หน้าแรกกระบวนการยุติธรรม“ผบช.ทท.” แถลงผลงานรวบแก๊งมิจฉาชีพ 3 คดีรวด เสียหายกว่า 30 ล้านบาท ฝากเตือนเหยื่อ แจ้ง 1155 ได้ตลอด 24...

“ผบช.ทท.” แถลงผลงานรวบแก๊งมิจฉาชีพ 3 คดีรวด เสียหายกว่า 30 ล้านบาท ฝากเตือนเหยื่อ แจ้ง 1155 ได้ตลอด 24 ชม.

วันที่ 2 เมษายน 2564  ที่ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท. ) พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ( ผบช.ทท.) พร้อมผู้บังคับบัญชาและข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง และนางสาวศิริวรรณ พรเลิศวิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เข้าร่วมแถลงข่าวผลดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดและผู้ต้องหาตามหมายจับคดีสำคัญ

พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ( ผบช.ทท.) แถลง คดีแรก เป็นจับกุมมิจฉาชีพหลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ร่วมลงทุนประกอบธุรกิจนำเที่ยวและธุรกิจให้บริการต่อวีซ่า ซึ่งมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมากและมีมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว นำโดย พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.ควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ตรวจสอบกรณีได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีการหลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (ญี่ปุ่น-สิงคโปร์) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ให้ร่วมลงทุนในธุรกิจนำเที่ยวและให้บริการต่อวีซ่า โดยพบคดีดังกล่าว มีผู้เสียหายเป็นชาวต่างชาติกว่า 20 คน รวมมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท จากการสืบสวนติดตามเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง ได้ดังนี้นางสาววรินทร (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงเชียงใหม่ที่ จ.69/2564 และ จ.70/2564 ลงวันที่ 1 ก.พ. 64 ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์” โดยจับกุมได้เมื่อวันที่ 30 มี.ค 64 ที่บริเวณอาคารเลขที่ 261/1-173 ยุคลรัตน์คอนโดมีเนี่ยม อาคารบี ห้อง 261/154 แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพ โดยได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก ภ.จว.เชียงใหม่

โดยพฤติการณ์แห่งคดี คือ น.ส.วรินทรฯ ผู้ต้องหา ได้มีการเปิด “บริษัท โลโคโมชั่นทัวร์ จำกัด” หรือ LCMT Travel ประกอบธุรกิจนำเที่ยวปรากฏผลการดำเนินธุรกิจไม่ประสบผลสำเร็จ จึงหันมาทำธุรกิจเกี่ยวกับการต่อวีซ่าหรือขอวีซ่า ประเภทเกษียณอายุ (Retirement) ซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่าผู้ขออนุญาตขอวีซ่าต้องมีเงินในบัญชีจำนวน 800,000 บาท โดยใช้ชื่อบริษัทเดิม ประกอบกับ น.ส.วรินทรฯ ผู้ต้องหา มีแฟนเป็นชาวญี่ปุ่น จึงมีความสามารถในการสนทนาภาษาญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี มีบุคลิกน่าเชื่อถือ จึงได้ชักชวนชาวญี่ปุ่นและสิงคโปร์ มาร่วมลงทุนโดยเสนอผลตอบแทน 10% ต่อเดือน จนมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสนใจร่วมลงทุนกว่า 20 ราย โดยในช่วงแรก ๆ ได้ให้ผลตอบแทนตามที่ได้เสนอจริง แต่ช่วงหลัง ๆ ผู้เสียหายไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ได้เสนอไป พยายามทวงถาม น.ส.วรินทรฯ ผู้ต้องหาแต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด จึงทราบว่าถูกหลอกลวงและทำให้เกิดความเสียหาย มูลค่าความเสียหายรวมกันไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท จึงได้พากันไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสวบสวน สภ.ช้างเผือก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีผู้เสียหายที่ยังไม่มาแจ้งความร้องทุกข์อีกจำนวนมาก พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับในคดีดังกล่าว ต่อมากองกำกับควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ได้ทำการสืบสวนติดตามจนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย

คดีต่อมา จับกุมผู้ต้องหาแอบอ้างว่าสามารถออกใบอนุญาตประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ให้ได้ โดยไม่ต้องผ่านการดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน กก.1 บก.ทท.1 จับกุมผู้ต้องหา คือ จับกุมตัว นางสาวสุภาเพ็ญ ฯ อายุ  52  ปี  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 611/2564 ลงวันที่ 29 มี.ค. 64  ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคลคลหนึ่ง” 

สำหรับ พฤติการณ์แห่งคดีนี้ คือ ผู้ต้องหามีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการขอใบอนุญาตประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ เช่น เจ้าหน้าที่กรมการท่องเที่ยว , เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาจารย์ของมหาวิทยาลัย (ซึ่งมีหลักสูตรเกี่ยวกับอาชีพมัคคุเทศก์) เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และหลอกลวงโดยใช้วิธีการโฆษณาประกาศข้อความผ่านทางเฟสบุค และช่องทางอื่นตามเว็บไซต์ต่างๆ โดยอ้างว่าตนสามารถออกใบอนุญาตมัคคุเทศก์(บัตรไกด์)ได้ เมื่อมีผู้สนใจ ผู้ต้องหาก็จะทำการติดต่อพูดคุยรายละเอียดผ่านทางโทรศัพท์และแอปพลิเคชันไลน์ จนสามารถทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าผู้ต้องหาสามารถติดต่อประสานงาน เพื่อให้สามารถออกใบอนุญาตมัคคุเทศก์(บัตรไกด์)ได้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดจนมีผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปที่บัญชีธนาคารของผู้ต้องหา จำนวนหลายครั้ง รวมมูลค่าความเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 300,000 บาท และหลังจากผู้เสียหายโอนเงินไปแล้ว ปรากฏว่าผู้ต้องหาไม่สามารถออกใบอนุญาตมัคคุเทศก์ได้จริงตามที่กล่าวอ้าง จึงทราบว่าถูกหลอกลวงและได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน กก.1 บก.ทท.1 ได้จับตัวกุมได้ในเวลาต่อมา ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติพบว่า นางสาวสุภาเพ็ญฯ เคยต้องโทษในคดีลักทรัพย์ ในพื้นที่สน.ห้วยขวาง ,สน.ลาดพร้าว และ สน.ทองหล่อ มาก่อนอีกด้วย

คดีที่ 3 เป็นการจับกุมคดี “Romance Scam หรือ แสร้งรักออนไลน์” ซึ่งเป็นกรณีชาวต่างชาติปลอมเฟสบุ๊คเป็นบุคคลหน้าตาดี โยร่วมมือกับหญิงไทยหลอกโอนเงินค่าพัสดุจากต่างประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน กก.1 บก.ทท.1., กก.1 บก.ทท.2., กก.2 บก.ทท.3., จับกุมผู้ต้องหา คือจับกุมผู้ต้องหา คือนางสาว วนิดา ฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่ จ.67/2564 ลงวันที่ 23 มี.ค. 64  ถูกจับกุมตัวหน้าบ้านเลขที่  59/48 ถ.เทพประทาน หมู่ที่ 1 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต  และนางสาวธัญชนกฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่ จ.68/2564 ลงวันที่ 23 มี.ค. 64 หน้าบ้านเลขที่ 29/96 ถนนรัษฎานุสรณ์  ซอยแม่กลิ่น  หมู่ที่ 3 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต  

ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกจับกุมในความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” และ “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น”พฤติการณ์แห่งคดี คือ ก่อนถูกจับ กลุ่มผู้ต้องหาได้ใช้เฟซบุ๊กปลอมชื่อ Amit Khan ซึ่งมีภาพโปรไฟล์เป็นชาวต่างชาติผิวขาวหน้าตาดี ประกอบอาชีพนักบิน แอดมาเป็นเพื่อนกับผู้เสียหาย และได้คุยกันเรื่อยมา ซึ่งในระหว่างคุยกันกลุ่มผู้ต้องหามีการส่งภาพถ่ายเป็นภาพเงินสดจำนวนมาก ทองคำ เครื่องประดับราคาสูง ให้ผู้เสียหายดู เพื่อให้เชื่อว่าตนเองมีทรัพย์สินจำนวนมาก จนกระทั่งเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 กลุ่มผู้ต้องหาได้โทรศัพท์มาหาผู้เสียหายเพื่อหลอกลวงว่ามีพัสดุมูลค่าสูงจัดส่งมาให้แก่ผู้เสียหาย โดยมีค่าจัดส่งเบื้องต้นจำนวน 21,000 บาท บาท

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ต้องหายังได้ใช้แอพพลิเคชั่นไลน์โดยใช้ชื่อโปรไฟล์ว่า BP solution แอดเข้ามาสนทนากับผู้เสียหายในเรื่องการชำระค่าส่งพัสดุดังกล่าวอีกทางหนึ่งเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าพัสดุเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง และในส่วนที่เหลือให้ไปชำระในขณะที่ไปรับพัสดุได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จนกระทั่งผู้เสียหายหลงเชื่อ และได้โอนเงินไปจำนวน 2 ครั้ง มูลค่าความเสียหายรวม 51,000 บาท ต่อมาเมื่อผู้เสียหายไปรับสินค้าด้วยตัวเองที่สนามบินสุวรรณภูมิ ปรากฏว่าไม่มีพัสดุถึงผู้เสียหาย จึงทราบว่าถูกหลอกลวง และได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน จนกระทั่งกลุ่มผู้ต้องหาถูกจับกุมในเวลาต่อมา เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้รับส่วนแบ่งค่าจ้างจากชาวไนจีเรียคนหนึ่งซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป

พล.ต.ท.นิทัศน์ กล่าวว่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ขอเรียนว่าการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คดีนี้ โดยในคดีแรกมีผู้เสียหายเป็นชาวต่างชาติจำนวนหลายรายถูกหลอกให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจกับผู้ต้องหาซึ่งเป็นหญิงไทย มีมูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูงและเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ในการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี ส่วนคดีที่ 2 และ 3 แม้มูลค่าความเสียหายจะไม่มากนักและเป็นการหลอกลวงที่มีแผนประทุษกรรมที่คล้ายกับคดีฉ้อโกงอื่นๆ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว จึงเป็นการแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนให้พึงระมัดระวัง กลุ่มมิจฉาชีพที่ปัจจุบัน แฝงตัวมาหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวขอฝากถึงนักท่องเที่ยวและพี่น้องประชาชน ที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ สามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน ได้ที่สายด่วนหมายเลข 1155 ตลอด 24 ชั่วโมง

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img