“BIOMETRICS” จับพิรุธ เอกลักษณ์ใบหน้าบุคคล สวมตนเป็นบุคคลอื่น”

วันที่​ 15 พ.ย.62​ เวลา​ 10.30 น.ณ ห้องประชุมมหาเมฆ ชั้น 4 อาคาร 1 สตม.(สวนพลู) สาธร​ กทม.: พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณัฐวัฒน์ การดี ผบก.ตม.4,พ.ต.อ.พิชญ์วุฒิ สงวนสมบัติศิริ,พ.ต.อ.นิธิศ ปิติธีรโชติ,พ.ต.อ.พัลลภ สุริยกุล ณ อยุธยา,พ.ต.อ.ชัยยศ วรักษ์จุนเกียรติ รอง ผบก.ตม.4,พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.4 และ พ.ต.อ.เขมรินท์ พิสมัย ผกก.ตม.จ.หนองคาย ร่วมแถลงข่าวจับกุมคดี BIOMETRICS จับพิรุธ เอกลักษณ์ใบหน้าบุคคล สวมตนเป็นบุคคลอื่น

เมื่อวันที่ 5 พ.ย.62 เวลาประมาณ 09.30 น. ตม.จ.หนองคาย ได้ทำการจับกุมตัว นายอาทิตย์ สัญชาติไทยโดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย นำบัตรหรือใบรับหรือใบแทนใบรับของผู้อื่นไปใช้แสดงตนว่าเป็นเจ้าของบัตรหรือใบรับหรือใบแทนใบรับ” โดยมีพฤติกรรม​คือ ขณะที่เจ้าหน้าที่ ตม.จ.หนองคาย กำลังปฏิบัติหน้าที่ในจุดตรวจขาออกด่านพรมแดนถาวร สะพานมิตรภาพไทย–ลาว (แห่งที่ 1)

พบผู้ต้องหากำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ ได้ยื่นหนังสือผ่านแดนชั่วคราวและบัตรประจำตัวประชาชนระบุชื่อ นายสัญญา ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีท่าทางพิรุธน่าสงสัย จึงได้ทำการตรวจสอบข้อมูลบุคคลในระบบ BIOMETRICS พบว่าภาพใบหน้าของบุคคลตามที่ระบุชื่อในหนังสือผ่านแดนและบัตรประจำตัวประชาชนที่ผู้ต้องหาแสดงนั้น ไม่ตรงกับภาพใบหน้าของผู้ต้องหา จึงได้นำตัวผู้ต้องหามาสอบสวนอีกครั้ง

จนกระทั่ง​ผู้ต้องหาได้ให้การยอมรับว่าตนเองคือ นายอาทิตย์ฯ อายุ 26 ปี สัญชาติไทย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ต้องการเดินทางไปเอาของฝากจากเพื่อนชาวลาวที่รออยู่บริเวณด่านพรมแดนฝั่งประเทศลาว แต่เนื่องจากทำบัตรประจำตัวประชาชนหาย จึงไม่สามารถทำหนังสือผ่านแดนเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ จึงได้ให้นายสัญญาฯ ซึ่งเป็นเพื่อนไปยื่นคำร้องขอทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวที่อำเภอเมืองหนองคายและเมื่อได้หนังสือผ่านแดนมาแล้ว นายสัญญาฯ ได้นำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวพร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของนายสัญญาฯ มามอบให้ผู้ต้องหาเพื่อใช้แสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการเดินทางออก นอกราชอาณาจักร จนกระทั่งถูกตรวจสอบพบและจับกุมดำเนินคดี

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขอฝากประชา​สัมพันธ์​ให้ทราบว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขันและจับกุมปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิติทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือ ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

บิ๊กเด่น เผย ใช้กำลังตำรวจ 6 พันนาย รักษาความปลอดภัย โป๊ปฟรานซิส เสด็จเยือนไทย

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผบ.ตร. กล่าวภายหลังการประชุมเตรียมความพร้อมเรื่องการรักษาความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร รวมทั้งพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ในโอกาสที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเสด็จเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายนนี้ ว่า จะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจของนครบาล และตำรวจภูธรภาค 7 ประมาณ 6,000 นาย ในการอำนวยความสะดวกจราจรและรักษาความปลอดภัย

พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางถนนพระรามที่ 1 ถนนพญาไท ถนนบรรทัดทอง ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ตั้งแต่เวลา 13.00-20.00 น. เนื่องจากจะมีประชาชนประมาณ 5 หมื่นคน เฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส โดยขอความร่วมมือประชาชนใช้รถสาธารณะในการเดินเข้ามาในบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตามทาง บช.น.จะประชาสัมพันธ์เส้นทางหลีกเลี่ยงให้ประชาชนทราบอีกครั้งภายในสัปดาห์หน้า

“สำหรับการข่าวการก่อเหตุในช่วงเวลาดังกล่าว ยังไม่พบข้อบ่งชี้ที่จะมีเหตุร้ายแรง แต่เราก็ก็มีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุด มีจุดคัดกรองประชาชนที่จะเข้าร่วมงาน และวางกำลังอย่างแน่นหนา บูรณาการทำงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคงด้วย” พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ในวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน จะมีการประชุมซักซ้อมการปฏิบัติและแถลงเปิดศูนย์การรักษาความปลอดภัยเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส อย่างเป็นทางการ

ความคืบหน้าการรวมกิจการของธนาคารทีเอ็มบีและธนาคารธนชาต

กรุงเทพฯ, 15 พฤศจิกายน 2562 – ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีเอ็มบี ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อวานนี้ว่า ING Bank N.V. และกระทรวงการคลัง ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีเอ็มบี ได้ใช้สิทธิ TSR เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของทีเอ็มบีแล้ว คงสถานะหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารภายหลังการรวมกิจการ

สำหรับ ING นั้น ได้รับการจัดสรรสิทธิ TSR หรือ ใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ตามสัดส่วนการถือหุ้นทีเอ็มบีทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่าน ING SUPPORT HOLDING BV เป็นจำนวนทั้งสิ้น 9,077,412,246 หน่วย ขณะที่กระทรวงการคลัง มีสิทธิ TSR เป็นจำนวน 8,498,936,101 หน่วย

ทั้งนี้ ING ได้เริ่มเข้าดำเนินการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้ว ขณะที่กระทรวงการคลังได้ใช้สิทธิครบตามจำนวนที่มี ผ่านกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้แสดงความจำนงในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิที่มีอยู่เดิม หากมีผู้ถือหุ้นรายอื่นไม่ใช้สิทธิ TSR เต็มจำนวน

สำหรับระยะเวลาการใช้สิทธิ TSR นั้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 ไปจนถึงวันที่ 22 พฤศจิกายน ซึ่งทีเอ็มบีคาดว่าจะเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในธนาคารธนชาตได้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมปีนี้ ทั้งนี้ นอกเหนือจากการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นปัจจุบันด้วย TSR แล้ว ผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายของธนาคารธนชาต รวมถึงผู้ถือหุ้นหลักอย่าง บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP และธนาคารแห่งโนวาสโกเทีย หรือ BNS จะนำเงินที่ได้รับชำระจากการขายหุ้นธนาคารธนชาตกลับเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของทีเอ็มบี  ซึ่งในเบื้องต้น คาดว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นจะประกอบด้วย ING  22% TCAP 21% กระทรวงการคลัง (รวมกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง) 20% และ BNS 6% โดยประมาณ

“ธนชาต” ชวนทำบุญลุ้นโชคในงานกาชาด 2562

ธนาคารธนชาตร่วมงานกาชาด 2562 จัดบูธยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด “เส้นทางแห่ง ความก้าวหน้า ใต้ร่มพระบารมี” จำหน่ายสลากกาชาด ลุ้นเบนซ์ และคูปองชิงโชคใบละ 25 บาท ให้ลุ้นสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด และของรางวัลอื่นๆ อีกกว่า 20,000 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 8 ล้านบาท พบกันได้ ณ ร้านของธนาคารธนชาต ในงานกาชาด สวนลุมพินี กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 15-24 พฤศจิกายน 2562  รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ร่วมสมทบทุนบำรุงสภากาชาดไทย

นายเกรียงไกร ภูริวิทย์วัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารธนชาตร่วมออกร้านในงานกาชาดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อร่วมส่งเสริมกิจกรรมใหญ่ประจำปีของสภากาชาดไทยซึ่งจัดมายาวนานกว่า 90 ปีแล้ว โดยมีหน่วยงานต่างๆ ร่วมออกร้านมากกว่าร้อยหน่วยงาน สำหรับร้านของธนาคารธนชาตในแต่ละปีจะมีความพิเศษแตกต่างกัน โดยปีนี้ออกแบบภายใต้แนวคิด “เส้นทางแห่ง ความก้าวหน้า ใต้ร่มพระบารมี” ที่สอดคล้องกับแนวคิด “เย็นศิระ เพราะพระบริบาล เกิดสายธารการให้ที่งดงาม” ของสภากาชาดไทย เพื่อสื่อให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของธนาคารในการดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการสืบสาน ต่อยอดให้ความสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย ผ่านการพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา การศาสนา การรักษาพยาบาล และการเกษตรที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าและความสำเร็จในทุกช่วงของชีวิต ซึ่งในทุกเส้นทางของการมุ่งสู่ความก้าวหน้านั้น ยังต้องขับเคลื่อนด้วยพลังของความสุขที่เต็มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นและมั่นคง ภายใต้ร่มพระบารมีที่แผ่ไพศาลเปรียบดั่งสายธารแห่งการให้ที่งดงาม

ภายในร้านธนาคารธนชาตปีนี้มีกิจกรรมจำหน่ายสลากบำรุงสภากาชาดไทย ราคาฉบับละ 100 บาท พร้อมลุ้นรางวัลใหญ่ อาทิ รถยนต์เมอร์ซิเดส เบนซ์ GLA 200 Urban รถยนต์วอลโว่ XC40 T4 Momentum รถยนต์มาสด้า 2 รุ่น 1.3 Spots Standard AT รถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ GLX CVT และสร้อยคอทองคำรวมกว่า 200 รางวัล และยังมีการจำหน่ายคูปองชิงโชค ราคา 25 บาท ซึ่งสามารถชำระได้ทั้งเงินสดและผ่าน QR Code ของมูลนิธิธนชาตเพื่อสังคมไทย เพื่อร่วมสอยดาวลุ้นรับรางวัล อาทิ โทรศัพท์ไอโฟนรุ่นล่าสุด จักรยาน และของรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 8 ล้านบาท

“ที่ร้านธนาคารธนชาต ตลอดการจัดงาน 10 วัน นอกจากผู้มาเที่ยวชมงานจะได้ร่วมทำบุญลุ้นโชคแล้ว เรายังจัดซุ้มถ่ายภาพคาไลโดสโคป (Kaleidoscope) ไว้สร้างสีสันให้ถ่ายภาพสวยๆ กลับไปเป็นที่ระลึก และยังมีเวทีเปิดกว้างให้เยาวชนแสดงความสามารถพิเศษ เพื่อสนับสนุนให้ค้นหาเส้นทางความก้าวหน้าของชีวิตได้อีกด้วย สำหรับรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการจำหน่ายสลากและคูปองทั้งสองประเภท ธนาคารธนชาตจะร่วมสมทบทุนเพื่อบำรุงสภากาชาดไทยต่อไป ธนาคารธนชาตหวังว่าผู้มาร่วมกิจกรรมที่ร้านของธนาคาร จะอิ่มบุญและมีความสุขกลับไปถ้วนหน้า ผู้สนใจพบกันได้ที่ร้านธนาคารธนชาต พื้นที่เลขที่ 7.16 เข้าประตู 3 ถนนพระราม 4 อยู่เยื้องศาลาเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษาของสวนลุมพินี ระหว่างวันที่ 15 – 24 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30-22.00 น. โดยร้านธนาคารธนชาตเปิดเวลา 16.30 น. เป็นต้นไป” นายเกรียงไกร กล่าว

