สภาล่มสัญญาณปั่นค่าตัว?
วอน”กก.”เลิกเล่นบทจุกจิก
ชี้ 2 กรณีปัจจัยวัดอายุ”ครม.นิด1”

พลันที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน หรือบิ๊กนิด จัดโผลงตัว ก็เกิดปรากฏการณ์การประชุมสภาผู้แทนราษฎรล่มเป็นครั้งแรกในวันที่ 31 สิงหาคม
โดยมี สส.พรรคร่วมรัฐบาลกว่า 300 เสียงแสดงตนแค่ 96 คน มี สส.พรรคก้าวไกล เดินเกมนับองค์ประชุมมีสส.แสดงตนเพียง 4 คน จากจำนวน สส.141 คน ส่วนใหญ่ตั้งใจที่จะไม่แสดงตน
จนเกิดการวิวาทะโทษกันไปมาระหว่างแกนนำเพื่อไทยกับแกนนำก้าวไกล ต่างงัดเหตุผลมาอธิบายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับพรรคตัวเอง
ในสถานการณ์แบบนี้พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลภาพลักษณ์จะเสียหายกว่าพรรคก้าวไกล เพราะที่ผ่านมาเกมนับองค์ประชุมเป็นอาวุธสำคัญที่เพื่อไทยกระทำมาก่อน เมื่อเป็นแกนนำรัฐบาลอาวุธนี้ก็คืนสนอง
แต่สภาล่มครั้งนี้ทำให้อดมองไม่ได้ว่าก๊วน สส.ที่อกหักจากตำแหน่งเสนาบดี กำลังใช้กลไกสภาเป็นเครื่องมือปั่นราคาค่าตัวหรือไม่?
เพราะเป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักการเมืองว่าหากได้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรี บริหารงบประมาณกระทรวงนับพันหรือนับหมื่นล้านหรือแสนล้าน จะมีเงินทอนแบบเป็นกอบเป็นกำ เลี้ยงดู สส.ในก๊วนไว้เป็นฐานเสียงเพื่อต่อรองกับพรรคได้อย่างสบาย
ครั้นทอดมองถึง สส.พรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่ล้วนเก๋าเกม รู้ช่องทางให้ได้มาซึ่งรายได้เข้ากระเป๋า เมื่ออกหักจากตำแหน่งรัฐมนตรีก็ต้องใช้กลเกมในสภามาต่อรอง
ซึ่งเหล่า สส.ต่างทราบกันดีว่านอกจากเงินเดือนเรือนแสนที่เป็นภาษีของชาวบ้านแล้ว ยังมีเงินสนับสนุนจากพรรคเป็นรายเดือนอีกต่างหาก พรรคใหญ่มีรัฐมนตรีคุมหลายกระทรวง รายได้ก็จะอยู่ที่ 300,000-500,000 บาท พรรคเล็กก็ลดหลั่นกันไป
ยิ่งในช่วงที่รัฐบาลถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ สส.จะมีความสำคัญราคาก็จะพุ่ง ในอดีตจะจ่ายกันแบบยื่นซองขาวให้กันในห้องน้ำหรือจ่ายในห้องรับรองที่สภาหรือโรงอาหารสภาฯ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลยุทธของผู้จ่ายจะใช้แบบไหนและจะใช้ศัพท์แบบก้อนหรือกิโล
แต่ยุคของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คำศัพท์การจ่ายเงินเลี้ยงดู สส.ของซีกรัฐบาลและ สส.งูเห่าก็เปลี่ยนมาเป็นกล้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแล สส.พรรคพลังประชารัฐและพรรคเล็กที่ร่วมรัฐบาล น่าจะเป็นคนแรกที่ใช้คำนี้
ในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ เกิดสภาล่มบ่อยครั้ง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้สนใจเพราะแม้แต่จะไปตอบกระทู้ถามสดก็ละเลย เนื่องจากเชื่อมั่นว่าไม่ได้ส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลเพราะทุกพรรคล้วนอยู่ในโอวาท
แต่ยุคนี้เป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้ว พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำ มีอำนาจต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาลน้อยมาก กระทรวงหลักๆ ล้วนแต่ถูกพรรคร่วมรัฐบาลเก่ายึดไปครอบครอง
ส่งผลให้สส.เพื่อไทยบางกลุ่มไม่พอใจ ยิ่งสส.รุ่นเก๋าหลายคนที่ไม่ได้นั่งเสนาบดีก็เกิดอาการงอน บางคนถึงขั้นไปไม่ร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่นก็เกิดกระแสความไม่พอใจในการจัดสรรโควตารัฐมนตรีไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นปรากฏการณ์ประเดิมสภาล่มน่าจะส่งสัญญาณได้ดีว่า ถ้าแต่ละพรรคไม่จัดสรรกล้วยให้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญโอกาสที่สภาล่มซ้ำซากก็เป็นไปได้สูงและอาจจะลามถึงกฎหมายสำคัญๆที่ต้องผ่านสภาแล้วเกิดอาการแท้งก็เป็นได้
ซึ่งภาระหนักนี้พรรคคงให้บรรดารัฐมนตรีแบกรับจัดกล้วย จะเป็นวิธีไหนขึ้นอยู่กับฝีมือรัฐมนตรีแต่ละคน แต่เงินทอนจากโครงการต่างๆมีแน่นอน เพราะพฤติกรรมลักษณะนี้ฝังรากลึกในระบบการเมืองไทยทุกระดับมายาวนาน
ดังนั้นภาระปกป้องภาษีของประชาชนไม่ให้กลายเป็นเงินทอน ต้องตกอยู่ที่พรรคก้าวไกล ในฐานะฝ่ายค้าน ที่เคยสร้างผลงานกระฉ่อนเขย่าขวัญรัฐมนตรียุค พล.อ.ประยุทธ์ จนหลายคนต้องเว้นวรรครับตำแหน่ง แต่การบ้านข้อนี้ถ้าก้าวไกลอยากทำให้เครดิตเพิ่มขึ้นกว่าเดิม อยากให้ทบทวนให้ดีๆ เพราะนับแต่ก้าวไกลพ่ายเกมจัดตั้งรัฐบาล ก็เกิดอาการเล่นการเมืองแบบจุกจิก หยิบประเด็นเล็กประเด็นน้อยขึ้นมาเสียดสีมากเกินไป
บางครั้งก็เกิดอาการก้าวพลาดอย่างกรณีของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1โพสต์คลิปดื่มคราฟต์เบียร์โชว์ อาจเข้าข่ายผิดพ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฐานโฆษณา หรือกรณีใช้งบรับรองเลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านสภา 370 คน จนเกิดกระแสดรามาในโลกออนไลน์ว่าใช้งบประมาณผิดประเภทและโฆษณาตัวเอง
ทั้งสองกรณีล้วนมีกฎหมายรองรับอยู่ แทนที่จะชี้แจงให้กระจ่างก็กลับไปแถเรียกร้องให้เปิดการใช้งบรับรองหรือยกเลิกกฎหมายโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หากถามว่าทั้งสองกรณีเป็นผลดีกับประชาชนไหมก็คงตอบว่าดี แต่เมื่อมีกฎหมายรองรับอยู่ก่อนกระทำก็ควรพิเคราะห์ให้ดีก่อนไหม เพราะเมื่อถึงบทสรุปแล้วก็ต้องใช้จ่ายค่าปรับและต้องใช้งบนี้รับรองแขกอยู่ดีถ้ายังอยู่ในตำแหน่งรองประธาน
หรือกรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.ระบบบัญชีพรรคก้าวไกล หยิบปมประธานยุทธศาสตร์ 20 ปี กล่าวหาว่าพล.อ.ประยุทธ์ ว่ายังคงนั่งเป็นประธานยุทธศาสตร์คุมรัฐบาลต่อ แต่ความจริงประธานฯคือนายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่ง แม้ภายหลังจะออกมาแก้ข่าวแล้วก็ตาม
กรณีเหล่านี้บรรดาคอการเมืองมองว่าเป็นก้าวย่างที่พลาด มุ่งที่จะดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป ซึ่งอาการแบบนี้ไม่ควรจะเกิดกับพรรคก้าวไกลที่มีบุคลากรเปี่ยมคุณภาพ
“จากนี้ไปก็ได้แต่หวังว่าพรรคก้าวไกล ทบทวนจังหวะก้าวใหม่เลิกเล่นบทจุกจิก เสียดสีประเด็นเล็กประเด็นน้อย เพราะสังคมต่างรับรู้แล้วว่านักการเมืองกลุ่มไหนคือพวกตระบัดสัตย์ แล้วหันมาสวมบทฝ่ายค้านที่เปี่ยมคุณภาพดังเดิม”
เพราะมีการบ้านข้อใหญ่จากรัฐบาลเศรษฐา รอให้จัดการ หากเกิดมหกรรมเงินทอน เอื้อประโยชน์กลุ่มทุน ละเลยกระบวนการยุติธรรม ประเด็นเหล่านี้ล้วนมีเบาะแสอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นปมสภาล่มที่ถูกมองว่าปั่นค่าตัว หรือปม น.ช.ทักษิณ ชินวัตร
ถ้าพรรคก้าวไกลคืนฟอร์มฝ่ายค้านเปี่ยมคุณภาพ และ สส.พรรคร่วมรัฐบาลใช้กลไกสภาปั่นราคา ล้วนเป็นปัจจัยวัดอายุรัฐบาลเศรษฐา 1 ได้ทั้งสิ้น !!!


