“รอง ยงเกียรติ” แท๊กทีมลุยสกัดจับ”แก๊งค์ ว้าเหนือ”ขณะแอบขนยาบ้า 1 ล้านเม็ด

ที่บก.ตชด.ภาค 3 อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่ พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนประณีต รอง ผบช.ตชด .เปิดเผยว่าพล.ต.ท.วิชิต ปักษา ผบช.ตชด. ได้สั่งการให้ตน ร่วมบูรณาการ กับ พล.ท.สุภโชค รวัชพีระชัยผบ.ศป.ปส.ชน.. .พล.ต.ต.นพพล ชาติวงศ์ ผบก.
ตชด.ภาค 3 นายมานิต โกเมค ผอ.ปปส.ภาค 5 พ.ต.อ.โชคชัย ซูแสงผกก.ตชด.33 ,พ.ต.อ.เกรียงศักดิ์วงศ์อุทัย ผกก.สภ.แม่แตง, พ.อ.ศรัณย์ รอดบุญธรรม ผบ.ฉก.ม.4 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 335 ออกสืบสวนหาข่าวในพื้นที่รับผิดชอบ จากการข่าว ทราบว่าจะมีกลุ่มคาราวานลักลอบลำเสียง ยาเสพติดโดยใช้เส้นทางธรรมชาติ จากบ้านแม่คะนิน ตำบลแม่นะ อำเภอเซียงดาว เพื่อหลบด่านตรวจแก่งบันเต้าแล้วลักลอบเข้าสู่พื้นที่ตอนในจึงได้วางกำลังดักซุ่มสังเกตการณ์บริเวณ ถนนเชียงใหม่-ฝาง ซึ่งทราบว่าเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายยาเสพติด

พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนประณีต

จนกระทั่งเวลาประมาณ 06.00 น ของวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดตรวจยึด ได้สังกตเห็นคาราวานดังกล่าวสะพายเป้เดินข้าม แม่น้ำปิง มายังถนนฯ บริเวณที่เจ้าหน้าที่ชุดตรวจยึดเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ และในขณะนั้นได้มีรถยนต์มิตชูบิชิ ปาเจโร่สปอร์ต สีขาว มุ่งหน้ามาจากทางอำเภอแม่แตง ลดความเร็วและกลับรถเพื่อทำการเข้าจอดในจุดที่เจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่แต่ในระหว่างนั้นคนขับรถคันดังกล่าวได้สังเกตุเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้เร่งเครื่องหนีออกจากจุดดังกล่าว พยายามขับรถขนยาเสพติดที่ลำเสียงข้ามน้ำมาเห็นสิ่งผิดปกติจึงได้ทิ้งกระสอบพลาสติก เป้สะพายมาแล้วอาศัยความมืด และความชำนาญภูมิประเทศวิ่งหลบหนีไป เจ้าหน้าที่จึงได้จัดชุดติดตาม และตรวจสอบกระสอบพลาสติกที่ทิ้งไว้จำนวน 10 กระสอบ พบข้างในบรรจุยาบ้ากระสอบละประมาณ 100,000.เม็ด รวม ของกลางยาบ้า จำนวนประมาณ 1,000,000 เม็ด
พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนประณีต
พล.ต.ต.ยงเกียรติ ยังได้เปิดเผยอีกว่า จากการประสานข้อมูลการข่าวกับสำนักงานป้องกันและปราบปราม ยาเสพติดทราบว่ยาบดักล่าวเป็นของกลุ่มว้าเหนือ ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาภายในประเทศไทยผ่านชายแดนอำภอแม่อายไชยปราการ เชียงดาว และจะลำเลียง ต่อไปยังภาคใต้ของประเทศไทย แต่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจยึดได้ก่อน โดยได้สั่งการให้สืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการตามกฏหมายต่อไป

พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนประณีต พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนประณีต

พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนประณีต


 

‘รมว.ยุติธรรม’ เร่งผลักดัน ปราบปรามยาเสพติดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมกล่าวปราศรัยในการประชุมหัวหน้าหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (The Meeting of Heads of National Drug Law Enforcement Agencies, Asia and the Pacific: HONLEA) ครั้งที่ 43 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 25 ตุลาคม 2562 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร
นายสมศักดิ์ เทพสุทินการประชุมครั้งนี้ เป็นการจัดขึ้นร่วมกันระหว่างสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมระดับหัวหน้าหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก 19 ประเทศ ผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศ และผู้แทนจากหน่วยงานป้องกันยาเสพติดในประเทศไทย รวมกว่า 150 คน
นายสมศักดิ์ เทพสุทินในการกล่าวปาฐกถา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ชี้ให้ที่ประชุมเห็นว่า ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิคกำลังประสบปัญหายาเสพติดที่ปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาเสพติดประเภทสารสังเคราะห์ และได้ให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็น ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ปัญหา โดยต้องปรับปรุงข้อมูลและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันอย่างรวดเร็ว รวมถึง การเสริมสร้างศักยภาพด้านการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบค้ายาเสพติด เคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นให้ทันต่อสถานการณ์ ตลอดจน การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานปราบปรามยาเสพติด ผ่านการส่งเสริมให้มีความช่วยเหลือทางวิชาการด้านการควบคุมยาเสพติด ให้แก่ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหายาเสพติด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการควบคุมการลักลอบผลิตและลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามยาเสพติด และการป้องกันการใช้ยาในทางที่ผิด
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
ทั้งนี้ ประเทศไทย ได้รับการยอมรับในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ภายใต้ปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย โดยเป็นต้นแบบในการใช้แนวทางการพัฒนาทางเลือก (Alternative Development) ในการดำเนินงาน ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. จะมีการประสานงานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคี โดยมุ่งลดปริมาณยาเสพติดในภูมิภาค ผ่านการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงเคมีภัณฑ์สารตั้งตันเข้าไปยังแหล่งผลิต รวมถึงแพร่กระจายออกไปทั้งในและนอกภูมิภาค

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน


 

สืบสวน​สตม.รวบชาวเยอรมันหนีหมายจับซุกไทย​ และยังเข้ามาก่อคดีอำพรางศพหญิงชราร่วมชาติ ยัดตู้ไม้ทิ้งคลองย่านบางแสน หวังเงินเกษียณ

วันนี้​ วันอังคารที่ 22 ต.ค.62 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมมหาเมฆ ชั้น 4 อาคาร 1 สตม.(สวนพลู) สาธร​ กทม. : พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรชัย ขันตี,พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย,พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์,พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รองผบช.สตม.,พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.ภ.2 ปฏิบัติราชการ สตม. และ พ.ต.อ.กฤชมงกุฎ บูรณะภักดี ผกก.2 บก.สส.สตม.

ตำรวจภูธรภาค 2 นำโดย พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ภ.2 พร้อมด้วย​ พ.ต.อ.เทียนชัย​ เลิศมณีทวีทรัพย์ ผกก.สภ.แสนสุข,พ.ต.ท.ชัฎ บรรทัดเที่ยง รองผกก.สอบสวนฯ,พ.ต.ท.สุวิจักขณ์ กู้พิมายวรกูล รองผกก.สส.สภ.แสนสุข ร่วมแถลงข่าว​ผลการจับกุม​หนุ่มเยอรมันยัดศพหญิงชราร่วมชาติใส่ลังไม้ทิ้งคลองย่านบางแสน อำพรางการตายหวังเงินเกษียณ

พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ​ กล่าว​ว่า​ ได้รับการประสานจากตำรวจเยอรมัน ให้ช่วยติดตามนาง Margund อายุ 77 ปี ซึ่งเป็นบุคคลที่ทางการเยอรมันได้รับแจ้งว่าสูญหาย โดยได้เดินทางมาพร้อมกับนาย Richard ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 ทางญาติไม่สามารถติดต่อได้เกรงว่ามารดาอาจถูกทำร้ายหรือจะได้รับอันตราย ตรวจสอบข้อมูลพบว่านาย Richard กระทำผิดลักษณะหลอกลวงผู้หญิงสูงอายุหลายครั้ง​ และมีหมายจับประเทศเยอรมันในข้อหาฉ้อโกงบัตรเครดิต 17 กระทง รวมเป็นเงิน 6,000 ยูโร (240,000 บาท)

พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ​ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวน บก.สส.สตม.ออกสืบสวนติดตามจับกุมตัวนาย Richard และสืบสวนหาตัวนาง Margund เจ้าหน้าที่​กก.2 บก.สส.สตม.ได้สืบสวนติดตามจนทราบว่านาย Richard ได้อาศัยอยู่ที่บ้านเช่า ภายใน ต.แสนสุข อ.เมือง​ จ.ชลบุรี อาศัยอยู่กับหญิงไทย จึงได้แสดงตัวเข้าพบว่าวีซ่าหมดอายุตั้งแต่ 22 มิ.ย.60 จึงได้ควบคุมตัวไปยัง สภ.แสนสุข สอบสวนปากคำ ให้การว่าได้อาศัยอยู่ด้วยกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560

สอบสวน น.ส.สุปราณี ภรรยานาย Richard ให้การว่านาย Richard พานาง Margund มาอยู่ด้วยกัน โดยใช้เงินที่โอนมาจากประเทศเยอรมันเดือนละหลายหมื่นบาท ซึ่งเงินดังกล่าวนาย Richard บอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเงินเกษียณของนาง Margund ต่อมาประมาณต้นเดือนมกราคม 2562 นาง Margund ได้ล้มลงในห้องน้ำ จึงได้ช่วยกันพามานอนพัก จนทราบภายหลังว่าเสียชีวิตแน่นอนแล้ว นาย Richard จึงได้นำผ้าห่มมาห่อศพแล้วยัดใส่ตู้ลังไม้ใส่ของ จากนั้นได้นำใส่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง (ซาเล้ง) ซึ่งนาย Richard ขี่ไปทิ้งที่คลองบางโปรง หลังสนามกีฬาเทศบาลเมืองแสนสุข​ และต่อมาปรากฏว่ามีข่าวพบศพหญิงนิรนามที่ถูกยัดใส่ตู้ลังไม้ลอยน้ำ

จากการสืบสวนพิสูจน์ทราบ​ เชื่อว่าศพดังกล่าวคือนาง Margund พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ จึงได้ประสาน ผบช.ภ.2 และตำรวจประเทศเยอรมัน ร่วมพิสูจน์หลักฐานในคดีดังกล่าว ซึ่งอยู่ในระหว่างตรวจสอบผลดีเอ็นเอ และประวัติการทำฟันของนาง Margund เจ้าหน้าที่​ตำรวจ​สภ.แสนสุข จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติต่อศาลจังหวัดชลบุรี ออกหมายจับนาย Richard ในข้อหา ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพฯ และได้แจ้งข้อกล่าวหา อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด

พล.ต.ท.สมพงษ์​ฯ​ ขอฝาก​ประชาสัมพันธ์​ให้ว่าการบูรณาการกับหน่วยที่เกี่ยวข้องในการระดมกวาดล้างการจับกุมคนต่างด้าวทำงานโดยผิดกฎหมายเป็นมาตรการในการป้องกันปราบปรามที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากผู้ใดพบเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซอยสวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หมายเลข 1178 หรือทางเว็บไซต์ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง


 

ตม.เชียงใหม่​ รวบเฒ่านิวซีแลนด์เปิดร้านอาหาร เบื้องหลังค้ายา

วันอังคารที่ 22 ต.ค.62 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมมหาเมฆ ชั้น 4 อาคาร 1 สตม.(สวนพลู) สาธร​ กทม. : พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรชัย ขันตี,พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย,พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์,พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รองผบช.สตม.,พล.ต.ต.ชำนาญ ชำนาญเวช ผบก.ตม.5,พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รองผบก.ตม.5 และ พ.ต.อ.โกเมน สุภาพ ผกก.ตม.จ.เชียงใหม่ ร่วมแถลงข่าวการจับกุม​ชาวนิวซีแลนด์ใช้วีซ่าชีวิตบั้นปลายประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำหน่ายยาเสพติด

พล.ต.ท.สมพงษ์​ฯ​ กล่าว​ว่า จากการสืบสวนหาข่าวของชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปราม ตม.จ.เชียงใหม่​ สืบทราบว่า บริษัท ริมิ โฮสดิ้งส์ จำกัด ประกอบการในชื่อ ร้าน SPADES BISTRO&BAR สถานที่เกิดเหตุ ตั้งอยู่เลขที่ 207 ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีลักษณะเป็นธุรกิจร้านอาหาร​ และจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีคนต่างด้าวลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย

จึงได้เฝ้าติดตามดูพฤติกรรมจนพบว่า มีชายคนต่างด้าวอยู่ภายในร้านจะทำหน้าที่มาคอยดูแลลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการภายในร้าน มีการรับชำระเงินจากลูกค้า เป็นต้น จึงได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อเข้าตรวจสอบและจับกุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 เวลา 22.00 น.โดยตรวจพบคุณไมค์ หรือ MR.MICHAEL กำลังดูแลลูกค้าอยู่ ภายในร้าน เจ้าหน้าที่จึงได้ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางและเอกสารการจัดตั้งบริษัท

ซึ่งตรวจพบว่า MR.MICHAEL เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2562 ได้รับการตรวจลงตราประเภทสงวนสิทธิ์การตรวจลงตราเดิม (ใช้ชีวิตบั้นปลาย) ได้รับอนุญาตให้อยู่ถึงวันที่ 26 มีนาคม 2563 ประกอบกับตรวจพบเอกสารการจดทะเบียนนิติบุคคลจากสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดเชียงใหม่​ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า MR.MICHAEL เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทฯ ซึ่งวีซ่าประเภทนี้ไม่สามารถทำงานใดๆ หรือเป็นกรรมการของบริษัทได้

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขอตรวจสอบข้อมูลกล้องวงจรปิดซึ่งติดตั้งอยู่ภายในร้าน โดย MR.MICHAEL แจ้งว่าไม่มีการบันทึกข้อมูล กล้องวงจรปิดที่ตรวจพบมีเพียงแค่ตัวกล้องติดตั้งเท่านั้น ไม่ได้ใช้งานเนื่องจากเป็นกล้องของผู้เช่าอาคารคนเดิมซึ่งไม่ได้ถอดออกไปด้วย แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อตามที่กล่าวอ้าง จึงให้ MR.MICHAEL นำตรวจสอบบริเวณชั้น 2 และ 3

ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบว่ามีการบันทึกข้อมูลกล้องวงจรปิดแต่อย่างใด แต่ได้ตรวจพบยาเสพติด คือ ยาอีหรือเอสตาชี 64 เม็ด,โคเคน น้ำหนักรวม 9.92 กรัม และยาเค 9.68 กรัม อีกทั้งพบถุงซิปล็อคขนาดเล็ก จำนวนหลายถุง ซุกซ่อนในลิ้นชักโต๊ะทำงาน บริเวณชั้น 3 ของร้านที่เกิดเหตุ จึงเชื่อว่า MR.MICHAEL มีพฤติการณ์มียาเสพติดให้โทษเพื่อเสพและจำหน่ายด้วย ในเบื้องต้นได้สอบถาม MR.MICHAEL ให้การว่าได้ซื้อยาเสพติดทั้งหมดจากเพื่อนผู้ชายชาวต่างชาติซึ่งไม่ได้แจ้งชื่อให้ทราบ โดยซื้อมาเป็นเงินประมาณ 45,000 บาท จากนั้นจึงได้ตรวจ สารเสพติดในปัสสาวะของ MR.MICHAEL

พบว่ามีผลเป็นบวกในกลุ่มยาเสพติดประเภทโคเคน ประกอบกับจากการสอบปากคำพยานซึ่งเป็นพนักงานของร้าน ให้การสอดคล้องต้องกันว่าเจ้าของร้าน คือ MR.MICHAEL และพนักงานบางคนเคยรู้เห็นว่า MR.MICHAEL เคยใช้ยาเสพติดบ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่ทราบว่าเป็นยาเสพติดชนิดใด เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ MR.MICHAEL ได้ทราบว่ากระทำความผิดฐาน

“เป็นคนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต”, “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน”, “เป็นคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวแต่ประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาอีหรือเอสตาซี) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย”,“มียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย”, “เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) โดยผิดกฎหมาย”, “มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (ยาเคหรือเคตามีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย” และจับกุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ต่อมาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 เวลาประมาณ 14.00 น. ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ นำโดย พันตำรวจโท ฐิติวัฒน์ ฤชานุกูล รองผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ และชุดสืบสวน ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำการสืบสวนขยายผลการจับกุมยาเสพติดดังกล่าว จนทราบว่า MR.MICHAEL ได้เช่าบ้านพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 280 หมู่ 5 ตำบลสันทรายน้อย อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่

จึงได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 315/2562 เข้าตรวจค้นเพื่อหาสิ่งผิดกฎหมาย​ และยาเสพติด โดยได้แสดงหมายค้นให้ นางสาวภัณฑิราฯ เจ้าของบ้าน​ และเป็นผู้ให้เช่า ผลการตรวจค้นพบอุปกรณ์ที่สันนิษฐานว่าใช้เสพยาเสพติดให้โทษ จำนวน 14 รายการ เช่น อุปกรณ์ท่อสูบทองเหลือง มีเขม่าสีดำด้านใน เชื่อว่ามีไว้เสพยาเสพติดของเหลวลักษณะข้นสีดำเชื่อว่าอาจจะเป็นยาเสพติดประเภทฝิ่น เป็นต้น จึงได้ทำการตรวจยึดและมอบให้พนักงานสอบสวนส่งตรวจพิสูจน์ที่งานตรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้การตรวจพิสูจน์ยังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งจะได้ติดตามผลการตรวจพิสูจน์นำเรียนผู้บังคับบัญชาในลำดับต่อไป

พล.ต.ท.สมพงษ์​ฯ​ ขอ​ฝาก​ประชา​สัมพันธ์​ให้ทราบว่าการบูรณาการกับหน่วยที่เกี่ยวข้องในการ ระดมกวาดล้างการจับกุมคนต่างด้าวทำงานโดยผิดกฎหมายเป็นมาตรการในการป้องกันปราบปรามที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากผู้ใดพบเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซอยสวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทรกรุงเทพมหานคร 10120 หมายเลข 1178 หรือ ทางเว็บไซต์ www. immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง


 

ครม.เห็นชอบมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ บ้านใหม่ซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท ให้กู้ดอกเบี้ยคงที่ 2.50% ต่อปี 3 ปีแรก เริ่ม 24 ต.ค.นี้

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ภายใต้กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.50%ต่อปี นาน 3 ปีแรก ให้กู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุดจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศที่มีราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท กรณีกู้ 1 ล้านบาท เงินงวด 3 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 3,300 บาท/เดือน เทียบกับเงินงวดของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อปกติ วงเงินกู้ 1 ล้านบาท 3 ปีแรก ผู้กู้จะประหยัดเงินงวดได้จำนวน 80,400 บาท ติดต่อยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563   

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชำระ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง วัยทำงานหรือประชาชนที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว และกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งจะมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างความมั่นคงในสถาบันครอบครัว รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยจัดทำ “มาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์” ภายใต้    กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน ปีที่ 1 – ปีที่ 3 คงที่ 2.50% ต่อปี ปีที่ 4 – ปีที่ 5 คงที่ 4.625% ต่อปี ส่วนปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้เงิน กรณีสวัสดิการ  MRR – 1.00% ต่อปี กรณีรายย่อย MRR – 0.75% (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.625% ต่อปี) วัตถุประสงค์ให้กู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุดจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศที่มีราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท

“มาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ นับเป็นนโยบายที่รัฐบาลที่ต้องการสร้างโอกาสทำให้
คนไทยมีบ้านเป็นจริง เพราะกำหนดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 2.50% นับเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในตลาด และยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยในช่วง 3 ปีแรก เช่น กรณีกู้ 1 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 3 ปีแรก จะผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,300 บาทต่องวดเท่านั้น หากเทียบกับเงินงวดผ่อนชำระของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อปกติในช่วง 3 ปีแรก วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ผู้กู้จะสามารถประหยัดเงินงวดได้จำนวน 80,400 บาท หรือหากเทียบกับการผ่อนชำระอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อปกติในช่วง 5 ปีแรก ผู้กู้สามารถประหยัดเงินงวดได้ถึง 123,600 บาท นอกจากนี้ยังได้รับการลดค่าใช้จ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งให้ลดค่าธรรมเนียม      จดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2 % เหลือ 0.01 % และลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนจำนองจาก 1 % เหลือ 0.01 % อีกด้วย” นายฉัตรชัย กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ติดต่อขอรับคำปรึกษากับเจ้าหน้าที่สินเชื่อหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

ชิมช้อปใช้ อู้ฟู่ กรุงไทยหนุนเฟส 2 ชวนใช้จ่ายกระเป๋า2 รับเงินคืนสูงสุด20%

กรุงไทยผลักดันมาตรการชิมช้อปใช้เฟส2 อย่างต่อเนื่อง  มั่นใจระบบแอปพลิเคชั่นถุงเงิน – เป๋าตัง พร้อมรองรับผู้รับสิทธิอย่างมีประสิทธิภาพ ชวนใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2  ยอดใช้จ่าย 50,000 บาท รับเงินคืนสูงสุด 20% หรือ 8,500 บาท

นายผยง ศรีวณิช  กรรมการผู้จัดการใหญ่  ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีความเห็นชอบให้เปิดมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ  “ ชิมช้อปใช้” เฟส 2   ในวันที่ 24 ตุลาคม 2562  เป็นต้นไป  กำหนดจำนวนผู้ลงทะเบียนเพิ่มเติมอีก  3 ล้านคน เท่านั้น เปิดรับสิทธิลงทะเบียนวันละ 1 ล้านคน โดยแบ่งเป็นวันละ 2 รอบ ได้แก่ รอบที่1 เวลา 6.00น. กำหนดจำนวนผู้รับสิทธิ 5แสนคน  รอบที่ 2 เวลา 18.00น. กำหนดจำนวนผู้รับสิทธิอีก 5 แสนคน เช่นกัน ซึ่ง ธนาคารมีความมั่นใจว่าระบบแอปพลิเคชั่นของธนาคารทั้งถุงเงิน และเป๋าตัง  มีความพร้อมในการรองรับร้านค้า และผู้ลงทะเบียนรับสิทธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยในเฟสที่ 2 ธนาคารขอเชิญชวนผู้รับสิทธิตามมาตรการชิมช้อปใช้   เมื่อใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 1 รับสิทธิ 1,000 บาท ครบแล้ว   ยังสามารถใช้สิทธิในกระเป๋า G- Wallet 2  เพื่อรับเงินคืนสูงสุด 20% หรือประมาณ 8,500 บาท  โดยขั้นตอนการเติมเงินง่ายมากและไม่ซับซ้อน   โดยการเติมเงินผ่านการสแกน  QR Code  ด้วยแอปของทุกธนาคาร  โดยเข้าไปที่แอปเป๋าตัง เลือกกดสัญลักษณ์รูป  QR Code  (เติมเงิน G-Wallet ) ด้านบนมุมซ้าย  ต่อมาทำการบันทึกรูปภาพ QR Code ลงในโทรศัพท์ หลังจากนั้นเข้าแอปธนาคารของท่านและกดเลือกสแกน QR – Code  จากรูปภาพที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ และใส่จำนวนเงินที่ต้องการเติมเงิน

นอกจากนี้  ยังสามารถเติมเงินง่ายๆผ่านตู้  ATM ของ 5 ธนาคารใหญ่  ประกอบด้วย  ธนาคารกรุงไทย  ธนาคารกสิกรไทย  ธนาคารกรุงเทพ  ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยการเติมเงินจะต้องใช้ตู้เอทีเอ็ม ที่ตรงกับบัตรเอทีเอ็มของธนาคารนั้นๆ   ให้เข้าที่เมนู เติมเงิน  เติมเงินพร้อมเพย์  หรือโอนเงิน แล้วแต่เมนูหน้าแรกของตู้เอทีเอ็มธนาคารนั้นๆ   หลังจากนั้นเลือกบัญชีว่าจะให้ทำการโอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์หรือกระแสรายวัน   พร้อมใส่หมายเลข  G-Wallet  15 หลัก ที่ได้จาก  QR Code  หลังจากนั้นใส่จำนวนเงินที่ต้องการและกดยืนยัน

ส่วนวิธีการชำระเงินเพื่อรับสิทธิเงินคืน 15-20%  โดยเข้าแอปเป๋าตัง  กดที่เมนูใช้สิทธิรับเงินคืน 15-20 % และเลือก ใช้จ่ายร้านค้าถุงเงิน หลังจากนั้น จะได้  QR Code  เพื่อให้ร้านค้าใช้แอปถุงเงินสแกน  โดยผู้รับสิทธิต้องตรวจสอบยอดเงินที่ต้องชำระ  และกดยืนยันการชำระเงิน  ในส่วนของการรับเงินคืนนั้น จะได้รับเงินคืนภายในเดือนถัดไปหลังจากการเสร็จสิ้นการใช้สิทธิของมาตรการ

ทั้งนี้  มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเฟสที่ 2  ขั้นตอนการลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิจะเหมือนเฟสที่ 1  โดยลงทะเบียนผ่าน  WWW. ชิมช้อปใช้ .com  กรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว พร้อมเลือกจังหวัดที่ประสงค์จะเดินทางไปใช้สิทธิ โดยไม่ใช่จังหวัดตามสำเนาทะเบียนบ้าน  หลังจากนั้นภายใน 3 วันธนาคารจะส่ง SMS เพื่อให้โหลดแอปเป๋าตัง  โดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทย เพื่อรับสิทธิ 1,000  บาท ผ่านกระเป๋า G – Wallet1  และผู้ได้รับสิทธิสามารถเติมเงินในกระเป๋า G- Wallet 2   ใช้จ่ายในร้านที่ร่วมโครงการ ชิมช้อปใช้ ได้ทุกจังหวัด ที่ไม่ตรงกับทะเบียนบ้าน เพื่อรับสิทธิเงินคืน โดยยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท รับเงินคืน 15%   และยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000  บาท  รับเงินคืน 20 % หรือสูงสุด 8,500 บาท  ทั้งนี้  ผู้รับสิทธิตามมาตรการชิมช้อปใช้ เฟสที่ 1  และเฟสที่2  สามารถใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G- Wallet 2 ได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562

โดยจะเห็นว่า ผู้รับสิทธิในเฟสแรก สามารถจ่ายเงินผ่านแอปเป๋าตังได้อย่างสะดวก   จะเห็นยอดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกวัน  ล่าสุด  ณ วันที่  20  ตุลาคม 2562   มียอดการใช้จ่ายผ่าน G- Wallet ทั้งสิ้นจำนวน 8,892.40 ล้านบาท  แบ่งเป็น ร้านค้าประเภทชิม 14.5 %  ร้านค้าประเภทช้อป 55.6% ร้านค้าประเภทใช้ 1.4%  และร้านค้าประเภททั่วไปอีก 28.5% ซึ่งจากยอดการใช้จ่ายดังกล่าว ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้จ่ายที่ได้รับสิทธิ 1,000 บาท  จากกระเป๋าช่องที่1 แต่กระเป๋าช่องที่2 ยังคงมีไม่มากนัก

นอกจากนี้  มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ชิมช้อปใช้ เฟสที่ 2  ธุรกิจที่จะเข้าร่วมโครงการมีความหลากหลายมากขึ้น ครบวงจรสำหรับการเดินทาง อาทิเช่น   โรงแรม   แพ็คเกจทัวร์  และรถเช่า เป็นต้น

นายผยง กล่าวเพิ่มเติมว่า  เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้จ่ายในประเทศ  และทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ  ประชาชนที่ได้รับสิทธิในเฟสที่1  จำนวน 10 ล้านคน  และในเฟสที่2 อีก 3 ล้านคน   นำเงินไปใช้จ่าย ตามมาตรการของโครงการ สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระจายไปสู่ฐานรากของชุมชน  ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล


 

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประกาศกำไรสุทธิ งวด 9 เดือน จำนวน 728.1 ล้านบาท เติบโต 35.5%

สรุปผลประกอบการงวด 9 เดือน 2562

  • รายได้จากการดำเนินงานจำนวน 10,386.8 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิจำนวน 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 190.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.5 (Y o Y)
  • สำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลงร้อยละ 32.7 (Y o Y)

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 มีกำไรสุทธิจำนวน 728.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 190.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.5 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2561 สาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานร้อยละ 2.3 และการลดลงของสำรองหนี้สงสัยจะสูญร้อยละ 32.7 สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานร้อยละ 17.4

รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดเก้าเดือนปี 2562  มีจำนวน 10,386.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 236.4       ล้านบาท หรือร้อยละ 2.3 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2561 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิร้อยละ 3.1 เป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อและการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินลงทุนและการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจำนวน 97.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.8 มาจากการเพิ่มขึ้นของ ค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัยและค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์  รายได้อื่นลดลงจำนวน 103.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.4 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของขาดทุนสุทธิจากหนี้สินทางการเงินที่กำหนดให้แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมสุทธิกับกำไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดเก้าเดือนปี 2562 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2561 เพิ่มขึ้นจำนวน 1,060.8 ล้านบาทหรือร้อยละ 17.4 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น เนื่องจากการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ซึ่งกำหนดให้จ่ายค่าชดเชยเพิ่มขึ้นสำหรับพนักงานที่เกษียณอายุและมีอายุงานมากกว่าหรือเท่ากับ 20 ปีและค่าใช้จ่ายที่เกิดจากกลยุทธ์การขยายงานของธนาคารภายใต้โครงการ Fast Forward เป็นผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต่อรายได้จากการดำเนินงานงวดเก้าเดือนปี 2562 อยู่ที่ร้อยละ 68.8 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2561 อยู่ที่ ร้อยละ 59.9

อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับงวดเก้าเดือนปี 2562    อยู่ที่ร้อยละ 3.32 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 3.77 เป็นผลจากต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น

วันที่ 30 กันยายน 2562 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 240.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับ เงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน  บางประเภท) จำนวน 238.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากสิ้นปี 2561 ซึ่งมีจำนวน 234.3 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 100.9 จากร้อยละ 97.2 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561

สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 11.1 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น (NPL ratio) อยู่ที่ร้อยละ 4.6 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 4.3 เป็นผลจากลูกหนี้ภาคธุรกิจบางรายและรายย่อย อย่างไรก็ตาม ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยยังคงมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อ และนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมขึ้น ตลอดจนได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามหนี้ การดำเนินการดูแลและการแก้ไขลูกหนี้ที่ถูกผลกระทบดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 98.0  ลดลงจากสิ้นปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 107.0   ณ วันที่ 30 กันยายน 2562   เงินสำรองของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 10.9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินจากเงินสำรองขั้นต่ำตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 5.1 พันล้านบาท

เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 30 กันยายน 2562 มีจำนวน 48.3 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 18.6โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 13.6

ราชวินิตบางแก้ว สมุทรปราการคว้าถ้วยพระราชทาน Symphonic Band ดนตรีธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน ประจำปี 2562

ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานมอบเงินรางวัลและให้โอวาทแก่ผู้เข้าประกวดดนตรีธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน ประเภท Symphonic Band รอบชิงชนะเลิศ ประจำปี 2562 โดยวงที่ชนะเลิศการประกวดฯ ได้แก่ โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว จ.สมุทรปราการ ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล 300,000 บาท,รองชนะเลิศอันดับ 1 โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา,รองชนะเลิศอันดับ 2 โรงเรียนหอวัง กรุงเทพฯ และรองชนะเลิศอันดับ 3 อีก 7 รางวัล ได้แก่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา น้อมเกล้า กรุงเทพฯ,โรงเรียนสตรีวิทยา2 กรุงเทพฯ,โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ กรุงเทพฯ, โรงเรียนราชวินิตบางเขน กรุงเทพฯ,โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่,โรงเรียนราชวินิตมัธยม กรุงเทพฯและโรงเรียนโยธินบูรณะ กรุงเทพฯ

สำหรับการประกวดดนตรีธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 เป็นกิจสร้างความสัมพันธ์ให้แก่สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการธนาคารโรงเรียน โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2541 เพื่อเสริมทักษะด้าน
Emotional Quotient หรือ อีคิว ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา อีกทั้งช่วยสร้างสังคมให้เป็นสุข และเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่
เมื่อเร็วๆนี้

ป.รวบหนุ่มเมืองน้ำดำหนีคดียิงอริหน้างานหมอลำเจ็บ รับสางแค้นแทนพี่ชายที่เคยมีเรื่องกันมาก่อน

วันนี้ ( 22 ต.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป.สั่งการ พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.ปกรษณ์เกียรติ พงษ์ธนนิกร สว.กก.2 บก.ป.ด.ต.เกียรติเฉลิม รักษ์งาม ผบ.หมู่ กก.2 บก.ป.นำกำลังจับกุม นายพรศักดิ์ เอกตาแสง อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่ที่ 5 ต.กุดจิก อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ ตามหมายจับศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ จ.544/2546 ลงวันที่ 9 เม.ย. 2546 ข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น” ได้บริเวณด่านจ่ายค่าผ่านทางพิเศษถนนกาญจนาพิเศษ พระประแดง-พระราม 2 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม.

ทั้งนี้เมื่อต้นปี 2546 นายพรศักดิ์ ผู้ต้องหาได้ก่อเหตุยิง นายสมทบ ธรรมศิริ จนได้รับบาดเจ็บ ในงานแสดงหมอลำ ภายในวัดบ้านกุดจิก หมู่ 3 ต.กุดจิก อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ แล้วหลบหนีออกนอกพื้นที่กว่า 16 ปี ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าผู้ต้องหาได้มาประกอบอาชีพขับรถขนส่งอยู่ใน กทม.จึงวางแผนเข้าจับกุมได้ดังกล่าว

จากการสอบสวน นายพรศักดิ์ ให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้พี่ชายที่เคยมีเรื่องชกต่อยกับ นายสมทบ ในงานวัด เมื่อเจอหน้ากันก็จะมีเรื่องกันอีก ตนเลยใช้อาวุธปืนยิงจนบาดเจ็บดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่ง สภ.ท่าคันโท ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป