ว่าที่บ่าวสาวแจ้งกองปราบหลัง บ.พรีเวดดิ้ง ทิ้งงานเชิดเงินหนี

มื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน ที่กองปราบปราม(บก.ป.)

น.ส.น้ำมนต์ นามสมมุติ อายุ 32 ปี ตัวแทนกลุ่มคู่รักเตรียมจัดงานแต่งงานรวม 12 คู่ เข้าพบ พ.ต.ท.ภิรัมย์ เมืองไสย สว.(สอบสวน) กก.1 บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับบริษัทรับจัดพรีเวดดิ้งแห่งหนึ่ง(Bua wedding, Bua flora, Heartist the wedding) หลังทิ้งงานที่รับไว้แล้วไม่สามารถติดต่อขอรับเงินคืนได้ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท

น.ส.น้ำมนต์ กล่าวว่า ตนได้ติดต่อไปยังบริษัทผู้จัดงานพรีเวดดิ้งดังกล่าวเมื่อปี 2561 หลังได้พบเพจเฟซบุ๊ก และในงานเวดดิ้งแฟร์ ที่ได้พาดูการจัดงานให้กับคู่บ่าวสาวได้น่าเชื่อถือ จึงตกลงกันที่แพ็กเกจราคา 60,000 บาท และมีกำหนดจัดงาน 9 พ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมได้วางเงินมัดจำไว้ 40,000 บาท แต่เมื่อถึงเวลากำหนดจัดงานที่โรงแรมหรูย่านห้าแยกลาดพร้าว ก็ไม่สามารถติดต่อผู้จัดงานได้เพราะเจ้าตัวปิดโทรศัพท์มือถือหนีไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับเงินคืน ขณะที่ยังมีผู้เสียหายรวมอีก 50 คู่ ซึ่งบางรายจัดงานให้ไม่ตรงตามสเป็คที่ตกลง

เบื้องต้น พ.ต.ท.ภิรัมย์ ได้สอบปากคำผู้ร้องทุกข์ พร้อมตรวจสอบเอกสารหลักฐานสัญญาการว่าจ้างที่ผู้เสียหายนำมามอบไว้ ก่อนรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป

“บิ๊กตู่”นั่งหัวโต๊ะ ถก ก.ต.ช. อนุมัติกำหนดตำแหน่ง 3 นายพลสีกากี มติผ่านฉลุย ย้ำชัด! แต่งตั้ง สว.-รอง ผบก. วาระ 62 ไม่เลื่อน

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้สื่อข่าวไทยแทบลอยด์ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 10/2562 โดยมีวาระสำคัญ อาทิ การกำหนดตำแหน่งข้าราชการตำรวจให้กับกองบังคับการกฎหมายและคดี สังกัด ภ.1-9, บรรจุและแต่งตั้งนางหทัยรัตน์ ลาวัณย์รัตนากุล (นอกราชการ) กลับเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร, ร่างกฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาบุคคลเพื่อเสนอให้วุฒิสภาเลือกเป็นกรรมการข้าราชการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒิ และวาระอื่นๆ ซึ่งใช้เวลาในการประชุม 1 ชั่วโมงครึ่ง

พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผช.ผบ.ตร. ในฐานะโฆษกตร. กล่าวว่า ในการประชุมวันนี้มีอยู่ 2 เรื่องคือการประชุม ก.ต.ช. และ ก.ตร. ส่วนการประชุม ก.ต.ช. มีการเห็นชอบกรณีการตัดโอนตำแหน่งอาจารย์ ระดับ สบ.6 หรือผู้บังคับการที่มีอยู่ตามคณะต่างๆของโรงเรียนนายร้อยตำรวจให้มาขึ้นตรงต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจโดยตรง ตามกฎหมายถ้าตำแหน่งเกินกว่าผู้บังคับการขึ้นไปต้องเสนอ ก.ต.ช.เห็นชอบ ส่วนเรื่องที่ 2 เป็นการตัดโอนตำแหน่งที่ไม่มีความจำเป็นแล้ว 3 ตำแหน่ง คือที่ปรึกษาบริหารราชการด้านการปราบปราม ตัดมาเป็นตำแหน่งผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ประสานงานรัฐสภา ประสานงานทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฏร 1 ตำแหน่ง ส่วนอีก 2 ตำแหน่ง ตัดโอนตำแหน่งรองผู้บัญชาการประจำให้มาเป็นรองผู้บัญชาการท่องเที่ยว 1 ตำแหน่ง และรองผู้บัญชาการศึกษา 1 ตำแหน่ง ทั้ง 3 ตำแหน่งทุกวันนี้มีคนครองอยู่แล้ว โดยตำแหน่งนี้จะมีผลบังคับเมื่อมีการแต่งตั้งใหม่เกิดขึ้น

ส่วนการประชุม ก.ตร.ที่ประชุมมีการเห็นชอบกำหนดตำแหน่ง กองบังคับการกฎหมายและคดีประจำตำรวจภูธรภาค 1-9 คือให้กองบัญชาการภาค 1-9 มีกองกฎหมายและคดี ดูแลคดีปกครอง คดีอาญา และคดีแพ่ง และการตรวจสำนวนต่างๆ มีตำแหน่งผู้บังคับการภาคละ 1 ตำแหน่ง แต่เป็นการโอนจากผู้บังคับการประจำที่อยู่ตามภาคต่างๆมาเป็นผู้บังคับการกองคดีฯ กำลังพลของแต่ละกองบังคับการไม่เกิน 100 นาย ส่วนเรื่องที่ 2 การเห็นชอบกฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์สรรหาบุคคลเลือกเป็นกรรมการ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ตามประกาศ ก.ตร.ต้องมี 11 คน ทุกวันนี้มีแค่ 9 คน ยังขาดอีก 2 คน 2 ท่านที่ยังขาดตามกฎหมายต้องให้วุฒิสภาเป็นคนเลือก แต่ขั้นตอนจาก ก.ตร.ไปหาวุฒิสภายังไม่มี จึงมีการกำหนดวิธีการคัดเลือกให้ ก.ตร.กำหนดให้ ผบ.ตร.เสนอ 2 เท่า เช่น เสนอวุฒิสภา 4 คน ให้ ก.ตร.พิจารณาภายนอกเรียงลำดับกันมาแล้ว แล้วส่งให้วุฒิสภาเลือก 2 คน ถ้าวุฒิสภาไม่เลือกก็กลับมานับหนึ่งใหม่ และทางนายกฯให้บัญชาว่าให้เอาแนวทางนี้ไปเป็นแนวทางการคัดเลือก ก.ต.ช.ผู้ทรงคุณวุฒิอีก 2 คนเช่นเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าการกำหนดแต่งตั้งกองบังคับการกฎหมายและคดี เป็นการแก้ไขปัญหาพนักงานสอบสวนที่ยังมีปัญหาถูกโยกย้ายไปประจำอยู่ตามกองบัญชาการหรือกองบังคับการตั้งแต่ คสช.ยุบแท่งพนักงานสอบสวนใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า เป็นอีกข้อในการแก้ปัญหาพนักงานสอบสวนที่ถูกโยกย้ายไปอยู่ตามกองบัญชาการต่างๆ ที่ไม่มีงานทำ ต่อไปทุกคนจะมีงานทำในการดูแลสำนวนคดีอาญา คดีแพ่งและมีโอกาสเติบโตไปตามหน้าที่เพราะตั้งแต่ระดับ รอง ผกก.ลงไป ทางกองบัญชาการจะเป็นผู้พิจารณาแต่ตั้งเอง ส่วนระดับ ผกก.ขึ้นไปจะนำเข้าบอร์ดการพิจารณา ส่วนพนักงานสอบสวนที่ยังขาดแคลนก็จะให้ผู้ช่วยพนักงานสอบสวนที่มีคุณวุฒิครบถ้วนคัดเลือกให้เป็นพนักงานสอบสวนเพราะกลุ่มคนเหล่านี้รู้งานสามารถก้าวขึ้นเป็นพนักงานสอบสวนได้และเป็นการแก้ไขปัญหาถูกจุด

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวถึงกระแสข่าวว่าจะมีการขยายเวลาการแต่งตั้งโยกย้ายระดับ สว.-รองผบก. วาระประจำปี 2562 ที่มีการแชร์ข้อมูลในโลกโซเชี่ยล ว่า กระแสข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ยืนยันว่าการแต่งตั้งโยกย้ายดำเนินการแล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาภายในวันที่ 30 พ.ย. แน่นอน ซึ่งทุกหน่วยต้องทำบัญชีแต่งตั้งให้แล้วเสร็ภายในวันที่ 20 พ.ย. และออกคำสั่งแต่งตั้งวันที่ 27 พ.ย. โดยให้มีผลพร้อมกันในวันที่ 2 ธ.ค.อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้การแต่งตั้งโยกย้ายยังไม่มีอะไรติดขัด

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า พล.ต.ท.กิตติพงษ์ เงามุข ผบช.สกพ.มีหนังสือเวียนไปยัง ผบช.ทุกหน่วย ทั้ง 29 หน่วย เข้ามาให้ข้อมูลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับ รองผบก. จนถึง สว.วาระประจำปี 2562 ในวันที่ 17 พ.ย. ที่ห้องประชุม 2 ชั้น 2 ตร. ตั้งแต่เวลา 09.30 น. โดยจะเริ่มที่หน่วย สยศ.ตร. สกบ. สกพ. สงป. กมค. สง.ก.ตร. วต. สตส. บช.ก. บช.ศ. บช.ทท. บช.ปส. บช.ตดช. สพฐ.ตร. สทส. บช.ศ. รร.นรต. รพ.ตร. บช.ภ.1-9 บช.น. และ บช.สตม.

ตม.จ.เพชรบูรณ์ ติวเข้มสถานบริการ

วันที่ 13 พ.ย.62 เวลา 13.30 น.: พล.ต.ต.ชำนาญ ชำนาญเวช ผบก.ตม.5 และพ.ต.อ.ชาญชัย เชาวน์เกษม รอง ผบก.ตม.5​ (4) สั่งการให้​ ว่าที่ พ.ต.ท.ณวิภาส เทศแย้ม สว.ตม.จ.เพชรบูรณ์ โดยมอบหมายให้ ร.ต.อ.ศักย์ศรณ์ ชัยธรรมาภรณ์ รอง สว.ตม.จ.เพชรบูรณ์ เข้าร่วมประชุมชี้แจงให้ความรู้เกี่ยวกับระเบียบกฎหมาย การจัดระเบียบสังคม รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานบริการ และสถานประกอบการที่เปิดให้บริการคล้ายสถานบริการ ณ ห้องประชุมชั้น 2 หอประชุมอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ โดยมี นายเสรี หอมเกษร นายอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ เป็นประธานการประชุม และมีตัวแทนจากหน่วยงานด้านความมั่นคงประกอบด้วย นายสมศักดิ์ หลวงเทพ ปลัดอำเภอเมืองเพชรบูรณ์​ (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ) ตัวแทนฝ่ายปกครอง,ตำรวจภูธรเมืองเพชรบูรณ์,สรรพสามิตพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ ร่วมให้ความรู้ และตอบปัญหาข้อซักถามจากเจ้าของสถานประกอบการรวมจำนวนทั้งสิ้น 38 ราย ซึ่งบรรยากาศการพูดคุยในครั้งนี้เป็นการแนะนำข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการซักถามและตอบคำถามกันอย่างใกล้ชิด

การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ นายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กำชับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ประสานการปฏิบัติร่วมกัน ให้ทำความเข้าใจ ให้ความรู้กับเจ้าของสถานบริการ และเจ้าของสถานประกอบการที่เปิดให้บริการคล้ายสถานบริการในพื้นที่ ในเรื่องของกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง ครบถ้วนครอบคลุมในทุกมิติ และแนะแนวทางการปฏิบัติที่ไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพของเยาวชนไม่ให้กระทำผิดกฎหมายหรือประพฤติตนในทางที่ไม่เหมาะสม และเพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมต่อไป

ตามนโยบายของ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.กำชับให้ด่านตรวจคนเข้าเมือง และตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดทุกจังหวัด ระดมกวาดล้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย นายจ้าง เจ้าของผู้ประกอบการที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดในทุกรูปแบบ

ทีเอ็มบี ทัช (TMB TOUCH) โมบาย แบงก์กิ้ง แอปพลิเคชันแรกของไทย

ทีเอ็มบี ทัช (TMB TOUCH) เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ให้ลูกค้าใช้บัตรเครดิตชำระค่าน้ำ-ค่าไฟ ของการประปานครหลวงและการไฟฟ้านครหลวงได้แล้ว ผ่าน TMB TOUCH โมบายแบงก์กิ้งแอปพลิเคชัน นับเป็นครั้งแรกของวงการธนาคารไทย ช่วยเพิ่มเติมความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าของทีเอ็มบี ไม่ต้องยื่นเรื่องเข้าสาขาเพื่อขอตัดวงเงินบัตรเครดิตอัตโนมัติอีกต่อไป สามารถตรวจสอบยอดค่าใช้จ่ายก่อนจะทำเรื่องจ่ายได้  อีกทั้งยังได้รับคะแนนสะสมจากบัตรเครดิตได้ตามปกติ

นอกจากนี้ยังสามารถเลือกแบ่งจ่ายได้ด้วยโปรแกรม TMB So GooOD สำหรับรายการที่มียอดเกิน 1,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน หรือเลือกผ่อนสบายๆ 6 หรือ 10 เดือนกับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ตอกย้ำแนวคิด ลูกค้าทีเอ็มบีต้องได้มากกว่า GET MORE with TMB  โดยมี นางสุนันท์ ปฏิภาณวัฒน์ (ที่สามจากซ้าย) ผู้เชี่ยวชาญการประปานครหลวงระดับ 9 จากการประปานครหลวง และนายรงค์เพชร เขาเรียง (ที่สามจากขวา) ผู้ช่วยผู้ว่าการ บริการระบบจำหน่าย จากการไฟฟ้านครหลวง นางกาญจนา  โรจวทัญญู (กลาง) หัวหน้าสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร และนายสหชัย ลิ้มอำไพ (ขวาสุด) เจ้าหน้าที่บริหาร บริหารช่องทางบริการดิจิทัล ทีเอ็มบี ร่วมเปิดตัว ณ ทีเอ็มบี สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้

2 กูรูชื่อดัง เผย 8 เคล็ด(ไม่)ลับ จัดหน้าร้านมัดใจลูกค้านักบิด

กรุงเทพฯ, 14 พฤศจิกายน 2562 – เจ้าของธุรกิจหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องการออกแบบสมัยใหม่และศาสตร์ฮวงจุ้ยกันมาบ้างแล้ว บ้างก็อาจคิดว่าการออกแบบเป็นเรื่องของความสวยความงามเพียงอย่างเดียว ส่วนฮวงจุ้ยนั้นเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล แต่ถ้าหากศึกษาให้ถ่องแท้ จะพบว่าทั้งศิลป์และศาสตร์นี้ ต่างก็มีหลักการบางอย่างที่เป็นเหตุเป็นผล สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์และงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่พิสูจน์ได้
ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อคนในองค์กรและตัวธุรกิจเอง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมโครงการใหญ่ๆ หรือสิ่งก่อสร้างทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จถึงต่างก็ให้ความสำคัญอย่างมากกับการเลือกทำเลที่ตั้ง การออกแบบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม รวมไปถึงใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเลือกสี
และของตกแต่ง

บีซีไอร่วมกับไทยพาณิชย์เปิดโอกาสเข้าถึงแพลตฟอร์ม Blockchain สู่ธุรกิจขนาดเล็ก

บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด นำศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีขององค์กรร่วมวางโครงสร้างพื้นฐานทางด้าน Blockchain ให้กับสังคมไทย ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์พัฒนาระบบให้ผู้ประกอบการสามารถใช้งานแพลตฟอร์ม Blockchain กลางในรูปแบบ Common Node ได้แล้วผ่าน Web Portal สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่พร้อมลงทุนพัฒนาระบบข้อมูลภายในด้วยตนเอง ชี้เป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการใช้ประโยชน์เพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ โดยบริษัท   บีซีไอได้เปิดให้บริการหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee : LG ) ในการรับส่งคำขอและหนังสือค้ำประกัน ซึ่งเป็นบริการแรกสำหรับสมาชิกทั้งในรูปแบบ Common  Node และ Private Node พร้อมวางแผนต่อยอดเทคโนโลยี Blockchain สู่บริการอื่นๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบในอนาคต

นายอิทธิพันธ์ เจียกเจิม กรรมการบริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Global Transaction Banking Services ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจในประเทศไทยตื่นตัวกับการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ต่อยอดและพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ แต่เนื่องด้วยเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นการนำมาใช้ประโยชน์จริงจึงจำเป็นต้องมีการลงทุนพัฒนา และต้องมีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี Blockchainเป็นพื้นฐาน ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ประกอบการบางกลุ่ม ทำให้มีเพียงองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถพัฒนาระบบภายในเพื่อนำ Blockchain มาใช้งาน ดังนั้น บริษัทบีซีไอ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของธนาคาร รัฐวิสาหกิจ และองค์กรธุรกิจชั้นนำหลายแห่งภายใต้โครงการ Thailand Blockchain Community Initiative จึงมีเป้าหมายที่จะวางโครงสร้างพื้นฐานทางด้าน Blockchain ให้กับประเทศไทย โดยได้พัฒนาแพลตฟอร์มกลางซึ่งเปิดให้บริการในรูปแบบ Private Node สำหรับสมาชิกที่สามารถพัฒนา Node และนำข้อมูลเข้าระบบภายในของตัวเองไปในเดือนมิถุนายน 2562 และขณะนี้ได้เปิดให้บริการแพลตฟอร์ม Blockchain ในรูปแบบ Common Node  สำหรับธุรกิจที่ไม่พร้อมพัฒนาระบบภายในของตัวเอง แต่บริษัทบีซีไอจะเป็นผู้ดูแล เพื่อให้การรับส่งข้อมูลคำขอและหนังสือค้ำประกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้พัฒนาWeb Portal เพื่อให้ผู้สนใจสามารถเข้าใช้งาน ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสให้ธุรกิจทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Blockchain  

“บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด มีความภาคภูมิใจที่วันนี้ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนเป้าหมายในการวางโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี Blockchain ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้เกิดขึ้นจริง โดยเปิดโอกาสให้ทั้งองค์กรที่ต้องการเข้ามาทดลองเพื่อนำไปพัฒนาระบบของตัวเอง ธุรกิจต่างๆ รวมถึงสถาบันการเงิน และโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ไม่มีความพร้อมที่จะลงทุนพัฒนาระบบของตัวเองได้ก็จะเข้ามาใช้ประโยชน์ ซึ่งมั่นใจว่า Blockchain จะช่วยผู้ประกอบการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ พร้อมที่จะเติบโตและแข่งขันในโลกธุรกิจดิจิทัล ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์แรกที่บริษัทบีซีไอเปิดให้บริการสำหรับผู้ใช้งานทั้งสองรูปแบบคือ บริการหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee : LG ) ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ Painpoint ให้กับผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้องทุกส่วน โดยช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก ลดเอกสารจำนวนมาก ประหยัดเวลาดำเนินการ และช่วยลดต้นทุนบนพื้นฐานของความถูกต้อง แม่นยำ และโปร่งใส”

นายสิริวัฒน์ เกียรติเจริญสิน ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การมีเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดแต่ไม่ถูกนำไปใช้งานย่อมจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ จึงนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่วันนี้ทุกภาคส่วนของสังคมสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี Blockchain ได้ผ่านทาง Web Portal ของบริษัทบีซีไอ ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามการพัฒนาแพลตฟอร์ม Blockchain ยังคงต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากธนาคารพาณิชย์และองค์กรที่มีศักยภาพ เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์บริการใหม่ๆ ที่จะช่วยยกระดับศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่ม พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบในอนาคต

สำหรับผู้สนใจเข้าใช้งานแพลตฟอร์ม Blockchain ในรูปแบบ Common Node สามารถสมัครได้ผ่านช่องทาง contact@bci.co.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BCI Call Center 02-029-0329

 

 

ธนาคารกรุงเทพจัดสัมมนา AEC Business Forum 2019

ธนาคารกรุงเทพจัดสัมมนาใหญ่ประจำปี AEC Business Forum 2019 เชิญกูรู-ซีอีโอธุรกิจระดับโลกร่วมเวทีแชร์มุมมอง พร้อมอัพเดทเทรนด์เศรษฐกิจ หวังช่วยกระตุ้นนักธุรกิจไทยเร่งปรับตัว-เปิดตลาดสู่อาเซียน พร้อมเป็น ‘เพื่อนคู่คิด’ ให้ลูกค้าก้าวสู่ตลาดระดับภูมิภาคอย่างมั่นคง

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี AEC Business Forum 2019 ภายใต้หัวข้อ “2020: The Age of ASEAN Connectivity” ซึ่งนำเสนอความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของอาเซียน พร้อมเจาะลึกทิศทางการเติบโต รวมถึงเทรนด์ด้านการค้าและการลงทุนในภูมิภาค เพื่อสนับสนุนให้นักธุรกิจไทยได้เปิดมุมมองเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนธุรกิจในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนมองเห็นโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น

การจัดงานครั้งนี้ ธนาคารได้รับเกียรติจาก ดร.ซ่ง เฉิง จือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Avanda Investment Management ที่ปรึกษาด้านการลงทุนของกระทรวงการคลังสิงคโปร์และธนาคารกลางในสิงคโปร์ นอร์เวย์ และไทย และสมาชิกคณะกรรมการบริหาร MIT Endowment กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘ASEAN Economy in a Multi-Polar World & Investment Implications’ นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลกและภูมิภาค รวมถึงผู้บริหารจากธนาคารกรุงเทพ ร่วมแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ ผ่านการเสวนาในหัวข้อต่างๆ ประกอบด้วย เสวนาหัวข้อแรก ‘ASEAN CEO’s Vision 2020 & Beyond’ โดย นายอาลก โลเฮีย (Mr. Aloke Lohia) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) นายเจมส์ อู๋ (Mr. James Wu) ประธานบริหาร หัวเว่ย ประจำภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด นายพอล ลิม (Mr. Paul Lim) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท PESTECH International Berhad และนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เสวนาหัวข้อที่ 2 ‘Rising Sectors of AEC’ โดย นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) นายสุวัฒน์ เชาว์ปรีชา ประธานกรรมการ บริษัท ฤทธา จำกัด และนางสาวนิรมาณ ไหลสาธิต  รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ เสวนาหัวข้อสุดท้าย ‘Strategies for Growth: ASEAN’s E-Commerce Trends & Tips in 2020’ โดย นายแจ็ค จาง (Mr. Jack Zhang) รองประธานบริหาร บริษัท Lazada ประเทศไทย นางสาวมณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท  Sea Group (ประเทศไทย) นางสาวสมวลี ลิมป์รัชตามร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะนีลเส็นคอมปะนี (ประเทศไทย)  จำกัด และนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการธนาคารและผู้จัดการโครงการพิเศษด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

นายชาติศิริ กล่าวอีกว่า “ระยะเวลาเพียง 4 ปีนับจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ก่อให้เกิดผลลัพธ์และความก้าวหน้าอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น การค้าระหว่างภูมิภาคอาเซียนที่ขยายตัวขึ้นกว่า 10% จีดีพีของภูมิภาคที่เติบโตถึง 5.2% ในปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าสูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  และกลายเป็นภูมิภาคที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก นอกจากนี้ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และการสร้างโครงข่ายไฟฟ้าและเครือข่ายดิจิทัล ก็ได้ส่งเสริมการเติบโตของภูมิภาคและการเชื่อมโยงกันของประเทศต่างๆ ตลอดจนช่วยเชื่อมธุรกิจและผู้บริโภคเข้ากับโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ  ทั้งนี้ การยกระดับการเชื่อมโยงระหว่างกันของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การเติบโตและความมั่งคั่ง จากการประสานพลังและการพัฒนาอาเซียนบนความหลากหลายทางเศรษฐกิจที่มุ่งส่งเสริมซึ่งกันและกัน”

ประเด็นสำคัญอีกประการ ได้แก่ การขยายตัวที่รวดเร็วของเศรษฐกิจดิจิทัลและธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยเศรษฐกิจดิจิทัลในมาเลเซีย ไทย สิงคโปร์และฟิลิปปินส์ เติบโตราว 20-30 % ต่อปี และมากกว่า 40% ในเวียดนามและอินโดนีเซีย ปัจจัยนี้ทำให้มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นเกิดขึ้นในอาเซียนจำนวนมาก ในขณะที่ ความเชื่อมโยงทางการเงินในภูมิภาคได้ก่อให้เกิดบริการใหม่ๆ มากมาย เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าด้านดิจิทัล เช่น Enterprise Blockchain สำหรับบริการทางการเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศและการโอนเงินระหว่างประเทศ บริการ e-wallet การนำ eKYC มาใช้ในบริการธนาคารดิจิทัล และการชำระเงินผ่าน QR Code เป็นต้น ซึ่งบริการเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ ลดภาระงานเอกสาร ลดข้อจำกัดด้านการค้า ตลอดจนลดต้นทุนการทำธุรกรรมแบบข้ามพรมแดนลงอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม แม้อาเซียนจะเป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยโอกาสและแนวโน้มการเติบโตที่ดี แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกหลายด้านเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเร่งพัฒนาด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมไปถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับทิศทางการเติบโตในอนาคต การพัฒนาศักยภาพแรงงานที่สอดคล้องกับความต้องการ และการส่งผ่านเทคโนโลยีไปสู่ธุรกิจระดับกลางและเล็ก

นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า “อาเซียนในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปจากวันแรกที่เริ่มเปิด AEC เป็นอย่างมาก ผู้ประกอบการและนักลงทุนจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อก้าวให้ทันความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น ตลอดจนศึกษาถึงปัจจัยที่ควรต้องระวัง ซึ่งธนาคารกรุงเทพในฐานะธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคอาเซียน ที่มีเครือข่ายสาขาครอบคลุม 9 ใน 10 ประเทศอาเซียน และมีบริการทางการเงินครบวงจร พร้อมช่วยให้คำแนะนำในการปรับตัว และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์จากโอกาสการลงทุนที่เปิดกว้างในอาเซียน โดยได้จัดตั้งศูนย์ AEC Connect ที่ให้คำแนะนำด้านการค้าและการลงทุนสำหรับผู้ที่สนใจดำเนินธุรกิจใน AEC ผ่านกิจกรรมต่างๆ หลายด้าน เช่น การจัดงานสัมมนาประจำปี AEC Business Forum โครงการ AEC Business Leader และงานสัมมนา AEC Investment Clinic ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของธนาคารในการเป็น “เพื่อนคู่คิด” ที่จะสนับสนุนลูกค้าให้ก้าวสู่ความสำเร็จทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน”

แสงสุดท้าย! ไกด์ไทย ร้อง ‘เต้-มงคลกิตติ์’ ลุยปราบ “ไกด์เถื่อน-ซิตติ้งไกด์ผิดกฎหมาย”

จากกรณีที่ชมรมมัคคุเทศก์ภาษาจีน จังหวัดภูเก็ต ได้หารือกับทางสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ถึงเรื่องมัคคุเทศก์ชาวต่างชาติที่เข้ามาแย่งอาชีพคนไทย ล่าสุด ทางชมรมฯ ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนกับ เต้-มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะฝ่ายค้านอิสระ ลั่น พร้อมชน “ไกด์เถื่อน-ซิตติ้งไกด์ผิดกฎหมาย” อาชีพคนไทยอย่ามาแย่ง

ตัวแทนจากชมรมมัคคุเทศก์ภาษาจีน จังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยสภาแรงงานแห่งชาติ เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนกับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ และนายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธรรมไทย ตัวแทนฝ่ายค้านอิสระ กรณีที่มัคคุเทศก์ไทย ในจังหวัดภูเก็ต โดนกลุ่มมัคคุเทศก์จีนแย่งอาชีพในประเทศไทย

โดยนายมงคลกิตติ์ เปิดเผยว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพเฉพาะของคนไทย คนต่างด้าวหรือคนต่างชาติไม่สามารถประกอบอาชีพนี้ได้ ซึ่งผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ซึ่งจากข้อมูลที่ได้หารือกันเบื้องต้น ไกด์เถื่อนเหล่านี้ จะเดินทางมากับลูกทัวร์ ในฐานะหัวหน้าทัวร์ ก่อนจะสวมลอยทำหน้าที่ไกด์นำลูกทัวร์ท่องเที่ยวไปตามแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ โดยจะจ้างผู้ช่วยไกด์ หรือซิตติ้งไกด์ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ โดยการกระทำเช่นนี้ ทำให้ไกด์ที่ถูกกฎหมายถูกแย่งอาชีพไป อีกทั้งบริษัททัวร์ในประเทศอีกกว่า ร้อยละ 90 ถูกเปิดขึ้นโดยชาวต่างชาติ แต่มีนอมินีเป็นคนไทย จึงทำให้ประเทศชาติสูญเสียรายได้จากการทำธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวเหล่านี้อีกด้วย ทำให้คนไทยประสบความเดือดร้อน เพราะโดนแย่งอาชีพ ในฐานะที่ตนเองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็จะรับเรื่องนี้ไว้ตรวจสอบว่าหลักฐานที่ได้มานั้นมีความเชื่อมโยงกับผู้กระทำผิด และมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีมูลความจริง ตนเองก็จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมในรัฐสภา เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนต่อไป

ด้านนายพิเชษฐ กล่าวว่า ไกด์ไทยไม่ได้รับการดูแล และไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งที่ทางสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ได้เคยยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่กลับถูกเพิกเฉย พวกเขาจึงต้องมาร้องเรียนต่อสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตาม ตนเองในฐานะฝ่ายค้านอิสระ ก็พร้อมที่จะรับเรื่องร้องเรียน และช่วยเหลือให้คนไทยได้ประกอบอาชีพที่มั่นคง และนำอาชีพของคนไทยกลับคืนมา

ขณะที่ นายองอาจ แซ่จัง ประธานชมรมมัคคุเทศก์ภาษาจีน จังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาไกด์เถื่อนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับมัคคุเทศก์อาชีพที่มีบัตรถูกต้องตามกฎหมาย โดยการที่จะเป็นมัคคุเทศก์อาชีพได้นั้น จะต้องผ่านการอบรม และการทดสอบข้อเขียนต่างๆ มากมาย ถึงจะได้บัตรมัคคุเทศก์ ก่อนที่จะออกไปทำงานได้ แต่ปัจจุบันนี้ คนที่ทำถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน กลับได้รับความเดือดร้อนจากต่างชาติเข้ามาแย่งอาชีพคนไทย อีกทั้งที่ผ่านมาเคยร้องเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รับการดูแลแก้ไขปัญหา จึงตัดสินใจเดินทางมาร้องเรียนกับนายมงคลกิตติ์ ในวันนี้

กองปราบรวบ 2 ผู้ต้องหาข่มขืนเด็ก 13

วันที่ 14 พย.2562 กองบังคับการปราบปราม โดยการอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. ,พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบก.ป.สั่งการให้ ว่าที่ พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก 5 บก.ป., พ.ต.ท.สิทธิเกียรติ ศรีจันทร์ รองผกก.5. บก.ป. ปฏิบัติการโดย พ.ต.ต.ฐิติวัสส์ แซมเขียว สว.กก.5.บก.ป.

ได้ร่วมกันจับกุมตัว
1.นายชานนท์ กมลภา อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 92 หมู่ 5 ตำบลนาขาม อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ 237/2562 ลง 7 พฤศจิกายน 2562
2.นายศิริชัย ชนะสงคราม อายุ 19 ปีอยู่ บ้านเลจที่ 65 หมู่ 9 ตำบลนาขาม อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ 235/2562 ลง 7 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งต้องหาว่า“กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม,พาบุคคลอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่ออนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม,โดยปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร”

โดยก่อนเกิดเหตุ เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2562 นายชานนท์ฯ ผู้ต้องหาได้ตกลงนัดแนะกับนายศิริชัยฯ และนายชัยณรงค์ฯ ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่ ซึ่งทั้ง 3 คนได้วางแผนให้นายศิริชัยฯ ไปติดต่อล่อลวงเด็กหญิงเอ(นามสมมุติ)อายุ 13 ปีซึ่งเป็นคนรู้จักกัน ส่วนนายชานนท์ฯและนายชัยณรงค์ฯได้มารออยู่ที่เถียงนาต่อมานายศิริชัยฯ ได้โทรนัดแนะให้เด็กหญิงเอออกมาหาบริเวณริมถนนภายในหมู่บ้านแล้วได้ขับขี่รถจักรยานยนต์พาตัวเด็กหญิงเอไปยังเถียงนาซึ่งมีนายชัยณรงค์ฯและนายชานนท์ฯ ผู้ต้องหารออยู่แล้วจากนั้นได้นั่งดื่มกินสุรากันบนเถียงนา โดยนายศิริชัยฯ ได้กอดจูบลูบคลำตัวเด็กหญิงเออยู่บริเวณบนเถียงนา จากนั้นนายชัยณรงค์ฯ ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีได้พาเด็กหญิงเอไปที่บ้านของตนเองและได้ลงมือข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงเอหลายครั้ง จากนั้นนายชัยณรงค์ฯ ได้พาเด็กหญิงเอไปส่งยังกระท่อมในสวนยางของอานายชานนท์ฯ จากนั้นนายชานนท์ฯ ได้ลงมือข่มขืนเด็กหญิงเอแล้วได้พาเด็กหญิงเอไปส่งบริเวณริมถนน จนกระทั่งพ่อแม่ของเด็กหญิงแทราบเริ่องจึงไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลุ่มของผู้ต้องหาได้หลบหนีออกจากพื้นที่

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการตรวจสอบจับกุม.นายชานนท์ จากการสืบสวนติดตามผู้ต้องหารายนี้ทราบว่า ได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่กับน้องชายที่ หมู่ 1 ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย ก่อนเข้าจับกุมและนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.กุฉินารายณ์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ส่วน นายศิริชัย ได้หลบหนีมาประกอบอาชีพก่อสร้างอยู่แถวนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดอยู่บริเวณริมถนนไอ-1 ในบริเวณนิคมมาบตาพุด ตำบลมาบตาพุด อำเอภเมืองระยอง จังหวัดระยอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าจับกุมตัวและนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.กุฉินารายณ์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการซักถามผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

ป.รวบ 3 สมาชิกขบวนการหลอกซื้อดาวน์-เช่ารถ พร้อมตามยึดรถของกลางกลับคืนผู้เสียหาย

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 14 พ.ย. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป.พ.ต.ท.ภูมิทัศ ปิติจิระนน สว.กก.3 บก.ป., ร.ต.อ.หญิง กัญจิรา นรสาร, และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.3 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายวัชรพล สังข์ทอง อายุ 36 ปี ชาวจ.ชลบุรี ตามหมายจับศาลแขวงสมุทรปราการ ที่ 142/2562 ลง 12 ก.ย. 2562 ข้อหา ยักยอก นายสิทธิพงษ์ บุญประกอบ อายุ 38 ปี ชาว จ.ชลบุรี น.ส.สุทาวัน มหานาม อายุ 43 ปี ชาว จ.ชลบุรี พร้อมของกลาง รถยนต์ ยี่ห้อต่างๆจำนวนรวม 8 คัน โดยจับกุมนายวัชรพล ได้ที่หน้าบ้านเลข 22/24 ต.หนองไม้แดง อ.เมือง จ.ชลบุรี ส่วน นายสิทธิพงษ์และน.ส.สุทาวัน ถูกจับกุมตัวได้ที่ลานจอดรถปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.หนองไผ่แก้ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

พ.ต.อ.สุรพงษ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากทางตำรวจกองปราบได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มผู้เสียหาย จำนวน 16 คน จากหลายพื้นที่ ทั้ง กทม.และปริมณฑล ว่าถูก นายวัชรพล หลอกทำทีมาติดต่อขอเช่ารถยนต์และหลอกขอซื้อดาวน์รถต่อจากผู้เสียหาย โดยอ้างว่าจะดำเนินการเปลี่ยนสัญญาและจะผ่อนชำระค่างวดต่อ แต่เมื่อได้รถไปแล้วนายวัชรพลนำรถหนีหายไป ที่ผ่านมามีผู้เสียหายถูกนายวัชรพล หลอกเชิดรถไปแล้วจำนวน 18 คัน มูลค่าความเสียหายกว่า18 ล้านบาท ทั้งนี้ภายหลังรับเรื่องทางกองปราบได้สัง่การให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมลงพื้นที่สืบหาเบาะแส จนทราบว่ามีรถยนต์ของผู้เสียหายจำนวน 3 คัน ถูกจอดติดป้ายประกาศขายอยู่ที่ลานจอดรถปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.หนองไผ่แก้ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี จึงนำกำลังไปตรวจสอบ กระทั่งพบนายสิทธิพงษ์และน.ส.สุทาวัน แสดงตัวเป็นผู้ครอบครองและเป็นผู้ขายรถ จึงได้ทำการจับกุมตัวดังกล่าว
พ.ต.อ.สุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ภายหลังจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้ 2 คนแล้วนั้น เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ขยายผลต่อเนื่องไปทำการจับกุมตัว นายวัชรพล ที่บ้านพักในพื้นที่ ต.หนองไม้แดง อ.เมือง จ.ชลบุรี พร้อมกับนำหมายศาลเข้าตรวจค้นเต็นท์รถ จำนวน 3 แห่ง ในพื้นที่ อ.บ้านบึง และ อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี หลังสืบทราบว่าน่าจะถูกใช้เป็นสถานที่เก็บรถที่ได้มาจากการก่อเหตุ โดยจากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่พบรถยนต์ต้องสงสัยไม่มีเอกสารการครอบครองจำนวน 5 คัน จึงได้ทำการตรวจยึดไว้เพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียด

ทั้งนี้จากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนให้การรับสารภาพ ว่าได้มีการหลอกลวงซื้อดาวน์และเช่ารถ จากผู้เสียหายเพื่อนำไปขายต่อจริง เบื้องต้นจึงแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับแก่ นายวัชรพล ก่อนนำตัวส่ง สภ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ส่วนนายสิทธิพงษ์และน.ส.สุทาวัน เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันยักยอกทรัพย์ หรือรับของโจร” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.อ.สุรพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า อยากฝากเตือนประชาชนว่าการทำสัญญาโอนลอยกรรมสิทธิ์ หรือทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กันเอง ไม่สามารถกระทำได้ เพราะตามกฎหมายผู้เช่าซื้อมีสิทธิในการครอบครองและใช้งานเท่านั้น ไม่ใช่เจ้าของรถที่แท้จริง จนกว่าจะชำระเงินครบตามสัญญาเช่าซื้อ จึงไม่มีสิทธิในการโอน หรือขายรถให้ผู้อื่น ถ้าหากขายดาวน์ หรือโอนรถให้ผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัท ไฟแนนซ์ อาจตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ เสียเองด้วย ดังนั้นหากท่านมีความต้องการที่จะขายดาวน์รถมือสอง ควรพาผู้ที่ซื้อไปทำการเปลี่ยนคู่สัญญากับไฟแนนซ์ให้ถูกต้องเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของทุกคน