ศาลอาญาเข้มจำคุกไม่รอลงอาญา อดีตผู้สมัครการเมืองท้องถิ่น แอบอ้างหลอกวิ่งเต้นผู้พิพากษาสั่งประกันตัวได้

โฆษกศาลยุติธรรม เผย ศาลอาญาเข้มจำคุกไม่รอลงอาญา แอบอ้างตุ๋นเงินประชาชนหลอกวิ่งเต้นผู้พิพากษาสั่ง ประกันตัวได้ เตือนสังคมอย่าหลงเชื่อใครช่วยวิ่งเต้น 

วันที่ 17 ธ.ค.2568 นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า วันนี้ ศาลอาญามีคำสั่งคดีละเมิดอำนาจ กรณีที่มีผู้อ้างกับบุคคลอื่นว่าสามารถติดต่อประสานงานกับผู้พิพากษาเพื่อขอให้ปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว)

โดยกรณีดังกล่าว มีผู้ร้องยื่นคำร้องต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาว่า ชายคนหนึ่ง ซึ่งมีตำเเหน่งเป็นประธานมูลนิธิเเละอดีตผู้สมัครการเมืองท้องถิ่นเเห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงรายอ้างกับภริยาของจำเลยคดีค้ามนุษย์ว่าสามารถติดต่อประสานงานกับผู้พิพากษาเพื่อขอให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีการเรียกรับเงินจำนวน 500,000 บาท ซึ่งต่อมาภริยาของจำเลยนั้นได้โอนเงินให้ตามคำเรียกร้อง แต่เมื่อศาลอาญามีคำสั่ง “ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว” จึงทราบว่าถูกหลอกลวง และได้ทำหนังสือร้องเรียนกระทั่งนำมาสู่การไต่สวนข้อเท็จจริงและดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาล

โดยศาลอาญาหมายเรียกชายคนดังกล่าวมาเพื่อไต่สวน แต่ผู้ถูกกล่าวหานั้นทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มา ศาลจึงได้ทำการไต่สวนผู้กล่าวหาและพยาน ประกอบพยานเอกสารที่เกี่ยวข้อง และไฟล์บันทึกเสียงแล้ว เห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหามีความผิดชัดเจน ดังนี้

มีการกระทำผิดในบริเวณศาล โดยผู้ถูกกล่าวหาได้ส่งภาพถ่ายตนเองขณะอยู่หน้าห้องประชาสัมพันธ์ภายในอาคารศาล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้เหยื่อหลงเชื่อพฤติการณ์เหิมเกริมไม่เกรงกลัวกฎหมายซึ่งแม้ภายหลังศาลจะมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวไปแล้ว แต่ผู้ถูกกล่าวหา
ยังคงหลอกลวงซ้ำสอง โดยอ้างว่าจะนำเงินไปวิ่งเต้นกับประธานศาลเพื่อให้ยกฟ้องคดี

การกระทำกระทบต่อความยุติธรรม ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของสถาบันศาลยุติธรรม 
มุ่งหมายให้เกิดผลต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี ทำให้การพิจารณาไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อยและเที่ยงธรรม

ศาลพิเคราะห์แล้ว การกระทำของผู้ถูกกล่าวหา ถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 (ข) และวรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลอาญาจึงมีคำสั่งให้จำคุก
ผู้ถูกกล่าวหา มีกำหนด 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

โฆษกศาลยุติธรรม ยังกล่าวด้วยว่า ขอย้ำกับพี่น้องประชาชนว่าหากมีผู้ใดมากล่าวอ้างว่าสามารถที่จะวิ่งเต้นให้ชนะคดี หรือจะให้ความช่วยเหลืออื่นใด ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนใดของการพิจารณาคดีใน
ศาลยุติธรรม ขออย่าได้หลงเชื่อเพราะการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน อีกทั้งยังมีการตรวจสอบที่เข้มข้น เพื่อให้การพิจารณาคดีของศาลปราศจากอคติสามารถคุ้มครองความยุติธรรมให้แก่ทุกคนได้อย่างเท่าเทียม

โดยภายหลังจำเลยได้ยื่นหลักทรัพย์พร้อมคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตให้ประกันตัวตีราคาหลักทรัพย์ 5 หมื่นบาท

2 แม่ทัพ กทม. “ศุภมาส-เอกนัฏ” ประกาศตัวเป็นขวาใหม่ อนุรักษ์นิยม ยอมรับงานหินแต่ขอสุดซอย สร้างประวัติศาสตร์ พา “ภูมิใจไทย” ปักธง กทม.

ที่พรรคภูมิใจไทย, 17 ธันวาคม – นางสาวศุภมาส อิศรภักดี พร้อมด้วยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์  ในฐานะแกนนำเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคภูมิใจไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมของผู้สมัครสส. กทม. โดยนายเอกนัฏ กล่าวว่า ตอนนี้ทุกพรรคคงเตรียมความพร้อมรวมทั้งพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ที่สำคัญสำหรับพรรค ที่ผ่านมา ภท.ไม่เคยมีสส. กรุงเทพมหานครมาก่อน ถ้าสำเร็จครั้งนี้จะเป็นครั้งแรก ยอมรับว่าเป็นงานหิน แต่ตนมาพร้อมกับความตั้งใจ ซึ่งในการทำงานที่ผ่านมาก็สู้ไม่ถอย สู้สุดซอย และไม่ได้ทำอยู่คนเดียว แต่ช่วยกันทั้งพรรค รวมทั้งแม่ทัพหญิงคือ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี ที่เคยเป็นสส.กทม.มาก่อน และทำงานมีประสบการณ์เป็นรัฐมนตรีมา ตนหวังว่าจะได้นำประสบการณ์ และทีมงานที่ตนได้ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่พรรครวมไทยสร้างชาติ มาทำงานที่นี่ให้ดีที่สุด

เมื่อถามว่ากดดันหรือไม่ เพราะพรรคภูมิใจไทยไม่เคยได้สส.กทม. และครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ นายเอกนัฏ ระบุว่า มันเป็นสไตล์ของตนที่ชีวิตไม่เคยเจอเรื่องง่าย ทั้งชีวิตก็อยู่กับการต่อสู้ โจทย์ยิ่งยากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องทำงานให้หนัก จึงเป็นเหตุผลที่พรรคภูมิใจไทย เลือกตนให้มาลองรับผิดชอบดู ซึ่งขอย้ำว่า พร้อมสู้ วันนี้มีสัญญาณที่ดีเพราะมีผู้ประสงค์จะขอลงสมัคร สส.กทม.ในนามพรรคมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทุกเขตมีมากกว่า 1 คน เป็นหน้าที่ของตน และนางสาวศุภมาส ที่จะต้องร่วมกันพิจารณาหาคนที่ดีที่สุด และเท่าที่ตนดูและได้พูดคุย ทุกคนมีความพร้อมที่จะสู้ไปด้วยกัน

เมื่อถามถึงความมั่นใจว่า จะสามารถเจาะพื้นที่เดิมของพรรคประชาชนได้ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ไม่สามารถพูดได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่พูดได้อย่างเดียวว่าปัจจุบันต้องสู้อย่างเต็มที่ ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ เพราะเวลามีไม่มาก ตนยังเป็นน้องใหม่ของพรรคภูมิใจไทย แต่ก็มาด้วยความตั้งใจเต็มร้อย ซึ่งสโลแกนของพรรคภูมิใจไทยคือ พูดแล้วทำ มาวันนี้ก็เป็นพูดแล้วทำ พลัส หมายความว่า จะทำมากกว่าที่พูด ซึ่งตอนที่ตนได้เข้ามาก็ได้รับการสื่อสารว่า อย่าไปพูดอะไรที่เราทำไม่ได้ ตนก็จะไม่พูดอะไรที่เราทำไม่ได้ แต่จะทำให้เต็มที่

นายเอกนัฏ กล่าวว่า สิ่งที่แตกต่างกว่าที่เคยเป็นมาสำหรับพรรคภูมิใจ คือศูนย์รวมของบ้านใหญ่ แต่ภูมิใจไทยไม่เหมือนเดิม จึงเป็นที่มาของคำว่า พลัส ซึ่งเราจะเห็นการรวมตัวกันของมืออาชีพ ที่จะช่วยกันทำงาน  อย่างนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ที่เจรจาสื่อสารตอบโต้กับต่างชาติ หรือ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในการขับเคลื่อนระบบราชการ อย่างโครงการคนละครึ่งพลัส ที่สามารถออกมาได้อย่างทันท่วงทีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ นางศุภจี สุธรรมพันธ์ รมว.พาณิชย์ ที่เจรจากับต่างประเทศเพียง 2-3 เดือน ก็ขายข้าวให้จีนได้ ทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น ซึ่งขณะนี้พรรคเองก็กำลังขับเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เดินหน้าทำแต่พื้นที่บ้านใหญ่ตามที่ทุกคนเข้าใจ แต่เป็นการรวมตัวกันของมืออาชีพ ที่ทุกคนจะทำงานได้อย่างสำเร็จ ถือเป็นการเผชิญหน้าร่วมกัน และเป็นสิ่งที่แปลกใหม่

“เรื่องของชายแดน ก็เห็นการตัดสินใจที่เด็ดขาด อย่างผู้นำประเทศ นายกฯ อนุทิน  ที่ต้องรักษาอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน และเราสามารถทำงานกับระบบราชการ ไม่ให้เป็นอุปสรรค ตามแนวทางขวาใหม่ อนุรักษ์นิยม เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่เคยเห็นในกรุงเทพมหานคร เช่น ไม่เคยมีสส.ในกทม. ครั้งต่อไปเราอาจจะมีก็ได้” นายเอกนัฎกล่าว

ตำรวจจราจร เปิดทางด่วน นำทหารบาดเจ็บส่ง รพ.พระมงกุฏเกล้า

วันที่ 17 ธันวาคม 2568 เวลา 12.00 น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ระดมกำลังอำนวยความสะดวกด้านการจราจร เพื่อนำทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากแนวหน้าส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า หลังได้รับการประสานจากศูนย์วิทยุโครงการฯ ขอสนับสนุนการเคลื่อนย้ายจากสนามบิน บน.6 โดยภารกิจเป็นไปอย่างเร่งด่วนและปลอดภัย

การปฏิบัติการครั้งนี้อยู่ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ สว่างงาม ผบก.จร. พร้อมผู้บังคับบัญชาและกำลังชุดเคลื่อนที่เร็ว ชุดช่าง และพนักงานวิทยุ ร่วมกับตำรวจจราจรท้องที่ สน.พญาไท เปิดเส้นทางจราจรตลอดแนว จนสามารถนำส่งทหารบาดเจ็บถึงโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าได้เรียบร้อย ท่ามกลางการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละและความพร้อมสูงสุด

CIB​ กระชากหน้ากากนักบุญกู้ภัยกระทำชำเรา เด็กหญิงชั้นอนุบาล ภายในกุฏิวัดดัง

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กองบังคับปราปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน รอง ผบช.ก ,พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคม., พ.ต.อ.พัฒนา ฉายาวัฒน์ , พ.ต.อ.ณรงค์ เทศวิบูลย์, พ.ต.อ.มารุต กาญจนขันธกุล, พ.ต.อ.ทองศูนย์ อุ่นวงค์รอง ผบก.ปคม., พ.ต.อ.พงศกร โนรี ประจำ (สบ 5) บก.ปคม., พ.ต.อ.อรรถพร สุริยเลิศ, พ.ต.อ.เถกิงวุฒิ กิตติศุภคุณ, พ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ก่อเกียรติ วุฒิจำนงค์ ผกก.1 บก.ปคม.,พ.ต.ท.เอกรณการ นาคนิยม, พ.ต.ท.สุรศักดิ์ หญีตบึ้ง รอง ผกก.1 บก.ปคม., พ.ต.ท.ณัฐพัชร์ งามประดิษฐ์, พ.ต.ท.ธนกร จาวรุ่งวณิชสกุล รอง ผกก.(สอบสวน) กก.1 บก.ปคม.

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย ว่าที่ พ.ต.ต.นนทพัทธ์ กาวชู สว.กก.1 บก.ปคม., ร.ต.อ.เจตนารมณ์ อัตถาวงศ์ รอง สว.กก.1 บก.ปคม. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ปคม.ร่วมกันจับกุม นายพิชิตฯ หรือดำ อายุ 45 ปี ในความผิดฐาน “กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม” ตามหมายจับของศาลอาญาพระโขนง ที่ 876/2568 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568. สถานที่จับกุม บริเวณริมถนนชุมชนล็อก 4-5-6 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเมื่อปี 2559 นายดำ(ผู้ต้องหา) ได้แฝงตัวเข้ามาทำหน้าที่จิตอาสาและช่วยงานภายในวัดแห่งหนึ่งย่านพระโขนง จนได้รับความไว้วางใจจากพระภิกษุและชาวบ้าน โดยในวันเกิดเหตุ บิดาของผู้เสียหายได้ฝากบุตรสาวชั้นอนุบาลสองวัย 5 ขวบ และบุตรชาย ไว้กับหลวงพ่อที่วัดดังกล่าวขณะที่ตนต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด ซึ่งเด็กทั้งสองเป็นหลานของหลวงพ่อ ทั้งบิดาของผู้เสียหายยังเป็นอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนของนายดำ(ผู้ต้องหา) ในตอนเช้าของวันเกิดเหตุ ช่วงเวลาตี 5 ถึง 8 โมงเช้า หลวงพ่อมีกิจต้องออกไปบิณฑบาต จึงได้ฝากหลานทั้งสองที่อยู่ภายในกุฎิ ให้นายดำ(ผู้ต้องหา) ช่วยเลี้ยงดู นายดำ(ผู้ต้องหา) ได้อาศัยความไว้วางใจจากหลวงพ่อ และอาศัยช่วงจังหวะขณะที่หลวงพ่อไม่อยู่วัด ได้กระทำการบังคับขู่เข็ญ กระทำชำเราเด็กหญิง ภายในกุฏิหลวงพ่อ โดยที่ไม่สนต่อบาปบุญคุณโทษ สลัดคราบพลเมืองดีที่คอยช่วยเหลือสังคมแบบไม่เหลือชิ้นดี หลังจากได้กระทำย่ำยีเด็กหญิงแล้ว นายดำ(ผู้ต้องหา) ยังข่มขู่เด็กหญิงให้ปิดบังการกระทำอันชั่วร้ายนี้เป็นความลับ ไม่เช่นนั้นจะถูกทำร้ายร่างกาย
ด้วยความหวาดกลัว เด็กหญิง ได้เก็บเรื่องราวอันโหดร้าย มาเป็นระยะเวลากว่า 9 ปี โดยเมื่อปี 2568 เด็กหญิงในวัย 13 ปี ได้ตัดสินใจบอกเรื่องราวอันเลวร้ายที่ตนเองพบเจอให้กับญาติทราบ ทางบิดาและญาติพี่น้องจึงได้ย้อนกลับไปนึกถึงอาการน้อง ในระหว่าง 9 ปีที่ผ่านมา น้องมีอาการตื่นผวา และขี้หวาดกลัว เก็บตัวไม่ร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ทางครอบครัวจึงได้ร้องเรียนเรื่องราวดังกล่าวไปยังมูลนิธิชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยมูลนิธิได้เข้ามาดูแลพาน้องไปรักษาสภาพจิตใจอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงได้พาน้องและครอบครัวมาแจ้งความที่ สน.พระโขนง เพื่อดำเนินคดีกับ นายพิชิต หรือดำฯ นักบุญอาสาสมัครกู้ภัยคนดี

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปคม. ได้สืบสวนเพื่อติดตามจับกุมบุคคลตามหมายศาลอาญาพระโขนง ที่ 876/2568 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 จนทราบว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีมากบดานอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งในย่านชุมชนคลองเตย จังหวัดกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปคม. จึงได้เดินทางไปเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณหน้าบ้านหลังดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียง จากนั้นเห็นชายที่มีตำหนิรูปพรรณตรงกับผู้ต้องหา ปรากฏตัวอยู่บริเวณริมถนนข้างชุมชนล็อก 4-5-6 คลองเตย จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ พบว่าเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับจริง จึงได้ดำเนินการจับกุมตัว พร้อมแจ้งสิทธิ และแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับให้ผู้ต้องหาทราบ จากนั้นนำตัวผู้ต้องหาส่ง พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไปสอบถามคำให้การเบื้องต้น ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

เตือนภัย ผู้ปกครองควรดูแลเอาใจใส่บุตรหลาน หมั่นให้ความรู้และวิธีเอาตัวรอดจากภัยต่างๆ
คอยสังเกตุอาการหรือพฤติกรรมที่แปลกไปจากเด็กปกติ คอยรับฟังปัญหาด้วยความใจเย็นไม่ตกตื่นหรือตกใจ จนทำให้เด็กกลัวจนไม่กล้าเล่าถึงปัญหา หลีกเลี่ยงการคาดคั้น และขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ส่งถุงยังชีพพระราชทาน 12,600 ถุง ช่วยผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้

ยะลา, วันที่ 17 ธันวาคม – นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบถุงยังชีพพระราชทาน จำนวน 12,600 ถุง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ให้กับราษฎรผู้ประสบอุทกภัย โดยมี นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ผู้แทนส่วนราชการ ผู้แทนภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนผู้ประสบภัย เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ที่ศูนย์ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ อ.เมือง จ.ยะลา

นายปิยะศิริ ได้กล่าวรายงานสถานการณ์อุทกภัยห้วงระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 – 4 ธันวาคม 2568 ในพื้นที่ว่า ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีพื้นที่ประสบอุทกภัยทั้งสิ้น 46 อำเภอ 287 ตำบล 2,014 หมู่บ้าน ครอบครัวที่ได้รับความเดือนร้อนทั้งสิ้น 747,917 ครัวเรือน จำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น 2,052,860 คน มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 168 คน การปฏิบัติการเผชิญเหตุเข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย ศอ.บต. ได้ร่วมกับ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า โดยให้การสนับสนุนการดำเนินงาน ของศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด ทั้ง  5 จังหวัด ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง และได้ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และจิตอาสา ระดมทรัพยากรในพื้นที่ และจังหวัดข้างเคียง ให้ความช่วยเหลือประชาชน แจกจ่ายถุงยังชีพ จัดตั้งโรงครัวพระราชทาน เร่งรัดการระบายน้ำออกจากพื้นที่

นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า อุทกภัยครั้งนี้เป็นภัยพิบัติที่ถือว่ารุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งต้องขอบคุณหน่วยงานราชการในพื้นที่ เครือข่ายท้องถิ่น ภาคประชาสังคมร่วมมือกันเป็นอย่างดี ซึ่งการช่วยกันฟื้นฟูให้กำลังใจเป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ได้จัดส่งถุงยังชีพพระราชทาน เพื่อแจกจ่าย ไปยังพื้นที่ที่ประสบภัย โดยช่วงที่ผ่านมา มูลนิธิได้ร่วมกับ ศอ.บต. จัดโรงครัวพระราชทาน ผลิตอาหารวันละประมาณ 10,000 กล่อง แจกจ่ายในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคนในพื้นที่เป็นผู้ปรุงอาหาร เพื่อให้มั่นใจในรสชาติ และองค์ประกอบที่ถูกต้องตามหลักศาสนา

“สุรพันธ์” เผยลงสมัคร สส.เขต 1 นนทบุรี พรรคพลวัต ย้ำจากกันด้วยดีกับพรรคประชาชน ไม่มองเป็นคู่แข่ง ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลวัต หวังขอเสียงกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร 40%

วันที่ 17 ธ.ค.68 นายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลวัต เปิดเผยว่า ตนเป็นอดีต สส.เขต 1 นนทบุรี พรรคประชาชน เมื่อมาร่วมงานกับพรรคพลวัตแล้ว จะยังคงลงสมัคร สส.เขต 1 พรรคพลวัต ส่วนพรรคประชาชน ย้ำว่า ก่อนลาออกได้คุยกับหัวหน้าพรรคเรียบร้อยแล้ว ก็จากกันด้วยดี และยืนยันว่า ขออภัยพรรคประชาชน ว่าในการลาออกของตน ทำให้พรรคต้องการสรรหาผู้สมัคร สส.นนทบุรี เขต 1 ใหม่

“ผมจะยังลงสมัคร สส.เขต 1 จ.นนทบุรี ผมจะไม่ทิ้งประชาชนในพื้นที่ และยังเป็นผู้นำให้น้อง ๆ ที่มาเป็นกลุ่มและผู้สมัครในนามพรรคพลวัต ผมต้องป้องกันแชมป์ ดูแลผู้สมัครอย่างน้อย 150 เขตที่ส่งลง หลังจากวันนี้น่าจะมีเปิดตัวเพิ่ม”

นายสุรพันธ์ ยืนยันว่า ตนไม่ได้มองว่าจะแข่งกับพรรคประชาชนเลย ตนมองที่ตัวเลข 40 เปอร์เซ็นต์ ที่ประชาชนยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคไหน ถ้าประชาชนตรงนั้น เทมาให้ พรรคพลวัต จะเป็นพรรคใหญ่ จึงหวังว่า จะไปช่วงชิง 40 เปอร์เซ็นต์นั้น

“ตอนนี้เราพร้อมส่งผู้สมัครทุกเขตใน 16 จังหวัดแล้ว จากที่สามารถจัดตั้งตัวแทนจังหวัดได้ 35 จังหวัด เป้าหมายเราที่คิดว่าน่าจะมีโอกาสส่งได้ 150 เขต กำลังทำให้ครบก่อนถึงวันสมัครรับเลือกตั้งครับ” นายสุรพันธ์ กล่าว

”พรรคกล้าธรรม“ ประชุมคึกคัก ว่าที่ผู้สมัคร สส.แห่ร่วม “ร.อ.ธรรมนัส” มั่นใจวางตัวแล้ว 85% ส่งครบ 400 เขต ลั่น พรรคทำงานจริง กล้าทำ ไม่ต้องพูดมาก

วันที่ 17 ธ.ค. 2568 พรรคกล้าธรรม (กธ.) จัดประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคและว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค เป็นประธานการประชุม เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ท่ามกลางบรรยากาศคึกคัก โดยมีกรรมการบริหารพรรค อดีต สส. และว่าที่ผู้สมัคร สส.จากหลายพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงอาทิ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรค นายไผ่ ลิกค์ เลขาธิการพรรค อดีต สส.กำแพงเพชร นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว อดีต สส.สงขลา และนายอรรถกร ศิริลัทธยากร อดีต สส.ฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ยังมีอดีต สส.จากหลายพรรคการเมืองตบเท้าเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรม เช่น พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร อดีต สส.นครปฐม พรรค รวมไทยสร้างชาติ นายสัญญา นิลสุพรรณ อดีต สส.นครสวรรค์ และนายปรเมษฐ์ จินา อดีต สส.สุราษฎร์ธานี จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

ก่อนเริ่มการประชุม ร.อ.ธรรมนัส ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ขณะนี้พรรคกล้าธรรมสามารถวางตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ได้แล้วประมาณ 85% โดยเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา กลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีความพร้อม ได้เปิดตัวเข้าร่วมงานกับพรรคแล้ว และจากนี้จะมีการทยอยเปิดตัวบุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองเพิ่มเติมอีกหลายราย ซึ่งบางส่วนยังไม่เป็นข่าว เนื่องจากต้องให้เกียรติและพูดคุยให้เรียบร้อยก่อน สำหรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของพรรค รวมถึงบุคคลที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น จะต้องเป็นไปตามกระบวนการและระบบของพรรค

“เราเป็นพรรคทำงาน ไม่ต้องพูดมาก ต้องดูผลงาน กล้าพูดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ที่ผ่านมาผมทำงานอย่างเต็มที่ แม้จะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีได้ไม่กี่เดือนก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคกล้าธรรมจะส่งผู้สมัครครบทั้ง 400 เขตทั่วประเทศ และในวันรับสมัครรับเลือกตั้งวันที่ 27 ธันวาคม คณะกรรมการบริหารพรรคจะนำผู้สมัครไปยื่นสมัครพร้อมกัน โดยตนเองและหัวหน้าพรรคจะเป็นผู้นำทีมไปด้วยตนเอง“

ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวถึงจุดยืนของพรรคว่า สโลแกนและชื่อพรรคได้สะท้อนชัดเจนอยู่แล้ว คือ “กล้าทำ” ซึ่งเป็นแนวทางการทำงานที่พรรคยึดถือ เพื่อขับเคลื่อนการเมืองที่เน้นผลงานและการแก้ปัญหาให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

ผู้สมัคร สส. พรรคประชาชน มาครบ 400 เขต 100 บัญชีรายชื่อ ติวเข้มนโยบาย ชิงธงนำประเทศไทยพ้นวงจรเก่า-เทา

วันที่ 17 ธันวาคม 2568 พรรคประชาชน จัดงานสัมนาว่าที่ผู้สมัคร สส. ทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ โดยพรรคยืนยันว่าส่งผู้สมัครครบทั้ง 400 เขต และได้จัดทำบัญชีรายชื่อครบ 100 คนเรียบร้อย เพื่อเตรียมการทำไพรแมรี่ตามขั้นตอนทางกฎหมาย ก่อนจะถึงวันรับสมัครอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 ธันวาคม 2568 บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีผู้บริหารพรรคเข้าร่วมกล่าวถึงแนวทางการหาเสียง

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุธ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้ขึ้นกล่าวต้อนรับว่าที่ผู้สมัคร สส. โดยย้ำถึงความสำคัญของการเลือกตั้งในฐานะวันตัดสินอนาคตประเทศไทย ว่าจะเดินหน้าต่อไปสู่การจัดการปัญหาเรื้อรังอย่างเต็มรูปแบบ หรือจมดิ่งสู่ความเทา ให้ทุนเทาดำยึดประเทศ 

นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า ผู้สมัคร สส. แบบแบ่งเขตมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพราะพรรคต้องการได้ที่นั่งในสภามากที่สุด แต่ผู้สมัครเขตคือตัวแทนของพรรคในทุกพื้นที่ ที่จะต้องเดินไปพูดคุยทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ถึงนโยบายและแนวทางการทำงานของพรรค ตลอดจนทำให้ประชาชนตระหนักว่า 1 เสียงของตนเองจะเป็นการชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย ว่าจะได้รัฐบาลแบบไหนมานำพาประเทศไปข้างหน้า 

“ขอให้ว่าที่ผู้สมัครทุกคน ครองตนอยากมีวุฒิภาวะ และใช้โอกาสในการประชุมใหญ่ 2 วันนี้ เป็นเวลาเก็บเกี่ยวความรู้นโยบายกว่า 200 นโยบายของเราอย่างเต็มที่ เพื่อให้นำไปใช้ในการทำงานพื้นที่และหาเสียงเลือกตั้งต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ”

ทั้งนี้ ตลอด 2 วันของการสัมนา มีการจัดเวิร์คชอปติวเข้มผู้สมัคร สส. ใน 4 หัวข้อ ได้แก่ ชุดนโยบายความมั่นคงและประชาธิปไตยใหม่ โมเดลพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ชุดนโยบายพลิกคุณภาพชีวิตคนไทย และชุดนโยบายปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่ ซึ่งพรรคประชาชนเชื่อมั่นว่านโยบายจะเป็นจุดแข็งของพรรค เช่นเดียวกับใน 2 การเลือกตั้งที่ผ่านมา และครั้งนี้ นโยบายที่ลงลึก มีทั้งหลักการและการวิธีการทำนโยบายให้เป็นจริง จะทำให้ประชาชนสามารถตัดสินใจได้ว่าจะมอบความไว้วางใจให้พรรคการเมืองใดบริหารประเทศ ซึ่งพรรคประชาชนเชื่อว่าการทำการเมืองแบบโปรงใส ไม่ซื้อเสียง ชนะใจคนด้วยนโยบาย จะสามารถสร้างมีทีมบริหารประเทศที่มีความรู้ความสามารถ พาไทยพ้นจากวงจรการเมืองทุนเทา มุ้งบ้านใหญ่ ที่ฉุดรั้งประเทศไทยมาหลายสิบปีได้

ป.ป.ส. ลุยสกัด “สารตั้งต้น” ระยอง พบโรงงานไม่แจ้งส่งออก โซเดียมคาร์บอเนตกว่า 3 ตัน เสี่ยงผลิตเฮโรอีน 750 กก.

ป.ป.ส. เดินเกมรุกป้องกันยาเสพติด บุกตรวจโรงงานสารเคมีบ้านฉาง จ.ระยอง หลังพบพิรุธไม่แจ้งข้อมูลส่งออกสารตั้งต้นไปประเทศเพื่อนบ้าน ตรวจยึดเคมีภัณฑ์กว่า 1.2 ตัน ชี้หากหลุดรอดอาจสร้างความเสียหายร้ายแรง ย้ำชัดนโยบาย “No Chemical No Drugs” ตัดวงจรการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ

วันพุธที่ 17 ธันวาคม 2568 พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล เลขาธิการ ป.ป.ส. มอบหมายให้ นายคณิศร ภาพีรนนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. และนายสราวุธ ภักดี ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส. ภาค 2 นำกำลังเจ้าหน้าที่ บูรณาการความร่วมมือกับ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานสารเคมีในพื้นที่อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อป้องปรามและสกัดกั้นการลักลอบนำสารเคมีไปใช้ในกระบวนการผลิตยาเสพติด ตามมาตรการควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์


.
พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล ได้มีนโยบายมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ได้ยกระดับมาตรการตัดวงจรการผลิต มุ่งเป้าไปที่การควบคุมสารตั้งต้น (Precursor) และเคมีภัณฑ์ (Chemicals) ไม่ให้รั่วไหลเข้าสู่พื้นที่แหล่งผลิต โดยเฉพาะในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ภายใต้นโยบาย “No Chemical No Drugs” เนื่องจากหากไม่มีสารตั้งต้น ก็ไม่มียาเสพติด แม้สารเคมีเหล่านี้จะถูกใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไปอย่างถูกกฎหมาย แต่ถือเป็นปัจจัยหลักในการผลิตยาเสพติดร้ายแรง ทั้งยาบ้า ไอซ์ และเฮโรอีน

สำหรับการปฏิบัติการในวันนี้ เป็นการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และคำสั่ง คสช. ที่ 32/2559 รวมถึงประกาศกระทรวงยุติธรรม ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องแจ้งข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก หรือเคลื่อนย้ายสารเคมีกลุ่มเสี่ยง เช่น โซเดียมคาร์บอเนต (Sodium Carbonate) และ แอมโมเนียมคลอไรด์ (Ammonium chloride) ต่อสำนักงาน ป.ป.ส. ทุกครั้ง และสืบเนื่องจากการสืบสวนและตรวจสอบฐานข้อมูล พบว่าโรงงานดังกล่าวประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องจักรและเคมีภัณฑ์มานานกว่า 30 ปี และมีประวัติการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน (สปป.ลาว) โดยพบข้อมูลพิรุธว่า ในห้วงปี 2567-2568 บริษัทได้ส่งออก โซเดียมคาร์บอเนต ไปยัง สปป.ลาว แล้วถึง 4 ครั้ง รวมปริมาณกว่า 3,000 กิโลกรัม โดยไม่แจ้งข้อมูลให้ สำนักงาน ป.ป.ส. ทราบตามระเบียบ ซึ่งโซเดียมคาร์บอเนต ถือเป็นสารสำคัญในขั้นตอนการเปลี่ยนมอร์ฟีนเบสให้กลายเป็นเฮโรอีนเบส หากสารจำนวน 3,000 กิโลกรัม ที่บริษัทส่งออกโดยไม่แจ้งนี้ หลุดรอดไปถึงแหล่งผลิต จะสามารถนำไปผลิตเป็นเฮโรอีนได้มากถึง 750 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นปริมาณมหาศาลที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง

จากการเข้าตรวจค้นภายในโรงงานวันนี้ เจ้าหน้าที่พบสารเคมีและเคมีภัณฑ์ รวมปริมาณ 1,245 กิโลกรัม ประกอบด้วย คลอรีนน้ำ จำนวน 21 ถัง (420 กิโลกรัม), อะซีโตน จำนวน 10 ถัง (150 กิโลกรัม) บอแร็กซ์ จำนวน 27 กระสอบ (675 กิโลกรัม) ซึ่งสารเคมีดังกล่าว จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 และ 3 เป็นสารเคมีจำเป็นในขั้นตอนการฟอก และตกผลึกยาเสพติด (ยาบ้า/ไอซ์/เฮโรอีน) ซึ่งอยู่ภายใต้การ ควบคุมของกรมโรงงานอุตสาหกรรม จากการตรวจสอบไม่พบการขึ้นทะเบียนเป็นวัตถุอันตรายและไม่มีใบอนุญาตครอบครอง​ เจ้าหน้าที่จึงต้องทำการตรวจยึด เพื่อสกัดกั้นและป้องกันการกระจายของสารตั้งต้นเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการผลิตยาเสพติด

สำนักงาน ป.ป.ส. ขอเน้นย้ำไปยังผู้ประกอบการทั่วประเทศ ให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยต้องตรวจสอบการครอบครอง การใช้ และรายงานการเคลื่อนย้ายสารเคมีกลุ่มเสี่ยงอย่างถูกต้องและรัดกุม เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของขบวนการค้ายาเสพติด และช่วยกันป้องกันไม่ให้สารเคมีเหล่านี้รั่วไหลไปทำลายอนาคตของลูกหลานเรา

“ธนกร” ส่ง “ทีมเต็มเหนี่ยว” ตัดวงจรเครือข่ายแบตเตอรี่เถื่อน หลังพบก่อมลพิษต่อชุมชน-ระบบนิเวศ

กรุงเทพฯ, วันที่ 17 ธ.ค. – นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงปัญหามลพิษจากการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วยัง ว่ายังมีความน่ากังวล เนื่องจากกว่า 25% ของแบตเตอรี่ใช้แล้วในประเทศหายไปจากระบบ หรือราว 60,000 ตันต่อปี ส่วนใหญ่ถูกนำไปหลอมในโรงงานเถื่อน ไม่มีใบอนุญาต และไม่ได้มาตรฐาน แล้วปล่อยสารพิษ เช่น ตะกั่ว น้ำกรด และฝุ่นโลหะหนัก ลงสู่ดิน แหล่งน้ำ อากาศ และชุมชน ส่งผลต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ทั้งระบบประสาท ไต ระบบหายใจ รวมถึงพัฒนาการของเด็ก ซึ่งปัญหานี้เป็นมลพิษเงียบที่สะสมมายาวนาน กระทบต่อประชาชนและระบบนิเวศของประเทศ

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ ร่วมมือกับตำรวจ และหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อเปิดปฏิบัติการเร่งด่วนทันที ต้องตรวจเข้มโรงงานเสี่ยง ยึด–อายัดแหล่งผลิตผิดกฎหมาย และดำเนินคดีทุกราย พร้อมทั้งส่ง “ทีมเต็มเหนี่ยว” ลงพื้นที่เสี่ยงเพื่อตัดวงจรเครือข่ายโรงงานใต้ดินที่กำลังก่อมลพิษต่อชุมชน เราจะลงมือจริง ไม่จำเป็นต้องรอฟังรายงานจากใครก่อน เพราะการแก้ปัญหานี้ ต้องเน้น เร็ว–จริง–จับต้องได้ ที่สำคัญ ต้องรายงานตรงกลับมาที่ตน เพื่อเร่งตรวจสอบ ดำเนินคดี และฟื้นระบบควบคุมให้เข้มแข็งขึ้น

นายธนกร กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการระยะยาวนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจะเดินควบคู่ไปกับการกวาดล้างเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางโครงสร้างระบบใหม่ทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่มาตรฐานติดตามเส้นทางแบตเตอรี่ใช้แล้ว (Traceability), การยกระดับการกำกับโรงงานสู่ Green Industry, การเชื่อมระบบกับ Circular Economy และ Net Zero, ไปจนถึงการเตรียมมาตรการรองรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ และ EV เพื่อสร้างระบบที่เข้มแข็ง ทันสมัย และยั่งยืน

“ผมจะไม่ยอมให้ประชาชนต้องทนสูดสารพิษ หรือต้องนั่งดูลูกหลานของเราเติบโตท่ามกลางมลภาวะที่ไม่มีใครรับผิดชอบ ปัญหานี้เราจะหยุดมันให้ได้ เพราะหน้าที่ของผมคือ ปกป้องประชาชน ไม่ขอปกป้องผลประโยชน์ของใคร ผมขอยืนยันว่า จากวันนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ยอมให้สารพิษทำร้ายคนไทยได้อีก นี่ถือเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของระบบจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วของประเทศ” นายธนกร กล่าว