รทสช. เปิดบ้านต้อนรับ “ดร.พงศ์ธร ธาราไชย” เสริมทัพบัญชีรายชื่อ เดินหน้าการเมืองสร้างสรรค์​ ย้ำต้องแก้ปัญหาชาติได้จริง ไม่ใช่แค่วาทกรรม

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ยินดีต้อนรับ ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS นักธุรกิจและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง เจ้าของช่อง “ปป รวยกว่าย่อมดีกว่า” หลังตัดสินใจสมัครเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเป็นทางการ

ดร.พงศ์ธร เป็นบุคคลที่มีบทบาทในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฐานะผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่ที่ทำงานด้านวิศวกรรมและการบริหารโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึงบทบาทในโลกออนไลน์ที่สื่อสารความรู้ด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการพัฒนาศักยภาพตนเองให้กับประชาชนในวงกว้าง สะท้อนภาพของคนทำงานที่เข้าใจทั้งระบบเศรษฐกิจจริงและความท้าทายของประเทศในปัจจุบัน

การเข้าร่วมงานกับพรรคของ ดร.พงศ์ธร ในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจบนจุดยืนที่ชัดเจนว่า การเมืองต้องเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาประเทศอย่างเด็ดขาด ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน และให้ความสำคัญกับคนทำงานที่มีความสามารถอย่างแท้จริง

“พรรครวมไทยสร้างชาติเปิดกว้างสำหรับบุคลากรจากทุกภาคส่วนที่มีความรู้ ความสามารถ และเจตนารมณ์เข้ามาทำงานการเมืองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่การเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์หรือวาทกรรม”

“การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติพร้อมเดินหน้าด้วยทีมงานที่มีคุณภาพ จุดยืนที่ชัดเจน และการทำงานที่ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก เพื่อแก้วิกฤตชาติอย่างเด็ดขาด โดยไม่มีประโยชน์ทับซ้อน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

“สิงโตงาม” ราชันแห่งกล้วยไม้ป่าภาคใต้ งามหนึ่งฤดู หนึ่งปีหนึ่งครั้ง ณ เขาพะเนินทุ่ง

ท่ามกลางผืนป่ามรดกโลกแก่งกระจาน ความงามหายากของ “สิงโตงาม” กล้วยไม้ป่าผู้เปรียบเสมือนงานศิลป์ของธรรมชาติ กำลังบานสะพรั่งอีกครั้ง เปิดช่วงเวลาอันสั้นให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสเสน่ห์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า

สิงโตงาม—บทกวีแห่งป่าภาคใต้
ในฤดูหนาวที่สายลมเย็นพัดผ่านผืนป่าเขาพะเนินทุ่ง ความเงียบสงบของธรรมชาติถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใสของกล้วยไม้ป่าหายาก “สิงโตงาม” ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งบริเวณหน้าป้อมหน่วยฯปรากฏการณ์งดงามที่เกิดขึ้นเพียงปีละครั้ง และรอคอยผู้ที่มีหัวใจรักธรรมชาติให้มาชื่นชมอย่างใกล้ชิด

สิงโตงามเป็นกล้วยไม้ป่าสกุล Bulbophyllum ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ดอกเดี่ยวขนาดใหญ่กว้างราว 7 เซนติเมตร ชูตัวออกจากก้านดอกยาวอย่างสง่างาม กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีเหลืองสด ประดับด้วยเส้นและจุดสีแดงเข้มราวลวดลายที่จิตรกรบรรจงแต้ม กลีบเลี้ยงด้านบนเรียวแหลมมีเส้นสีแดง 11 เส้น ขณะที่กลีบเลี้ยงคู่ข้างมีถึง 15 เส้น พร้อมจุดสีแดงกระจายหนาแน่น เสริมให้ดอกไม้ดอกนี้ดูราวกับงานศิลปะที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน กลีบดอกรูปเคียวและกลีบปากทรงสามเหลี่ยมยิ่งขับเน้นความงามเฉพาะตัวที่ยากจะพบเห็น

ในเชิงพฤกษศาสตร์ สิงโตงามเป็นกล้วยไม้อิงอาศัย ลำต้นเจริญทอดไปด้านข้าง มีลำลูกกล้วยขนาดใหญ่รูปไข่ และใบเดี่ยวรูปขอบขนาน ลักษณะเด่นของกล้วยไม้สกุลนี้ ช่วงเวลาออกดอกอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม สอดคล้องกับฤดูท่องเที่ยวที่อากาศเย็นสบาย

