“ ความรู้สึกของคนธรรมดาอย่างพวกเราต่อสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เชื่อว่าคงรู้สึกสิ้นหวังกับองคาพยพของประเทศไม่ว่าจะเป็นการเมืองที่นักการเมืองฟัดกันแย่งตำแหน่ง เสมือนหมาฟัดกันเพื่อแย่งชามข้าว“

ยิ่งกระบวนการยุติธรรม คงไม่ต้องสาธยายเยอะว่ากี่มาตรฐาน เพราะถ้าเกิดคดีความกับคนจนมองได้สถานเดียวคือติดคุก ถ้าคนรวยหรือผู้มีอิทธิพลวงการต่างๆคำว่าอภิสิทธิ์ชนจะลอยว่อนในทุกขั้นตอน
จังหวะนี้ในสื่อโซเชียลจะมีการแชร์ข้อความของผู้รู้เกี่ยวกับทางออกของประเทศอย่างหลากหลาย ”จอมมารน้อย”ได้รับข้อความเช่นเดียวกัน แต่ที่จะนำเสนอเพราะเชื่อมั่นในเครดิตผู้เขียน ช่วงรับราชการมีอุดมการณ์แน่วแน่เพื่อส่วนรวมและกระบวนการยุติธรรม นั่นคือนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้ริเริ่มนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ มาใช้ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศ(องค์การมหาชน) เนื้อหาของบทความที่โพสต์ในเฟสบุ๊ก จะสอดคล้องกับสถานการณ์ของไทย จึงขออนุญาตนายกิตติพงษ์ นำเสนอผ่านคอลัมน์ดาวดำวิพากษ์ มีเนื้อหาดังนี้
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่”รัฐล้มเหลว”หรือไม่ ? – คำถามที่ไม่ควรมองข้าม คำว่ารัฐล้มเหลว (Failed State)อาจฟังดูรุนแรงเกินไปในสายตาบางคน เพราะไม่ได้เห็นภาพของประเทศที่ล่มสลายอย่างฉับพลัน หากแต่คือสภาวะที่รัฐค่อยๆ สูญเสียความสามารถในการปกครองดูแลประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมั่นคง การบริการสาธารณะ หรือการรักษากฎหมายและความยุติธรรม คำถามสำคัญที่เราต้องกล้าถามอย่างตรงไปตรงมาคือ-ประเทศไทยกำลังแสดงสัญญาณของการก้าวสู่การเป็นรัฐล้มเหลวหรือไม่?
สัญญาณที่น่าเป็นห่วง -1.เมื่อกฎหมายไม่ใช่เครื่องมือเพื่อความยุติธรรม แต่กลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ ในรัฐที่แข็งแรง กฎหมายคือเครื่องค้ำจุนความยุติธรรม แต่ในบางกรณีของไทย กฎหมายดูเหมือนจะถูกบังคับใช้อย่างไม่เท่าเทียม – คดีการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจ มักถูกมองว่าดำเนินการอย่างไม่เป็นกลาง – คดีทุจริตของผู้มีอำนาจกลับล่าช้า เงียบหาย หรือไม่มีข้อยุติที่ชัดเจน – คนจนติดคุกเพราะความผิดเล็กน้อย ขณะที่คนรวยลอยนวลในคดีร้ายแรง เมื่อความยุติธรรมเอนเอียง ความไว้วางใจในระบบยุติธรรมเริ่มสั่นคลอน
2.เมื่อการทุจริตกลายเป็นเรื่อง “ปกติ” ดัชนีการรับรู้การทุจริตของไทยปีล่าสุด (CPI 2024) อยู่ในอันดับ 107 จาก 180 ประเทศ คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอย่างเห็นได้ชัด ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ความรู้สึกชินชาในสังคม : โครงการของรัฐที่ “ต้องมีเปอร์เซ็นต์” – วัฒนธรรม “ฝากเข้า” และ “เด็กเส้น”- การเมืองที่ยังขับเคลื่อนด้วยเงินและผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่เพียงการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย แต่คือการกัดกร่อนรากฐานความน่าเชื่อถือของรัฐอย่างต่อเนื่อง
