อำนาจอธิปไตย…ของปวงชน
ตั้งแต่สังคมไทยเกิดภาวะระส่ำน้ำแยกสายไผ่แยกกอ “แตกขั้วแตกหน่อ” หลายกลุ่มหลายก๊ก หลายสีเสื้อ แกนหลักสังคมคือ “ข้าราชการ” ได้กลับกลายเป็น “นกดีเลือกกินเกาะ” เป็นทิวแถว
วิกฤตการณ์แห่งความแตกแยก เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วลุกลามถึงแทบทุกสถาบันในชาติ ความขัดแย้งดังกล่าวร่ำๆ จะถึงขั้นรุนแรงหลายครั้ง อันจะนำไปสู่การเผชิญหน้าและการนองเลือดของประชาชนทั้งสองฝ่าย
รัฐราชการถูกทำให้เป็นฐานในการ “คอรัปชั่น” และถูกปกครองด้วยนักการเมืองที่โกงกิน การโกงกินจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นบูรณาการเพราะประชาธิปไตยที่มีการตรวจสอบและระบบอำนาจที่มีการถ่วงดุล “ไม่แข็งแรงพอ”
การเมืองในระบบการเลือกตั้งได้สร้างอำนาจใหม่เหนือหัวประชาชนคือ “อำนาจนักการเมือง” ที่เป็นศูนย์แห่งการแสวงหากำไรจากการลงทุนที่เรียกว่า “ธุรกิจการเมือง” ซึ่งใช้รัฐเป็นเครื่องมือการหากิน
รัฐธรรมนูญ ที่พยายามเร่งและแก้ไขหลายครั้งหลายหนถึงแม้จะอ้างว่าพยายามอุดช่องโหว่ต่างๆ ของฉบับเก่าๆ เพื่อให้ดีขึ้น แต่ถ้ายังไม่สามารถแยกการเมืองออกจากธุรกิจได้ ในที่สุด “วงจรชั่ว” ก็คงหวนกลับมาอีก
เรื่องอย่างนี้ “คสช.” ต้องตระหนักทำการทบทวนกันอย่างจริงจัง ว่า “การปกครอง” และการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา ใครได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์อะไรบ้าง? และผ่อนสั้นผ่อนยาวได้แค่ไหน?
เพราะจากสถานการณ์ที่ผ่านมา ประชาชนเกิดความเครียดทางจิตใจ สับสนในแง่ความถูกความผิด ที่ต่างฝ่ายต่างปลุกระดม โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ “จริยธรรม” ความดี ความชั่ว ย่อมมีแนวโน้มที่จะเกิดการประจันหน้าถึงขั้น “ประจัญบาน” ร่ำๆ จะเกิดสงครามกลางเมืองในอดีตหมาดๆ
ทุกคนอยากเห็นสังคมกลับคืนสู่ภาคปกติชนิด “ไม่มีซ่อนดาบในรอยยิ้ม” รัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ควรเอาวัฒนธรรมทางการเมืองไทยเป็นตัวตั้ง ประชาชนไม่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดในโลก…แต่ต้องการรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับคนไทยมากที่สุด มีจุดมุ่งหมายชัดเจนเพื่อปฏิรูปการปกครอง สร้างสรรค์การเติบใหญ่ของประชาธิปไตยและไม่ถอยหลังเข้าคลอง
ก่อนหน้านี้การวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญละเอียดอ่อน พลาดพลั้งอาจติดคุกได้ ส่วนใหญ่อย่าว่าแต่อ่านเลยแค่เห็นก็ยังไม่ได้มองด้วยซ้ำ
ถึงวันนี้ยังไม่มีใครเชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด…และจะไม่มีใคร “ฉีกทิ้งอีก”!!