กล้วยไม้ชนิดนี้พบได้เฉพาะบางพื้นที่ของภาคใต้ อาทิ สงขลา ชุมพร และนครศรีธรรมราช การที่สิงโตงามสามารถเจริญเติบโตและออกดอกได้สมบูรณ์ ณ เขาพะเนินทุ่ง สะท้อนถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและผืนป่าที่ได้รับการดูแลอย่างดี

มากกว่าความสวยงาม สิงโตงามยังเป็นส่วนหนึ่งของสายใยชีวิตในผืนป่า กล้วยไม้ป่ามีบทบาทสำคัญต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นตัวชี้วัดสุขภาพของระบบนิเวศ และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแมลงผสมเกสร เช่น ผึ้งและแมลงวันบางชนิด ที่ช่วยถ่ายละอองเกสรให้การสืบพันธุ์ดำรงอยู่ต่อไป

การปรากฏตัวของสิงโตงามในช่วงนี้ จึงไม่ใช่เพียงภาพงดงามที่ควรค่าแก่การบันทึก แต่คือคำเชื้อเชิญจากธรรมชาติ ให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้ ชื่นชม และตระหนักถึงคุณค่าของการอนุรักษ์ การเดินทางมาชมกล้วยไม้ป่าในถิ่นกำเนิดแท้จริง คือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่หล่อเลี้ยงทั้งหัวใจของผู้มาเยือน และผืนป่าให้คงความงดงามสืบไป

ขอบคุณและข้อมูล: อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน – Kaeng Krachan National Park

“เรดวิงส์”สมรภูมิลาดเขามรณะ 19 ชีวิตแลกภารกิจ หน่วยซีลสหรัฐฯ กับตำนานผู้รอดเพียงหนึ่งเดียว

ปฏิบัติการลับกลางหุบเขาอัฟกานิสถาน พลิกเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของหน่วยซีล สังเวยชีวิต 19 นาย ก่อนโลกจดจำชื่อ “Lone Survivor”

ปฏิบัติการเรดวิงส์ (Operation Red Wings) หรือที่รู้จักกันอย่างไม่เป็นทางการในชื่อ “การรบแห่งอับบาสการ์” เป็นปฏิบัติการทางทหารร่วมของสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในเขตพีช จังหวัดคูนาร์ ประเทศอัฟกานิสถาน ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2005 โดยมีสมรภูมิหลักอยู่บนลาดเขา “ซาโวทาโล ซาร์” ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองอาซาดาบัดไปทางทิศตะวันตกประมาณ 32 กิโลเมตร

วัตถุประสงค์หลักของปฏิบัติการนี้คือการทำลายวงจรและขัดขวางกิจกรรมของกลุ่มอาหมัด ชาห์ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธต่อต้านกองกำลังผสมที่มีความเชื่อมโยงกับตาลีบัน เพื่อสร้างเสถียรภาพในพื้นที่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งรัฐสภาอัฟกานิสถานในเดือนกันยายน 2005 โดยอาหมัด ชาห์ ผู้นำกลุ่มจากจังหวัดนันกาฮาร์ เป็นเป้าหมายสำคัญเนื่องจากเขากำลังสร้างอิทธิพลอย่างกว้างขวางในหมู่กลุ่มเคร่งศาสนาหัวรุนแรง

แผนปฏิบัติการถูกออกแบบโดยกองพันที่ 2 กรมนาวิกโยธินที่ 3 (2/3) โดยใช้โมเดลการรบจากหน่วยพี่น้องที่เคยปฏิบัติภารกิจก่อนหน้า ภารกิจเริ่มต้นด้วยการใช้หน่วยรบพิเศษระดับสูง ทั้งจากหน่วยซีล (Navy SEALs) และหน่วยบินเฉพาะกิจที่ 160 (160th SOAR) เพื่อเปิดฉากการแทรกซึมเข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย

ในระยะเริ่มต้น ทีมหน่วยซีลจำนวน 4 นาย ประกอบด้วย ร.ท.ไมเคิล เมอร์ฟี, มาร์คัส ลูเทรล, แดนนี่ ดีทซ์ และแมทธิว แอ็กเซลสัน ได้รับมอบหมายให้ทำการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจอาคารที่คาดว่าเป็นที่ซ่อนตัวของอาหมัด ชาห์ พวกเขาแทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ด้วยการโรยตัวจากเฮลิคอปเตอร์ MH-47 Chinook แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น พวกเขากลับถูกกลุ่มของอาหมัด ชาห์ ล้อมโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว
.
การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือดบนแนวสันเขาซาโวทาโล ซาร์ ซึ่งมีความสูงกว่า 2,830 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล หน่วยซีลทั้ง 4 นายพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลังท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นหินชันและหน้าผา จนกระทั่งสมาชิกในทีม 3 นายเสียชีวิตในการรบครั้งนั้น เหลือเพียงมาร์คัส ลูเทรล ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและพยายามหนีลงจากเขา

สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อกองหนุนตอบโต้เร็ว (QRF) ส่งเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำเข้าช่วยเหลือ แต่หนึ่งในนั้นถูกยิงตกด้วยจรวด RPG-7 จากฝีมือของกลุ่มอาหมัด ชาห์ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่หน่วยซีล 8 นาย และเจ้าหน้าที่หน่วยบินพิเศษอีก 8 นายบนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด รวมยอดการสูญเสียครั้งใหญ่นี้ถึง 19 นาย
.
ปฏิบัติการจึงเข้าสู่ระยะที่สองในชื่อ “เรดวิงส์ 2” (Red Wings II) ซึ่งกินเวลานานกว่า 3 สัปดาห์ เพื่อติดตามกู้ร่างของผู้พลีชีพและเร่งช่วยชีวิตมาร์คัส ลูเทรล สมาชิกคนเดียวที่รอดชีวิต ซึ่งในขณะนั้นเขาได้หนีลงไปทางทิศตะวันออกสู่หุบเขาชูรเยกเหนือหมู่บ้านซาลาร์ บาน
.
มาร์คัส ลูเทรล ได้พบกับ “โมฮัมหมัด กูลับ คาน” ชายชาวปาทานจากหมู่บ้านซาลาร์ บาน กูลับตัดสินใจรับมาร์คัสเข้าบ้านตามธรรมเนียมโบราณที่เรียกว่า “นานาวาไต” (Nanawatai) ซึ่งเป็นการมอบที่พักพิงและคุ้มครองแขกจากศัตรูอย่างถึงที่สุด กูลับยังได้ขอความร่วมมือจากเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ ให้ช่วยกันปกป้องมาร์คัสจนกว่าจะติดต่อกองทัพสหรัฐฯ ได้
.
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านให้ความช่วยเหลือมาร์คัส คือความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างชาวบ้านกับสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีการส่งหน่วยแพทย์เข้าไปดูแลและมีการสร้างโรงเรียนสตรีที่เมืองนันกาลัม กูลับเองก็เคยได้ทำความรู้จักกับผู้บังคับบัญชานาวิกโยธินสหรัฐฯ ในพื้นที่มาก่อน ความปรารถนาดีเหล่านี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยรักษาชีวิตมาร์คัสไว้
.
อาหมัด ชาห์ ทราบดีว่าทหารอเมริกันที่บาดเจ็บต้องผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ เขาจึงพยายามข่มขู่ชาวบ้านเพื่อตามหาตัวและบีบให้ส่งตัวมาร์คัสมาให้ แต่กูลับและชาวบ้านไม่ยอมก้มหัวให้ เนื่องจากชาห์รู้ดีว่าเขาไม่สามารถเสี่ยงทำสงครามกับชาวบ้านที่รวมตัวกันได้ เพราะกลุ่มของเขาจะมีกำลังน้อยกว่าทันที
.
มาร์คัสเขียนบันทึกขอความช่วยเหลือ และกูลับได้มอบเงิน 1,000 อัฟกานี หรือ 20 ดอลลาร์ในขณะนั้น ให้กับ “ชีนา” ชายอาวุโสในหมู่บ้านเพื่อให้เดินทางนำจดหมายไปส่งที่ฐานทัพอเมริกันในเมืองอาซาดาบัด ชีนาเดินทางผ่านเส้นทางทุรกันดารจนไปถึงฐานทัพที่นันกาลัมกลางดึก และแจ้งต่อผู้บัญชาการว่ามีทหารอเมริกันบาดเจ็บได้รับความช่วยเหลืออยู่ในหมู่บ้านของตน
.
ในที่สุด กองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งกำลังเข้าสกัดกั้นและช่วยเหลือมาร์คัส ลูเทรล ออกมาได้สำเร็จ ส่วนกูลับและครอบครัวที่ถูกตาลีบันข่มขู่เอาชีวิตภายหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ได้รับการช่วยเหลือให้ย้ายไปพำนักอยู่ในที่ปลอดภัยที่เมืองอาซาดาบัด
.
ผลลัพธ์ของปฏิบัติการเรดวิงส์ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์เพียงบางส่วน เนื่องจากอาหมัด ชาห์ สามารถถอยหนีไปกบดานและรวบรวมกำลังพลใหม่ในปากีสถาน พร้อมกับชื่อเสียงที่โด่งดังขึ้นจากการโจมตีทหารสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน กลุ่มของเขาก็ถูกทำลายลงใน “ปฏิบัติการวาเลอร์ส” (Operation Whalers) และท้ายที่สุดอาหมัด ชาห์ ก็ถูกทหารปากีสถานยิงเสียชีวิตระหว่างการปะทะในปี 2008
.
รายชื่อกำลังพลกองทัพสหรัฐฯ ผู้พลีชีพในปฏิบัติการเรดวิงส์เริ่มต้นด้วยสมาชิกหน่วยซีลจากทีมลาดตระเวน 4 นายที่เสียชีวิตระหว่างการถูกซุ่มโจมตีบนภูเขา ได้แก่ เรือโท ไมเคิล พี. เมอร์ฟี วัย 29 ปี จากเมืองแพตโชก รัฐนิวยอร์ก, จ่าโท แมทธิว แอ็กเซลสัน วัย 29 ปี จากเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย และจ่าโท แดนนี่ ดีทซ์ วัย 25 ปี จากเมืองลิตเติลตัน รัฐโคโลราโด