3.เมื่อโครงสร้างพื้นฐานของรัฐพังลงจริงๆ เหตุการณ์ล่าสุดที่น่าสะเทือนใจคือ อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่มลงในช่วงเกิดแผ่นดินไหว ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า โครงสร้างก่อสร้างต่ำกว่ามาตรฐาน ใช้วัสดุด้อยคุณภาพ และมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความโปร่งใสของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ที่สำคัญคือ ไม่มีหน่วยงานใดออกมารับผิดชอบอย่างชัดเจน เรื่องราวจึงค่อยๆ เงียบหาย ทั้งที่ตึกนั้นเป็นของหน่วยงานที่มีหน้าที่ “ตรวจสอบงบประมาณของรัฐ”
เมื่อองค์กรที่ควรจะยืนหยัดในหลักความโปร่งใส ยังไม่สามารถตรวจสอบตนเองได้ นี่ไม่ใช่แค่ความผิดพลาดเฉพาะกรณี แต่สะท้อนถึงปัญหาทางโครงสร้างที่ฝังลึก
4. เมื่อประชาชนหมดศรัทธา ความเสื่อมถอยของรัฐไม่เพียงเกิดจากการบริหารที่ล้มเหลว แต่ยังสะท้อนผ่านความรู้สึกของประชาชนที่สิ้นหวัง : คนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพจำนวนมากเลือกย้ายประเทศแทนการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลง –ความเฉยชาเริ่มแทนที่ความหวัง -คำพูดอย่าง “อยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น” กลายเป็นเสียงสะท้อนของยุคสมัย เมื่อประชาชนไม่เชื่อว่าเสียงของตนมีความหมายอีกต่อไป ความชอบธรรมของรัฐเริ่มสั่นคลอน
– ประเทศไทยยังไม่ล้มเหลว… แต่กำลังเดินไปในทิศทางนั้นหรือไม่? ไทยยังไม่ใช่รัฐล้มเหลวในความหมายเต็มรูปแบบ ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้งานได้ ยังมีระบบราชการ ยังมีศาลและกระบวนการยุติธรรมที่แม้จะมีปัญหา แต่ยังคงดำรงอยู่ แต่ เรากำลังเห็นสัญญาณหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับ “รัฐที่กำลังล้มเหลว” ในหลายประเทศ: -สถาบันหลักไร้เสถียรภาพ –ความยุติธรรมเลือกปฏิบัติ – การทุจริตเชิงโครงสร้าง – การขาดความรับผิดชอบจากผู้มีอำนาจ –ความสิ้นหวังของประชาชน สิ่งเหล่านี้คือแรงสั่นสะเทือนเงียบๆ ที่อาจนำไปสู่การล่มสลายของรัฐในระยะยาว หากเราไม่ตื่นตัว
ทางรอดอยู่ที่การลงมือของทุกภาคส่วน หากยังมีคำถาม ยังมีเสียงเรียกร้อง ยังมีคนที่ไม่ยอมจำนนต่อความไม่ถูกต้อง แปลว่าเรายังมีโอกาสฟื้นฟูรัฐให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง สิ่งที่ต้องเร่งทำ
1. ฟื้นฟูหลักนิติธรรม – ปฏิรูประบบยุติธรรมให้โปร่งใสและเข้าถึงได้ –ยุติการใช้กฎหมายในเชิงเลือกปฏิบัติ – ส่งเสริมองค์กรอิสระให้มีอำนาจตรวจสอบจริง
2. ปรับโครงสร้างการจัดการภาครัฐ – เพิ่มความโปร่งใสในโครงการงบประมาณ – ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเข้มงวด และ ลงโทษผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรม
3. คืนความหวังให้ประชาชน – ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโอกาส – เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง-สนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้เชื่อมั่นในประเทศของตน
เราเลือกอนาคตได้ อนาคตของไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราทุกคนในวันนี้ จะนิ่งเฉย หรือจะลงมือ? จะยอมรับ หรือจะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลง? จะหนีปัญหา หรือจะร่วมกันเผชิญหน้า? ในเวลาที่ประเทศสั่นคลอนประวัติศาสตร์จะจดจำว่า คนไทยเลือกทำอะไร และทางเลือกนั้น จะกำหนดอนาคตของลูกหลานเราตลอดไป ถึงเวลาที่คนไทยต้องเลือก !!
เมื่ออ่านแล้วลองวิเคราะห์กันดูว่าจจะทำอย่างไรมิให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว !!!
