โดย พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ
ถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 26 ต.ค. 68 กำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชาไว้ชัดเจน — คำถามสำคัญคือ เมื่อใดฝ่ายไทยจะปล่อยตัวเชลยศึกทั้ง 18 นาย และมีทางปฏิบัติอย่างไรที่เหมาะสมและปลอดภัย
ตามถ้อยแถลงร่วมดังกล่าว มีประเด็นสำคัญ 2 ประการที่ควรชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ (1) เวลาและเงื่อนไขการปล่อยตัวเชลยศึก และ (2) หนทางปฏิบัติในการปล่อยตัวเชลยศึก (3)เมื่อใดจะปล่อยตัว
เชลยศึกกัมพูชาตามข้อ 5 ของถ้อยแถลงร่วม การปล่อยตัวเชลยศึกจะเกิดขึ้นเมื่อมีการดำเนินการตามมาตรการในข้อ 4 ของถ้อยแถลงร่วมอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับหลักอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยเชลยศึก ที่กำหนดให้ปล่อยตัวเมื่อสภาพการเป็นปรปักษ์ระหว่างรัฐคู่ขัดแย้งสิ้นสุดลง
ข้อ 4 ของถ้อยแถลงร่วมประกอบด้วยมาตรการหลัก ดังนี้ ลดความตึงเครียดทางทหาร ภายใต้การสังเกตการณ์และยืนยันตรวจสอบโดยผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) รวมถึงการถอนอาวุธยุทโธปกรณ์หนักและอาวุธที่มีศักยภาพทำลายล้างสูงออกจากแนวชายแดน และนำกลับไปประจำที่ตั้งปกติ ตามแผนปฏิบัติการที่ปฏิบัติได้ของทั้งสองฝ่าย ภายใต้การสังเกตการณ์โดยคณะผู้สังเกตการณ์การหยุดยิงชั่วคราว (IOT) และต่อจากนั้นโดย AOT
ละเว้นการเผยแพร่หรือส่งเสริมข้อมูลเท็จ การกล่าวอ้าง กล่าวหา และวาทกรรมที่สร้างความเสียหาย ไม่ว่าช่องทางของราชการหรือมิใช่ช่องทางของราชการ
สร้างความเชื่อมั่นโดยทันทีและเต็มรูปแบบ เพื่อฟื้นฟูและรักษาความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ฟื้นฟูสันติภาพตามแนวชายแดน แก้ไขความแตกต่างอย่างสันติ ด้วยความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรภาพ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รวมทั้งร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
เก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน แก้ไขข้อพิพาทชายแดนและจัดทำหลักเขตแดนผ่านสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยละเว้นการคุกคามหรือการใช้กำลังหรือการกระทำยั่วยุใด ๆ
ทั้งนี้ คณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค (RBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกทวิภาคีในการดำเนินงานในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชายแดน โดยประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในระดับท้องถิ่นเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ให้เป็นไปโดยสันติ รวมถึงการยุติการรุกล้ำและกิจกรรมที่ขยายความตึงเครียด
หมายเหตุ: ข้อ 6 ของถ้อยแถลงร่วม ซึ่งกล่าวถึงความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งแก๊งสแกมเมอร์ (scammer) มิได้เป็นเงื่อนไขสำหรับการปล่อยตัวเชลยศึก เนื่องจากข้อ 6 ปรากฏอยู่หลังข้อ 5 ของถ้อยแถลงร่วม ดังนั้นการดำเนินการตามข้อ 6 จึงไม่เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการปล่อยตัวเชลยศึกตามข้อ 5
เมื่อกระทรวงกลาโหมหรือกองบัญชาการกองทัพไทยพิจารณาแล้วว่า มาตรการทั้ง 5 ตามข้อ 4 ดำเนินการครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ ฝ่ายไทยควรปล่อยตัวเชลยศึกทันที (โดยรวมทั้ง 18 นายพร้อมกัน หากไม่มีผู้ใดเจ็บป่วยหนัก) ไม่ควรแบ่งการปล่อยหรือยังควบคุมไว้บางส่วน และสมควรกำหนดให้หน่วยเหนือ เช่น กองบัญชาการกองทัพไทยหรือกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ยืนยันการปฏิบัติตามมาตรการก่อนสั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 ปล่อยตัว
หนทางปฏิบัติในการปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชา
การปฏิบัติการปล่อยตัวเชลยศึกสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ดังนี้
วิธีที่ 1 — ปล่อยตัวโดยทวิภาคี (ทหารต่อทหาร)
ฝ่ายทหารไทยประสานงานกับฝ่ายทหารกัมพูชาโดยตรง ในการจัดพิธีปล่อยและรับตัว โดยก่อนการปล่อยขอคำแนะนำการดำเนินการจากสำนักงานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ประจำประเทศไทย และขอให้ ICRC เป็นสักขีพยานการปล่อยตัว เพื่อรับประกันความเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมและมาตรฐานสากล
วิธีที่ 2 — ปล่อยตัวผ่าน ICRC (ทหาร → ICRC → ฝ่ายกัมพูชา)ฝ่ายทหารไทยส่งมอบเชลยศึกให้กับ ICRC แล้ว ICRC จะเป็นผู้ส่งมอบต่อให้ฝ่ายทหารกัมพูชา วิธีนี้ช่วยแยกขั้นตอนการปล่อยตัวออกจากการเมืองและงานทหารโดยตรง เพิ่มความเป็นกลางและความปลอดภัยของผู้ถูกปล่อย
หากรัฐบาลไทยต้องการเน้นการแก้ไขปัญหาในรูปแบบทวิภาคีเป็นหลัก พร้อมย้ำความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ก็ควรเลือกวิธีที่ 1 แต่หากต้องการเน้นความเป็นกลางตามหลักมนุษยธรรมและให้องค์กรระหว่างประเทศเป็นผู้กลาง วิธีที่ 2 ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสม
สรุปข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ
เมื่อกระทรวงกลาโหมหรือกองบัญชาการกองทัพไทยยืนยันว่าการดำเนินมาตรการทั้ง 5 ในข้อ 4 ของถ้อยแถลงร่วมเสร็จสิ้นและมีประสิทธิภาพแล้ว ให้ถือว่าสภาพการเป็นปรปักษ์สิ้นสุดลง และให้สั่งการให้กองทัพบก (โดยกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งควบคุมตัวเชลยศึก) ปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชา 18 นายกลับภูมิลำเนาโดยเร็วที่สุดตามความเหมาะสมและปลอดภัย
ให้พิจารณาเลือกวิธีปล่อยตัวที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางการทูตและความเชื่อมั่น เช่น หากต้องการเน้นทวิภาคี ให้ปล่อยโดยการประสานฝ่ายทหารโดยตรงพร้อมให้ ICRC เป็นที่ปรึกษาและสักขีพยาน แต่หากเน้นความเป็นกลางและมาตรฐานมนุษยธรรม ให้ใช้บริการของ ICRC ในการส่งมอบเชลยศึก
การปฏิบัติที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นระหว่างทั้งสองประเทศและลดความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนได้อย่างยั่งยืน

