กองทัพเรือ ขัดขวางขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติและ Cyber Scam ตามแนวชายแดนจันทบุรีอย่างต่อเนื่อง จับกุมบุคคลต่างด้าว 19 ราย

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี (กปช.จต.) ได้ดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและขัดขวางขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 เวลา 04.30 น. กปช.จต. โดย ฉก.นย.จันทบุรี (ชค.ทพ.นย.2) ร่วมกับกองร้อยทหารพรานนาวิกโยธินที่ 523 (บ้านสวนส้ม) ภายใต้การอำนวยการของ นาวาเอก วีระเชษฐ์ ขยันทำ หัวหน้าชุดควบคุมทางยุทธการ ชค.ทพ.นย.2 และการควบคุมการปฏิบัติของ ร้อยโท ทนงศักดิ์ วงษ์วิลัย ผู้บังคับกองร้อยฯ

ได้บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรสะตอน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 สย.3 และผู้นำท้องถิ่น

ผลการปฏิบัติ สามารถ จับกุมบุคคลต่างด้าวจำนวน 19 ราย ประกอบด้วย สัญชาติจีน 18 ราย และสัญชาติเมียนมา 1 ราย บริเวณไร่แตงโมด้านหลังฐานปฏิบัติการที่ 6 จากการตรวจสอบพบว่า ทั้งหมดไม่มีเอกสารการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยชอบด้วยกฎหมาย จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่ามีความพยายามจะหลบหนีเข้าไปในกัมพูชา โดยมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการผิดกฎหมาย Cyber Scam เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.สะตอน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ การปฏิบัติภารกิจดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และได้ยึดถือหลักสิทธิมนุษยชน โดยปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 อย่างครบถ้วนในทุกขั้นตอน

กองทัพเรือ ยืนยัน จะดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและขัดขวางขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติโดยเฉพาะอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Cyber Scam) ในประเทศกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสกัดกั้นและตัดตอน ไม่ให้ใช้พื้นที่ของประเทศไทยเป็นทางผ่านในการกระทำผิดกฎหมาย อันเป็นภัยต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาคมโลก และจะยังคงบูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อปกป้องอธิปไตย รักษาความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยของประชาชน

“นฤมล” เฝ้าฯ รับเสด็จ กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงเปิดเวทีวิชาการ Thailand-Japan Student Science Fair 2025 หนุนเยาวชนไทย-ญี่ปุ่นโชว์นวัตกรรมวิทยาศาสตร์ สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่สู่เวทีโลก

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.68 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงานประชุมวิชาการ Thailand-Japan Student Science Fair 2025 (TJ-SSF2025) โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กราบบังคมทูลรายงาน และเฝ้าฯ รับเสด็จ พร้อมด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ทรงคุณวุฒิที่ปรึกษา คณะกรรมการพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย คณะผู้บริหาร ครู และนักเรียน ณ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัส ว่า ในปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยากจะคาดการณ์ ซึ่งกำลังคุกคามชีวิตมนุษย์ อาทิ ภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเพิ่มพูนความเข้าใจถึงต้นเหตุของภัยพิบัติเหล่านี้ ช่วยให้เราสามารถพยากรณ์การเกิดภัย พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงนวัตกรรม เพื่อการเตือนภัยล่วงหน้า บรรเทาผลกระทบ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ

ดังนั้น ข้าพเจ้ามั่นใจว่าการประชุมครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพเยาวชน เพื่อสร้างนวัตกรรม และนำไปประยุกต์ใช้จริง ถือเป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วนของทุกประเทศ ด้วยการมอบการศึกษาที่มีคุณภาพ ทรัพยากรที่เพียงพอ การให้คำปรึกษาแนะนำ และโอกาสในการเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ที่กระตุ้นความใฝ่รู้ ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์ ด้วยความเข้มแข็งและอดทน เพื่อให้พวกเขาก้าวขึ้นเป็นนักวิจัยรุ่นใหม่ ที่จะทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการนำพาชาติบ้านเมือง ผ่านพ้นความเปลี่ยนแปลงและสร้างความก้าวหน้าในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการให้เข้มแข็ง และกระชับสายสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างเยาวชนไทยและญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่มีความหมายของปัญญาชนรุ่นใหม่ ไปช่วยขับเคลื่อนความก้าวหน้าของโลก ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม อันจะนำมาซึ่งความยั่งยืน ทั้งในประเทศของเราและประชาคมโลก

ศ.ดร.นฤมล กราบบังคมทูลรายงาน ความตอนหนึ่งว่า การจัดงานประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของนักเรียนไทยและญี่ปุ่น ประจำปี 2567 (Thailand-Japan Student Science Fair 2024) ครั้งนี้ นับเป็นเกียรติและเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสต้อนรับผู้เข้าร่วมงานกว่า 571 คน จากสถานศึกษา 75 แห่ง ประกอบด้วย คณะผู้บริหาร ครู และนักเรียน จากกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ทั้ง 18 แห่ง โรงเรียนคู่พัฒนา และโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั่วประเทศไทย ตลอดจนคณะนักเรียนจากโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำ (Super Science High Schools) และสถาบัน National Institute of Technology (KOSEN) จากประเทศญี่ปุ่น

ในโอกาสนี้ ขอพระราชทานพระราชานุญาตให้ตัวแทนนักเรียนจากประเทศไทย 1 กลุ่ม และตัวแทนนักเรียนจากประเทศญี่ปุ่น 1 กลุ่ม ได้นำเสนอผลงานทางวิชาการ ตามลำดับ จากนั้นขอพระราชทานพระราชานุญาต เบิกตัว ศาสตราจารย์ ดร. อามาโนะ ฮิโรชิ (Professor Dr. Amano Hiroshi) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประจำปี 2014 จากมหาวิทยาลัยนาโกย่า บรรยายพิเศษผ่านระบบออนไลน์ และเบิกตัว นายแพทย์ ธีรเมธ ปังประเสริฐ แพทย์ประจำบ้านด้านประสาทวิทยา โรงพยาบาลศิริราช เพื่อบรรยายในลำดับต่อไป

ศ.ดร.นฤมล กล่าวด้วยว่า การจัดงานในปีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ให้มีคุณภาพทัดเทียมกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำระดับนานาชาติ ตลอดจนเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนการนำเสนอผลงานวิชาการ และโครงงานวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นำของประเทศญี่ปุ่น

ภายในงานมีกิจกรรมประกอบด้วย การนำเสนอโครงงานนักเรียนในรูปแบบปากเปล่า ในสาขาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์, กิจกรรมนักเรียนในห้องปฏิบัติการ แบ่งเป็น 6 ห้อง ได้แก่ ห้องฟิสิกส์ ห้องโลกดาราศาสตร์ ห้องเคมีและวัสดุศาสตร์ ห้องสะเต็มและเทคโนโลยี ห้องชีววิทยาและสิ่งแวดล้อม และห้องคณิตศาสตร์, สำหรับกิจกรรมครู เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การพัฒนานักเรียนสู่การสร้างโครงงานที่มีประสิทธิภาพ, การเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างประเทศ จากการประชุมและนำเสนอผลงานวิชาการผู้นำทางการศึกษาระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น Thailand -Japan Educational Leaders Symposium หรือ TJ-ELS2025, การนำเสนอผลงานวิชาการ งานวิจัย และนวัตกรรมการเรียนการสอนของครู ตลอดจนการประชุมผู้บริหาร เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความร่วมมือ เพื่อพัฒนาคุณภาพของนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี พร้อมทั้งการลงนามความร่วมมือ MOU เพื่อขยายคู่มิตรใหม่และต่อ MOU เดิม

โฆษก ภท. เผย เตรียมเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเร็วๆ นี้ ชี้ พูดแล้วทำพลัส ขยายสิ่งที่ “รัฐบาลอนุทิน” ทำไว้ รับ มีข้อจำกัดหาเสียงชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมใช้การแนะนำตัวผ่านออนไลน์ช่วย

วันที่ 17 ธันวาคม 2568 ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย นางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย โฆษกพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงการเตรียมพร้อมการเลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทยว่า เป็นการเตรียมการการเลือกตั้งตามไทม์ไลน์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศ ได้มีการพูดคุยกับผู้สมัครในเรื่องของข้อปฏิบัติ ข้อควรระวังตามแบบแผนปกติ ของการเลือกตั้งอยู่แล้ว

ส่วนการชูสโลแกน “พูดแล้วทำ พลัส” มีความแตกต่างจากเดิมอย่างไรนั้น เป็นในเชิงสโลแกน เรายังยืนหยัดในจุดยืนและอุดมการณ์ของเรา ที่พูดแล้วทำให้สำเร็จ ส่วนคำว่า “พลัส” คือการขยายความ ทั้งแนวนโยบาย และทำให้ประชาชนเห็นว่า สิ่งที่เราทำสำเร็จมาแล้ว หรือสิ่งที่กำลังทำอยู่ในช่วง ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีสองเดือนที่ผ่านมา จะแตกต่างจากสโลแกนที่ผ่านมาอย่างไรนั้น ก็มีทั้งการขยายแนวนโยบาย ครบทุกมิติของประเทศ ซึ่งนายอนุทิน ได้พูดเอาไว้ในแนวหลัก ๆ

สำหรับช่วงสัปดาห์นี้ มีนักการเมือง มีแกนนำบ้านใหญ่เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย มีจำนวนเท่าไหร่ และจะมีเข้ามาเพิ่มเติม อีกหรือไม่ นางสาวแนน บุณย์ธิดา กล่าวว่า เรามีผู้ที่สนใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรค และมีความประสงค์จะลงรับเลือกตั้งในนามของพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเป็นหลายคน บางคนอาจจะบอกว่าเป็นบ้านใหญ่ ซึ่งมีทุกกลุ่ม กลุ่มอาชีพ ส่วนประเด็นบ้านใหญ่ ที่หลายคนอาจมองว่า พรรคภูมิใจไทย รวมไปด้วยบ้านใหญ่ ต้องขอบอกว่า เรามีหลากหลาย ซึ่งเราแสดงให้เห็นว่าเรามีความพร้อมในการทำงาน พร้อมในเรื่องของการลงพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วในที่ต่าง ๆ ถึงความพร้อมในการทำงาน ดูแลประชาชนในพื้นที่

ส่วนประมาณการณ์จะได้ที่นั่ง สส.จำนวนเท่าไหร่นั้น ต้องย้อนไปฟัง คำให้สัมภาษณ์ของ นายอนุทิน ที่ได้ประมาณการเอาไว้ แต่แน่นอนว่า ตอนนี้เป็นแค่การประมาณการเท่านั้น ไม่ใช่แค่ทางเรา แต่เป็นทางสื่อด้วย มีหลายพื้นที่ มีหลายตัวเลข แต่พวกเรายืนยันว่า จะทำให้ดีที่สุดในทุกพื้นที่

ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย ว่าจะเปิดตัวเมื่อไหร่ และจะมีครบทั้ง 3 คนหรือไม่ นางสาวแนน บุณย์ธิดา โฆษก ภท. กล่าวว่า จะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ และจะเปิดตัวแน่นอน ซึ่งถ้าให้ฉายหนังตัวอย่างก่อน ก็เป็นอย่างที่นายอนุทินเคยพูดเอาไว้ คือเราเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากการทำงาน จากประสบการณ์ด้านต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้ทุกท่านที่มีความสามารถ ไม่ใช่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่เป็นแคนดิเดตทุกอย่างของพรรค ที่เราเลือกจากหลายมิติ คือทุกคนต้องพร้อมทำงาน ซึ่งสำคัญที่สุด ส่วนแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีอีก 2 คน จะเป็น นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายเอกนิติ นิติทัฑณ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือไม่นั้น ต้องรอดูอีกที

ส่วนการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานี จะได้ที่นั่ง สส. ยกจังหวัดหรือไม่ นางสาวแนน บุณย์ธิดา ในฐานะอดีต สส.อุบลราชธานี กล่าวว่า ไม่กล้าพูดขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ความไม่สงบก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์ครั้งแรก ว่าช่วงเลือกตั้งมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น และกินพื้นที่หลายจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะโซนอีสานใต้ แต่รวมไปถึงภาคตะวันออกด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ในเรื่องของการเข้าถึงประชาชน ในยุคสมัยนี้ ไม่ใช่แค่การติดป้ายหาเสียงอย่างเดียว แต่ยังมีสื่อออนไลน์ ที่จะสามารถเข้าหาประชาชน ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อยู่แล้ว

ดส.ผนึกกรมแพทย์แผนไทย บุกทลายโกดังปลูกกัญชาเถื่อนกลางกรุง ยึดกว่า 1,600 ต้น มูลค่ากว่า 1.6 ล้านบาท

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมกรมการแพทย์แผนไทย บุกค้นโกดังย่านบางกระดี่ หลังชาวบ้านร้องกลิ่นกัญชาคลุ้ง พบชาวเวียดนาม 3 ราย ลอบปลูกกัญชาเชิงพาณิชย์ไร้ใบอนุญาต ยึดของกลางกว่า 1,685 ต้น น้ำหนักรวมกว่า 168 กิโลกรัม ก่อนคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น.

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผบช.น.ดูแลงานยาเสพติด พ.ต.อ.ศุภชัย ชัยสุวรรณ ผกก.ดส.บช.น. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ท.หญิง ชาดา เสสะเวช สว.กก.ดส. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.ดส.ชุดปฏิบัติการที่ 3 และเจ้าหน้าที่กรมการแพทย์แผนไทย

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผบช.น.

ร่วมกันจับกุมนายเหงียน ดึ๊ก อัน (NGUYEN DUC ANH) อายุ 28 ปี สัญชาติ เวียดนาม นายโด แวน เบย์ (DO VAN BAY) อายุ 27 ปี สัญชาติเวียดนาม นายดัง ซือ ไท (DANG SY TAI) อายุ 35 ปี สัญชาติเวียดนาม พร้อมกลาง ของกลาง รวมทั้งหมดจำนวน 1,685 ต้น น้ำหนักช่อดอกกัญชาต่อต้น ประมาณ 100 กรัม น้ำหนักรวม 168.5 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,685,000 บาท จับกุมได้โกดังแห่งหนึ่งบริเวณ ซ.บางกระดี่ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจากพลเมืองดี ร้องเรียนโกดังบริเวณ ซ.บางกระดี่ มีกลิ่นกัญชาโชยออกมารุนแรงตลอดทั้งวัน สงสัยว่าจะมีการลักลอบปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต พ.ต.อ.ศุภชัย ชัยสุวรรณ ผกก.ดส.,พ.ต.ท.ปียรัช เวสสะโกศล รอง ผกก.ดส. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ท.หญิง ชาดา เสสะเวช สว.กก.ดส.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.ดส.ชุดปฏิบัติการที่ 3 ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้น ศาลแขวงธนบุรี ที่ 52/2568 ลงวันที่ 16 ธ.ค.68 จากการเข้าค้นพบ ชาวเวียดนาม 3 นาย จากการสอบสวนยอมรับเป็นคนปลูกต้นกัญชาในโกดังดังกล่าว มีการจัดตั้งบริษัทมาเพื่อทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาแต่ยังไม่ได้ขอใบอนุญาตในการทำธุรกิจดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการจับกุม แจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันฝ่าฝีนศึกษาวิจัยหรือส่งออก สมุนไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 มาตรา 46” นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 นาย พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สน.แสมดำ เพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป

“กรมอนามัย” แนะใช้ระบบคัดกรองดูแลหญิงตั้งครรภ์-เด็กเล็ก ลดเสี่ยงฉุกเฉินในศูนย์พักพิง

กรมอนามัย, 17 ธันวาคม –  แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผย ว่า จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะนี้ มีผู้เข้าพักในศูนย์พักพิงเขตสุขภาพที่ 9 จำนวน 98,687 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ จำนวน 127 คน และเด็กเล็ก จำนวน 6,593 คน ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ดังนั้น แนวทางการดูแลหญิงตั้งครรภ์และเด็กปฐมวัยในศูนย์พักพิง ให้คัดกรองตั้งแต่แรกเข้า โดยแยกหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูง และเสี่ยงต่ำ พร้อมแบ่งระดับความรุนแรง เพื่อให้เกิดการส่งต่อผู้ป่วยอย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อแม่และเด็ก

แบ่งระดับความเสี่ยงออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ปกติ-สีเขียว เฝ้าระวัง-สีเหลือง เสี่ยงสูง-สีส้ม และฉุกเฉินวิกฤต-สีแดง อาการสำคัญของกลุ่มสีแดง เช่น เจ็บครรภ์ น้ำเดิน เลือดออก ความดันโลหิตสูงร่วมอาการรุนแรง ชัก หมดสติ หรือทารกดิ้นน้อยลง จะต้องส่งโรงพยาบาลและรับไว้รักษาทันที ขณะที่กลุ่มสีส้มควรพิจารณาส่งโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ไม่ควรพักอาศัยในศูนย์พักพิง สำหรับกลุ่มสีเหลือง และกลุ่มสีเขียว ให้การจัดบริการ Mobile ANC หรือการฝากครรภ์เคลื่อนที่ โดยติดตามทุก 2–4 สัปดาห์ ด้วยการวัดสัญญาณชีพ ชั่งน้ำหนัก ตรวจสุขภาพจิต ประเมินการเจริญเติบโตของทารกและให้คำแนะนำสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปโรงพยาบาลพร้อมเตรียมอุปกรณ์และระบบการแพทย์ทางไกล เพื่อปรึกษาสูติแพทย์ในกรณีจำเป็น หากพบเหตุฉุกเฉินในหญิงตั้งครรภ์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข รายงานหัวหน้าศูนย์พักพิง เรียกรถพยาบาล พร้อมประสานโรงพยาบาลปลายทางเพื่อนำส่ง

แพทย์หญิงนงนุช ภัทรอนันตนพ กล่าวว่า สำหรับเด็กปฐมวัยอายุ 0–5 ปี ที่เข้าศูนย์พักพิงต้องได้รับการคัดกรองและขึ้นทะเบียน บันทึกข้อมูลผู้ดูแล ประวัติโรคประจำตัว การแพ้ยา และการได้รับวัคซีน โดยให้ความสำคัญกับ 5 มิติหลัก ได้แก่ สุขภาพร่างกาย พัฒนาการ โภชนาการ สุขภาพจิต และความปลอดภัย พร้อมเฝ้าระวังโรคติดต่อ แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติทันที และจัดระบบส่งต่อหากมีอาการรุนแรง

โดยการแบ่งระดับอาการเด็ก ใช้ระบบ Triage เช่นเดียวกัน โดยกลุ่มสีแดงที่มีอาการหายใจลำบาก ซึม ชัก ไข้สูงมาก อาเจียนพุ่ง หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง ต้องส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนกลุ่มสีส้มควรพบแพทย์และติดตามใกล้ชิด ขณะที่กลุ่มสีเหลืองสามารถดูแลในศูนย์พักพิงได้แต่ต้องประเมินซ้ำทุกวัน และกลุ่มสีเขียวให้ดูแลตามปกติ พร้อมส่งเสริมโภชนาการและพัฒนาการตามวัย ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้ศูนย์พักพิงทุกแห่งสามารถดูแลกลุ่มเปราะบางได้อย่างเป็นระบบ ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนเพื่อให้หญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็กในศูนย์พักพิงได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยและเหมาะสมตามมาตรฐานสาธารณสุข

สธ. ส่งรถโมบายคลายเครียด ควบคู่บริการจิตเวชทางไกล ดูแลประชาชนและบุคลากรในศูนย์พักพิงขนาดใหญ่

กระทรวงสาธารณสุข ส่งรถโมบายคลายเครียดดูแลสุขภาพจิตประชาชนและบุคลากรการแพทย์ที่ศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ 1,000 -3,000 คน ควบคู่บริการตรวจจิตเวชทางไกล เพื่อดูแลกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำเรื่องการอุปโภค บริโภคน้ำสะอาด และอาหารที่อุ่นร้อน สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยที่มีอาการระบบทางเดินหายใจ

วันนี้ (17 ธันวาคม 2568) ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย – กัมพูชา โดยมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ว่า ภาพรวมโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยง 7 จังหวัด ยังปิดให้บริการ 12 แห่งเท่าเดิม ส่วน รพ.สต. กลับมาเปิดบริการได้อีก 1 แห่ง เหลือปิด 206 แห่ง สำหรับศูนย์พักพิงลดลงเหลือ 992 จุด มีผู้เข้าพักรวม 272,670 คน เป็นกลุ่มเปราะบาง 71,466 คน มีการส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลสะสม 824 ราย ส่วนการดูแลสุขภาพจิตเชิงรุก ได้คัดกรองประชาชนไปแล้ว 176,858 ราย พบเครียดสูงสะสม 1,316 ราย และเสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 238 ราย ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ 8,182 ราย พบเครียดสูงสะสม 462 ราย เสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 154 ราย ทั้งหมดได้รับการปฐมพยาบาลทางจิตใจ และติดตามอย่างต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้น

นพ.เอกชัย กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ที่ยังคงมีการปะทะอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ทั้งความเครียดและความวิตกกังวล วันนี้กระทรวงสาธารณสุขจึงจัดส่งรถโมบายคลายเครียดลงศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ ที่มีประชาชนเข้าพัก 1,000-3,000 คน ที่ จ.สระแก้ว สุรินทร์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ พร้อมทั้งจัดบริการจิตเวชทางไกล หรือ​Telepsychiatry เพื่อดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่อพยพไปอยู่ศูนย์พักพิง รวมทั้งติดตามกลุ่มเสี่ยงในศูนย์พักพิง จ.สระแก้ว สุรินทร์ และอุบลราชธานี ทุกวันจันทร์-ศุกร์ รวมทั้งเปิดสายด่วนปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต 1323 ให้บริการฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ยังคงเข้มมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ การจัดการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคติดเชื้อทางเดินอาหารในศูนย์พักพิงมาจากอาหารที่เตรียมไว้เป็นระยะเวลานานและไม่ได้อุ่นร้อน รวมทั้งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคและบริโภคมีการปนเปื้อน ขณะที่โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ มีปัจจัยเสี่ยงหลักมาจากการรวมกลุ่มกันของคนหมู่มาก จึงได้ให้ทีม SRRT บูรณาการร่วมกับทีม SEhRT ปรับปรุงด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม เน้นย้ำเรื่องการอุปโภค บริโภคน้ำสะอาด และอาหารที่อุ่นร้อนให้กับประชาชน ตรวจจับผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจในศูนย์อพยพที่มีประชากรจำนวนมากและศูนย์อพยพที่หนาแน่นเกินความจุ เพื่อแยกกักโรคได้ทันเวลา และเน้นมาตรการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ

ลูกจ้างเตรียมเฮ!! ก.แรงงาน ขอความร่วมมือนายจ้าง ให้ศุกร์ที่ 2 ม.ค. เป็นวันหยุดพิเศษ

กระทรวงแรงงาน, วันที่ 16 ธ.ค. – เรือเอก สาโรจน์ คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า ด้วยความห่วงใยต่อความเป็นอยู่ ความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตของลูกจ้างในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจึงได้ออก ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขอความร่วมมือนายจ้าง/สถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ เพื่อส่งเสริมให้ลูกจ้างมีโอกาสได้หยุดพักผ่อนอย่างต่อเนื่อง เดินทางกลับภูมิลำเนา และใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่ อันจะช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการทำงาน สร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงเทศกาลสำคัญดังกล่าว

อธิบดี กสร. กล่าวว่า ได้ขอความร่วมมือให้นายจ้างและสถานประกอบกิจการพิจารณากำหนดให้ วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2569 เป็นวันหยุดเพิ่มเติม เพื่อให้ลูกจ้างได้หยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันพุธที่ 31 ธันวาคม 2568 ถึงวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม 2569 ขณะเดียวกัน ในกิจการขนส่งทางบก ขอให้นายจ้างจัดเวลาการทำงานของลูกจ้างผู้ขับขี่ยานพาหนะให้เหมาะสม ไม่ให้ทำงานเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากความอ่อนล้า พร้อมเน้นย้ำให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างใช้ความระมัดระวังในการเดินทาง งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ และวางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อให้การเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นไปด้วยความปลอดภัยสูงสุด

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ กกต. กำหนดวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้า วันอาทิตย์ที่ 1 ก.พ. 69

วันที่ 17 ธ.ค. 2568 – เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่อง กำหนดวันและเวลาการออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลาง ระบุว่า

ด้วยได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 และกกต. ได้กำหนดให้วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เป็นวันเลือกตั้ง อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 5 และมาตรา 22 (2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 ประกอบ มาตรา 5 มาตรา 92 มาตรา 106 และมาตรา 107 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 รวมทั้ง ข้อ 191 ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 กกต. จึงออกประกาศกำหนดวันและเวลาการออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลาง โดยกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. เป็นวันออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง แบ่งเป็น 3 กรณี ได้แก่ การออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้ง การออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลางนอกเขตเลือกตั้ง และการออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลางสำหรับคนพิการหรือผู้ทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ

ศอ.บต.-สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศรีสาคร จัดอบรม-ซ้อมแผนเผชิญเหตุอุทกภัย เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์

นราธิวาส, วันที่ 16 ธันวาคม – นายจรัส บำรุงเสนา ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธานพิธีเปิดโครงการอบรมและฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุอุทกภัยแบบบูรณาการ โดยมีปลัดอำเภอศรีสาคร หัวหน้าส่วนราชการอำเภอศรีสาคร และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิด พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชนและจิตอาสาในพื้นที่อำเภอศรีสาคร เข้าร่วมกิจกรรมอบรม จำนวน 50 คน ที่อาคารอเนกประสงค์เทศบาลตำบลศรีสาคร

สำหรับการจัดโครงการอบรมและฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุอุทกภัยแบบบูรณาการครั้งนี้ ศอ.บต. ร่วมกับสมาคมกู้ชีพกู้ภัยศรีสาคร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 ธ.ค. เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัย ให้แก่หน่วยงานและภาคประชาชน รวมทั้งเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้สามารถปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งมีการจัดกิจกรรมอบรม ให้ความรู้ด้านการจัดการสาธารณภัย การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดอุทกภัย การอพยพ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในสถานการณ์จำลอง บริเวณเกาะกลางน้ำใต้สะพานแม่น้ำสายบุรี อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายจรัส กล่าวว่า ขอชื่นชมสมาคมกู้ชีพกู้ภัยศรีสาคร และหน่วยงานเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต ความเป็นอยู่ และความมั่นคงของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง อุทกภัยเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถลดความสูญเสียได้ หากทุกภาคส่วนมีการเตรียมความพร้อมที่ดี มีความรู้ ความเข้าใจ และการประสานงานที่เป็นระบบ การอบรมและฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในครั้งนี้ จึงถือเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และภาคประชาชน ให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที มีประสิทธิภาพและปลอดภัย พร้อมเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต

รพ.นพรัตนราชธานีโชว์ศักยภาพผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Surgery)รายแรกของโรงพยาบาล

โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์โชว์การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Surgery) รักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก สำเร็จเป็นรายแรกของโรงพยาบาล เพื่อเป็นการปฏิบัติตามนโยบายกรมการแพทย์ พ.ศ. 2569 “ทำให้การแพทย์ไทยก้าวหน้า พัฒนาสู่ภูมิภาค ตอบสนอง Health need และสร้าง impact สูงสุด: I+DMS” เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์เฉพาะทาง

นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนด 5 นโยบายหลัก เพื่อยกระดับระบบสุขภาพ หนึ่งในนโยบายดังกล่าวได้แก่ “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ ของประเทศด้วยการแพทย์มูลค่าสูง” เป็นการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดมารักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง เป็นหนึ่งในแนวทางการดูแลผู้ป่วยให้สามารถเข้าถึงการรักษาขั้นสูง ที่มีความแม่นยำและได้ประสิทธิภาพในการรักษาที่มากกว่าการผ่าตัดรูปแบบเดิม และเป็นการเพิ่มศักยภาพในการดูแลรักษาประชาชน โดยได้มอบหมายให้โรงพยาบาลในกรมการแพทย์ 5 แห่ง (โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี โรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลสงฆ์ และสถาบันโรคทรวงอก) พัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ซึ่งจะทำให้กระบวนการดูแลผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนหรืออยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงยาก สามารถทำการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีของการผ่าตัดผ่านกล้อง (Minimally Invasive Surgery) ที่ผู้ป่วยจะได้ประโยชน์จากการที่มีแผลผ่าตัดขนาดเล็ก เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย

นายแพทย์ปิยวัฒน์ เลาวหุตานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย ดังกล่าวเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์เฉพาะทางที่สำคัญ โดยการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วย ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลที่สองของกรมการแพทย์ ที่สามารถทำการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดสำเร็จ โดยมีนายแพทย์นันทวัฒน์ ศิริธานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ ทำการผ่าตัดผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด สำเร็จเป็นรายแรกของโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี พร้อมด้วยทีมบุคลากรทางการแพทย์แผนกผ่าตัดผ่านกล้องของโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ประกอบด้วยแพทย์สหสาขาวิชาชีพ จากแผนกที่เกี่ยวข้องได้แก่ ศัลยกรรม และสูตินรีแพทย์ ได้มีการวางแผนเพื่อพัฒนาการดูแลผู้ป่วยในโรคอื่นๆ เช่น มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งตับอ่อนและท่อน้ำดี และมะเร็งนรีเวช ให้ได้รับการรักษาด้วยโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยต่อไป