หน้าแรกบทความกลุ่มก๊วนดราม่าและผู้เสพข่าวอย่าหลงประเด็น กับโลกโซเชียล..!!!

กลุ่มก๊วนดราม่าและผู้เสพข่าวอย่าหลงประเด็น กับโลกโซเชียล..!!!

โฆษก DSI เพียงแค่มีคำสั่งให้สืบสวน ว่ากรณีนี้มีมูลมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติ ยังไม่ใช่การรับคดีของ น.ส.ภัทรธิดา หรือแตงโม เป็นคดีพิเศษแต่อย่างใด เป็นเพียงการสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้น ก่อนจะเข้าสู่การพิจารณา คดีดังกล่าวจะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่.?

จากกรณีที่กองบรรณาธิการไทยแทบลอยด์ได้ประกาศเจตจำนงค์ว่าของด นำเสนอข่าวคดีน้องแตงโมที่กลุ่มต่างๆออกมาให้ข่าวแนวดราม่า ใส่ความรู้สึกต่างๆชี้นำแนวคิดของตัวเอง เพื่อจูงใจให้สื่อกระแสหลักสำนักต่างๆนำเสนอข่าว ประชาชนทั่วไปแบบสังคมไทยต่างแตกความคิด แสดงความคิดเห็นดราม่ากระฉ่อนในโลกโซเชียลนั้น จนล่าสุดมีการยื่นหนังสือต่อ กรมสืบสวนคดีพิเศษ ให้รื้อคดี รับเป็นคดีพิเศษ นั้น ซึ่งทางกองบรรณาธิการได้เห็นชอบตรงกันว่า DSI เป็นหน่วยงานของรัฐ และขณะนี้ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว “พยัคฆ์น้อย 109” ขอถ่ายทอดแสดงความคิดเห็น หลังจากได้ตระเวณหาข้อมูล จากนักอาชญวิทยา รวมถึงนักกฏหมายมือทำสำนวนคดีสำคัญๆในอดีต วนๆคุยขอความรู้ จึงได้ประเด็นข้อสรุปที่ฟังได้ว่า

จากกรณี นายปานเทพ  พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก  มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้ร้องเรียนขอให้สืบสวนสอบสวนและขอให้รับเป็นคดีพิเศษ โดยผู้ร้องเห็นว่ากระบวนการ ดำเนินคดีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา หรือแตงโม พัชระวีรพงษ์ โดย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้อนุมัติให้ทำการสืบสวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเบื้องต้น ว่ากระบวนการดำเนินคดีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา หรือแตงโม พัชระวีรพงษ์ มีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือไม่ และมีบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร ตามมาตรา 23/1 วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ .2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดย DSI มอบหมาย พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการและแจ้งผู้รับรองทราบต่อไป

ในขณะที่ พ.ต.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า หลังได้รับร้องเรียนในกรณีดังกล่าว อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ไปดำเนินการสืบสวน ว่ากรณีนี้มีมูลมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติ ยังไม่ใช่การรับคดีของ น.ส.ภัทรธิดา หรือแตงโม พัชระวีรพงษ์ เป็นคดีพิเศษแต่อย่างใด เป็นเพียงการสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้น ก่อนจะเข้าสู่การพิจารณา คดีดังกล่าวจะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่.?

”พยัคฆ์น้อย 109 “ตั้งข้อสังเกตว่ากรณีนี้มีการเคลื่อนไหวรับลูกกัน แบบแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อต้องการดิสเครดิตสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งกำกับดูแลโดย น.ส.แพทองธา ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ประกอบกับช่วงนี้จะมีการอภิปรายไม่ใว้วางใจรัฐบาล และทั้งจะมีการเคลื่อนใหวชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆอีกด้วย คาดว่าหวังดึงมวลชนจากหลากหลายกลุ่มมาหลอมรวมเพิ่มจำนวนเพื่อให้เห็นว่ามีจำนวนมาก ทางสำนักข่าวไทยแทบลอยด์จึงตั้งข้อสังเกตุอีกว่า

(1) ผลกระทบหากปล่อยให้มีการแก้ฟ้องตามที่กล่าวอ้างมา  เนื่องจากศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดสำหรับจำเลยบางคนว่าได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว หากปล่อยให้มีการแก้ฟ้องตามที่อ้างมานั้น  โจทก์ต้องแก้ฟ้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงใหม่ ถึงพฤติการณ์ว่าใครเป็นผู้ลงมือฆ่าและใครเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอันหมายถึงจำเลยทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งรายละเอียดวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการฆ่า ตลอดจนวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งจะทำให้เกิดความสับสนสำหรับจำเลยที่ศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปก่อนแล้วว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้นว่าจำเลยเหล่านั้นจะกลายเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาไปด้วย  ซึ่งเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งและขัดต่อหลักเหตุผลตามธรรมชาติ เพราะจะทำให้ศาลต้องไปวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายไปก่อนแล้วนั้นขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง  อันขัดต่อหลักสากลที่ว่าบุคคลไม่ควรถูกดำเนินคดีหลายครั้งจากการกระทำของตนเพียงครั้งเดียว (Ne bis in idem )

(2) เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาในศาลนั้นจะต้องถูกพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐาน(Evidence) และต้องเป็นพยานหลักฐานน่าจะพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลยและต้องถูกนำเข้าสู่สำนวนโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น การพิสูจน์โดยเพียงการตั้งสมมติฐานจากการคาดเดาหรือจินตนาการหรืออาศัยไสยศาสตร์ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ เพราะมีความเป็นอัตตวิสัย(Subjective)ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละบุคคล ยากที่จะรับฟังเป็นยุติไปในทางใดทางหนึ่งได้ในทางกฎหมายพยานหลักฐานสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ พยานบุคคล(Witness) พยานวัตถุ(Material evidence)และพยานเอกสาร(Documentary evidence) ในส่วนของพยานบุคคล(Wtness )แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ พยานบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งยังแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ  พยานบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์และได้ประสบพบเหตุมาด้วยประสาทสัมผัสของตนเองโดยตรง หรือที่เรียกว่าประจักษ์พยาน (Eye witness) เช่น ตาได้เห็นเหตุการณ์การฆาตกรรมด้วยตนเองหรือหูได้ยินเสียงคนกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทด้วยตนเอง และ พยานบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ได้ประสบพบเหตุด้วยประสาทสัมผัสของตนเองโดยตรงซึ่งเรียกว่าพยานบุคคลพฤติเหตุแวดล้อมกรณี(Circumstance witness)ซึ่งมีทั้งประเภทที่เป็นพยานบุคคลพฤติเหตุแวดล้อมกรณีในเวลาก่อน ขณะ หรือหลังเหตุการณ์   เช่น พยานบุคคลซึ่งเห็นคนร้ายถืออาวุธมีดเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุที่มีการฆ่ากันตายโดยใช้อาวุธมีดในช่วงเวลาที่เกิดเหตุไม่นาน หรือ พยานบุคคลที่ได้ยินเสียงคนร้องอยู่ในห้องว่าอย่าฆ่าฉันเลย  หรือพยานบุคคลซึ่งเห็นคนร้ายถืออาวุธมีดออกจากที่เกิดเหตุในช่วงเวลาเกิดเหตุที่มีการฆ่ากันตายโดยใช้อาวุธมีดไม่นาน    

พยานบุคคลซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ยังแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ  พยานบุคคลซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ได้รับการถ่ายทอดเหตุการณ์จากพยานบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ หรือที่เรียกว่าพยานบอกเล่า(Hearsay) พยานบอกเล่ามีหลายประเภท ทั้งประเภทที่รับการถ่ายทอดเหตุการณ์จากพยานบุคคลที่ได้ประสบพบเหตุมาด้วยประสาทสัมผัสของตนเองโดยตรง หรือที่เรียกว่าประจักษ์พยาน (Eye witness) เช่น นายแดงเห็นเหตุการณ์ขณะที่นายขาวใช้อาวุธมีดแทงนายฟ้า ต่อมานายแดงมาเล่าเหตุการณ์ให้นายเหลืองฟัง ถือว่านายเหลืองเป็นพยานบอกเล่าที่ได้รับการถ่ายทอดเหตุการณ์จากประจักษ์พยาน หรือประเภทที่ได้รับการถ่ายทอดเหตุการณ์จากพยานบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ได้ประสบพบเหตุมาด้วยประสาทสัมผัสของตนเองโดยตรงหรือที่เรียกว่าพยานพฤติเหตุแวดล้อม

กรณี(Circumstances witness) เช่น  นายแดงเห็นเหตุการณ์ขณะที่นายขาวเดินถืออาวุธมีดเข้าไปในห้องที่เกิดเหตุการใช้อาวุธมีดแทงนายฟ้า ต่อมานายแดงมาเล่าเหตุการณ์ให้นายเหลืองฟัง ถือว่านายเหลืองเป็นพยานบอกเล่าที่ได้รับการถ่ายทอดเหตุการณ์จากพยานเหตุแวดล้อมกรณี หรือพยานบอกเล่าประเภทที่ได้รับการถ่ายทอดเหตุการณ์จากพยานบอกเล่าอีกทอดหนึ่ง  เช่น  นายแดงเห็นเหตุการณ์ขณะที่นายขาวใช้อาวุธมีดแทงนายฟ้า  และนายแดงมาเล่าเหตุการณ์ให้นายเหลืองฟัง ต่อมานายเหลืองไปเล่าเหตุการณ์ที่ได้รับการบอกเล่าจากนายแดงต่อให้นายเขียวฟังอีกทอดหนึ่ง ถือว่านายเขียวเป็นพยานบอกเล่าที่ได้รับการถ่ายทอดเหตุการณ์จากพยานบอกเล่าอีกทอดหนึ่ง  และ พยานซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และไม่ได้รับการถ่ายทอดเหตุการณ์จากพยานบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ หรือที่เรียกว่าพยานผู้เชี่ยวชาญ (Expert) หมายถึง พยานบุคคลที่มาให้ความเห็น(Epinion)หรือตั้งสมมติฐานในปัญหาข้อเท็จจริงได้อาศัยองค์ความรู้ และประสบการณ์ที่ตนมีอยู่มาสนับสนุนความเห็นหรือสมมติฐานนั้นเท่านั้น 

ในบรรดาพยานบุคคล(Witness)ทั้งหมดต้องถือว่าประจักษ์พยาน(Eye witnesses)มีน้ำหนักความน่าเชื่อถือในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดีที่สุดซึ่งเป็นไปตามหลักพยานโดยตรงแต่ในส่วนพยานผู้เชี่ยวชาญ(Expert)ซึ่งเป็นพยานบุคคลที่มาให้ความเห็น(Opinion)หรือตั้งสมมติฐานในปัญหาข้อเท็จจริงโดยอาศัยองค์ความรู้ และประสบการณ์ที่ตนมีอยู่มาสนับสนุนความเห็นหรือสมมติฐานนั้นเท่านั้น ส่วนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอาจไม่เป็นไปตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญก็ได้ ซึ่งเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ของพระพุทธศาสนาที่ว่าสิ่งทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน  (อนิจจัง ) ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจึงไม่อาจรับฟังเป็นข้อยุติได้เสมอไป 

ด้วยเหตุนี้ศาลฎีกาจึงวางแนวบรรทัดฐานว่าความเห็นของผู้เชี่ยวชาญไม่ผูกมัดให้ศาลจำต้องเชื่อตาม  (ฎีกาที่ 8958/2550) ดังนั้น ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจึงไม่ใช่พยานหลักฐานหลัก(Main evidence)ที่จะนำมาใช้พิสูจน์ข้อเท็จจริงได้โดยตรง แต่เป็นเพียงพยานประกอบ(Subordinate  evidence)ที่นำมาใช้ในการชั่งน้ำหนักประกอบพยานหลักฐานอื่น เช่น พยานบุคคล หรือพยานวัตถุ หรือพยานเอกสารอื่นเท่านั้น พยานผู้เชี่ยวชาญจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้น้อย  ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยถ่องแท้เราจะพบว่าในคดีหมิ่นประมาทของศาลอาญา มีประเด็นต้องพิจารณาว่าพยานฝ่ายจำเลยที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มาเบิกความนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริงหรือไม่ เพียงใด และที่มาเบิกความให้ความเห็นต่อศาลเป็นเพียงการพิจารณาภาพถ่ายของบาดแผลหรือภาพถ่ายของศพเท่านั้น โดยไม่ได้เป็นผู้เข้าไปตรวจและชันสูตรศพด้วยตนเอง จึงมีลักษณะเป็นการให้ความเห็นเกิดจากการวิเคราะห์บาดแผลในมิติด้านเดียว  ซึ่งต่างกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่เข้าไปตรวจและชันสูตรศพด้วยตนเองเพราะเป็นการวิเคราะห์บาดแผลในหลายมิติทั้งในแง่สี ความกว้าง ความยาว ความลึก ตลอดจนลักษณะทางกายภาพของเนื้อเยื่อของบาดแผล 

คำเบิกความดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นพยานบอกเล่า(Hearsay)ประเภทหนึ่งด้วย (พยานบอกเล่า (Hearsay)  หมายถึง พยานหลักฐานที่ไม่ได้สัมผัสกับเหตุการณ์โดยตรง  เช่นพยานบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ได้รับการบอกเล่าจากพยานบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์  หรือพยานเอกสารที่เป็นเพียงสำเนาซึ่งถ่ายภาพหรือถ่ายเอกสารจากต้นฉบับเอกสาร  เป็นต้น ) ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 / 3 ได้บัญญัติวางเป็นหลักการทั่วไปว่า พยานบอกเล่าไม่สามารถรับฟัง(Inadmissibility)เข้าสู่สำนวนเพื่อทำการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยาน เว้นแต่ ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้นน่าเชื่อจะพิสูจน์ความจริงได้  

ดังนั้น แม้หากคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว อาจจะเข้าข้อยกเว้นที่สามารถรับเข้าสู่สำนวนได้ก็ตาม แต่การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในประเภพพยานบอกเล่านั้น(Weighting of hearsay) นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 / 1 ได้บัญญัติวางเป็นหลักการว่า ให้ศาลต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อพยานบอกเล่านั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน เมื่อคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นเพียงพยานบอกเล่าดังกล่าวโดยหลักยอมไม่อาจรับฟังเข้าสู่เข้าสู่สำนวนคดีได้ แต่แม้เห็นว่าคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นพยานบอกเล่านั้น ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มานั้นน่าจะพิสูจน์ความจริงได้ก็ตาม แต่การชั่งน้ำหนักคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นพยานบอกเล่าดังกล่าว ศาลก็ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นพยานบอกเล่านั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย

ด้วยเหตุนี้หากพิจารณาคำพิพากษาในคดีหมิ่นประมาทของศาลอาญาโดยละเอียดแล้วจะพบว่าในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของพยานผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวศาลอาญามิได้วินิจฉัยชี้ขาดยืนยันโดยชัดแจ้งถึงขนาดเชื่อตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ฝ่ายจำเลยนำสืบแต่อย่างใด

(3) นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับผู้ที่เข้าไปเก็บศพน้องแตงโมบางรายให้สัมภาษณ์ต่อสื่อสาธารณะว่า ในขณะที่พบศพน้องแตงโม ได้เห็นตาข้างหนึ่งบวมปิดมีรอยช้ำเลือดช้ำหนอง และตาอีกข้างหนึ่ง ไม่บวมแต่รอยเด่นขึ้นมา  ลิ้นจุกปาก ท้องไม่บวมมากไม่เหมือนคนจมน้ำ  บาดแผลที่บริเวณโคนขาขวามีความรู้สึกว่าไม่ได้เกิดเกิดจากใบพัดเรือ แต่น่าจะเกิดจากการถูกของมีคมอย่างอื่นกรีดลงไปและตั้งข้อสมมุติฐานว่าตายบนบกแล้ว ไปทิ้งลงในแม่น้ำเจ้าพระยา  ซึ่งความเห็นหรือข้อสมมติฐานของบุคคลดังกล่าวก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์อันจะมีน้ำหนักให้รับฟังได้แต่อย่างใด เพราะการจะพิสูจน์ว่าบุคคลใดกระทำความผิดอาญาหรือเป็นผู้บริสุทธิ์จะต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานที่อยู่ในสำนวนเท่านั้น   จะอาศัยความเห็นหรือการคาดเดาหรือการจินตนาการมาบอกว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ เพราะความเห็นหรือจินตนาการของบุคคลแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน       

ซึ่งในประเด็นที่ผู้ให้ข้อมูลหรือวิพากษ์วิจารณ์ออกสื่อสาธารณะว่า บาดแผลใหญ่ที่ขาข้างขาวของน้องแตงโมไม่ได้เกิดจากการถูกใบพัดของเรือ แต่ถูกของมีคมอย่างอื่น อันเป็นการตั้งสมมติฐานการเสียชีวิตของน้องแตงโมว่าเป็นการฆาตกรรมซึ่งเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาในประมวลกฎหมายอาญานั้น ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตว่า ในคดีการฆาตกรรม มีประเด็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาอยู่หลายประเด็น ได้แก่ ประการแรกน้องแตงโมเสียชีวิตจากสาเหตุอะไร ประการที่สองสาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตมาจากวิธีการอย่างไรและใช้สิ่งใดเป็นเครื่องมือ ประการที่สามใครเป็นผู้กระทำให้เกิดสาเหตุเช่นนั้น และมีใครเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง  ประการที่สี่การกระทำนั้นเกิดในเวลาก่อนน้องแตงโมขึ้นเรือ หรือในเวลาขณะน้องแตงโมอยู่บนเรือ

ประการสุดท้ายการกระทำนั้นเกิดในสถานที่ก่อนน้องแตงโมขึ้นเรือ หรือขณะน้องแตงโมอยู่บนเรือ ประเด็นต่างๆเหล่านี้ผู้ให้ข้อมูลหรือวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้แสดงพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุหรือพยานเอกสาร เพื่อพิสูจน์ในประเด็นข้อเท็จจริงต่างๆที่ผู้เขียนตั้งเป็นข้อสังเกตแต่อย่างใดเลย ดังนั้น การกล่าวอ้างว่าการเสียชีวิตของน้องแตงโมเกิดจากการฆาตกรรมจึงมีลักษณะเป็นการคาดเดาหรือจินตนาการในทางอัตตวิสัยโดยปราศจากพยานหลักฐานรองรับ

นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ข้อมูลหรือวิพากษ์วิจารณ์ออกสื่อสาธารณะ โดยที่บุคคลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งก่อน ขณะ และหลังเกิดเหตุแต่อย่างไร แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์เสมือนตนเองอยู่ในเหตุการณ์ โดยนำความเห็นของแพทย์ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติเวชหรือไม่และมิได้เป็นผู้เข้าไปตรวจชันสูตรพลิกศพด้วยตนเอง มาสนับสนุนข้อสมมุติฐานหรือความเห็นว่าการเสียชีวิตของน้องแตงโมเกิดจากการฆาตกรรมนั้น ย่อมทำให้สังคมโดยรวมเกิดความสับสนได้ เพราะความเห็นของแพทย์ดังกล่าวก็เป็นพยานบอกเล่า ดังที่ได้กล่าวมาก่อนแล้วจึงเป็นการขัดต่อหลักการลามสูตรของพระพุทธเจ้าที่ว่า อย่าเชื่อเพราะเล่าสืบกันมา  และอย่าเชื่อเพราะคิดหรือจินตนาการเอาเอง  

ท้ายนี้ ท่านผู้อ่านบทความนี้ที่มีวิจารณญาณด้วยเหตุและผลบนพื้นฐานที่ปราศจากอคติ มีเหตุผลรองรับเชิงวิทยาศาสตร์ที่กระบวนการยุติธรรมทั่วโลก ปฎิบัติเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมให้เป็นไปตามเจตนาของกฏหมายหรือไม่ ก็ตรึกตรองเอาเองว่าจริงหรือไม่.?   คดีดราม่า มีใหัเห็นกันแล้วมากมาย เช่นคดีลุงพล คดีเกาะเต่า คดีเสือดำ คดีระเบิดแยกราชประสงค์ ฯลฯ เกาะกระแสกันจนโด่งดัง ดึงเรทติ้ง กันทั่วหน้า ล้วนแล้วกลุ่มเดิมๆวนแบบนี้ตลอดมา ช่างอนาจแท้สังคมดราม่า  .!!!!

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img