สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย

292

สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย

ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามา แฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส., พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หน.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้
1. สตม. รวบหนุ่มเกาหลี โอเวอร์สเตย์พบประวัติฉ้อโกงซุกไทย
เจ้าหน้าที่ชุด ศปชก.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่าพบเห็นคนต่างด้าวซึ่งมักจะมาปรากฎตัวภายใน ซอยร่มประดู่ ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จว.สมุทรปราการ มีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าจะเข้ามาอยู่ในประเทศไทย โดยผิดกฎหมาย จากการสืบสวนทราบว่าคนต่างด้าวดังกล่าวคือ MR.LEE (นามสมมติ) อายุ 36 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้ว รวมเป็นเวลา 93 วัน จึงได้ประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย เพื่อให้ตรวจสอบประวัติ รับแจ้งว่า MR.LEE มีประวัติกระทำความผิดในคดีฉ้อโกง ซึ่งศาลเกาหลีใต้ได้พิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยมีพฤติการณ์กระทำความผิดคือ MR.LEE ได้เปิดสำนักงานนักสืบเอกชนและหลอกลวงบุคคลอื่นว่าสามารถช่วยเหลือทางคดีต่าง ๆ ได้ มีผู้เสียหายหลงเชื่อ มูลค่าความเสียหายรวมเป็นเงิน 300,000,000 ล้านวอน จากนั้น MR.LEE ได้เดินทางมายังประเทศไทย
ต่อมาเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ได้สืบสวนทราบว่า MR.LEE จะเดินทางมาที่บริเวณลานจอดรถบริษัทแห่งหนึ่ง ภายในซอยร่มประดู่ ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จว.สมุทรปราการ จึงได้วางกำลังเฝ้าจับกุม จนกระทั่งพบ MR.LEE จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเข้าจับกุมโดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (Overstay) นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.บางพลี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
2. สตม. ร่วม ป.ป.ส. รวบสาวจีนค้ายาไอซ์ข้ามชาติ
ด้วย ศปชก.สตม. ได้รับการแจ้งข้อมูลกรณีพบคนต่างด้าวมาพักอาศัยในอพาร์ทเม้นท์ย่านห้วยขวาง มีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าจะเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย จากการสืบสวนทราบว่าคนต่างด้าว รายดังกล่าวคือ นางซุน (นามสมมติ) อายุ 42 ปี สัญชาติจีน ซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุด รวมเป็นเวลา 1,279 วัน จึงได้ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พบข้อมูลของคนต่างด้าวรายดังกล่าวว่ามีประวัติกระทำผิดในสาธารณรัฐประชาชนจีนในข้อหาลักลอบค้ายาเสพติด โดยมีพฤติการณ์ในการกระทำความผิดคือ ได้ส่งพัสดุไปรษณีย์ซึ่งภายในพัสดุซุกซ่อนยาเสพติด (ไอซ์) น้ำหนักรวม 210 กรัม ไว้ภายในถุงขนมช็อกโกแลต จำนวน 43 ห่อ ซึ่งพัสดุไปรษณีย์ดังกล่าวส่งจากประเทศไทยปลายทาง เมืองเซิ่นหยาง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทางการสืบสวนของทางการสาธารณรัฐประชาชนจนพบว่านางซุนเป็นตัวการในการกระทำความผิด จึงได้ออกหมายจับนางซุนในข้อหาลักลอบค้ายาเสพติด และมีข้อมูลว่านางซุนอาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย
ต่อมาเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. และ ป.ป.ส. ได้สืบสวนทราบว่านางซุนพักอาศัยอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ย่านห้วยขวาง แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ จึงไปตรวจสอบจนกระทั่งพบนางซุนจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเข้าจับกุม โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาติสิ้นสุด (Overstay) และนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
3. รวบแก๊งเวียดนามเทา 9 ราย เหิมเกริมหนักอุ้มรีดเงินหญิงไทยและหนุ่มไต้หวัน กว่า 1.7 ล้าน เจ็บหนักปางตาย
กก.4 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งข้อมูลจากแหล่งข่าวว่าได้มีกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวนและสัญชาติได้ทำการกักขังหน่วงเหนี่ยวหญิงไทยและหนุ่มไต้หวัน เพื่อให้ยอมชดใช้เงินจำนวนกว่า 1.7 ล้านบาท โดยได้ทำการขู่ฆ่าและทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าหญิงไทยที่ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังคือน.ส.สุชาดา (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี สัญชาติไทย และ MR.LI สัญชาติไต้หวัน อายุ 21 ปี (ซึ่งจากการประสานงานกับ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันพบว่าเป็นบุคคลที่มีประวัติกระทำผิดในไต้หวันในข้อหาทำร้ายร่างกาย) โดยผู้ก่อเหตุ เป็นกลุ่มคนสัญชาติเวียดนามที่ทำธุรกิจในประเทศไทยและทำการซื้อขายเงินดิจิตอลกับบุคคลอื่น โดยจะต้องมีคนกลางแนะนำและพาเข้ามาที่บ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 41 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการเฝ้าดูที่บ้านหลังดังกล่าวพบว่ามีลักษณะพิรุธและสังเกตุเห็นคนต่างด้าวลักษณะคล้าย คนเวียดนามอยู่ในบ้านหลายคน และพบรถยนต์ยี่ห้อมาสด้า สีแดง หมายเลขทะเบียน 2148 กรุงเทพมหานคร จากการตรวจสอบพบว่าเป็นป้ายทะเบียนปลอม ได้ขับออกจากบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสะกดรอยตาม ไปที่โกดังแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี และเฝ้าดูที่บริเวณโกดังดังกล่าว จากนั้นในช่วงเวลาดึกของคืนวันเดียวกันได้พบรถยนต์คันดังกล่าวขับออกมาจากโกดังหลังดังกล่าวและมุ่งหน้ากลับมาที่กรุงเทพฯ และได้เข้าไปที่บ้านในซอยลาดพร้าว 41 หลังเดิม และเห็นว่าได้มีคนเวียดนามนำผู้หญิงและผู้ชายเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงเชื่อว่าบุคคลทั้งสองคือบุคคล ที่เป็นคนที่ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังตามที่ได้รับข้อมูล จึงได้จัดกำลังเฝ้าดู อีกทั้งจากการประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันที่ประจำประเทศไทยรับ แจ้งว่า บิดาของ MR.LI ได้แจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจจงพิง เมืองนิวไทเปว่า MR.LI ได้โทรศัพท์มาหาขอให้โอนเงินไปให้ โดยได้แจ้งว่าถูกกักขังและถูกทำร้ายและจะถูกฆ่า กก.4 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญาเข้าทำการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว จากการตรวจค้นพบน.ส.สุชาดา และ MR.LI ถูกควบคุมกักขังอยู่ในห้องภายในบ้านและพบคนร้ายที่เป็นคนสัญชาติเวียดนาม จำนวน 9 ราย คือ

1.MR.PHAM VAN (นามสมมติ) อายุ 40 ปี (หัวหน้า)

2.MR.PHAM NGOC (นามสมมติ) อายุ 37 ปี (รองหัวหน้า)
3.MR.NGUYEN XUAN (นามสมมติ) อายุ 49 ปี
4.MR.NGOC PHAP (นามสมมติ) อายุ 34 ปี
5.MR.NGUYEN NGOC (นามสมมติ) อายุ 41 ปี
6.MR.NGUYEN THANH (นามสมมติ) อายุ 33 ปี
7.MR.TRAN VU อายุ 41 ปี
8.MR.NGOC TU (นามสมมติ) อายุ 35 ปี
9.MR.NGUYEN HOU อายุ 40 ปี

    และพบอาวุธปืนลูกโม่ ยี่ห้อ SMITH & WESSON ขนาด .22 ไม่มีหมายเลขทะเบียน จำนวน 1 กระบอก, เครื่องกระสุนปืน จำนวน 33 นัด, รถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีเทา หมายเลขทะเบียน 531 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ยี่ห้อ มาสด้า สีแดง ทะเบียน 2148 กรุงเทพมหานคร (หมายเลขทะเบียนปลอม) จากการสอบถาม น.ส.สุชาดา และ MR.LI ให้การว่า น.ส.สุชาดา เป็นแฟนของ MR.LI โดยทั้ง 2 คน ได้เดินทางเข้ามาที่บ้านในซอยลาดพร้าว 41 โดยมีนายหน้าคนไทยไม่ทราบชื่อได้พามาเนื่องจาก MR.LI ต้องการซื้อเหรียญ usdt จำนวน 50,000 เหรียญ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,700,000 บาท และหลังจากที่เข้ามาแล้วได้พบกับ MR.PHAM NGOC และบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่ในบ้านหลังดังกล่าว และได้มีการตกลงพูดคุยเรื่องราคาและตกลงทำการซื้อขายกัน หลังจากที่ MR.PHAM NGOC ได้โอนเหรียญ usdt จำนวน 50,000 ไปยังกระเป๋ารับเงินตามที่ MR.LI แจ้งนั้นปรากฏว่า MR.LI ไม่ได้โอนเงินไทยให้ เนื่องจาก MR.LI เป็นเพียงคนกลางของบุคคลที่ชื่ออาตง ซึ่งได้พยายามติดต่อกับอาตงแต่ปรากฏว่าหลังจากที่อาตงได้รับเหรียญไปแล้ว ได้ตัดสายและไม่สามารถติดต่อได้อีกหลังจากนั้นทางกลุ่มผู้ต้องหาสัญชาติเวียดนามได้กักขังหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายทั้งสองราย และได้พูดข่มขู่เพื่อให้หาเงินมาชดใช้ให้ได้ไม่งั้นจะฆ่าเสีย ซึ่งเวลาผ่านไปก็ยังไม่สามารถนำเงินมาชดใช้ได้ ซึ่งทาง MR.LI ได้โอนเหรียญ usdt คืนแค่จำนวน 990 เหรียญเท่านั้น กลุ่มผู้ต้องหาจึงได้เริ่มทำร้ายร่างกาย MR.LI และข่มขู่ น.ส.สุชาดา จากนั้นได้พาตัว MR.LI ขึ้นรถและเดินทางออกไปที่โกดังแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี ทิ้งให้ น.ส.สุชาดา อยู่ที่บ้านกับผู้ต้องหาคนสัญชาติเวียดนามคนอื่น จากนั้น น.ส.สุชาดา ได้ถูกนำตัวขึ้นรถยนต์ ยี่ห้อมาสด้า สีแดง เดินทางไปที่โกดังดังกล่าวและได้พบกับ MR.LI โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้ใช้อาวุธ เช่น กระบองเหล็กทุบตี ใช้เชือกรัดคอ กรรไกรตัด กิ่งไม้จะนำมาตัดนิ้วของ MR.LI และใช้อาวุธปืนตบไปที่ศรีษะของ MR.LI และใช้อาวุธปืนจ่อศรีษะและขู่ว่าถ้ายังหาเงินไม่ได้จะฆ่าและฝั่งศพไว้ที่นี้ จากนั้น MR.LI ได้ทำการโทรศัพท์ติดต่อหาญาติเพื่อให้ช่วยหาเงินมาชดใช้ แต่ก็ยังไม่สามารถชดใช้ได้ ต่อมาในช่วงกลางคืน ผู้ต้องหาได้พาผู้เสียหายทั้งสอง กลับมาที่บ้านในซอยลาดพร้าว 41 อีกครั้ง และให้เวลาภายในวันรุ่งขึ้นไม่งั้นจะฆ่าทิ้ง จนกระทั่งได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. เข้ามา ทำการช่วยเหลือ ในเบื้องต้นจึงได้ขออนุมัติ ผบก.สส. เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของผู้ร่วมก่อเหตุ ทั้ง 9 ราย และได้ตรวจยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำความผิด นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมกับได้นำผู้เสียหายทั้งสองรายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ร่วมก่อเหตุทั้ง 9 ราย จากการนำตัว MR.LI ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยสังเกตจากภายนอกพบว่ามีบาดแผลที่บริเวณศรีษะ ใบหน้า ลำตัว ท่อนแขน จำนวนหลายจุด และบริเวณคอมีรอยจากการที่ถูกเชือกรัด และจากการนำหมายค้นของศาลจังหวัดสุพรรณบุรีเข้าตรวจค้นโกดังที่จังหวัดสุพรรณบุรี พบเชือกไนล่อนสีเขียวที่กลุ่มผู้ต้องหานำมาใช้ในการรัดคอผู้เสียหาย, กรรไกรตัดกิ่งไม้ ท่อนเหล็ก ที่ใช้ในการทำร้ายผู้เสียหาย และพบ MEMORY CARD ของกล้องวงจรปิด จึงได้ทำการตรวจยึดและส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

    สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ https://www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

    #Thaitabloid#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์#สตม.#ข่าวอาชญากรรมวันนี้