
“รอง ยงเกียรติ” แท๊กทีมลุยสกัดจับ”แก๊งค์ ว้าเหนือ”ขณะแอบขนยาบ้า 1 ล้านเม็ด
ที่บก.ตชด.ภาค 3 อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่ พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนประณีต รอง ผบช.ตชด .เปิดเผยว่าพล.ต.ท.วิชิต ปักษา ผบช.ตชด. ได้สั่งการให้ตน ร่วมบูรณาการ กับ พล.ท.สุภโชค รวัชพีระชัยผบ.ศป.ปส.ชน.. .พล.ต.ต.นพพล ชาติวงศ์ ผบก.
ตชด.ภาค 3 นายมานิต โกเมค ผอ.ปปส.ภาค 5 พ.ต.อ.โชคชัย ซูแสงผกก.ตชด.33 ,พ.ต.อ.เกรียงศักดิ์วงศ์อุทัย ผกก.สภ.แม่แตง, พ.อ.ศรัณย์ รอดบุญธรรม ผบ.ฉก.ม.4 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 335 ออกสืบสวนหาข่าวในพื้นที่รับผิดชอบ จากการข่าว ทราบว่าจะมีกลุ่มคาราวานลักลอบลำเสียง ยาเสพติดโดยใช้เส้นทางธรรมชาติ จากบ้านแม่คะนิน ตำบลแม่นะ อำเภอเซียงดาว เพื่อหลบด่านตรวจแก่งบันเต้าแล้วลักลอบเข้าสู่พื้นที่ตอนในจึงได้วางกำลังดักซุ่มสังเกตการณ์บริเวณ ถนนเชียงใหม่-ฝาง ซึ่งทราบว่าเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายยาเสพติด

จนกระทั่งเวลาประมาณ 06.00 น ของวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดตรวจยึด ได้สังกตเห็นคาราวานดังกล่าวสะพายเป้เดินข้าม แม่น้ำปิง มายังถนนฯ บริเวณที่เจ้าหน้าที่ชุดตรวจยึดเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ และในขณะนั้นได้มีรถยนต์มิตชูบิชิ ปาเจโร่สปอร์ต สีขาว มุ่งหน้ามาจากทางอำเภอแม่แตง ลดความเร็วและกลับรถเพื่อทำการเข้าจอดในจุดที่เจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่แต่ในระหว่างนั้นคนขับรถคันดังกล่าวได้สังเกตุเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้เร่งเครื่องหนีออกจากจุดดังกล่าว พยายามขับรถขนยาเสพติดที่ลำเสียงข้ามน้ำมาเห็นสิ่งผิดปกติจึงได้ทิ้งกระสอบพลาสติก เป้สะพายมาแล้วอาศัยความมืด และความชำนาญภูมิประเทศวิ่งหลบหนีไป เจ้าหน้าที่จึงได้จัดชุดติดตาม และตรวจสอบกระสอบพลาสติกที่ทิ้งไว้จำนวน 10 กระสอบ พบข้างในบรรจุยาบ้ากระสอบละประมาณ 100,000.เม็ด รวม ของกลางยาบ้า จำนวนประมาณ 1,000,000 เม็ด

พล.ต.ต.ยงเกียรติ ยังได้เปิดเผยอีกว่า จากการประสานข้อมูลการข่าวกับสำนักงานป้องกันและปราบปราม ยาเสพติดทราบว่ยาบดักล่าวเป็นของกลุ่มว้าเหนือ ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาภายในประเทศไทยผ่านชายแดนอำภอแม่อายไชยปราการ เชียงดาว และจะลำเลียง ต่อไปยังภาคใต้ของประเทศไทย แต่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจยึดได้ก่อน โดยได้สั่งการให้สืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการตามกฏหมายต่อไป


‘รมว.ยุติธรรม’ เร่งผลักดัน ปราบปรามยาเสพติดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมกล่าวปราศรัยในการประชุมหัวหน้าหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (The Meeting of Heads of National Drug Law Enforcement Agencies, Asia and the Pacific: HONLEA) ครั้งที่ 43 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 25 ตุลาคม 2562 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร
การประชุมครั้งนี้ เป็นการจัดขึ้นร่วมกันระหว่างสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมระดับหัวหน้าหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก 19 ประเทศ ผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศ และผู้แทนจากหน่วยงานป้องกันยาเสพติดในประเทศไทย รวมกว่า 150 คน
ในการกล่าวปาฐกถา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ชี้ให้ที่ประชุมเห็นว่า ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิคกำลังประสบปัญหายาเสพติดที่ปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาเสพติดประเภทสารสังเคราะห์ และได้ให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็น ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ปัญหา โดยต้องปรับปรุงข้อมูลและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันอย่างรวดเร็ว รวมถึง การเสริมสร้างศักยภาพด้านการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบค้ายาเสพติด เคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นให้ทันต่อสถานการณ์ ตลอดจน การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานปราบปรามยาเสพติด ผ่านการส่งเสริมให้มีความช่วยเหลือทางวิชาการด้านการควบคุมยาเสพติด ให้แก่ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหายาเสพติด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการควบคุมการลักลอบผลิตและลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามยาเสพติด และการป้องกันการใช้ยาในทางที่ผิด

ทั้งนี้ ประเทศไทย ได้รับการยอมรับในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ภายใต้ปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย โดยเป็นต้นแบบในการใช้แนวทางการพัฒนาทางเลือก (Alternative Development) ในการดำเนินงาน ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. จะมีการประสานงานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคี โดยมุ่งลดปริมาณยาเสพติดในภูมิภาค ผ่านการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงเคมีภัณฑ์สารตั้งตันเข้าไปยังแหล่งผลิต รวมถึงแพร่กระจายออกไปทั้งในและนอกภูมิภาค


สืบสวนสตม.รวบชาวเยอรมันหนีหมายจับซุกไทย และยังเข้ามาก่อคดีอำพรางศพหญิงชราร่วมชาติ ยัดตู้ไม้ทิ้งคลองย่านบางแสน หวังเงินเกษียณ
วันนี้ วันอังคารที่ 22 ต.ค.62 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมมหาเมฆ ชั้น 4 อาคาร 1 สตม.(สวนพลู) สาธร กทม. : พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรชัย ขันตี,พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย,พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์,พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รองผบช.สตม.,พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.ภ.2 ปฏิบัติราชการ สตม. และ พ.ต.อ.กฤชมงกุฎ บูรณะภักดี ผกก.2 บก.สส.สตม.
ตำรวจภูธรภาค 2 นำโดย พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ภ.2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.เทียนชัย เลิศมณีทวีทรัพย์ ผกก.สภ.แสนสุข,พ.ต.ท.ชัฎ บรรทัดเที่ยง รองผกก.สอบสวนฯ,พ.ต.ท.สุวิจักขณ์ กู้พิมายวรกูล รองผกก.สส.สภ.แสนสุข ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุมหนุ่มเยอรมันยัดศพหญิงชราร่วมชาติใส่ลังไม้ทิ้งคลองย่านบางแสน อำพรางการตายหวังเงินเกษียณ
พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ กล่าวว่า ได้รับการประสานจากตำรวจเยอรมัน ให้ช่วยติดตามนาง Margund อายุ 77 ปี ซึ่งเป็นบุคคลที่ทางการเยอรมันได้รับแจ้งว่าสูญหาย โดยได้เดินทางมาพร้อมกับนาย Richard ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 ทางญาติไม่สามารถติดต่อได้เกรงว่ามารดาอาจถูกทำร้ายหรือจะได้รับอันตราย ตรวจสอบข้อมูลพบว่านาย Richard กระทำผิดลักษณะหลอกลวงผู้หญิงสูงอายุหลายครั้ง และมีหมายจับประเทศเยอรมันในข้อหาฉ้อโกงบัตรเครดิต 17 กระทง รวมเป็นเงิน 6,000 ยูโร (240,000 บาท)
พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวน บก.สส.สตม.ออกสืบสวนติดตามจับกุมตัวนาย Richard และสืบสวนหาตัวนาง Margund เจ้าหน้าที่กก.2 บก.สส.สตม.ได้สืบสวนติดตามจนทราบว่านาย Richard ได้อาศัยอยู่ที่บ้านเช่า ภายใน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี อาศัยอยู่กับหญิงไทย จึงได้แสดงตัวเข้าพบว่าวีซ่าหมดอายุตั้งแต่ 22 มิ.ย.60 จึงได้ควบคุมตัวไปยัง สภ.แสนสุข สอบสวนปากคำ ให้การว่าได้อาศัยอยู่ด้วยกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560
สอบสวน น.ส.สุปราณี ภรรยานาย Richard ให้การว่านาย Richard พานาง Margund มาอยู่ด้วยกัน โดยใช้เงินที่โอนมาจากประเทศเยอรมันเดือนละหลายหมื่นบาท ซึ่งเงินดังกล่าวนาย Richard บอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเงินเกษียณของนาง Margund ต่อมาประมาณต้นเดือนมกราคม 2562 นาง Margund ได้ล้มลงในห้องน้ำ จึงได้ช่วยกันพามานอนพัก จนทราบภายหลังว่าเสียชีวิตแน่นอนแล้ว นาย Richard จึงได้นำผ้าห่มมาห่อศพแล้วยัดใส่ตู้ลังไม้ใส่ของ จากนั้นได้นำใส่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง (ซาเล้ง) ซึ่งนาย Richard ขี่ไปทิ้งที่คลองบางโปรง หลังสนามกีฬาเทศบาลเมืองแสนสุข และต่อมาปรากฏว่ามีข่าวพบศพหญิงนิรนามที่ถูกยัดใส่ตู้ลังไม้ลอยน้ำ
จากการสืบสวนพิสูจน์ทราบ เชื่อว่าศพดังกล่าวคือนาง Margund พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ จึงได้ประสาน ผบช.ภ.2 และตำรวจประเทศเยอรมัน ร่วมพิสูจน์หลักฐานในคดีดังกล่าว ซึ่งอยู่ในระหว่างตรวจสอบผลดีเอ็นเอ และประวัติการทำฟันของนาง Margund เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.แสนสุข จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติต่อศาลจังหวัดชลบุรี ออกหมายจับนาย Richard ในข้อหา ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพฯ และได้แจ้งข้อกล่าวหา อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด
พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ ขอฝากประชาสัมพันธ์ให้ว่าการบูรณาการกับหน่วยที่เกี่ยวข้องในการระดมกวาดล้างการจับกุมคนต่างด้าวทำงานโดยผิดกฎหมายเป็นมาตรการในการป้องกันปราบปรามที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากผู้ใดพบเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซอยสวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หมายเลข 1178 หรือทางเว็บไซต์ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ตม.เชียงใหม่ รวบเฒ่านิวซีแลนด์เปิดร้านอาหาร เบื้องหลังค้ายา
วันอังคารที่ 22 ต.ค.62 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมมหาเมฆ ชั้น 4 อาคาร 1 สตม.(สวนพลู) สาธร กทม. : พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรชัย ขันตี,พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย,พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์,พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รองผบช.สตม.,พล.ต.ต.ชำนาญ ชำนาญเวช ผบก.ตม.5,พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รองผบก.ตม.5 และ พ.ต.อ.โกเมน สุภาพ ผกก.ตม.จ.เชียงใหม่ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมชาวนิวซีแลนด์ใช้วีซ่าชีวิตบั้นปลายประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำหน่ายยาเสพติด
พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ กล่าวว่า จากการสืบสวนหาข่าวของชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปราม ตม.จ.เชียงใหม่ สืบทราบว่า บริษัท ริมิ โฮสดิ้งส์ จำกัด ประกอบการในชื่อ ร้าน SPADES BISTRO&BAR สถานที่เกิดเหตุ ตั้งอยู่เลขที่ 207 ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีลักษณะเป็นธุรกิจร้านอาหาร และจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีคนต่างด้าวลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย
จึงได้เฝ้าติดตามดูพฤติกรรมจนพบว่า มีชายคนต่างด้าวอยู่ภายในร้านจะทำหน้าที่มาคอยดูแลลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการภายในร้าน มีการรับชำระเงินจากลูกค้า เป็นต้น จึงได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อเข้าตรวจสอบและจับกุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 เวลา 22.00 น.โดยตรวจพบคุณไมค์ หรือ MR.MICHAEL กำลังดูแลลูกค้าอยู่ ภายในร้าน เจ้าหน้าที่จึงได้ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางและเอกสารการจัดตั้งบริษัท
ซึ่งตรวจพบว่า MR.MICHAEL เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2562 ได้รับการตรวจลงตราประเภทสงวนสิทธิ์การตรวจลงตราเดิม (ใช้ชีวิตบั้นปลาย) ได้รับอนุญาตให้อยู่ถึงวันที่ 26 มีนาคม 2563 ประกอบกับตรวจพบเอกสารการจดทะเบียนนิติบุคคลจากสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดเชียงใหม่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า MR.MICHAEL เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทฯ ซึ่งวีซ่าประเภทนี้ไม่สามารถทำงานใดๆ หรือเป็นกรรมการของบริษัทได้
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขอตรวจสอบข้อมูลกล้องวงจรปิดซึ่งติดตั้งอยู่ภายในร้าน โดย MR.MICHAEL แจ้งว่าไม่มีการบันทึกข้อมูล กล้องวงจรปิดที่ตรวจพบมีเพียงแค่ตัวกล้องติดตั้งเท่านั้น ไม่ได้ใช้งานเนื่องจากเป็นกล้องของผู้เช่าอาคารคนเดิมซึ่งไม่ได้ถอดออกไปด้วย แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อตามที่กล่าวอ้าง จึงให้ MR.MICHAEL นำตรวจสอบบริเวณชั้น 2 และ 3
ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบว่ามีการบันทึกข้อมูลกล้องวงจรปิดแต่อย่างใด แต่ได้ตรวจพบยาเสพติด คือ ยาอีหรือเอสตาชี 64 เม็ด,โคเคน น้ำหนักรวม 9.92 กรัม และยาเค 9.68 กรัม อีกทั้งพบถุงซิปล็อคขนาดเล็ก จำนวนหลายถุง ซุกซ่อนในลิ้นชักโต๊ะทำงาน บริเวณชั้น 3 ของร้านที่เกิดเหตุ จึงเชื่อว่า MR.MICHAEL มีพฤติการณ์มียาเสพติดให้โทษเพื่อเสพและจำหน่ายด้วย ในเบื้องต้นได้สอบถาม MR.MICHAEL ให้การว่าได้ซื้อยาเสพติดทั้งหมดจากเพื่อนผู้ชายชาวต่างชาติซึ่งไม่ได้แจ้งชื่อให้ทราบ โดยซื้อมาเป็นเงินประมาณ 45,000 บาท จากนั้นจึงได้ตรวจ สารเสพติดในปัสสาวะของ MR.MICHAEL
พบว่ามีผลเป็นบวกในกลุ่มยาเสพติดประเภทโคเคน ประกอบกับจากการสอบปากคำพยานซึ่งเป็นพนักงานของร้าน ให้การสอดคล้องต้องกันว่าเจ้าของร้าน คือ MR.MICHAEL และพนักงานบางคนเคยรู้เห็นว่า MR.MICHAEL เคยใช้ยาเสพติดบ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่ทราบว่าเป็นยาเสพติดชนิดใด เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ MR.MICHAEL ได้ทราบว่ากระทำความผิดฐาน
“เป็นคนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต”, “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน”, “เป็นคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวแต่ประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาอีหรือเอสตาซี) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย”,“มียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย”, “เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) โดยผิดกฎหมาย”, “มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (ยาเคหรือเคตามีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย” และจับกุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 เวลาประมาณ 14.00 น. ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ นำโดย พันตำรวจโท ฐิติวัฒน์ ฤชานุกูล รองผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ และชุดสืบสวน ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำการสืบสวนขยายผลการจับกุมยาเสพติดดังกล่าว จนทราบว่า MR.MICHAEL ได้เช่าบ้านพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 280 หมู่ 5 ตำบลสันทรายน้อย อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
จึงได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 315/2562 เข้าตรวจค้นเพื่อหาสิ่งผิดกฎหมาย และยาเสพติด โดยได้แสดงหมายค้นให้ นางสาวภัณฑิราฯ เจ้าของบ้าน และเป็นผู้ให้เช่า ผลการตรวจค้นพบอุปกรณ์ที่สันนิษฐานว่าใช้เสพยาเสพติดให้โทษ จำนวน 14 รายการ เช่น อุปกรณ์ท่อสูบทองเหลือง มีเขม่าสีดำด้านใน เชื่อว่ามีไว้เสพยาเสพติดของเหลวลักษณะข้นสีดำเชื่อว่าอาจจะเป็นยาเสพติดประเภทฝิ่น เป็นต้น จึงได้ทำการตรวจยึดและมอบให้พนักงานสอบสวนส่งตรวจพิสูจน์ที่งานตรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้การตรวจพิสูจน์ยังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งจะได้ติดตามผลการตรวจพิสูจน์นำเรียนผู้บังคับบัญชาในลำดับต่อไป
พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ ขอฝากประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าการบูรณาการกับหน่วยที่เกี่ยวข้องในการ ระดมกวาดล้างการจับกุมคนต่างด้าวทำงานโดยผิดกฎหมายเป็นมาตรการในการป้องกันปราบปรามที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากผู้ใดพบเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซอยสวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทรกรุงเทพมหานคร 10120 หมายเลข 1178 หรือ ทางเว็บไซต์ www. immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ครม.เห็นชอบมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ บ้านใหม่ซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท ให้กู้ดอกเบี้ยคงที่ 2.50% ต่อปี 3 ปีแรก เริ่ม 24 ต.ค.นี้
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ภายใต้กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.50%ต่อปี นาน 3 ปีแรก ให้กู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุดจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศที่มีราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท กรณีกู้ 1 ล้านบาท เงินงวด 3 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 3,300 บาท/เดือน เทียบกับเงินงวดของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อปกติ วงเงินกู้ 1 ล้านบาท 3 ปีแรก ผู้กู้จะประหยัดเงินงวดได้จำนวน 80,400 บาท ติดต่อยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชำระ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง วัยทำงานหรือประชาชนที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว และกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งจะมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างความมั่นคงในสถาบันครอบครัว รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยจัดทำ “มาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์” ภายใต้ กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน ปีที่ 1 – ปีที่ 3 คงที่ 2.50% ต่อปี ปีที่ 4 – ปีที่ 5 คงที่ 4.625% ต่อปี ส่วนปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้เงิน กรณีสวัสดิการ MRR – 1.00% ต่อปี กรณีรายย่อย MRR – 0.75% (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.625% ต่อปี) วัตถุประสงค์ให้กู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุดจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศที่มีราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท
“มาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ นับเป็นนโยบายที่รัฐบาลที่ต้องการสร้างโอกาสทำให้
คนไทยมีบ้านเป็นจริง เพราะกำหนดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 2.50% นับเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในตลาด และยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยในช่วง 3 ปีแรก เช่น กรณีกู้ 1 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 3 ปีแรก จะผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,300 บาทต่องวดเท่านั้น หากเทียบกับเงินงวดผ่อนชำระของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อปกติในช่วง 3 ปีแรก วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ผู้กู้จะสามารถประหยัดเงินงวดได้จำนวน 80,400 บาท หรือหากเทียบกับการผ่อนชำระอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อปกติในช่วง 5 ปีแรก ผู้กู้สามารถประหยัดเงินงวดได้ถึง 123,600 บาท นอกจากนี้ยังได้รับการลดค่าใช้จ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งให้ลดค่าธรรมเนียม จดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2 % เหลือ 0.01 % และลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนจำนองจาก 1 % เหลือ 0.01 % อีกด้วย” นายฉัตรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ติดต่อขอรับคำปรึกษากับเจ้าหน้าที่สินเชื่อหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ชิมช้อปใช้ อู้ฟู่ กรุงไทยหนุนเฟส 2 ชวนใช้จ่ายกระเป๋า2 รับเงินคืนสูงสุด20%
