สันดานนักการเมืองไทย เสพติดอำนาจ-ผลประโยชน์ เลิกฝันไม่ให้ร่วมรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง

1092

เมื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสียท่าให้กับสมเด็จฮุน เซน ที่ปล่อยคลิปสนทนาหลังไมค์ จนกลายเป็นประเด็นร้อนที่ฝ่ายตรงข้ามนำไปขยายผลว่าเป็น “รัฐบาลขายชาติ” พร้อมนัดก่อม็อบวันที่ 28 มิถุนายน เพื่อบีบให้ลาออก แทนที่จะให้ยุบสภาและให้ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้ตัดสิน

ในเวลาเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยฉวยโอกาสสร้างภาพลักษณ์ให้พรรคดูดี โดยประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล หวังเกาะกระแส ทั้งที่มีท่าทีจะถอนตัวอยู่แล้ว หากถูกยึดกระทรวงมหาดไทย

ส่งผลให้รัฐบาลแพทองธารต้องปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปโดยปริยาย ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากประชาชนบางกลุ่มถึงพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา ให้ถอนตัว ไม่สนับสนุนให้น.ส.แพทองธารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ โดยอ้างเหตุผลสารพัด สร้างวาทกรรมว่าเป็น “ไส้ศึก” หรือ “พวกขายชาติ” เป็นต้น

ขณะที่แฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์บางส่วน ซึ่งยังรักและศรัทธานายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคผู้มีภาพลักษณ์ดี ก็แชร์ข้อความเรียกร้องให้ลาออกจาก สส.บัญชีรายชื่อ แต่ไร้ความเคลื่อนไหวใด ๆ มีเพียงแค่แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยเท่านั้น

ฝากถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีภาพลักษณ์ชัดเจนว่าเป็นดีเอ็นเอของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้นำรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค ก็ถูกเรียกร้องจากกลุ่มรัก “ลุงตู่” และแกนนำม็อบที่เรียกร้องให้ทหารก่อรัฐประหาร ให้ถอนตัวเช่นกัน แต่กลับไร้เสียงตอบรับ แถมแกนนำพรรคกลับประสานเสียงหนุนน.ส.แพทองธาร พร้อมกับเดินเกมต่อรองขอตำแหน่งรัฐมนตรีเพิ่มอีกด้วย

พรรคชาติไทยพัฒนา คงไม่ต้องอธิบายมาก เพราะในอดีตนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรค และพ่อนายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน เคยกล่าวว่า “เป็นฝ่ายค้าน อดอยากปากแห้ง” กลายเป็นอมตะวาจาที่นักการเมืองไทยยึดถือและปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น เสียงเรียกร้องให้นักการเมืองถอนตัวไม่สนับสนุนน.ส.แพทองธาร จึงเป็นได้แค่ “ฝันเปียก” แม้แต่พรรคภูมิใจไทย แกนนำบางคนอาจรู้สึกผิดหวังที่รีบถอนตัว เพราะหากรัฐบาลแพทองธารอยู่ยาว อาจได้เห็นพวกเขากลับไปขอเข้าร่วมรัฐบาลอีกก็เป็นได้

ท่านผู้อ่านที่ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย อาจเชื่อว่านักการเมืองต้องยืนอยู่บนความถูกต้อง พร้อมสู้กับสิ่งที่ไม่ชอบธรรม ไม่ยึดติดกับอำนาจ แต่ควรเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ เพราะหลักการเหล่านั้นแทบไม่มีอยู่ในหัวนักการเมืองไทยเลยแม้แต่คนเดียว

อาจมีคำถามว่า ทำไม “จอมมารน้อย” จึงกล้านำเสนอประสบการณ์เล็ก ๆ ที่พบเจอในฐานะผู้สื่อข่าว นั่นเพราะเคยเห็นว่านักการเมืองเกาะติดกับขั้วอำนาจเหมือนหมาที่กัดอะไรแล้วไม่ยอมปล่อยหากยังไม่สมหวัง

มีคำกล่าวว่า “อำนาจเหมือนยาเสพติด” ใครได้ครอบครองแล้วไม่ตั้งสติให้ดี ก็มักหลงมัวเมา พออยู่ในอำนาจนาน ๆ ก็เสพติด บางคนหมดวาระหรือเกษียณแล้วยังละเมอว่าตนยังมีอำนาจอยู่

นักการเมืองรู้ดีว่า เมื่อได้สวม “หัวโขน” เป็นรัฐมนตรีแล้ว บริการต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปหมด เช่น จะเดินทางไปต่างจังหวัด ก็มีห้องรับรองพิเศษพร้อมอาหารเลิศรส ไม่ต้องปะปนกับประชาชน ถึงปลายทางก็มีเจ้าหน้าที่รอรับอย่างดี ขึ้นรถก็มีขบวนรถนำ ตรวจงานเสร็จก็มีร้านอาหารรสเลิศรออยู่ หรือบางพื้นที่หากเป็นโครงการใหญ่ ก็มีเงินเต็มกระเป๋า หรือโครงการเล็ก ๆ ก็มีเงินใส่ซองให้กลับบ้าน

โดยเฉพาะกระทรวงใหญ่ ๆ อย่างมหาดไทย ศึกษาธิการ หรือคมนาคม บริการจะจัดเต็มเพียงแค่เอ่ยปาก แม้ของไม่มีในห้อง ไม่เกิน 10 นาที ก็จะถูกจัดส่งถึงปากทันที

แม้แต่ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี โฆษก หรือที่ปรึกษา แม้มีเพียงชื่อ ก็ได้รับบริการดีเยี่ยม หากลงพื้นที่หรือไปประมูลงาน ก็มีข้าราชการและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มารอรับถึงบันไดเครื่องบิน

นี่เป็นเพียงบริการในพื้นที่ ยังทำให้หลงอำนาจได้ขนาดนี้ ยิ่งถ้าได้กำกับการประมูลงานพันล้านหมื่นล้าน ผลประโยชน์จะหลั่งไหลเหมือนน้ำป่า สร้างความร่ำรวยถ้วนหน้า

นักการเมืองบางคนอายุโรยรา ยังลงสมัคร ส.ส. เพียงเพื่อรักษาสถานะทางอำนาจ เพราะเสพติดมานานจนเคยชิน

การเสพติดอำนาจไม่ได้จำกัดเฉพาะวงการการเมืองหรือราชการ แม้แต่วงการสื่อ บรรดาสื่ออาวุโสหรือสื่อแก่บางคนที่หลับหูหลับตาเขียนเชียร์เผด็จการ ก็ยังได้อภิสิทธิ์ มีทหารจัดรถรับส่งไปเที่ยวหรือไปตีกอล์ฟ

ดังนั้น ผู้อ่านคงเห็นภาพชัดว่า ทำไมเสียงเรียกร้องของประชาชนบางกลุ่มที่ส่งถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา ให้ถอนตัวจากรัฐบาล จึงเบาหวิว…ราวกับปุยนุ่น!