับเคลื่อนปฏิบัติการภายใต้แนวคิด No Chemical, No Drugs ซึ่งตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการเปิดปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องแล้วจำนวน 2 ครั้ง สามารถสกัดกั้นและยึดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ได้มากกว่า 40 ตัน นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. อยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะทำงานสืบสวนและปราบปรามการค้ายาเสพติดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมที่จะดำเนินงานร่วมกับ DEA อย่างใกล้ชิดในทั้งสองประเด็นดังกล่าวต่อไป

สำหรับการจัดการประชุม Regional IDEC สำนักงาน ป.ป.ส. ยินดีให้การสนับสนุน DEA ในการเป็นเจ้าภาพร่วม การจัดกิจกรรมศึกษาดูงานพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและหอฝิ่น รวมถึงการเข้าร่วมการประชุมตามที่ฝ่าย DEA เสนอ ในโอกาสเดียวกัน นายคณิศร ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติดได้ส่งมอบรายการสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ต้องสงสัย (List of Red Flag) ให้กับคณะผู้แทน DEA เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเฝ้าระวังและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองร่วมกันต่อไป

นายแมททิว เค. กอมม์ ได้กล่าวเสริมถึงความสำเร็จของการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. และ DEA โดยเฉพาะการสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการสนับสนุนเทคโนโลยีการตรวจจับป้ายทะเบียนยานพาหนะ (License Plate Recognition) จาก DEA ทั้งนี้ DEA ยืนยันความพร้อมในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับยาเสพติดและยาเสพติดชนิดใหม่ ตลอดจนการสนับสนุนเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมถึงการสนับสนุนการฝึกอบรมผ่านสถาบันการฝึกอบรมระหว่างประเทศ (International Law Enforcement Academy: ILEA) และการฝึกอบรมหลักสูตร Sensitive Investigative Unit (SIU) โดยในปีนี้ DEA มีแผนเพิ่มจำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรมจากประเทศไทยเพิ่มเติมอีก 10 ตำแหน่ง

โดยนายคณิศร ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด ได้กล่าวชื่นชมการฝึกอบรมหลักสูตร SIU ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถด้านการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ไทย พร้อมทั้งขอให้ฝ่าย DEA พิจารณาเชิญเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ส. เข้าร่วมการฝึกอบรมดังกล่าว อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับภูมิภาคระหว่างทั้งสองประเทศต่อไป

ในห้วงท้าย เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้ย้ำถึงความสำคัญของการหารือข้อราชการในระดับนโยบายดังเช่น ในวันนี้ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายและความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน

รทสช. เปิดบ้านต้อนรับ “ดร.พงศ์ธร ธาราไชย” เสริมทัพบัญชีรายชื่อ เดินหน้าการเมืองสร้างสรรค์​ ย้ำต้องแก้ปัญหาชาติได้จริง ไม่ใช่แค่วาทกรรม

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ยินดีต้อนรับ ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS นักธุรกิจและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง เจ้าของช่อง “ปป รวยกว่าย่อมดีกว่า” หลังตัดสินใจสมัครเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเป็นทางการ

ดร.พงศ์ธร เป็นบุคคลที่มีบทบาทในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฐานะผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่ที่ทำงานด้านวิศวกรรมและการบริหารโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึงบทบาทในโลกออนไลน์ที่สื่อสารความรู้ด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการพัฒนาศักยภาพตนเองให้กับประชาชนในวงกว้าง สะท้อนภาพของคนทำงานที่เข้าใจทั้งระบบเศรษฐกิจจริงและความท้าทายของประเทศในปัจจุบัน

การเข้าร่วมงานกับพรรคของ ดร.พงศ์ธร ในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจบนจุดยืนที่ชัดเจนว่า การเมืองต้องเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาประเทศอย่างเด็ดขาด ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน และให้ความสำคัญกับคนทำงานที่มีความสามารถอย่างแท้จริง

“พรรครวมไทยสร้างชาติเปิดกว้างสำหรับบุคลากรจากทุกภาคส่วนที่มีความรู้ ความสามารถ และเจตนารมณ์เข้ามาทำงานการเมืองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่การเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์หรือวาทกรรม”

“การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติพร้อมเดินหน้าด้วยทีมงานที่มีคุณภาพ จุดยืนที่ชัดเจน และการทำงานที่ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก เพื่อแก้วิกฤตชาติอย่างเด็ดขาด โดยไม่มีประโยชน์ทับซ้อน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว