สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ข่าวที่สะท้อนใจเกี่ยวกับบทบาทของตำรวจ 2 ข่าว โดยข่าวแรกชายวัย 34 ปี ชาวสมุทรสงคราม ผูกคอตายใต้สะพาน พื้นที่ ต.ยี่สาร อ.อัมพวา เขียนจดหมายลาตายว่าถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกลงทุนสูญเงินเกือบสองแสนบาท ฝากถึง กัน จอมพลัง อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ให้ช่วยลากมิจฉาแก๊งนี้เข้าคุกด้วย
ถ้าถามว่าทำไมหนุ่มคนนี้ไม่เขียนถึงตำรวจแต่กลับเขียนถึง กัน จอมพลัง ให้ช่วยติดตามคดีหวังให้จับกุมคนร้ายให้ได้ คงตอบไม่ยากเพราะในภาวะปัจจุบัน ถ้าร้องผ่านอินฟลูเอนเซอร์ จะบรรลุผล แต่ถ้าแจ้งตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย มักจะถูกละเลย ถ้าร้องผ่านอินฟลูเอนเซอร์หรือสื่อดังปัญหาหรือคดีความจะได้รับการสะสางจนผู้ร้องพอใจ
ข่าวที่สองสื่อโซเซียลแชร์ข่าวกองบังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 2 (บก.อ.ภ.2) ทำบันทึกข้อความลงวันที่ 8 สิงหาคม ถึงผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) รองผบช.ภ.2 เพื่อโปรดทราบระบุว่า ด้วย บก.อก.ภ.2 จัดทำโครงการคืนหนูกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อจับหนูที่อยู่ในอาคาร ไปปล่อยสู่ธรรมชาติที่ห่างไกลชุมชน จึงส่งโครงการดังกล่าว เพื่อแจ้งข้าราชการตำรวจเข้าร่วมโครงการคืนหนูสู่ธรรมชาติ ท้ายบันทึกข้อความ ระบุว่า ให้แจ้งผลการปฏิบัติในแต่ละวัน ส่ง สง.ผบก.อก.ภ.2 เพื่อทราบและดำเนินการ
นอกจากสื่อนำเสนอแล้วปรากฏว่าในกลุ่มไลน์ ของตำรวจเกือบทุกกลุ่มนำบันทึกข้อความนี้ไปแชร์พร้อมแสดงความเห็นเชิงเหน็บแนมว่าตำรวจทำได้ทุกหน้าที่จริงๆ
บางข้อความบอกว่าใช้สมองส่วนไหนคิดโครงการ พร้อมตั้งคำถามว่า จับไปปล่อยห่างไกลชุมชน ต้องห่างแค่ไหน ถ้าอยู่เขตเทศบาลเมืองชลบุรี ต้องไปปล่อยที่ป่าไหน ป่าปราจีนบุรี หรือจันทบุรี หรือป่าแถวสัตหีบหรือระยอง ต้องเสียเงินค่าน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์ น่าจะใช้งบฯนี้ไปจ่ายเป็นค่าน้ำมันให้รถสายตรวจน่าจะดีกว่าไหม เพราะงบฯน้ำมันสายตรวจทุกโรงพักไม่เพียงพอในการตระเวนตรวจแต่ละเดือนอยู่แล้ว บางข้อความบอกว่า คิดโครงการได้ทะลุโลกจริงๆ สั่งจังตังค์ไม่มี
ที่ยกสองข่าวนี้มาเพื่อสื่อให้เห็นว่าประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ และตำรวจเองไม่ค่อยจะเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้นำหน่วยแทนที่จะคิดโครงการพัฒนาให้ตำรวจทำงานอย่างมีศักยภาพกลับให้ไปทำหน้าที่จับหนู
ถ้ามองอย่างวิเคราะห์พออนุมานได้ว่าการบริหารงานบุคคลของตำรวจค่อนข้างล้มเหลว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงกว่า 8 ปี ที่เผด็จทหารครองอำนาจองค์กรตำรวจทรุดหนักในทุกๆด้าน ทั้งขวัญกำลังใจและเส้นทางเติบโตในหน้าที่การงานมืดมน การแต่งตั้งโยกย้ายตั้งอยู่บนฐานแห่งการวิ่งเต้น จ่ายปัจจัย
ช่วงเดือนสิงหาคมต่อเนื่องกันยายน เป็นห้วงแห่งการแต่งตั้งโยกย้าย เชื่อว่าสิ่งตำรวจอยากเห็นมากที่สุดคือการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรม บุคคลที่จะทำความเชื่อนี้ให้เป็นจริงคือ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจ
เพียงแค่ทำตามที่เคยพูดไว้ที่กรมศุลกากรเมื่อช่วงนั่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ นำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ว่า
”ผมมีความลำบากใจมากเลย ตั้งแต่มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องวิ่งเต้น เป็นเรื่องที่ผมสลดใจอย่างยิ่ง เรื่องเกียรติศักดิ์ศรี ของข้าราชการไทย หายนะหมดครับ เรื่องวิ่งเต้นเนี่ย ผมบอกเลยนี่พูดกันในห้องเลย นักข่าวออกไปหมดแล้ว กระทรวงนี้กรมที่มีการวิ่งเต้นเยอะที่สุดเป็นหลายๆเท่าเลย คือกรมศุลกากร ส่อให้เห็นว่าจริงๆแล้ววิ่งเต้นกันเพื่ออะไรท่านไม่ต้องไปสมัครเรียนคอร์สต่างๆ ที่มันผลิตอภิสิทธิ์ชนขึ้นมาหรอก แล้วไปตีกอล์ฟเพื่อให้แพ้เขา เพื่อจะได้มีคนช่วยผลักดัน ให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อย่าทำเลยครับเสียศักดิ์ศรีข้าราชการไทย มีคนทำกันเยอะ ถ้าเกิดจะให้ตำแหน่งใคร ใครจะผิดหวัง มีคนไปบอกผมว่าคนนี้สนิทกับคนนี้ ผมไม่แคร์หรอกครับ รัฐบาลเอาผลงานเป็นหลัก จากนี้ต่อไปขอให้หยุดเรื่องวิ่งเต้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านไหน ค่ายไหนก็ตาม ขอให้หยุด คนจรดปากกาคือผมนะครับ”
นายเศรษฐา คงรู้สึกระอา จนระบายความรู้สึกออกมาแบบนี้ แต่เพื่อพิสูจน์ว่าพูดแล้วทำ อยากให้ นายเศรษฐานำความรู้สึกที่พูดไว้นั้นมาเป็นแนวทางปฏิบัติในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่จะมีขึ้นในช่วง1-2 เดือน น่าจะเป็นผลดีต่อองค์กรตำรวจและช่วยกู้วิกฤตองค์กรตำรวจให้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็วด้วย ที่ให้นำมาใช้เพราะวัฒนธรรมการแต่งตั้งโยกย้ายของกรมศุลกากรและตำรวจไม่แตกต่างกันเลย พวกนักวิ่งเต้นต่างวางเป้าหมายขอนั่งในตำแหน่งที่มากด้วยผลประโยชน์แทบทั้งสิ้น
ดังนั้นเพื่อยืนยันว่าผู้นำยุคนี้พูดจริงทำจริง นายเศรษฐาประเดิมผลงานชิ้นแรกได้เลยนั่นคือการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้ด้วยการเสนอ รองผบ.ตร.มีคุณสมบัติครบตามที่กฎหมายตำรวจกำหนด ให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)ลงมติไฟเขียว หากทำได้จริงตำรวจและประชาชนจะเชื่อว่านายเศรษฐา รังเกียจพวกเด็กฝากและนักวิ่งเต้นจริงๆตามที่ลั่นวาจาไว้!!!