“ ในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองคุกรุ่นทั้งศึกนอกระหว่างไทยกับกัมพูชา และศึกในที่แต่ละพรรคการเมืองลุ้นว่านายกรัฐมนตรีจะปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อใด สื่อหลายสำนักรวมถึงบรรดาคอลัมนิสต์วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แถมสื่อแก่บางตัวด่ากราดกับคนที่เห็นต่าง“

จังหวะเดียวกันมีข่าว 3 ชิ้น ที่พอจะมองถึงการเชื่อมโยงกับหัวเรื่องที่จั๋วไว้ ข่าวแรก พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตแกนนำคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.) ถึงแก่อสัญกรรมด้วยวัย 91 ปี เป็นผู้มีบทบาทสำคัญทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 อ้างเงื่อนไขทุจริตคอรัปชั่น พร้อมประกาศขจัดปัญหาทุจริตให้หมดไป
ข่าวที่ 2 ความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตแกนนำคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคนตั้งชื่อและเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแกนนำสำคัญในการก่อรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อ้างเงื่อนไขหลักคือรัฐบาลทุจริตคอรัปชั่น ถึงขั้นประกาศว่าจะอยู่ในอำนาจจนกว่าจะปราบโกงได้สำเร็จ
แต่ความขัดแย้งภายในพรรคระหว่างนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวหากันไปมา มีเนื้อหาแฝงไปด้วยกลิ่นอายของการทุจริตซ่อนอยู่
ข่าวที่ 3 พลเมืองดีเจอเงินสด 12 ล้าน ซุกอยู่ในกล่องเตรียมนำไปทิ้งเป็นขยะที่คอนโดมิเนียม เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด นนทบุรี มีการแจ้งความ อยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของตำรวจ ผ่านมาหลายวันเจ้าของเงินมาแสดงตัวยืนยัน แต่ตำรวจบอกว่าหลักฐานยังไม่สอดคล้องกัน กลายเป็นข้อกังขาของสังคมว่าเป็นเงินได้มาโดยมิชอบหรือไม่ จ่ายภาษีถูกต้องหรือไม่ แถมเจ้าของเงินมีประวัติทำงานอยู่ใน กสทช.มาเกือบ 20 ปี เป็นที่ทราบกันดีว่าหน่วยงานนี้ดูแลผลประโยชน์ของชาติจำนวนมหาศาล แถมมีอิสระการใช้เงินที่ได้จากการประมูลคลื่นต่างๆได้ด้วย
ดังนั้นเมื่อนำทั้ง 3 เหตุการณ์มามองในเชิงวิเคราะห์จะพบความจริงอย่างหนึ่งที่ชัดเจนว่าเงื่อนไขที่คณะรัฐประหารทั้งสองชุดอ้างเหมือนกันคือแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นนั้นไร้ผล แม้ว่าคณะรัฐประหารที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ที่แนวร่วมสร้างภาพว่าเป็นรัฐบาลคนดี ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงออกมาบังคับใช้ แต่ไร้ผล
จากผลพวงของจากความไร้น้ำยาปราบโกง เกิดปรากฏการณ์ในลักษณะเหตุการณ์ที่ 3 ให้เห็นอยู่บ่อยครั้งว่ามีการเจอเงินสดจำนวนมาก ถูกวางทิ้งในสถานที่ต่างๆรวมถึงสถานที่ราชการ แต่ไร้เงาเจ้าของมาแสดงตัว แตกต่างกับการพบเงินสดที่คอนโดเมืองทองธานี
เมื่อมองบริบทโดยรวมพอสะท้อนภาพได้ว่าการแก้ปัญหาทุจริตนั้นแก้ได้ยากจริงๆ ทั้งที่มีอำนาจเต็มมือ แต่ผู้นำอาจจะไร้ความกล้าหาญ เพราะจะเข้าทำนองหยิกเล็บเจ็บเนื้อ ถ้ามีการตั้งคำถามว่าจะแก้ได้ไหมเชื่อว่าแก้ได้ แต่ผู้นำต้องได้รับไฟเขียวจากผู้กุมอำนาจทั้งหลายก่อน ซึ่งในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจใหม่ๆ”จอมมารน้อย”จำได้ว่ามีการเขียนบทความจากทั้งนักวิชาการและคอลัมนิสต์ หลายสำนักเสนอแนวทางไว้หลายแนว เท่าที่จำได้และคิดว่าน่าจะบรรลุผล คือการเสนอให้ คสช.ยกเลิกใช้ธนบัตรฉบับละ 50 บาท 100 บาท 500 บาท และ 1,000 บาท
จากนั้นประกาศให้ประชาชนนำธนบัตรที่เลิกใช้ไปแลกที่ธนาคารทั่วประเทศ อาจจะกำหนดภายใน 3 หรือ 6 เดือน แต่ในช่วงที่ไม่ถึงกำหนดให้ใช้ธนบัตรเดิมไปก่อน การนำธนบัตรเก่าจำนวนมากไปแลกเจ้าของต้องชี้แจงที่มาให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วย ถ้าชี้แจงไม่ได้ ต้องยึดไว้ตรวจสอบแล้วพบว่าได้มาโดยมิชอบต้องดำเนินคดีกับเจ้าของเงิน
หากใช้แนวทางนี้ผู้นำต้องใจกล้าจริงๆ แล้ววางแนวทางรับมือให้รอบคอบเพราะอาจฉุดภาพรวมของเศรษฐกิจสะดุดได้ แต่เมื่อตั้งใจจะปราบโกงจริงแบบไม่ตอแหลเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองดูดี พึงยึดวลีที่ว่าทุกการผ่าตัดย่อมมีความเจ็บปวดเสมอ แต่ผลลัพธ์จะดีต่อส่วนรวม
แต่เชื่อว่าแนวทางนี้ผู้กุมอำนาจทั้งหลาย ไม่ว่าจะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายพลทหาร นายพลตำรวจ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เจ้าของธุรกิจผูกขาดทุกประเภท นักการเมืองทุกระดับ นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และล็อบบี้ยิสต์ เป็นต้น ต้องพร้อมใจกันคัดค้านอย่างแน่นอน เพราะส่วนใหญ่ล้วนแต่เก็บเงินสดๆที่ได้มาโดยมิชอบกันทั่วหน้า
ที่สำคัญหากทุจริตถูกปราบอย่างราบคาบ เผด็จการทหาร ผู้นำม็อบ และสื่อแก่ผู้ถนัดตบทรัพย์ ที่ยอมรับบทบาทรองมือรองตีนให้ทหารและกลุ่มที่กุมอำนาจ ไม่สามารถที่จะนำมาเป็นเงื่อนไขให้ก่อการได้อีก
นี่คือความฝันลมๆแล้งๆของประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเรา บ่อยครั้งยอมตกเป็นเหยื่อให้ผู้นำม็อบหลอกไปเป็นเครื่องมือโค่นรัฐบาลที่ผู้นำม็อบชี้หน้าว่าขี้โกง แม้รู้ว่าถูกหลอกก็เต็มใจเพราะคาดหวังจะเห็นเมืองไทยปลอดโกง !!!