นอกจากนี้ยังมีกำลังพลหน่วยซีลอีก 8 นายที่เสียชีวิตบนเฮลิคอปเตอร์ขณะเข้าช่วยเหลือ ได้แก่ พันจ่าเอกพิเศษ ฌาค เจ. ฟอนแทน วัย 36 ปี จากนิวออร์ลีนส์, พันจ่าเอกอาวุโส แดเนียล อาร์. ฮีลี วัย 36 ปี จากเอ็กซิเตอร์, นาวาตรี เอริก เอส. คริสเตนเซน วัย 33 ปี จากซานดิเอโก, จ่าเอก เจฟฟรีย์ เอ. ลูคัส วัย 33 ปี จากคอร์เบตต์, เรือโท ไมเคิล เอ็ม. แมคกรีวี จูเนียร์ วัย 30 ปี จากพอร์ตวิลล์, จ่าโท เจมส์ อี. ซู วัย 28 ปี จากเดียร์ฟิลด์บีช, จ่าเอก เจฟฟรีย์ เอส. เทย์เลอร์ วัย 30 ปี จากมิดเวย์ และจ่าโท เชน อี. แพตตัน วัย 22 ปี จากโบลเดอร์ซิตี้

ในส่วนของเจ้าหน้าที่จากหน่วยบินเฉพาะกิจที่ 160 กองทัพบกสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตบนเฮลิคอปเตอร์ลำเดียวกันประกอบด้วย สิบเอกพิเศษ เชมัส โอ. กอร์ วัย 29 ปี จากแดนวิลล์, พันจ่าตรีอาวุโส คอรีย์ เจ. กู๊ดเนเจอร์ วัย 35 ปี จากคลาร์กส์โกรฟ, สิบเอก คิป เอ. จาโคบี วัย 21 ปี จากพอมพาโนบีช, จ่าสิบเอก มาร์คัส วี. มูรัลเลส วัย 33 ปี จากเชลบีวิลล์, พันจ่าโท เจมส์ ดับเบิลยู. พอนเดอร์ ที่ 3 วัย 36 ปี จากแฟรงคลิน, พันตรี สตีเฟน ซี. ไรช์ วัย 34 ปี จากวอชิงตันเดโป, จ่าสิบเอก ไมเคิล แอล. รัสเซลล์ วัย 31 ปี จากสแตฟฟอร์ด และพันจ่าตรีอาวุโส คริส เจ. เชอร์เคนบาค วัย 40 ปี จากแจ็กสันวิลล์

เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดผ่านหนังสืออัตชีวประวัติของ มาร์คัส ลูเทรล ที่มีชื่อว่า “Lone Survivor The Eyewitness Account of Operation Red Wings and the Lost Heroes of SEAL Team 10” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2007 โดยเนื้อหาเป็นการเล่าเหตุการณ์จากมุมมองของประจักษ์พยานในปฏิบัติการเรดวิงส์และการสูญเสียเหล่าฮีโร่แห่งหน่วยซีลทีม 10

สำหรับในด้านภาพยนตร์ ได้มีการนำเนื้อหาจากหนังสือของลูเทรลมาสร้างเป็นภาพยนตร์สัญชาติอเมริกันเรื่อง “Lone Survivor” (หรือชื่อภาษาไทยคือ “ปฏิบัติการพิฆาตสมรภูมิเดือด”) ออกฉายในปี 2013 นำแสดงโดย มาร์ก วอห์ลเบิร์ก ซึ่งได้รับความนิยมและถ่ายทอดความสะเทือนใจของเหตุการณ์นี้สู่สายตาคนทั่วโลก

เรียบเรียง/แปลโดย : Army Military Force

https://www.facebook.com/share/p/14Qkfgd44cf/?mibextid=wwXIfr

มท.4 “ศศิธร” ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเส้นทางเชื่อมโยงการท่องเที่ยวจังหวัดระนอง หนุนชุมชน OTOP นวัตวิถี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

วันนี้ (17 ธันวาคม 2568) เวลา 09.30 น. นางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเส้นทางการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของจังหวัดระนอง เพื่อติดตามผลการขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนและการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก โดยมี นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายราชัน มีน้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน ภาคเอกชน และประชาชนชาวจังหวัดระนอง เข้าร่วม

การลงพื้นที่ครั้งนี้ คณะได้เริ่มตรวจเยี่ยม ณ จวนเจ้าเมืองระนอง ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนอง วัดหาดส้มแป้น พ่อท่านคล้าย และชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านหาดส้มแป้น ตำบลหาดส้มแป้น อำเภอเมือง โดยได้ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น อาทิ การทำเซรามิก การร่อนแร่ การทำสบู่สมุนไพรจากน้ำแร่ และการทำไข่เค็ม ณ หมู่บ้านเซรามิก บ้านหาดส้มแป้น ซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์ชุมชนและการต่อยอดทรัพยากรในพื้นที่อย่างสร้างสรรค์

ต่อมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เยี่ยมชมชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านไร่ใน ตำบลนาคา อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง โดยมีกิจกรรมเด่น โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาพื้นที่ เพื่อยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเน้นการเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต การพัฒนาการท่องเที่ยวของบ้านไร่ใน ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ มุ่งเน้นดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงและสามารถเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวได้อย่างสะดวก แนะนำให้ชุมชนเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและทักษะภาษา รวมถึงการพัฒนามัคคุเทศก์ชุมชน เพื่อรองรับและถ่ายทอดเรื่องราวเส้นทางท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างมีคุณภาพ เสนอให้วางตำแหน่งพื้นที่บ้านไร่ในให้เป็น “จุดแวะพัก (Rest Area)” สำหรับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าสู่ตัวเมืองระนอง เป็นพื้นที่พักผ่อน ชมทัศนียภาพ และสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการท่องเที่ยวและกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังเน้นการสร้าง อัตลักษณ์และเศรษฐกิจชุมชนผ่าน “กาแฟ” โดยแนะนำให้คนในชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำท้องถิ่น ร่วมกันกำหนดจุดเด่นของพื้นที่ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์กาแฟระนองให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้เสนอให้ผลักดันการขอตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สำหรับกาแฟระนอง เน้นย้ำให้ชุมชนวางแผนการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ควบคู่กับแนวคิด Zero Waste แนะนำให้ชุมชนหารือร่วมกับกรมการพัฒนาชุมชน เพื่อขยายผลจากเมล็ดกาแฟไปสู่ผลิตภัณฑ์ชุมชนอื่น

ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเกาะสีชัง ขับเคลื่อนสาธารณูปโภค–โครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน

ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพื้นที่ติดตามโครงการพัฒนาเกาะสีชัง บูรณาการภาคีเครือข่ายขยายเขตสาธารณูปโภค–จัดการขยะ พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หนุนท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน

วันนี้ (17 ธ.ค. 68) เวลา 10.30 น. พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเกาะสีชัง โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เกาะสี อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี


โอกาสนี้ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานันผู้ใหญ่บ้าน และคณะทำงานโครงการพัฒนาเกาะสีชัง รวมถึงภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม

การประชุมในวันนี้เป็นการลงพื้นที่ครั้งที่ 11 เพื่อติดตามผลการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่เกาะสีชัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการจัดการขยะ ซึ่งทุกหน่วยงานได้ร่วมกันหาแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มีน้ำเพียงพอต่อความต้องการในระยะยาว และแก้ไขปัญหาขยะซึ่งเป็นปัญหาหลักของพื้นที่ โดยเรื่องการบริหารจัดการขยะ ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชน โดย SCG ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ศึกษาโครงการจัดการขยะบนเกาะสีชัง รวมถึงระบบไฟฟ้าและประปาที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการประปาส่วนภูมิภาคดำเนินการให้เกาะสีชังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

โครงการพัฒนาเกาะสีชังเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างรอบด้าน ไม่เพียงยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างแรงจูงใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมเยือน ส่งผลต่อการสร้างรายได้และการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยหากมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้มีความทันสมัยและมีศักยภาพเพียงพอต่อการรองรับการใช้งาน เกาะสีชังจะสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่ลงทุนที่มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โครงการพัฒนาเกาะสีชังเป็นความตั้งใจร่วมกันของทุกฝ่าย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีน้ำและไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ มั่นคง และยั่งยืน อันจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างโอกาสและความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศต่อไป

สำหรับภาพรวมความคืบหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่เกาะสีชังตามแผนแม่บท 5 ด้าน 1) การบริหารจัดการน้ำดี งานปรับปรุงระบบจ่ายน้ำประปา ระยะที่ 2 ดำเนินการไปแล้ว 20.38% ติดตั้งมิเตอร์ประปารวม 2,200 ครัวเรือน, โครงการปรับปรุงเพิ่มเติมประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำเกาะสีชัง ระยะที่ 1 ดำเนินการแล้วเสร็จ, การรับโอนภารกิจประปาบนเกาะสีชังก่อสร้างระบบผลิตน้ำ RO อยู่ระหว่างการเตรียมการออกแบบและเตรียมพร้อมสำหรับโอนภารกิจ 2) การบริหารจัดการน้ำเสีย โครงการก่อสร้างศูนย์บริหารจัดการคุณภาพน้ำ เทศบาลตำบลเกาะสีชัง ระบบบำบัดน้ำเสียแบบใต้ดินโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กรองรับน้ำเสีย 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ 3) การบริหารจัดการไฟฟ้า ติดตั้ง Solar Farm ขนาดรวมทั้งสิ้น 6 MWp และ Energy Storage 2MW/2.5 MWh อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ 4) การบริหารจัดการขยะ การคัดแยก กำจัดขยะอย่างต่อเนื่องไม่ให้มีตกขาวสะสม และ 5) การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยว โครงการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวอ่าวอัษฎางค์ (หาดถ้ำพังระยะที่ 2) อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ

ภายหลังจากการประชุม พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคณะ ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบจุดขึ้นเคเบิ้ล โครงการเคเบิ้ลใต้น้ำ (SUBMARINE CABLE KO SICHANG) โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นโครงการระบบไฟฟ้า 22 kv จากสถานีไฟฟ้าอ่าวไผ่ 1 มายังท่าเรือแหลมงูเกาะสีชัง ระยะทาง 10.175 กิโลเมตร เพื่อให้ประชาชนเกาะสีชังมีไฟฟ้าใช้ได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการ จากนั้น ออกเดินทางไปยังโรงเรียนเกาะสีชัง ติดตามการสนับสนุนการเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าโรงเรียนเกาะสีชัง อาทิ หลอดไฟฟ้า พัดลมโคจร และอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยสำนักงานพระคลังข้างที่ พร้อมมอบสิ่งของให้แก่ครูและนักเรียนโรงเรียนเกาะสีชัง

บานแล้ว 30%”ซากุระเมืองไทย” บนยอดภูลมโล​ ​เตรียมเปิดรถนำเที่ยว 20 ธ.ค.นี้

ดอกนางพญาเสือโคร่ง​ หรือซากุระเมืองไทย​ บนยอดภูลมโล​ เริ่มบานสะพรั่งราว 30% พื้นที่สีชมพูขยายตัวต่อเนื่อง คาดสวยงามรับนักท่องเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์ พร้อมเปิดบริการรถนำเที่ยว 20 ธ.ค.นี้

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า​ รายงานสถานการณ์ดอกนางพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) บนยอดภูลมโล​ ล่าสุด ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2568 พบว่าภาพรวมเริ่มออกดอกบานแล้วประมาณ 30% ทำให้มองเห็นพื้นที่สีชมพูเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่เป็นช่อดอกตูมสีชมพูที่พร้อมทยอยบานในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ทางอุทยานฯจะเปิดให้บริการรถนำเที่ยว “ภูลมโล” อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป คาดว่าจะช่วยรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นไปชมความงดงามของดอกนางพญาเสือโคร่งได้อย่างทั่วถึง

อุทยานฯ ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวติดตามการอัปเดตข้อมูลข่าวสารและสถานการณ์ดอกไม้บานจากเพจทางการของอุทยานฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบการท่องเที่ยวอย่างเคร่งครัด เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงความสวยงามต่อไป

“อนุทิน” ย้ำ สแกมเมอร์ เป็นปัญหาระดับโลก ไทย ยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ ขอนานาประเทศ รวมพลังปราบจริงจัง

เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 17 ธันวาคม 2568 ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในงานประชุมนานาชาติว่าด้วยความร่วมมือระดับโลกเพื่อต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์ (International Conference on the Global Partnership against Online Scams) โดยยืนยันจุดยืนของประเทศไทยในการให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในฐานะ “วาระแห่งชาติ” และเน้นย้ำว่าปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นภัยคุกคามระดับโลกที่ต้องรับมือร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณผู้แทนจากนานาประเทศที่เข้าร่วมการประชุม พร้อมระบุว่า การหลอกลวงทางออนไลน์ได้ขยายตัวเกินกว่าจะมองเป็นปัญหาระดับภูมิภาคอีกต่อไป จากการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนและเอเปคที่ผ่านมา ผู้นำหลายประเทศต่างสะท้อนความกังวลตรงกันว่า ประชาชนของทุกประเทศ ไม่ว่าจะมีระดับการพัฒนาแตกต่างกันเพียงใด ต่างตกเป็นเป้าหมายของเครือข่ายอาชญากรรมกลุ่มเดียวกัน ซึ่งอาศัยช่องโหว่ระหว่างระบบของแต่ละประเทศในการก่ออาชญากรรม

“อาชญากรรมออนไลน์สร้างความเสียหายทั้งในเชิงมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ และยังสะท้อนถึงความเปราะบางร่วมกันของประชาคมโลก ซึ่งไม่มีประเทศใดสามารถแก้ไขได้โดยลำพัง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พร้อมเน้นย้ำว่า พลังทางการเมืองและความมุ่งมั่นเชิงนโยบายเป็นปัจจัยสำคัญในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้นายอนุทินระบุว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ออนไลน์อย่างจริงจัง โดยได้เสริมความเข้มแข็งด้านการบังคับใช้กฎหมาย จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะทางและศูนย์ต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ รวมถึงยกระดับการประสานงานระหว่างหน่วยงาน เพื่อรื้อถอนเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ปฏิบัติการอยู่ในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ชี้ว่า บทเรียนสำคัญจากการประชุมครั้งนี้คือ การดำเนินการในระดับชาติจะต้องเดินควบคู่ไปกับความร่วมมือระหว่างประเทศ เนื่องจากเครือข่ายอาชญากรรมสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามพรมแดน เคลื่อนย้ายเงินภายในไม่กี่วินาที และปรับเปลี่ยนรูปแบบการกระทำได้รวดเร็วกว่าระบบของประเทศใดประเทศหนึ่ง

“ถึงเวลาแล้วที่เราต้องก้าวจากการหารือไปสู่การลงมือปฏิบัติจริง ทั้งการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง การบังคับใช้กฎหมายข้ามพรมแดน และการสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชน เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อมากขึ้น” นายอนุทิน กล่าว

นายกรัฐมนตรี ระบุเพิ่มเติมว่า ความริเริ่มว่าด้วยหุ้นส่วนโลกเพื่อต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ และแถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ ที่จะมีการพิจารณาในวันถัดไป ถือเป็นก้าวสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการรักษาแรงขับเคลื่อนและแปรเปลี่ยนเป็นความร่วมมืออย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมในตอนท้าย

นายอนุทิน ย้ำว่า อาชญากรรมออนไลน์จะเติบโตได้ดีในสภาวะที่โลกแตกแยก แต่จะอ่อนแรงลงเมื่อประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยพร้อมทำงานร่วมกับทุกฝ่าย เพื่อผลักดันการหารือในวันนี้ไปสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในอนาคต

ทหารนาวิกโยธินขับไล่กำลังฝ่ายตรงข้ามออกจากดินแดนไทย ยึดพื้นที่บ้านหนองรี (บ้านสามหลัง) ได้สำเร็จ

กองทัพเรือผนึกกำลังกองทัพอากาศ เปิดปฏิบัติการ “ตราดปราบปรปักษ์” ยึดพื้นที่บ้านสามหลังคืนได้ทั้งหมด สถาปนาความมั่นคงชายแดนตราดเรียบร้อย

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ (17 ธันวาคม 2568) กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ได้ดำเนินการขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้ามออกจากพื้นที่บ้านหนองรี (บ้านสามหลัง) ตำบลชำราก อำเภอเมือง จังหวัดตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองทัพเรือได้เปิดการปฏิบัติการ “ ตราดปราบปรปักษ์ ” ร่วมกับกองทัพอากาศ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ผลการปฏิบัติการสามารถยึดพื้นที่เป้าหมายได้สำเร็จ และสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่ได้เรียบร้อย

กองทัพเรือยืนยันว่าการปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามภารกิจในการรักษาอธิปไตย ความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ โดยเป็นการบูรณาการกำลังรบทุกหน่วยของกองทัพเรือและกองทัพอากาศ ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและหลักการสากลด้านสิทธิมนุษยชน

สำนักงานโฆษกกองทัพเรือ
17 ธันวาคม 2568

กนง. หั่นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เหลือ 1.25% คาดปีหน้าลดเพิ่มอีก 1 ครั้ง

กรุงเทพฯ, วันที่ 17 ธ.ค. – ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 1.25% ตามที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น เงินเฟ้อต่ำลงซึ่งต้องติดตามความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด และค่าเงินบาทปรับแข็งค่าเร็วเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานและมากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ขณะที่ภาวะการเงินยังคงตึงตัว

ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในปี 2569 กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี ลงเหลือ 1.00% จากทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2569 ที่จะชะลอลงจากปีนี้ ขณะที่โอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่า 1% ยังจำกัด หากภาพเศรษฐกิจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดย กนง. ยังคงให้ความสำคัญกับจังหวะเวลา ประสิทธิผลของนโยบาย และการรักษา policy space

สภาสังคมสงเคราะห์ จับมือ กทม. ช่วยซ่อมแซมบ้านชาวชุมชนหลังกรมทางหลวง

กรุงเทพฯ, วันที่ 17 ธันวาคม – รองศาสตราจารย์ ดร.อนุชาติ ศรีศิริวัฒน์ รองเลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ นำโดย นายวรัญญู วอทอง กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์ฯ และนางวฬาลัย สิงห์คะนอง หัวหน้าสำนักสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม เดินทางไปที่ชุมชนหลังกรมทางหลวง เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร พื้นที่เยี่ยมบ้านประชาชนผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน

ทั้งนี้ ดร.เกศี จันทราประภาวัฒน์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายอภิชาต แสนมาโนช ผู้อำนวยการเขตราชเทวี พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตราชเทวี ร่วมประเมินสภาพที่อยู่อาศัย และวางแผนการซ่อมแซมบ้านให้แก่ผู้เดือดร้อนที่ยื่นเรื่องขอรับการช่วยเหลือมายังสภาสังคมสงเคราะห์ฯ

กิจกรรมดังกล่าวสะท้อนบทบาทเชิงรุกของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ในการขับเคลื่อนภารกิจด้านสวัสดิการสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคสังคม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ยกระดับคุณภาพชีวิต และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน