นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณี มีส.ว.โพสต์ Facebook แนะ 3 ฝ่าย คือ รัฐบาล, ส.ว.และข้าราชการ จับมือกันปฏิรูปประเทศแก้ไขภาวะวิกฤตไวรัสโควิด- 19 ระบาดและปัญหาเศรษฐกิจ เห็นได้ว่าความเห็นในการแก้ไขปัญหาวิกฤตบ้านเมืองดังกล่าว ได้กล่าวถึงการร่วมมือกันเฉพาะ 3 ฝ่ายเท่านั้น คือ รัฐบาล, ส.ว. และประชาชน
ซึ่งท่านตัดสภาผู้แทนราษฏร ตัดประธานสภาฯ ซึ่งเป็น ส.ส.และเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติออกไป จึงไม่ฟังเสียงผู้แทนประชาชน ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาไม่สะท้อนความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง อีกท่านหนึ่งที่เมินสภาทั้งๆที่เป็นรองประธานวิปรัฐบาล แต่แปลกใจที่ไม่ให้ความสำคัญกับการใช้สภา เป็นเวทีอภิปรายปัญหาวิกฤตของบ้านเมืองเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้ทันท่วงที แต่เหมือนกับปกป้องให้ผู้สืบทอดอำนาจทำหน้าที่เพียงลำพัง ตามอำเภอใจขาดการชี้แนะจากผู้แทนประชาชนที่รับทราบปัญหาในแต่ละพื้นที่
ถ้ารัฐบาลเปิดสภาสมัยวิสามัญตั้งแต่เกิดวิกฤตใหม่ๆ ในกลางเดือนมีนาคม 63 พรรคฝ่ายค้านได้ตั้งเป้าจะพิจารณาเสนอแนะตามลำดับ คือเสนอพิจารณาปรับลดงบประมาณปี 2563 ในส่วนที่ไม่จำเป็นแล้วนำงบที่ปรับลดได้นั้นไปสนับสนุนแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุข ซึ่งพรรคการเมืองฝ่ายค้านตั้งใจที่จะอภิปรายเสนอแนะปรับลด พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 โดยจะปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนมาเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างทั่วถึง รวดเร็ว จึงแปลกใจที่ ส.ส.อาวุโสอย่างท่านไม่เห็นประโยชน์ของการเปิดสภาสมัยวิสามัญ เพราะเวลาเพียงวันเดียวที่เร็วขึ้น ก็มีความหมายมากสำหรับคนยาก คนจน
นอกจากนี้ เมื่อได้พิจารณา พ.ร.ก.เงินกู้ได้เร็วขึ้น ก็สามารถนำงบประมาณไปใช้ประโยชน์ในการเยียวยาประชาชนได้เร็วขึ้น ตรงกันข้ามกับที่ขณะนี้เวลาล่วงเลยมา 3 เดือนแล้ว ยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาอย่างทั่วถึง ความเดือดร้อนก็ขยายวงกว้างจนยากจะแก้ไข ซึ่งมีข้อสังเกตที่พรรคฝ่ายค้านเห็นความแตกต่างในการเยียวยาเจ้าสัวกับคนจน แตกต่างกันจึงตั้งใจจะเสนอแนะในการพิจารณา พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อตั้งกองทุน BSF อุ้มตราสารหนี้เจ้าสัว ในวงเงิน 400,000 ล้านบาท ซึ่งเจ้าสัวที่เป็นเศรษฐีติดอันดับ 1 – 20 ของประเทศ น่าจะสามารถช่วยตนเองได้ในระดับหนึ่ง หากมีการพิจารณาโดยเร็ว ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลอาจมีความเห็นร่วมกันในการปรับลดเงินช่วยเจ้าสัว แล้วนำมาช่วยประชาชนที่เดือดร้อนได้มากขึ้น โดยแบ่งงบ 400,000 ล้านบาท มาช่วยคนได้อีกจำนวนมาก