กรุงไทยผลักดันมาตรการชิมช้อปใช้เฟส2 อย่างต่อเนื่อง มั่นใจระบบแอปพลิเคชั่นถุงเงิน – เป๋าตัง พร้อมรองรับผู้รับสิทธิอย่างมีประสิทธิภาพ ชวนใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2 ยอดใช้จ่าย 50,000 บาท รับเงินคืนสูงสุด 20% หรือ 8,500 บาท
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีความเห็นชอบให้เปิดมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ ชิมช้อปใช้” เฟส 2 ในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป กำหนดจำนวนผู้ลงทะเบียนเพิ่มเติมอีก 3 ล้านคน เท่านั้น เปิดรับสิทธิลงทะเบียนวันละ 1 ล้านคน โดยแบ่งเป็นวันละ 2 รอบ ได้แก่ รอบที่1 เวลา 6.00น. กำหนดจำนวนผู้รับสิทธิ 5แสนคน รอบที่ 2 เวลา 18.00น. กำหนดจำนวนผู้รับสิทธิอีก 5 แสนคน เช่นกัน ซึ่ง ธนาคารมีความมั่นใจว่าระบบแอปพลิเคชั่นของธนาคารทั้งถุงเงิน และเป๋าตัง มีความพร้อมในการรองรับร้านค้า และผู้ลงทะเบียนรับสิทธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในเฟสที่ 2 ธนาคารขอเชิญชวนผู้รับสิทธิตามมาตรการชิมช้อปใช้ เมื่อใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 1 รับสิทธิ 1,000 บาท ครบแล้ว ยังสามารถใช้สิทธิในกระเป๋า G- Wallet 2 เพื่อรับเงินคืนสูงสุด 20% หรือประมาณ 8,500 บาท โดยขั้นตอนการเติมเงินง่ายมากและไม่ซับซ้อน โดยการเติมเงินผ่านการสแกน QR Code ด้วยแอปของทุกธนาคาร โดยเข้าไปที่แอปเป๋าตัง เลือกกดสัญลักษณ์รูป QR Code (เติมเงิน G-Wallet ) ด้านบนมุมซ้าย ต่อมาทำการบันทึกรูปภาพ QR Code ลงในโทรศัพท์ หลังจากนั้นเข้าแอปธนาคารของท่านและกดเลือกสแกน QR – Code จากรูปภาพที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ และใส่จำนวนเงินที่ต้องการเติมเงิน
นอกจากนี้ ยังสามารถเติมเงินง่ายๆผ่านตู้ ATM ของ 5 ธนาคารใหญ่ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยการเติมเงินจะต้องใช้ตู้เอทีเอ็ม ที่ตรงกับบัตรเอทีเอ็มของธนาคารนั้นๆ ให้เข้าที่เมนู เติมเงิน เติมเงินพร้อมเพย์ หรือโอนเงิน แล้วแต่เมนูหน้าแรกของตู้เอทีเอ็มธนาคารนั้นๆ หลังจากนั้นเลือกบัญชีว่าจะให้ทำการโอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์หรือกระแสรายวัน พร้อมใส่หมายเลข G-Wallet 15 หลัก ที่ได้จาก QR Code หลังจากนั้นใส่จำนวนเงินที่ต้องการและกดยืนยัน
ส่วนวิธีการชำระเงินเพื่อรับสิทธิเงินคืน 15-20% โดยเข้าแอปเป๋าตัง กดที่เมนูใช้สิทธิรับเงินคืน 15-20 % และเลือก ใช้จ่ายร้านค้าถุงเงิน หลังจากนั้น จะได้ QR Code เพื่อให้ร้านค้าใช้แอปถุงเงินสแกน โดยผู้รับสิทธิต้องตรวจสอบยอดเงินที่ต้องชำระ และกดยืนยันการชำระเงิน ในส่วนของการรับเงินคืนนั้น จะได้รับเงินคืนภายในเดือนถัดไปหลังจากการเสร็จสิ้นการใช้สิทธิของมาตรการ
ทั้งนี้ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเฟสที่ 2 ขั้นตอนการลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิจะเหมือนเฟสที่ 1 โดยลงทะเบียนผ่าน WWW. ชิมช้อปใช้ .com กรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว พร้อมเลือกจังหวัดที่ประสงค์จะเดินทางไปใช้สิทธิ โดยไม่ใช่จังหวัดตามสำเนาทะเบียนบ้าน หลังจากนั้นภายใน 3 วันธนาคารจะส่ง SMS เพื่อให้โหลดแอปเป๋าตัง โดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทย เพื่อรับสิทธิ 1,000 บาท ผ่านกระเป๋า G – Wallet1 และผู้ได้รับสิทธิสามารถเติมเงินในกระเป๋า G- Wallet 2 ใช้จ่ายในร้านที่ร่วมโครงการ ชิมช้อปใช้ ได้ทุกจังหวัด ที่ไม่ตรงกับทะเบียนบ้าน เพื่อรับสิทธิเงินคืน โดยยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท รับเงินคืน 15% และยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท รับเงินคืน 20 % หรือสูงสุด 8,500 บาท ทั้งนี้ ผู้รับสิทธิตามมาตรการชิมช้อปใช้ เฟสที่ 1 และเฟสที่2 สามารถใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G- Wallet 2 ได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562
โดยจะเห็นว่า ผู้รับสิทธิในเฟสแรก สามารถจ่ายเงินผ่านแอปเป๋าตังได้อย่างสะดวก จะเห็นยอดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ล่าสุด ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2562 มียอดการใช้จ่ายผ่าน G- Wallet ทั้งสิ้นจำนวน 8,892.40 ล้านบาท แบ่งเป็น ร้านค้าประเภทชิม 14.5 % ร้านค้าประเภทช้อป 55.6% ร้านค้าประเภทใช้ 1.4% และร้านค้าประเภททั่วไปอีก 28.5% ซึ่งจากยอดการใช้จ่ายดังกล่าว ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้จ่ายที่ได้รับสิทธิ 1,000 บาท จากกระเป๋าช่องที่1 แต่กระเป๋าช่องที่2 ยังคงมีไม่มากนัก
นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ชิมช้อปใช้ เฟสที่ 2 ธุรกิจที่จะเข้าร่วมโครงการมีความหลากหลายมากขึ้น ครบวงจรสำหรับการเดินทาง อาทิเช่น โรงแรม แพ็คเกจทัวร์ และรถเช่า เป็นต้น
นายผยง กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้จ่ายในประเทศ และทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ประชาชนที่ได้รับสิทธิในเฟสที่1 จำนวน 10 ล้านคน และในเฟสที่2 อีก 3 ล้านคน นำเงินไปใช้จ่าย ตามมาตรการของโครงการ สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระจายไปสู่ฐานรากของชุมชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประกาศกำไรสุทธิ งวด 9 เดือน จำนวน 728.1 ล้านบาท เติบโต 35.5%
สรุปผลประกอบการงวด 9 เดือน 2562
- รายได้จากการดำเนินงานจำนวน 10,386.8 ล้านบาท
- กำไรสุทธิจำนวน 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 190.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.5 (Y o Y)
- สำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลงร้อยละ 32.7 (Y o Y)
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 มีกำไรสุทธิจำนวน 728.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 190.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.5 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2561 สาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานร้อยละ 2.3 และการลดลงของสำรองหนี้สงสัยจะสูญร้อยละ 32.7 สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานร้อยละ 17.4
รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดเก้าเดือนปี 2562 มีจำนวน 10,386.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 236.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.3 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2561 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิร้อยละ 3.1 เป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อและการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินลงทุนและการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจำนวน 97.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.8 มาจากการเพิ่มขึ้นของ ค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัยและค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ รายได้อื่นลดลงจำนวน 103.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.4 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของขาดทุนสุทธิจากหนี้สินทางการเงินที่กำหนดให้แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมสุทธิกับกำไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดเก้าเดือนปี 2562 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2561 เพิ่มขึ้นจำนวน 1,060.8 ล้านบาทหรือร้อยละ 17.4 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น เนื่องจากการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ซึ่งกำหนดให้จ่ายค่าชดเชยเพิ่มขึ้นสำหรับพนักงานที่เกษียณอายุและมีอายุงานมากกว่าหรือเท่ากับ 20 ปีและค่าใช้จ่ายที่เกิดจากกลยุทธ์การขยายงานของธนาคารภายใต้โครงการ Fast Forward เป็นผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต่อรายได้จากการดำเนินงานงวดเก้าเดือนปี 2562 อยู่ที่ร้อยละ 68.8 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2561 อยู่ที่ ร้อยละ 59.9
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับงวดเก้าเดือนปี 2562 อยู่ที่ร้อยละ 3.32 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 3.77 เป็นผลจากต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น
วันที่ 30 กันยายน 2562 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 240.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับ เงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน บางประเภท) จำนวน 238.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากสิ้นปี 2561 ซึ่งมีจำนวน 234.3 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 100.9 จากร้อยละ 97.2 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 11.1 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น (NPL ratio) อยู่ที่ร้อยละ 4.6 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 4.3 เป็นผลจากลูกหนี้ภาคธุรกิจบางรายและรายย่อย อย่างไรก็ตาม ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยยังคงมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อ และนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมขึ้น ตลอดจนได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามหนี้ การดำเนินการดูแลและการแก้ไขลูกหนี้ที่ถูกผลกระทบดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 98.0 ลดลงจากสิ้นปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 107.0 ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 เงินสำรองของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 10.9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินจากเงินสำรองขั้นต่ำตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 5.1 พันล้านบาท
เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 30 กันยายน 2562 มีจำนวน 48.3 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 18.6โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 13.6
ราชวินิตบางแก้ว สมุทรปราการคว้าถ้วยพระราชทาน Symphonic Band ดนตรีธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน ประจำปี 2562
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานมอบเงินรางวัลและให้โ
สำหรับการประกวดดนตรีธนาคารโรงเ
Emotional Quotient หรือ อีคิว ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาทั้งด้
เมื่อเร็วๆนี้

ป.รวบหนุ่มเมืองน้ำดำหนีคดียิงอริหน้างานหมอลำเจ็บ รับสางแค้นแทนพี่ชายที่เคยมีเรื่องกันมาก่อน
วันนี้ ( 22 ต.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป.สั่งการ พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.ปกรษณ์เกียรติ พงษ์ธนนิกร สว.กก.2 บก.ป.ด.ต.เกียรติเฉลิม รักษ์งาม ผบ.หมู่ กก.2 บก.ป.นำกำลังจับกุม นายพรศักดิ์ เอกตาแสง อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่ที่ 5 ต.กุดจิก อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ ตามหมายจับศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ จ.544/2546 ลงวันที่ 9 เม.ย. 2546 ข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น” ได้บริเวณด่านจ่ายค่าผ่านทางพิเศษถนนกาญจนาพิเศษ พระประแดง-พระราม 2 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม.
ทั้งนี้เมื่อต้นปี 2546 นายพรศักดิ์ ผู้ต้องหาได้ก่อเหตุยิง นายสมทบ ธรรมศิริ จนได้รับบาดเจ็บ ในงานแสดงหมอลำ ภายในวัดบ้านกุดจิก หมู่ 3 ต.กุดจิก อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ แล้วหลบหนีออกนอกพื้นที่กว่า 16 ปี ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าผู้ต้องหาได้มาประกอบอาชีพขับรถขนส่งอยู่ใน กทม.จึงวางแผนเข้าจับกุมได้ดังกล่าว
จากการสอบสวน นายพรศักดิ์ ให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้พี่ชายที่เคยมีเรื่องชกต่อยกับ นายสมทบ ในงานวัด เมื่อเจอหน้ากันก็จะมีเรื่องกันอีก ตนเลยใช้อาวุธปืนยิงจนบาดเจ็บดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่ง สภ.ท่าคันโท ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป











