นางสาวดุษณี เกลียวปฎินนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารผลิตภัณฑ์การออม ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB) กล่าวว่า ในปัจจุบันที่ภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวนมากจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบที่สำคัญ คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการชลอตัว ทำให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวน ความกังวลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ธนาคารจึงมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นและลงราว 100 จุด ทำให้การลงทุนในช่วงนี้ต้องมีความระมัดระวัง โดยจะเป็นการลงทุนที่เป็นกระจายการลงทุนในประเภทอื่นๆหรือจะเป็นการทยอยซื้อ เช่น การลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตเรตติ้งที่เป็นหุ้นกู้ที่นักลงทุนเชื่อมั่นได้ว่าจะได้รับเงินต้นคืนเมื่อสิ้นสุดโครงการและได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเข้ามาอย่างต่อเนื่องในทุกๆไตรมาสหรือการฝากเงินแบบออมทรัพย์หรือการฝากประจำในผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งเป็นการช่วยการกระจายความเสี่ยงที่ดีในขณะที่ภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวน ด้านการลงทุนในทองคำทางธนาคารมองว่าปัจจุบันราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นไปมากมาจากความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอก หากต้องการที่จะเข้ามาลงทุนก็ยังสามารถลงทุนได้แต่ให้ลงทุนแบบการทยอยซื้อแล้วถ้าถือรอก็ให้ทยอยขายออกไปบ้างบางส่วนเพื่อเป็นการลดความเสี่ยง
ส่วนกองทุนหุ้นที่ยั่งยืน (SEF) เป็นกองทุนรวมใหม่ที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะเข้ามาทดแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในสิ้นปี 62 โดยธนาคารมองว่ากองทุน SEF นั้นยังเป็นกองทุนที่ยังมีความน่าสนใจ ในการลงทุน โดยเฉพาะการออมเพื่อเป็นการลงทุนของกอง SEF ยังมีความคล้ายคลึงกับกองทุน LTF โดยมีระยะเวลาการลงทุน 7 ปีปฎิทิน แต่จะเน้นไปที่การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเข้ามาเสริมและการลงทุนในหุ้นที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

แม้กองทุน SEF จะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีลดลงจากกอง LTF แต่กอง SEF สามารถจะขยายฐานที่กว้างมากขึ้นกว่ากอง LTF โดย กองทุน SEF เน้นกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางหรือรายได้เฉลี่ยที่ประมาณ 50,000 – 70,000 บาท/เดือน จากการปรับเกณฑ์สิทธิประโยชน์ทางภาษีลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ หรือไม่เกิน 250,000 บาท จากเดิมทีรกอง LTF มีเกณฑ์สิทธิประโยชน์ทางภาษีลงทุนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ หรือไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งจะเน้นไปที่กลุ่มประชาชนที่มีรายได้ 100,000 บาท/เดือน ขึ้นไป จะทำให้การออมผ่านกอง SEF จะกว้างขึ้นกว่ากอง LTF
ส่วนกลุ่มของลูกค้า Prefered และกลุ่ม Wealth ของธนาคารในปีนี้คาดว่าจำนวนฐานของลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มจะมีความใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีฐานของลูกค้า Prefered อยู่ที่ 80,000 ราย และกลุ่ม Wealth อยู่ที่ 100,000 ราย ทางธนาคารไม่เน้นการขยายฐานลูกค้าเพิ่มในปีนี้ แต่จะหันมาช่วยดูแลลูกค้าและบริหารความมั่งคั่งให้เพิ่มมากขึ้น จะช่วยให้มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ( AUM )ของลูกค้าในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6 ล้านบาท/ราย ภายในสิ้นปี 62 จากเดิมปีก่อนที่ 5.8 ล้านบาท/ราย เป็นความท้าทายที่จะทำให้ AUM เพิ่มขึ้นในภาวะที่ตลาดผันผวน