กรุงศรีคว้า 4 รางวัลด้าน HR จากเวทีระดับประเทศและเอเชีย

กรุงเทพฯ (15 พฤศจิกายน 2562) – นายวศิน อุดมรัชตวนิชย์ (กลาง) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านทรัพยากรบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารทีม HR กรุงศรี สามารถคว้ารางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารงานทรัพยากรบุคคลจากองค์กรในประเทศและต่างประเทศได้ถึง 4 รางวัลในปี 2562 นี้ ซึ่งประกอบด้วย 1) Excellence in Learning & Development จากงาน Human Resources Excellence Awards 2019 สำหรับความสำเร็จในการพัฒนาพนักงานสู่ความเป็นมืออาชีพด้วยการส่งเสริมเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างต่อเนื่องเพื่อการเติบโตขององค์กรและพนักงานอย่างยั่งยืน
2) Top 100 Asia’s Best Employer Brands 2019 จากงาน Asia’s Best Employer Brands 2019 จัดโดย The Employer Branding Institute ในฐานะองค์กรที่น่าร่วมงานด้วย 3) Diversity Impact Award ในฐานะองค์กรที่โอบรับความหลากหลาย (Embracing Diversity) ให้ความสำคัญกับพนักงาน เคารพความคิดเห็นของกันและกัน และ 4) Award for Excellence in Training จากงาน Thailand Best Employer Brand Awards 2019 ในการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของพนักงานในองค์กร

 

ในภาพ (จากซ้าย)
1) นายคณิต จันทรเรืองนภา ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายงานบริหารความสัมพันธ์กับธุรกิจ
2) นายวศิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านทรัพยากรบุคคล
3) นางสาวอุณา วัชโรบล ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายงานการเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรบุคคล

ปคม.รวบโจ๋ลวงเชียร์ลีดเดอร์วัย 14 ใช้ปืนจี้บังคับข่มขืน

วันนี้ ( 15 พ.ย.) ที่ บก.ปคม. พล.ต.ต.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบก.ปคม.พ.ต.อ.มานะ กลีบสัตบุศย์,พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบก.ปคม. สั่งการ พ.ต.อ.มารุต กาญจนขันธกุล ผกก.1 บก.ปคม.และ พ.ต.ท.มนต์ชัย เพ็งเลิศ สว.กก.1 บก.ปคม. นำกำลังจับกุม นายเอ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดราชบุรี ที่ 39/2561 ลงวันที่ 2 ต.ค. 2561ในความผิดฐาน ” พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดา มารดาเพื่อการอนาจาร, พาเด็กอายุไม่เกินสิบห้าไปไปเพื่อการอนาจาร และกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ” ได้ริมถนนนายก หมู่ 5 ต.คุ้งกระถิน อ.เมือง จ.ราชบุรี

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา ผู้ต้องหารายนี้ได้ขันอาสาไปส่ง ด.ญ.บี (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่บ้านหลังจากซ้อมเชียร์ลีดเดอร์เสร็จ แต่กลับพานั่งรถจักรยานยนต์ ไปบ้านตนเอง และใช้อาวุธปืนข่มขู่ บังคับข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ 3 ครั้ง ก่อนพาไปส่งบ้าน หลังเกิดเหตุด้วยความกลัวทำให้ด.ญ.บี ไม่กล้าบอกใคร

ต่อมา ด.ญ.บี มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง จนต้องส่งโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่า ด.ญ.บี มีร่องรอยการถูกกระทำชำเรา และติดเชื้อ มารดาทราบเรื่องเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ภายหลังผู้ต้องหารายนี้ได้ขอเข้ามอบตัว แต่กลับไปหลบหนีการประกันตัวในชั้นศาล จนถูกออกหมายจับ

สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ไม่ได้ข่มขืน แต่เป็นความยินยอมของ ด.ญ.บี เอง จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองราชบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


 

ชุดสยบไพรี และตำรวจปราบปรามยาเสพติด บุกปิดล้อมโกดังพบยาไอซ์ 200 กิโลกรัม

วันที่ 14 พฤศจิกายน พล.ต.ท.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนง รอง ผบช.ปส.,พล.ต.ต.วัชระ ทิพย์มงคล ผบก.ปส.3 และ พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบก.ปส.3
ร่วมกับชุดสยบไพรี และตำรวจปราบปรามยาเสพติด บุกปิดล้อมโกดังเลขที่ 780 บนถนนมอเตอร์เวย์ แขวงและเขตประเวศ กทม.พร้อมจับกุมนายปิยะนันท์ หรือใหญ่ พงศ์เศรษฐ์ศิริ อายุ 44 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 491/2562 ลงวันที่ 14 พ.ย.62 ข้อหา “ พยายามส่งออกยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ไว้ครอบครองเพื่อจำหน่าย” และยึดของกลางไอซ์ 36 กิโลกรัม ที่ซุกซ่อนในลู่วิ่งไฟฟ้าออกกำลังกาย 10 เครื่อง และไอซ์อีก 122 กิโลกรัม บรรจุในลังพัสดุ 10 ลัง รวมของกลางทั้งหมดเกือบ 200 กิโลกรัม

พล.ต.ท.วิสนุ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ชุดจับกุมรับเบาะแสจากบริษัทชิปปิ้งเอกชนรายหนึ่ง ว่ามีพัสดุเตรียมส่งออกไปยังเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นลู่วิ่งออกกำลังกายมีลักษณะต้องสงสัย เพราะปกติแล้วเป็นสินค้าที่ไม่น่าจัดส่งต่างประเทศผ่านทางเครื่องบิน เนื่องจากมีต้นทุนสูง ทั้งราคาภาษีนำเข้าและค่าส่งสินค้าต่อเครื่องที่สูงกว่าตัวลู่วิ่งชนิดนี้ที่มีราคาถูก นับหมื่นบาท อีกทั้งพบว่าลู่วิ่งมีน้ำหนักมากผิดปกติ จึงเข้าตรวจสอบที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และพบว่าลู่วิ่งดังกล่าว 2 เครื่อง ถูกดัดแปลงติดตั้งแท่งคานเหล็กเชื่อมหัวปิดท้าย 3 แท่งอยู่ใต้เครื่องออกกำลังกาย ภายในมีถุงชาซุกซ่อนไอซ์ รวม 36 กิโลกรัม ก่อนขยายผลทราบตัวผู้จัดส่งคือนายปิยะนันท์ จึงขอศาลอนุมัติออกหมายจับ และขยายผลทราบว่ามีของกลางเตรียมจัดส่งที่โกดังดังกล่าวบนถนนมอเตอร์เวย์ แขวงและเขตประเวศ ก่อนเข้าตรวจค้นและพบของกลางกว่า 200 กิโลกรัมด้านนายปิยะนันท์ ให้การปฏิเสธอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะตนมีธุรกิจที่ประเทศเมียนมา แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากแนวทางการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหามีหน้าที่เป็นผู้จัดส่งพัสดุในขบวนการนี้ และไม่ได้ทำครั้งแรก ซึ่งเคยส่งพัสดุลักษณะนี้ไปยังประเทศอื่นมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน โดยขณะนี้กำลังประสานกับทางการญี่ปุ่นว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการรายนี้ ขณะที่ไอซ์มีต้นทางมาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยลักลอบเข้ามาจากภาคเหนือก่อนนำมาบรรจุพร้อมส่ง ส่วนโกดังแห่งนี้ ผู้ต้องหาได้เช่าไว้พักสินค้าเท่านั้น แต่เจ้าของโกดังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกระทำผิดอย่างใด

“ม.38 นำจับอดีตลัทธิฝาหลุนกง Overstay นานกว่า 5 ปี”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รองนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ ของบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับและเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กำหนดมาตรการเชิงรุกเกี่ยวกับหมายจับค้างเก่า โดยให้เพิ่มความเข้มในการสืบสวน จับกุมเพื่อดำเนินคดีกับบุคคลที่มีหมายจับ โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ดำเนินการตรวจสอบคนไทยที่มีหมายจับและคนต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

วันนี้ (15 พ.ย. 2562) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม., พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณัฐวัฒน์ การดี ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.พิชญ์วุฒิ สงวนสมบัติศิริ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.นิธิศ
ปิติธีรโชติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.พัลลภ สุริยกุล ณ อยุธยา รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ชัยยศ วรักษ์จุนเกียรติ
รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.4 และ พ.ต.อ.ณัฐวุฒิ แสงเดือน ผกก.ตม.จว.เลย

เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2562 เวลาประมาณ 14.30 น. ตม.จว.เลย ได้จับกุมตัว นายเหลิง (MR.LENG) อายุ 64 ปี สัญชาติจีน ในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” ดำเนินคดีตามกฎหมาย พฤติการณ์คือ ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้สืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับคนต่างด้าวที่กระทำความผิดกฎหมายในราชอาณาจักร ต่อมาได้รับแจ้งเบาะแสจากการแจ้งที่พักของคนต่างด้าวตาม ม.38 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จากเจ้าของห้องเช่าว่ามีคนต่างด้าวมาเช่าพักอาศัยอยู่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ อ.เชียงคาน จว.เลย มีพฤติการณ์น่าสงสัยเนื่องจากพักอาศัยอยู่เป็นเวลานานและไม่ได้ทำงานหรือประกอบอาชีพใด จึงได้มาตรวจสอบพบผู้ต้องหาอยู่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าวจริง จากการตรวจสอบหนังสือเดินทางประเทศจีน พบข้อมูลเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2557 ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรประเภทคนอยู่ชั่วคราว เพื่อการท่องเที่ยว (TR) 60 วัน ได้ถึงวันที่ 20 เม.ย.2557 หลังจากที่อยู่ครบกำหนดอนุญาตแล้ว ผู้ต้องหาไม่ยอมเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และได้หลบซ่อนตัวอยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) เป็นเวลาถึง 2,024 วัน จากข้อมูลเบื้องต้นทราบว่าเหตุที่ผู้ต้องหาไม่ยอมเดินทางกลับประเทศของตน เนื่องจากผู้ต้องหารายนี้เป็นอดีตลัทธิฝ่าหลุนกง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวความคิดต่อต้านรัฐบาลจีนจึงได้ทำการขอลี้ภัยกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แต่อย่างไรก็ตามการขอรับสิทธิในการขอลี้ภัยดังกล่าว ไม่ถือว่าเป็นการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรแต่อย่างใด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขอเรียนให้ท่านทราบว่า เรามีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขันและ
จับกุมปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

รวบหนุ่มก่อเหตุซ้อมและข่มขืนยับสาวพีอาร์ร้านอาหาร

วันที่ 15 พ.ย.ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.วิญญู แจ่มใส รองผกก.2 บก.ป.พ.ต.ท.กษิดิ์เดชเจริญลาภสว.กก.2 บก.ป.ร่วมกับตำรวจสภ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ
เข้าจับกุมนายศักดิ์ชัย หรือแจ๊ส ทัพวงค์ อายุ 28 ปี ชาวจ.กำแพงเพชร
ตามหมายจับศาลอาญาจังหวัดสมุทรปราการ ที่704/2562 ลง8 พ.ย.62 ข้อหา“ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และบุกรุกเคหสถาน” ได้ที่บ้านเอื้ออาทรโครงการ3 หมู่15 ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง

พ.ต.อรุณ เปิดเผยว่า เมื่อกลางเดือนต.ค.ที่ผ่านมา นายศักดิ์ชัย ผู้ต้องหา ไปรู้จักกับน.ส.บี (นามสมมติ) ผ่านทางเฟซบุ๊ก พอวันรุ่งขึ้นก็นัดหมายเจอกัน โดยผู้เสียหายยืนยันว่า มีการพูดคุยกันในสถานะคนรู้จัก ต่อมาคืนวันที่ 25 ต.ค. นายศักดิ์ชัยก็ได้มาหาน.ส.บี ซึ่งทำงานเป็นพนักงานพีอาร์อยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน อ.บางพลี และนั่งอยู่จนร้านเลิก ขณะที่น.ส.บีกำลังจะกลับห้องพัก นายศักดิ์ชัยก็เดินเข้ามากระชากแขนแล้วบอกให้กลับไปด้วยกัน แต่น.ส.บีไม่ยอมก็เลยถูกนายศักดิ์ชัยตบหน้าไปหลายครั้ง รวมทั้งพยายามดึงตัวไปที่รถ แต่มีพนักงานในร้านมาช่วยไว้ได้ทัน นายศักดิ์ชัยจึงขับรถหนีออกไป
พ.ต.อ.อรุณ กล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อน.ส.บีเดินทางกลับไปถึงที่พัก ก็เห็นรถของนายศักดิ์ชัยมาจอดรออยู่แล้ว ทำให้ไม่กล้าขึ้นไปที่ห้องพัก เพราะกลัวว่าจะถูกทำร้ายอีก ทราบด้วยว่า นายศักดิ์ชัยพยายามจะงัดห้องพักของน.ส.บีแต่ทำไม่สำเร็จ ก็เลยรีบลงมา ปรากฏว่ามาเจอน.ส.บีที่ลานจอดรถ ก็ตรงเข้าทำร้ายน.ส.บีทันที ทั้งเตะและตบ จนผู้เสียหายต้องร้องขอให้หยุด นายศักดิ์ชัยก็เลยบอกให้ขึ้นไปคุยกันบนห้องพัก ผู้เสียหายจำต้องเดินตามขึ้นไป ปรากฏว่า เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ก็ถูกนายศักดิ์ชัยทำร้ายร่างกายทันที ในครั้งนี้ยังถูกข่มขืนด้วย ระหว่างนี้นายศักดิ์ชัยยังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปวีดีโอเอาไว้ด้วย ต่อมาผู้เสียหายต้องรีบติดต่อให้คนที่รู้จัก ช่วยแจ้งตำรวจมาช่วยเหลือ ส่วนนายศักดิ์ชัยก็รีบหลบหนีไป พอวันรุ่งขึ้นนายศักดิ์ชัยก็ได้ข่มขู่น.ส.บี ผ่านมาทางเฟซบุ๊กว่า จะปล่อยคลิปขณะข่มขืน และมีการโพสต์คลิปดังกล่าวจริงๆ แต่ผู้เสียหายเห็นเข้าก็เลยรีบลบออก ก่อนจะรีบเข้าแจ้งความที่สภ.บางเสาธง ศาลได้อนุมัติออกหมายจับเอาไว้ กระทั่งตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ดังกล่าว
สอบสวน นายศักดิ์ชัย ให้การอ้างว่า รู้จักกับน.ส.บี ผ่านเฟซบุ๊ก ได้ประมาณ3 สัปดาห์ ก่อนจะนัดเจอและคบหากันในฐานะแฟนสาว วันเกิดเหตุตนไปหาน.ส.บี ที่ร้าน ก็เห็นว่ากำลังนั่งคุยอยู่กับผู้ชายคนอื่น ทำให้เกิดความหึงหวงและลงมือทำร้ายร่ายกายน.ส.บีจริง ส่วนเรื่องห้องพักของผู้เสียหายนั้นตนไม่ได้งัด เพราะน.ส.บีเป็นคนพาเข้ามาเอง และก็ไม่ได้ข่มขืนอีกด้วย เพราะคบหาเป็นแฟนกันอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าถูกแจ้งความและมีหมายจับ จึงไม่ได้คิดหลบหนีไปไหน เพราะขณะนี้ตนไม่มีงาน ต้องไปอาศัยอยู่กับแฟนอีกคน หลังการสอบสวนจึงนำตัวผู้ต้องหาส่งให้สภ.บางเสาธง ดำเนินคดีต่อไป

ทลายเครือข่าย”น้าหลุยร่างทรง” อ้างระดมเงินธนาคารโลก บริจาค 1 พัน เอาไป 1 ล้าน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน ที่กองบังคับการปราบ(บก.ป.)

พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. พร้อม พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ รอง ผบก.ป.,พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. และ พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.6 บก.ป.ร่วมกับนายพฤทธิพงศ์ ศรีมาจันทร์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)

ร่วมแถลงการจับกุม ”เครือข่ายน้าหลุย” หลอกประชาชนลงทุนโดยแอบอ้างว่าเป็นโครงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าร่วม จนเกิดเสียหายกว่า 500 ล้านบาท

โดยผู้ต้องหาประกอบด้วย นางพันธุ์ทิพา นัยยทิพย์,น.ส.ปรีดาภรณ์ คำหอม,นายณัฐพงษ์ อำไพ,นางนภาดา แต้มเจริญ,นายสายัณห์ นิราช,นายธนกร สุขสมบูรณ์,นางชลเทวี อินทโพธิ์,นายละมัย ชูอิ่ม,นายประภาส ศรีวรรณา และนายอุดร ธนะฤกษ์ ทั้งหมดเป็น 10 บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 1290-1299/2562 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงด้วยการแสดงข้อความเท็จต่อประชาชน,ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน”

พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวว่า กลุ่มผู้ต้องหาได้กุเรื่องว่าประเทศไทยเป็นเจ้าภาพที่ได้รับเงินจากธนาคารโลกมาพัฒนาประเทศ โดยมีคณะทำงานส่วนกลางเป็นผู้ประสานงานให้ช่วยระดมเงินบริจาคมาเป็นทุนช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านรากหญ้า ซึ่งผู้บริจาคเงิน 1,000 บาท จะได้รับเงินเป็นผลตอบแทนตั้งแต่ 1 ล้านบาท ถึง 4 ล้านบาท โดยปลอมแปลงประกาศเรื่องระบบการปล่อยเงินภายในประเทศ อ้างถึงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 23 ล้านล้านบาท ของธนาคารแห่งประเทศไทย จนมีผู้หลงเชื่อจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ และบางรายถึงขั้นกู้หนี้ยืมสินเพื่อนำเงินมาลงทุน แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปหลายปี กลับไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่อ้างไว้ และถูกบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา

ผู้เสียหายจากหลายจังหวัดจึงรวมตัวมาแจ้งความกับกองกำกับการ 6 กองปราบปราม และสืบสวนติดตามเรื่อยไล่มาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ใน จ.ฉะเชิงเทรา จ.นครราชสีมา จ.ศรีสะเกษ จ.สมุทรปราการ และ จ.นนทบุรี พร้อมยึดของกลางกว่า 200 รายการ มูลค่าความเสียหายกว่า 500ล้านบาท ก่อนประสานคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหา แล้วยึดอายัดทรัพย์ตามกฎหมาย

พล.ต.ต.จิรภพ เปิดเผยถึงการทำงานของเครือข่ายนี้ว่า เริ่มน้าหลุย จะทำตัวเป็นผู้นำจิตวิญญาณ หมอดูไสยศาสตร์ สร้างความศรัทธาให้ลูกศิษย์ก่อนทำเครือข่ายหลอกระดมทุน โดยให้ลูกศิษย์ไปตั้งกลุ่มไลน์ที่มีชื่อนำหน้าว่า “ฟ้า” ต่างๆ แต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกกว่า 500 ราย ก่อนรวบรวมเงินระดมทุน ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีแม่ข่ายคอยสร้างความน่าเชื่อถือโดยอ้างเหตุการณ์ในบ้านเมือง จากนั้นจะนำเงินทั้งหมดส่งให้กับหัวสาย

ด้านนายพฤทธิพงศ์ กล่าวว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้ได้แอบอ้างชื่อ ธปท.พร้อมทำเอกสารประกาศการปล่อยระบบเงินภายในประเทศ ปี2562 เรื่องเงินสำรองระหว่างประเทศ 23 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นของปลอม โดยใช้ตราประทับหัวกระดาษ และปลอมลายเซ็นต์ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก่อนที่จะไปแจ้งความดำเนินคดีฐานปลอมแปลงเอกสารไว้ ทั้งนี้ ขอเตือนประชาชนที่อาจได้รับการติดต่อไม่ว่าจะทางโทรศัพท์ หรือช่องทางอื่นๆ จากบุคคลที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ธปท.โดยแจ้งว่ามีความผิดปกติกับข้อมูลทางการเงินของธนาคารที่ท่านเปิดบัญชีไว้ พร้อมระบุให้โอนเงินเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ขอให้สันนิษฐานไว้ว่าจะเป็นกลุ่มมิจฉาชีพ ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนจะดำเนินการใดๆ โดยยังติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ที่สายด่วน 1213